“ฟ้ายังไมได้พูดถึงพ่อเลี้ยงเลยนะคะ...แล้วแพรกับเด็กๆล่ะคะ” สาวเจ้าก้มหน้างุดโบ้ยไปคุยเรื่องอื่นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นรู้ทันความคิดของเธอ
“อยู่บ้านรอคุณพ่อน่ะถ้าคุณพ่อมาแล้วจะตามมา”
“ฟ้าทำให้คุณพ่อเป็นกังวลอีกจนได้” เพียงฟ้าถอนหายใจเฮือกใหญ่และแล้วเธอก็ทำให้พ่อของเธอต้องมาเป็นห่วงอีกจนได้
“ใครจะคิดว่ามันจะเกิดล่ะอย่าคิดมากเลย” ภูผาทำได้เพียงแค่ปลอบใจเรื่องแบบนี้มีใครอยากจะให้เกิด
แกร๊กก
“คุณอัส” เพียงฟ้าหันมองไปทางประตูเมื่อมันมีเสียงเปิดแล้วเธอก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจที่เห็นอัสนีเข้ามา
“คุณภูสวัสดีครับตาวินกวนหรือเปล่าครับ”
“ไม่เลยครับพอมีเพื่อนเข้าก็อารมณ์ดีเลยครับ” เรื่องธาวินภูผาให้อัสนีเบาใจได้เพราะรายนั้นพอเจอน้องชายก็เล่นด้วยกันจนน่าจะลืมความกลัวจากเหตุการณ์ก่อนหน้าไปแล้ว
“ค่อยโล่งอก” อัสนียิ้มออกกะว่าเดี๋ยวช่วงเย็นก็จะไปรับธาวินกลับแล้วเพราะไม่อยากรบกวนผ้าแพรกับภูผานาน
“คุณเป็นยังไงบ้าง” อัสนีเดินเข้ามานั่งที่ข้างเตียงของเพียงฟ้าตรงข้ามกับที่ภูผานั่ง
“คนอย่างเพียงฟ้าเจ็บแค่นี้จิ้บๆ” สีหน้าของหญิงสาวดูจะเบิกบานกว่าตอนที่คุยกับคนเป็นพี่ชายมากจนภูผาอดจะหมั่นไส้ไม่ได้ทีเห็นเขาทำหน้าห่อเหี่ยวซังกะตาย
“ยังจะมาพูดแบบนี้อีกผมเป็นห่วงคุณมากรู้ไหมเอาตัวเองไปเสี่ยงแบบนั้นได้ยังไง” มือหนาของอัสนีลูบหัวทุยของหญิงสาวเบาๆสายตาของเขามองใบหน้านวลด้วยความเป็นห่วงจนสุดหัวใจหากเธอต้องมาเป็นอะไรเขาคงเสียใจมากแน่ๆ
“ฉันก็ห่วงตาวินนี่คะ...แล้วทำไมคุณต้องห่วงฉันมากด้วยฉันไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย” ปากว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายดูเป็นห่วงมากแต่เธอก็ดีใจมากที่เขาดูเป็นห่วงเธอขนาดนี้
“อ..แอ้ม..เอ่อ..เดี๋ยวผมขอตัวไปหากาแฟดื่มรอคนที่บ้านมานะครับ” ภูผาเห็นทีจะอยู่ตรงนี้ต่อไปก็เหมือนจะเป็นธาตุอาการจึงรีบขัดจังหวะขอตัวออกจากตรงนี้จะดีกว่า
“ครับ” อัสนีหลบสายตาภูผาด้วยความเก้อเขินเล็กน้อยที่แอบลืมตัวเป็นห่วงเพียงฟ้าจนออกหน้าออกตา
หลายวันต่อมา
บ้านเพียงฟ้า
หลายวันมานี้คนที่ดูแลเพียงฟ้าตลอดมาเห็นจะเป็นอัสนีเสียส่วนใหญ่เพราะเพ่อเลี้ยงหนุ่มไม่ยอมให้ใครมาดูแลหญิงสาวเลยเนื่องจากไม่อยากให้เพียงฟ้านั้นคลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียวทั้งยังขนข้าวของตัวเองและของธาวินมาที่นี่จนที่บ้านของเพียงฟ้าเปรียบเสมือนบ้านของอัสนีและธาวินไปด้วยโดยปริยาย
“หมดเสี้ยนหนามแล้วผมคงไม่มีประโยชน์ต่อคุณแล้วสินะ” ในตอนเย็นของวันเพียงฟ้าที่พึ่งเดินได้ถนัดก็เดินออกมานั่งเล่นที่หน้าบ้านพร้อมกับอัสนีและธาวินชายหนุ่มเอ่ยกับหญิงสาวด้วยสีหน้าที่หดหู่ตอนนี้ทั้งศรีน่านและมนัสก็ถูกจับไปกันหมดแล้วตัวเขาเองก็คงหมดประโยชน์ที่หญิงสาวจะใช้แล้วเช่นกัน
“ถึงฉันจะไม่ใช้คุณบังหน้าแล้วแต่ฉันก็ยังเป็นแม่ของตาวินนะคะยังไงฉันก็จะช่วยคุณดูแลตาวินต่อไป” เพียงฟ้าไม่เคยคิดจะถีบหัวส่งอัสนีเลยสักนิดแม้นเธอจะไม่ต้องมใช้ชื่อของเขามาเป็นคนร่วมหุ้นเพื่อให้ศรีน่านเกรงใจแต่เธอก็จะยังคงทำหน้าที่แม่ของธาวินต่อไปเพราะเธอจะคำที่พ่อของเธอบอกได้ดีและเข้าใจอย่างถ่องแท้ด้วยว่าการเป็นแม่มันเลิกไม่ได้
“ถ้าคุณยืนยันจะเป็นแม่ตาวินต่อไปงั้นคุณก็คงจะอยู่ในสถานะเดิมไม่ได้”
“คุณพูดหมายความว่ายังไง” ใบหน้านวลขมวดคิ้วมองหน้าอัสนีอย่างไม่เข้าใจ
“แต่งงานกับผมคุณจะได้อยู่กับผมและตาวินโดยที่ไม่มีข้องกังขาใดๆ” มือหนาดึงมอเรียวของหญิงสาวมากุมเอาไว้หลวมๆ
“แต่งงานมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะคุณ...คนรักกันเท่านั้นถึงจะแต่งงานกันได้” คำพูดไม่กี่คำของอัสนีทำเอาเพียงฟ้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงติดขัดใบหน้าชาวาบตอนนี้แดงซ่านเป็นลูกตำลึงจนอีกฝ่ายสังเกตเห็นได้ชัด
“งั้นคุณก็บอกสิว่าคุณไมได้รักผมแล้วผมจะไม่บังคับ...แต่ผมจะบอกคุณว่าความรู้สึกรักนี้ผมมีให้คุณแล้วมีตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ตัว” อัสนีค่อยๆเอ่ยความในใจออกมาเขารู้ว่าหญิงสาวเองก็คิดไม่ต่างกับเขา
“พูดอะไรของคุณเนี่ยฉันเขินนะ” ร่างบางยืนเกร็งอมยิ้มบิดไปมาเล็กน้อยทั้งรีบยื่นมือข้างซ้ายให้ชายหนุ่ม
“อะไร..” เขาพอจะรู้ว่าหญิงสาวมีอาการเขินแต่จู่ๆเธอก็ยื่นมือมาตรงหน้าของเขาแบบนี้มันหมายความว่าอะไร
“จะแต่งก็ต้องมีแหวนสิใช่ไหมตาวิน” เพียงฟ้าขมวดคิ้วเล็กน้อยที่ดูอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจปฏิกิริยาของเธอเอาเสียเลย
“แอ้..” เด็กชายที่กำลังเดินเล่นอยู่หน้าบ้านเมือคนเป็นแม่คุยด้วยก็หันมายิ้มกว้างและหันไปเดินเล่นต่อ
“อย่าบอกนะว่าคุณไม่มี”
“ใครบอกล่ะอยู่นี่ไง...พ่อขอคืนนะลูก” อัสนีรีบเดินเข้าไปหาธาวินและอุ้มลูกชายของเขาเอาไว้ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในหระเป๋าเสื้อของเด็กชายเอากล่องแหวนออกมา
“คุณแหวนหายไปไหน” เมื่อเปิดกล่องแหวนออกใบหน้าของเพียงฟ้าและอัสนีตอนนี้ก็เสียไปตามๆกันเพราะในกล่องแหวนนั้นไม่มีแหวนที่เขาเตรียมมาให้หญิงสาว
“แม่ๆ..” กำปั้นน้อยของธาวินยื่นให้เพียงฟ้า
“อะไรเหรอลูก..แหวนนี่นา” หญิงสาวค่อยๆแบมือรับของที่ธาวินยื่นให้
“ตาวิน..เกือบทำพ่อไม่ได้แต่งงานแล้วไหมล่ะ” อัสนีเห็นว่ามันเป็นแหวนของเขาก็ค่อยโล่งอกไม่คิดว่าเจ้าก้อนกลมจะเอาออกมาถือเล่นแบบนี้ดีที่ไม่ขว้างปาทิ้งไปที่ไหนเสียก่อน
“ฮ่าๆๆ” เพียงฟ้าขำออกมาจนท้องแข็งที่เห็นอัสนีหน้าเสียเพราะกลังแหวนหาย
“ผมจะรีบเข้าคุยกับคุณพ่อคุณให้เร็วที่สุด” อัสนีวางธาวินลงให้เด็กชายไปเดินเล่นต่อแล้วเขาก็ค่อยๆจับมือของหญิงสาวมาสวมแหวนหมั้นจองเอาไว้ก่อน
“ขอบคุณนะคะ” เพียงฟ้ามองหน้าคนตัวโตพร้อมยิ้มอ่อนแม้จะรู้จักกันเป็นเวลาไม่นานแต่เธอก็เชื่อสนิทใจว่าอัสนีเป็นคนดีและสามารถปกป้องดูแลเธอและธาวินได้เป็นอย่างดีเธอไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะตอบตกลงแต่งงานกับเขาทั้งที่ก่อนหน้านี้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่แต่งงาน
“แต่งแล้วจะได้รีบมีน้องให้ตาวินเลย” อัสนีเอ่ยหยอกหญิงสาวเล่นก่อนที่จะรวบกอดร่างบางเอาไว้แน่นหญิงสาวคนนี้ที่เคยเป็นคนน่ารำคาญสำหรับเขาจนไม่อยากให้เอมาอยู่ใกล้ๆแต่ตอนนี้เขากลับอยากให้เธออยู่ใกล้ไม่อยากให้คลาดสายตาไปไหนแม้เธอจะทำตัวน่ารำคาญแค่ไหนก็ดูน่ารักในสายตาเขาไปแล้ว
จบแล้วค่า...
ร้านบ้านของหวานณ ร้านคาเฟ่เล็กๆน่ารักๆสไตล์มินิมอลที่แม่ริมจ.เชียงใหม่ตอนนี้เป็นช่วงเย็นของวันลูกค้าก็เริ่มจะเยอะขึ้นส่วนมากจะเป็นวัยรุ่นเสียมากกว่าที่มาทานอาหารและหาที่ถ่ายรูปอัพลงโซเชียลกันคาเฟ่แห่งนี้มีเพียงฟ้าคุณหนูไฮโซลูกเจ้าของโรงแรมใหญ่ในกรุงเทพอายุยี่สิบสี่ปีเรียนจบเมืองนอกเมืองนามาเมื่อกลับมาแล้วก็ไม่อยากบริหารงานที่โรงแรมอยากเปิดร้านคาเฟ่เล็กๆในต่างจังหวัดมากกว่าจึงมาเปิดร้านที่นี่ได้ปีหนึ่งแล้วและมีผู้จัดการร้านคือผ้าแพรหญิงสาววัยยี่สิบสองที่พึ่งเรียนจบคหกรรมมาหมาดๆก็มาสมัครงานที่นี่ฝีมือของเธอถูกใจเพียงฟ้าอย่างมากจึงรับเข้าทำงานทันทีโดยไม่ลังเลว่าเธอจะไม่มีประสบการณ์ทั้งจ้างเด็กเสริฟและลูกมือผ้าแพรอีกสองสามคนเท่านั้น ที่นี่แม้จะเป็นคาเฟ่เล็กๆแต่ก็ได้รับความนิยมพอสมควรเพราะอาหารอร่อยทั้งยังติดกับธรรมชาติที่สวยงามร่มรื่น“กลับกับยายเดี๋ยวนี้ยายมีเรื่องจะคุยกับเรา” คนในร้านและพนักงานต่างก็มองกันมาเป็นตาเดียวเมื่อพิกุลหญิงชราวัยหกสิบแต่ยังท่าทางแข็งแรงเดินเข้ามาจูงผ้าแพรหลานสาวของเธอในขณะที่กำลังยืนต้อนรับลูกค้าให้กลับไปคุยกับเธอที่บ้านด้วยท่าทางที่ดูจะโมโหจากอะไรบางอย่างเอ
“แม่อย่าตีหลานหนูแพรท้องอยู่นะแม่” พิมพรรณเห็นเช่นนั้นจึงรีบเข้าไปโอบกอดหลานสาวของเธอเอาไว้เพราะตั้งแต่พี่สาวเธอเสียเมื่อคลอดผ้าแพรเธอเองก็เป็นเหมือนแม่ที่เลี้ยงคนหนึ่งผ้าแพรมาโดยตลอดจะตีสักคราดุสักครั้งก็ไม่เคยมาถึงครานี้เธอก็จะไม่ยอมให้แม่เธอลงไม้ลงมือกับผ้าแพรเช่นกันหากจะต้องถูกลงโทษจะต้องเป็นเธอมากกว่าที่ดูแลหลานสาวไม่ดีเอง“แกมันก็เข้าข้างแต่หลานนั่นแหละถึงได้เป็นแบบนี้ไง” พิกุลตวาดเสียงฝาดจนสองหน้าหลานที่กอดกันสะดุ้งโหยง“คุณย่าขาเร็วๆค่ะ” หลังจากที่เพียงฟ้าไปรอรับคนทั้งสามที่สนามบินหลังจากให้ทั้งสามบินด่วนมาจากกรุงเทพเป็นชั่วโมงกว่าตอนนี้เพียงฟ้าขับรถมาถึงที่บ้านของผ้าแพรพร้อมกับภูผาและแม่กับย่าของเขาเพื่อที่จะมารับผิดชอบผ้าแพรเมื่อมาถึงพียงฟ้าก็รีบจูงสายทองคุณหญิงจากเมืองกรุงรีบขึ้นไปบนบ้านของผ้าแพรโดยเร็วเพราะไม่รู้ว่าผ้าแพรนั้นจะโดนยายเธอนั้นต่อว่าหรือจัดการอะไรบ้าง“ย่าก็รีบอยู่นี่ไงลูกหนูฟ้า” สายทองหญิงชราวัยเจ็ดสิบสองรู้สึกปวดหัวกับเรื่องหลานๆของเธอพอสมควรมาวันนี้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่ยังช็อกที่พึ่งจะรู้ตัวว่าหลานชายตนไปทำผู้หญิงท้องจึงต้องรีบลากหลานชายกับลูกสะใภ้
“นี่เธอเป็นแบบนี้จริงๆหรือต้องการกวนประสาทฉันแน่เนี่ย” ภูผามองตามหลังหญิงสาวร่างเล็กด้วยสายตาแปลกใจไม่หายไม่เข้าใจว่าที่เธอทำประชดเขาหรือว่าเธอกลัวเขารำคาญจริงๆ“ยังไงก็แต่งก่อนที่ท้องหลานฉันมันจะป่องกว่านี้ส่วนสินสอดก็แล้วแต่พวกคุณฉันไม่บังคับ” เมื่อคุยกันได้พักใหญ่ก็เป็นอันว่าผู้ใหญ่สองฝ่ายตกลงกันได้ด้วยดีในส่วนของสินสอดพิกุลไม่ได้เรียกร้องเพราะบ้านเธอแม้จะดูไม่มีเท่าสายทองแต่เธอก็มีพออยู่พอกินเลี้ยงหลานเลี้ยงเหลนของเธอได้สบายอยู่แล้ว“เป็นอาทิตย์หน้าเห็นจะดีหรือเปล่าล่ะ” สายทองเห็นด้วยกับพิกุลที่จะไม่ให้ผ้าแพรนั้นท้องป่องในงานแต่งเนื่องจากหลานชายของเธอก็ค่อนข้างมีหน้ามีตาไม่อยากให้ดูไม่ดีเช่นกัน“ได้ก็ดีค่ะ” พิกุลเองก็คิดว่าจะจัดให้เร็วแต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปแต่เมื่อสานทองเสนอมาเธอก็ไม่ขัดจะได้จบๆไปไม่ขายขี้หน้าคนอื่นนาน“อย่างนั้นก็เป็นอันตกลงกันตามนี้” สายทองพยักหน้ากับพิกุลและหันมามองกับโสพิศที่เอาแต่นั่งเงียบเหตุด้วยคงเพราะอ่อนใจกับลูกชายเธอ“เธอท้องกี่เดือนแล้วล่ะ” โสพิศเดินมาคุยกับผ้าแพรพร้อมกับสายทองก่อนจะกลับเพราะอยากทำความรู้จักกับลูกสะใภ้ของเธอให้มากขึ้น“หมอบอกว่าสิบสัปดาห
“หยุดเลยลูกคาท้องเมียแกอยู่แกจะไปไหน” สายทองเห็นทีจะปล่อยให้หลานของเธอทำตัวสบายใจแบบนี้ไมได้แล้วเพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแต่งงานหากมีข่าวเรื่องผู้หญิงของหลานชายของเธอออกมาตอนนี้มีหวังพิกุลคงไม่ยอมยกหลานสาวของเจ้าตัวให้พอดีนั่นเท่ากับว่าเธอก็จะไม่ได้เลี้ยงเหลนเองด้วย“โถ่คุณย่า” ภูผาถึงกับคอตกที่ย่าของเขายกเหตุผลนี้มาค้ำคอของเขาไม่ให้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนข้างนอก“กลับเข้าบ้านมาเดี๋ยวนี้เลยก่อนที่ฉันจะตัดบัตรแกอย่าคิดว่าแกเป็นผู้บริหารโรงแรมแล้วจะดื้อกับย่าได้นะ” สายทองจ้องหลานชายของเธอตาเขม็งดูซิจะกล้าแข็งคอกับเธออีกหรือเปล่า“คุณย่าทำไมทำกับผมแบบนี้ล่ะครับเพราะเธอคนเดียวเลยผ้าแพร” ภูผาจำต้องเดินคอตกกลับขึ้นห้องของตัวเองไปแม้เขาจะเป็นผู้บริหารแล้วแต่ย่าของเขาก็มองเขาเป็นเด็กอยู่ทุกทีไปทั้งบ่นอู้อี้ถึงตัวต้นเหตุเบาๆ“บ่นอะไร” สายทองส่ายหัวเบาๆที่หลานเธอนั้นบ่นถึงผ้าแพรทั้งที่เจ้าตัวนั่นที่เป็นตัวต้นเรื่องเชียงใหม่“ฮัดชิ่ว” ในขณะที่ผ้าแพรกำลังปอกผลไม้ที่เห็บมาจากสวนใส่กล่องเอาไว้ทานเธอก็เกิดจามขึ้นมาเพราะรู้สึกคัดจมูกกะทันหัน“หนูไม่สบายเหรอลูก” พิมพรรณมองหน้าหลานของเธอด้วยสีหน้าที่
“เจ้าบ่าวจะมาแล้วเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ” พิกุลเดินมาบอกให้หลานของเธอเตรียมตัวให้พร้อมเพราะเมื่อเจ้าบ่าวมาถึงก็จะต้องออกไปทำพิธีตักบาตรแล้วผูกข้อไม้ข้อมือ“ค่ะยาย” ผ้าแพรผละออกจากอ้อมกอดพิมพรรณและเอ่ยเสียงตอบยายของเธอยอมรับเลยว่าตอนนี้ใจของเธอเต้นแทบจะหลุดออกมาจากอกอยู่แล้วเวลาผ่านไปจนถึงพิธีผูกข้อไม้ข้อมือในขณะที่สายทองและพิกุลผูกข้อมืออวยพรหลานทั้งสองเรียบร้อยแล้วก็มานั่งคุยกันตามประสา“หนูแพรแต่งนิดๆหน่อยๆก็ดูดีขึ้นมากเลยนะ” สายทองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่ทุกคนต่างก็ชมว่าหลานสะใภ้ของเธอน่ารักน่าชังเหมาะสมกับภูผารวมไปถึงนักข่าวก็รัวภาพกันไม่หยุดเธอหวังว่าหลังจากข่าวนี้ออกไปผู้หญิงที่เข้าหาภูผาจะเลิกยุ่งกับหลานเธอเสียทีในเมื่อรู้ว่าหลานเธอนั้นแต่งงานมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนแล้วเธอจะได้เลิกปวดหัวกับข่าวการฉาวๆของภูผา“หลานฉันหน้าตาเหมือนแม่ไม่มีผิด” พิกุลนั่งมองหลานสาวของเธอด้วยรอยยิ้มอ่อนพรางนึกถึงพรทิพย์แม่ของผ้าแพรที่เมื่อวัยสาวก็สวยน่ารักแบบนี้ไม่มีผิดถ้าพิมพรรณเองไม่ปล่อยตัวจนอ้วนท้วมก็คงจะสวยเหมือนคนเป็นพี่แต่ก็เข้าใจลูกของเธอว่าไม่อยากให้ใครมาจีบจึงปล่อยตัวเพราะไม่อยากมีครอบครัวหลังจากที
“ยืนอยู่ทำไมเธอก็ตามไปสิ” โสพิศเห็นผ้าแพรยืนนิ่งตั้งแต่เมื่อครู่แล้วหากเป็นผู้หญิงคนอื่นคงโวยวายไปแล้วที่มีผู้หญิงคนอื่นมาควงเจ้าบ่าวตนออกไปแต่ผ้าแพรยังยืนนิ่งเป็นท่อนไม้จนเธอนั้นต้องรีบบอกให้ผ้าแพรตามออกไปดึงภูผากลับมา“หนูต้องตามไปด้วยเหรอคะ..แต่..เค้าน่าจะมีเรื่องต้องคุยกัน” ผ้าแพรมองโสพิศด้วยสายตาสงสัยว่าเธอควรตามออกไปจริงหรือไม่ในเมื่อสองคนนั้นมีเรื่องต้องคุยกันกลัวว่าเธอจะไปขัดแล้วจะเสียมารยาท“วันนี้งานแต่งเธอนะนั่นก็สามีพ่อของลูกในท้องเธอ” โสพิศขมวดคิ้วเป็นปมจับไหล่ลูกสะใภ้เธอแล้วย้ำให้ผ้าแพรได้ฟังว่าเจ้าตัวมีสิทธิ์ในตัวของภูผาทุกอย่างและจะปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นพาสามีตัวเองไปแบบนั้นไม่ได้“เอ่อ.. ก็ได้ค่ะคุณแม่” ผ้าแพรได้ฟังคำของโสพิศเธอก็รีบพยักหน้าและเดินตามสองคนนั้นออกไปทันที“โอ๊ย...ฉันได้ลูกสะใภ้แบบไหนมากันเนี่ย” โสพิศถึงกับยืนส่ายหัวแทบกุมขมับเรื่องแค่นี้เธอก็ต้องสอนลูกสะใภ้ของเธอด้วยหรือไง มองไม่ออกเลยว่าหากผ้าแพรยังเป็นแบบนี้จะเอาลูกชายเธออยู่หรือไม่ความหวังที่จะให้ลูกเธอมีภรรยาแล้วหยุดเจ้าชู้ดูริบหรี่เหลือเกิน“นี่ปล่อยพี่ภูนะ” เพียงฟ้าเห็นทับทิมพยายามจะลากภูผาขึ้นรถเ
“ฉันขอโทษนะคะที่ฉันเป็นต้นเหตุทำให้คุณทะเลาะกับผู้หญิงของคุณ” ผ้าแพรอยู่กับภูผาสองต่อสองในห้องหอเธอเหลือบมองชายหนุ่มจากด้านหลังของเขาในขณะที่เขายืนกอดอกมองออกไปนอกหน้าต่างและเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด“อะไรนะ นี่ฉันคิดว่าเธอจะโกรธฉันซะอีกนะเนี่ย” ภูผาขมวดคิ้วหันกลับหลังมามองหญิงสาวที่นั่งก้มหน้าอยู่บนเตียงที่เขายืนมองไปนอกหน้าต่างเพื่อทำสมาธิให้ใจเย็นก่อนที่จะถูกหญิงสาวต่อว่าเขาเสียอีก“ฉันจะโกรธคุณเรื่องอะไรล่ะคะ” คนที่นั่งอยู่ปลายเตียงหันมาส่ายหัวเธอไม่ได้โกรธอะไรเขาเลยหนำซ้ำยังกลัวว่าเขาจะต่อว่าเธอที่เป็นต้นเหตุทำให้ทะเลาะกับผู้หญิงของเขาด้วยซ้ำ“เปล่าๆ” ภูผารู้สึกว่าผ้าแพรจะแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นที่เขาได้รู้จักเธอเหมือนเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดถึงตัวเองเท่าไรนักกลับห่วงแต่ความรู้สึกคนอื่น“คุณหิวหรือเปล่าคะ” ผ้าแพรเดินเข้าไปเปิดกล่องหวายสานขนาดไม่ใหญ่มากนักใต้เตียงของเธอพร้อมค่อยๆยกออกมา“นิดหน่อย” ภูผามองหญิงสาวด้วยอาการแปลกใจว่าเธอกำลังทำอะไรที่ใต้เตียง“นี่ขนมฉันแอบยายกับน้าพิมเอามาไว้ในห้องค่ะเพราะรู้ว่าคุณจะต้องหิวบ้างทานสิคะ” หญิงสาวค่อยๆวางกล่องที่โต๊ะตั้งโคมไฟข้างหัวเตียงและเปิด
“อืม...ก็เราน่ะโตมีครอบครัวแล้วจะอ้อนยายไปตลอดก็ไม่ได้อยู่แล้ว” พิกุลเอ่ยด้วยรอยยิ้มแต่แววตาของเธอนั้นไหววูบเล็กน้อยจนพิมพรรณและภูผาที่นั่งตรงข้ามเห็นได้ชัดและรู้ดีว่าพิกุลนั้นคงใจเสียไม่น้อยที่หลานรักคนเดียวนั้นจะผละจากอ้อมอกไป“ว่ามีแต่ของโปรดยายสังขยาฟักทองของโปรดใครบางคนก็มีนะอยู่ในครัว” พิมพรรณเอ่ยบอกกับผ้าแพรเพราะรู้ดีว่านี่คือของโปรดหลานเธอจึงเร่งมือทำเมื่อช่วงบ่าย“เหรอคะน้าพิมเดี๋ยวแพรจะไปเอามาเดี๋ยวนี้” แมวน้อยขี้อ่อนที่เกาะอยู่กับขนของยายตาโพรงเมื่อได้รู้ว่าวันนี้มีของโปรดที่ไม่ได้ทานมานานซ้ำยังเป็นฝีมือของพิมพรรณที่ทำได้หวานถึงใจตนก็รีบลุกออกจากเก้าอี้หมายจะไปยกมาทานทันที“เดี๋ยวก่อนเรายังไม่ได้ทานข้าวเลยนะ” พิมพรรณต้องปรามหลานเธอเอาไว้เมื่อเห็นว่ายังไม่ได้ทานข้าวก็จะทานของหวานเสียแล้ว“อืม..ก็ได้ค่ะ” จากหน้าบานกลายเป็นหน้างอยทันทีเมื่อถูกห้ามให้ไปเอาของโปรด“รีบบอกทำไมล่ะแม่พิมเดี๋ยวก็ทานข้าวอย่างกับแมวดมขยักกระเพาะไว้ให้ขนมหวาน” พิกุลมองหน้าหลานของเธอที่กำลังหย่อนก้นนั่งที่เก้าอี้ข้างเธอตามเดิมด้วยสีหน้าหงอยๆ“นั่นสิคะแม่ฉันก็ลืมไปเลยว่าหลานคนนี้ชอบของหวานนักล่ะ” พิมพรรณ