“คุกเข่า!”
ทหารที่จับตัวของสองพ่อลูก เตะเข้าที่ข้อพับของชายชรา จนเขาล้มลงเข่ากระแทกกับพื้น เกาจ้านเจ็บร้าวไปทั้งขา ก่อนจะเงยหน้ามองไปที่สามีคนใหม่ของอดีตภรรยา
“สตรีผู้นั้นอยู่ที่ใด กล้าที่จะกำแหงต่อครอบครัวข้า ก็ต้องกล้าที่ออกมารับโทษทัณฑ์”
“โบยมันให้ตายเลยขอรับท่านพ่อ”
เจียงหลุนรีบเติมเชื้อไฟ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครที่จะหักหน้าเขาเช่นวันนี้มาก่อน
“โบยมันสองพ่อลูก จนกว่าจะบอกว่าสตรีผู้นั้นอยู่ที่ใด”
“ลองโบยดูสิ!”
เสียงกร้าวดังขึ้นจากประตูบ้าน ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของรองแม่ทัพจะก้าวออกมา โดยมีเหล่านายกองติดตามมามิห่าง ทั้งหมดมีใบหน้าทะมึนตึงไม่แพ้กันกับรองแม่ทัพ ที่สำคัญไปกว่านั้นชุดที่ชายหนุ่มทั้งหมดสวมอยู่นั้น บ่งบอกถึงตัวตนว่าเป็นใคร
ท่านเจ้าเมืองถึงกับหายใจติดขัด เมื่อเห็นลวดลายที่ปักบนแขนเสื้อของพวกเขา มีเพียงแค่สังกัดเดียวเท่านั้น ที่ปักลวดลายนี้ไว้บนแขนเสื้อ
“ทหารจากแดนเหนือ”
“รู้จักด้วยรึ! อยากพบสตรีผู้นั้นมากใช่หรือไม่ท่านเจ้าเมือง เช่นนั้นรอสักครู่ประเดี๋ยวนางก็มา และข้าหวังว่าท่านและครอบครัว จะคิดหาคำแก้ตัวที่น่าฟัง นอกจากคำว่า...”
“มิได้ตั้งใจ!”
เสียงเย็นเยียบจากด้านหลัง ทำให้ท่านเจ้าเมืองถึงกับเย็นสันหลังวาบเลยทีเดียว มีใครบ้างไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพหญิงจากแดนเหนือนั้นเลือดเย็นเพียงใด แล้วสาสน์ที่เขาได้รับมันคืออะไรกัน ไหนบอกว่าท่านแม่ทัพจากแดนเหนือยังมาไม่ถึง
“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยเพียงทำตามหน้าที่เท่านั้นขอรับ”
ท่านเจ้าเมืองรีบค้อมกายประสานให้แก่หญิงสาว ที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ด้วยแววตาเรียบนิ่ง สองแม่ลูกสกุลเจียงถึงกับใบหน้าซีดเผือด ด้วยไม่คิดว่าคนที่พวกตนหมายเด็ดหัว จะกลายเป็นคนที่มาเด็ดหัวพวกตนแทน
“เป็นเจ้าเมืองนับว่ามีอำนาจสุดในเมือง แต่นั่นมิได้หมายความว่าจะทำสิ่งใดตามอำเภอใจได้ บุตรชายและภรรยาทำผิด ยังอาจหาญมาทำร้ายชาวเมืองอย่างอุกอาจ หรือท่านคิดว่าโบยคนตรงนี้ แล้วจะประกาศถึงอำนาจที่ล้นมืออย่างนั้นสินะ!”
“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้นแม้แต่น้อยขอรับ”
“บิดาข้าเป็นท่านเจ้าเมือง อำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ที่บิดาข้า เป็นแค่แม่ทัพบ้านนอกกล้าดียังไงมาอวดเบ่งอยู่ตรงนี้!”
คำพูดอย่างคนที่ไม่รู้ลำดับฐานะในราชสำนัก ดังขึ้นจากด้านหลังของชาวเมืองที่มามุงดูเหตุการณ์ เรียกเสียงอื้ออึงขึ้นในทันที และนั่นก็คือคมดาบที่บุตรสาวสุดที่รักยื่นมาวางทาบบนคอของบิดาโดยแท้
“นางมิได้เรียนหนังสือหรืออย่างไร อ่อ...ข้าลืมไป เป็นบุตรสาวเจ้าเมืองไม่ต้องเรียน เพราะทุกคำคือสิทธิ์อันชอบธรรมสินะ!”
“รู้ดีนี่!”
หญิงสาวผู้มาใหม่ก้าวมายืนเคียงข้างบิดา ใบหน้าแสนธรรมดานั้นเชิดขึ้นสูง ต่างจากพ่อแม่และพี่ชาย ที่ตอนนี้แทบสิ้นสติเสียให้ได้ เจียงฮูหยินพยายามกระตุกแขนเสื้อบุตรสาว เพื่อให้หยุดพูดแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“ลี่เอ๋อร์เงียบปากเจ้าเดี๋ยวนี้”
“ท่านพ่อจะกลัวอะไรกันเจ้าคะ ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ท่านพ่อมีอำนาจมากที่สุดอยู่แล้ว สั่งโบยพวกมันเสียให้หลาบจำ”
ท่านเจ้าเมืองลดสายตาลงมองมีดสั้น ซึ่งเหน็บอยู่ที่เอวของแม่ทัพสาว พร้อมกลืนน้ำลายหนืด ๆ ลงคอ ดาบสั้นนั้นคือตัวแทนของฮ่องเต้ ต่อให้เป็นเชื้อพระวงศ์ ยังไม่อาจเหิมเกริมต่อคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าตอนนี้ได้เลย
“โบยพวกเขาจนกว่าข้าจะมีคำสั่งให้หยุด เห็นเรียกร้องกันเหลือเกินกับการโบย”
“ท่านแม่ทัพโปรดอภัยให้ความมิรู้ของบุตรสาวข้าด้วยเถิด ข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายสองคนนี้เลยนะขอรับ”
“รองแม่ทัพเจา ลำบากเจ้าแล้ว”
“ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ ข้าจะเบามือให้มากขอรับ”
ท่านเจ้าเมืองถึงกับเข่าทรุด เมื่อได้ยินคำพูดของแม่ทัพสาวและรองแม่ทัพ แค่ตำแหน่งแม่ทัพเขาก็ยากจะต่อกรแล้ว นี่ยังจะพกมีดสั้นพระราชทาน ที่ฮ่องเต้ทรงประกาศให้เป็นตัวแทนของพระองค์อีกเล่า
“ท่านพ่อ ไยไม่ทำอันใดเลยเล่าเจ้าคะ”
“หุบปาก! เพราะเจ้าแท้ ๆ ที่ทำให้เราทุกคนต้องตกที่นั่งลำบาก ไม่รู้แล้วยังอวดฉลาดอีก!”
ท่านเจ้าเมืองด่าทอบุตรสาวอย่างเหลืออด เพราะเขาคิดว่ามีนายใหญ่คอยส่งเสริม จึงไม่คิดเผื่อถึงอำนาจที่เหนือกว่า สุดท้ายแล้วเขาก็พบเข้ากับคนผู้นั้นจนได้
หยวนไป่หลิงก้าวไปนั่งลงที่เก้าอี้ ซึ่งหนึ่งในผู้ติดตามได้ยกออกมาวางหน้าประตู โดยไม่ลืมโต๊ะน้ำชา เพื่อให้ผู้เป็นนายไม่เหงาในช่วงเวลาที่คนจวนเจ้าเมืองถูกลงทัณฑ์
ส่วนมู่อิงได้พาผู้เป็นลุงกลับเข้าบ้าน ยกเว้นเกาชุนหลางที่แม่ทัพสาวให้มานั่งอีกด้านของโต๊ะน้ำชา เพื่อมองสิ่งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งชายหนุ่มยังเรียกสติตนเองจากความจริง ที่เพิ่งรู้พร้อมกับทุกคนไม่ได้
“ตำแหน่งของข้ากับทุกคน คืองานและหน้าที่ ส่วนคำว่าพี่น้องนั่นคือครอบครัว”
แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบช้า นางไม่ได้อยากให้เกาชุนหลางรู้สึกสาแก่ใจที่มารดาถูกโบย แต่อยากให้เขามองถึงโทษของคนที่คิดอะไรน้อยเกินไป ทั้งยังให้ปากเป็นนายสมองเป็นพยาธิในอาจม
“หลางเอ๋อร์ เจ้าจะใจร้ายปล่อยให้พวกเขาทุบตีแม่ไม่ได้นะ”
เจียงฮูหยินพยายามดิ้นรนให้หลุดจากมือของทหาร เพื่อเข้าหาบุตรชายที่นั่งอยู่กับแม่ทัพหญิง ทว่าสายตาของชายหนุ่มกลับเย็นชาเสียอย่างนั้น เมื่อได้ยินคำว่ามารดาจากปากของคนที่เขาเคยรัก
ชายหนุ่มถอดหน้ากากอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้า ซึ่งเป็นเสมือนตราประทับของคำว่ามารดา ที่มอบแก่บุตรชายเยี่ยงเขาเมื่อนานมาแล้ว
“บุตรชายของฮูหยินเช่นนั้นรึ! เขายังไม่ตายอีกหรือ ท่านแม่ทัพหากข้าเกาชุนหลาง อยากร้องขอความเป็นธรรมให้ตนเองจะยังได้อยู่หรือไม่ขอรับ”
“ย่อมได้!”
“บาดแผลบนใบหน้าของข้า หาได้เกิดเพราะความคะนองเยี่ยงบุรุษ ทว่ามันเกิดจากฝีมือของคนที่เรียกตนเองว่ามารดา ที่ยินยอมให้สามีของนางกระทำต่อข้าราวสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น วันนี้ข้าเกาชุนหลางจะร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรม ต่อหน้าชาวเมือง”
“ข้าในฐานะตัวแทนฮ่องเต้ รับคำร้องนี้”
คำตอบรับของแม่ทัพสาว ราวสายฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะของครอบครัวท่านเจ้าเมือง ในอดีตก่อนที่เขาจะเลื่อนตำแหน่ง ได้ทำทุกทางช่วงชิงภรรยาผู้อื่นมา ทั้งยังตั้งใจกำจัดสายเลือดของนางให้พ้นสายตา วันนี้คนทั้งคู่กลับมาพร้อมนำความแค้นมาทวงคืนต่อเขา “ใต้เท้าเจียงมีสิ่งใดอยากจะแก้ต่างหรือไม่” “ข้าไม่ได้ทำ! มันเพราะความมิรู้พอของนางต่างหาก” “ความผิดจะโยนไปมาเพื่อสิ่งใดกัน ไหน ๆ ข้าก็เลือกตัดสินท่านตรงนี้แล้ว ก็ทำเสียให้เสร็จสิ้นในทุกเรื่อง ส่วนเจียงฮูหยินรู้สึกเช่นไรบ้าง ผิดหวังมากกว่าเดิมอย่างที่ข้าเคยบอกหรือไม่” “ท่านแม่ทัพ ได้โปรดเมตตาด้วยเจ้าค่ะ ข้ากับลูกมิรู้เห็นในสิ่งที่สามีของข้าทำจริง ๆ นะเจ้าคะ” “หึ ๆ เรื่องของสามีเจ้าอาจไม่รู้เห็น หรืออาจร่วมมือ ข้าย่อมไม่อาจรู้เห็นภายในใจของเจ้าได้ แต่เรื่องที่กระทำต่อเกาชุนหลางข้าย่อมยากปล่อยผ่าน หากบาดแผลนี้อยู่บนใบหน้าของเจ้าหรือใครสักคนที่อยู่ตรงนี้ ตอบข้าได้หรือไม่ว่ายินดีมีมันไหม” ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเกาชุนหลาง รอยแผลเป็นนั้นยากนักที่ใครจะทำใจมองมันได้นาน เจียงฮูหยินทำได้เพ
บ้านพักตากอากาศตระกูลกวง เซี่ยงไฮ เท้าเปล่าเปลือยค่อย ๆ เดินตรงไปที่ห้องนั่งเล่นส่วนตัวของเธอ ในมือถือตะกร้าผลไม้ตามฤดู ที่พ่อแม่ของเธอปลูกไว้กิน และแจกจ่ายให้ครอบครัวคนดูแล มันกำลังสุกเต็มต้น เธอจึงตั้งใจที่จะเก็บมาให้คู่หมั้นและญาติผู้พี่ได้ลิ้มลอง คุณหมอคนสวยหยุดนิ่งราวรูปปั้น มือที่จับลูกบิดประตูสั่นระริก ภาพด้านในมันยิ่งกว่าฟ้าผ่าลงมากลางแสกหน้า เสียงเพลงเบา ๆ และจูบอันเร้าร้อนของคนด้านใน ทำให้ไม่รู้ถึงการมาของเจ้าของบ้าน หญิงสาวกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่น้ำตาที่กำลังเอ่อคลอบดบังภาพเบื้องหน้า เธอตั้งใจจะเซอร์ไพรส์คนรัก ด้วยการตอบตกลงที่จะแต่งงาน หลังจากหมั้นหมายมากว่าหนึ่งปี เธอพร้อมที่จะลาออกจากโรงพยาบาลของกองทัพ มาทำงานในโรงพยาบาลเอกชนตามคำขอของเขา เท้าเปล่าเปลือยขยับถอยออกจากตรงนั้น เพื่อปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ นี่ใช่ไหม! ความรู้สึกของคนถูกหักหลัง มันรุนแรงจนเจียนตายได้อย่างที่หลายคนเคยบอกเธอ ความพร้อมทุกอย่างในชีวิตมันไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างต้องแลกด้วยการเสียบางอย่าง เหมือนที่พ่อแม่ของเธอมักพูดเสมอ หากมีรักที่ดีเราอาจไร้มิ
หญิงสาวเลือกที่จะโกหกบิดา เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม สำหรับเรื่องที่เธอกำลังตัดสินใจทำ แน่นอนว่าการแต่งงานจะไม่เกิดขึ้น และญาติของเธอก็ต้องรับผิดชอบต่อความรู้สึกนี้ของเธอ โดยการอยู่อย่างผู้หักหลังไปชั่วชีวิตการพูดคุยของเจ้าสัวกวงกับว่าที่ลูกเขย เป็นไปอย่างครื้นเครง ก่อนที่จะมีเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ ตูม! ร่างของทั้งสามร่วงลงลงน้ำ เมื่ออยู่ ๆ มันเกินโคลงจนทำให้พลิกคว่ำหมับ! ในจังหวะที่กวงฮุ่ยผิงจะพุ่งตัวขึ้นเหนือน้ำ ข้อเท้าของเธอถูกรวบจับเอาไว้ ก่อนตัวเธอจะดิ่งลงใต้พื้นน้ำอย่างรวดเร็ว หญิงสาวพยายามลืมตาในน้ำ สิ่งที่เห็นตรงหน้าตอนนี้คือร่างกำยำของคนรักหญิงสาวพยายามดิ้นรนให้รอดจากเงื้อมือของเขา ทว่ามันไม่เป็นแบบนั้น ปึก! หญิงสาวเจ็บราวไปทั้งศีรษะ เส้นผมของเธอถูกรวบเอาไว้แน่นก่อนที่เขาจะออกแรง เอาหัวเธอกระแทกเข้ากับหินใต้น้ำอยู่หลายครั้ง รอยยิ้มเหี้ยมเกรี้ยมคือภาพสุดท้ายที่เธอเห็น แน่นอนว่าสติสุดท้ายมันเลือนรางจนมืดมิดไปในที่สุดชานหลางปล่อยให้ร่างของคนรักจมอยู่เพียงลำพัง โดยที่ตัวเขาลอยออกห่างไปอีกด้าน ก่อนจะโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำด้วยสีหน้าแตกตื่น พร้อมทั้งหันรีหันขวาง เพื่อหาคู่หมั้นที
“ใช่ข้าเห็นด้วย เจ้าสมควรแก่วัยที่จะออกเรือนได้แล้ว อีกอย่างนิสัยร้ายกาจเช่นเจ้า สตรีใดจะคู่ควรกับเจ้าเท่าท่านแม่ทัพหยวน ทั้งแผ่นดินหาไม่ได้แล้วจริง ๆ” เมื่อบุตรชายติดกับของเขาแล้ว น้ำเสียงและสีหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนเป็นเริงร่า ใจจริงเขาไม่อยากให้มีการแต่งงานที่มิได้เกิดจากความรัก แต่หากปล่อยโอกาสนี้ไป เขาไม่รู้ว่าอีกสักกี่ปี บุตรชายจะแต่งงานเสียที เขาแก่ชราลงทุกวันอยากเห็นหน้าหลานก่อนตาย “ตรงไหนที่เรียกว่าร้ายกาจขอรับ” “ทุกตรงในสายตาของข้า” การตอบโต้ของสองพ่อลูก ทำให้คนที่ร่วมรับฟังได้แต่ส่ายหัวอย่างระอา ทว่าด้านนอกห้องนั้นนับเป็นข่าวสำคัญ ที่ต้องนำไปส่งให้แก่ผู้เป็นนาย ซึ่งทำให้พ่อลูกคลี่ยิ้มพอใจ กับสิ่งที่พวกเขาจงใจเปิดเผยเพราะสมรสพระราชทานในครั้งนี้ ยังไม่ได้ประกาศออกไปอย่างเป็นทางการ จะมีเพียงครอบครัวว่าที่บ่าวสาวเท่านั้นที่รับรู้ ฉะนั้นนับว่าเป็นข่าวสารสำคัญสำหรับหลายฝ่าย “ท่านพี่จะรับนางมาพักที่จวนหรือไม่เจ้าคะ” กั๋วฮูหยินเอ่ยถามสามี ซึ่งนางเองก็อยากให้เป็นเช่นนั้นอยู่มาก เพราะอย่างน้อยก็จะได้
“ก่อนออกเดินทาง เราค่อยจ้างคนมาคอยดูแล และปลูกดอกไม้ให้แก่แม่ของเจ้า” “ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ” “พวกท่านเป็นใครกัน” เสียงของชายชราจากด้านหลัง ทำให้สองนายบ่าวหันกลับไปมองอย่างใจเย็น “ข้ากับน้องสาวมาเคารพญาติ” “นางไร้ญาติมานานแล้ว นับตั้งแต่บุตรสาวของนางถูกขายไปเป็นทาสให้แก่พวกวาณิช” น้ำเสียงติดกรุ่นโกรธของชายชรา ทำให้คิ้วเข้มของสองนายบ่าวขมวดเป็นปม ก่อนที่มู่อิงจะดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น คนที่นางคิดว่าตายไปแล้ว วันนี้กลับมาปรากฏต่อหน้านางราวชะตานำพายิ่งนัก “ท่านลุง” มู่อิงเรียกชายชราผู้เป็นพี่ชายของมารดา ซึ่งก็คือญาติฝั่งมารดาเพียงคนเดียวที่นางเหลืออยู่ “เจ้าคือ!” “ข้า...” หญิงสาวหันไปสบตากับผู้เป็นนาย เพื่อขอความเห็นว่านางควรเปิดเผยตัวหรือไม่ ด้วยตำแหน่งของผู้เป็นนายในตอนนี้ ใช่ว่าจะป่าวประกาศได้อย่างสะดวกนัก ด้วยอันตรายมีอยู่รอบด้านและนางก็คือคนที่ศัตรูของท่านแม่ทัพรู้จักเป็นอย่างดี ในฐานะมือซ้ายที่เคียงข้างมิห่างกาย แม่ทัพสาวพยักหน้า
“น่ะ...นี่มัน!” ชายชราชี้นิ้วไปยังรถม้าที่จอดอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะหันมองหลานสาวที่ยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ “ไปกันเถอะ” แม่ทัพสาวภายมือให้แก่ชายชราและบุตรชายของเขา มู่อิงส่งให้ผู้เป็นลุงขึ้นรถม้า โดยให้น้องชายตามขึ้นไป หญิงสาวขยับไปยืนด้านข้าง เพื่อให้ผู้เป็นนายขึ้นรถม้าได้สะดวก“เจ้าขึ้นไปนั่งกับพวกเขาเถอะ ข้าอยากชมทิวทัศน์ข้างนอกสักหน่อย”“ทะ...เจ้าค่ะ”มู่อิงตั้งใจจะทักท้วง ก่อนจะเห็นสายตาห้ามปรามของผู้เป็นนาย หญิงสาวทำเพียงรับคำ ก่อนจะก้าวขึ้นบนรถม้า ส่วนแม่ทัพสาวนั่งเคียงข้างคนขับรถม้าในเมื่อแมลงกวนใจอยากรู้เห็น นางก็จะนั่งให้เห็นชัดตาเสียเลยแล้วกัน ฮ่องเต้ทรงเมตตานัก เรียกนางมารับสามีไม่พอ ยังให้ทำความสะอาดระหว่างเส้นทางอีกด้วยและที่นี่ก็คืออีกหนึ่งเมือง ที่นางต้องเก็บกวาดขยะให้สิ้น ก่อนการใหญ่จะเกิดขึ้น ซึ่งมันจำเป็นต้องไร้มดแลงใด ๆ ไปไต่ตอมให้รำคาญใจผู้เป็นนายเหนือหัวของนางสกุลเกา ร่างอันสั่นเทาก้าวลงจากรถม้า ก่อนจะมองไปยังป้ายเหนอประตู ‘สกุลเกา’ มันถูกทำขึ้นมาใหม่อย่างวิจิตร ชายชราหันไปมองหลานสาว“เจ้าทำได้อย่างไร”“นายหญ
อาหารชั้นดีพร้อมสุรารสแรง ถูกจัดเตรียมมาอย่างล้นเหลือ ลานกว้างเต็มไปด้วยแสงสว่างจากคบไฟ และเตาถ่านขนาดใหญ่ ที่มีหมูตัวใหญ่ถูกย่างส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายไหลรองแม่ทัพและทหารติดตาม ต่างพากันนั่งรอผู้เป็นนายและเจ้าของบ้านกันอย่างพร้อมเพรียง งานเลี้ยงในคืนนี้จัดขึ้นเพื่อมู่อิง น้องสาวที่แกร่งเยี่ยงบุรุษ“ชุนหลาง! มานี่เร็วเข้า”รองแม่ทัพเจากวักมือเรียกชายหนุ่ม เกาชุนหลางในชุดผ้าไหมเนื้อดี ผมที่ถูกรวบจนเรียบร้อย ทำให้มีความหล่อเหลายิ่งนัก แม้จะมีบาดแผลบนใบหน้า ก็ไม่อาจกลบความรูปงามนั้นได้เลย“นายท่าน...”“นายท่านอะไรกัน เรียกข้าพี่ชายเจา และทุกคนที่นี่คือพี่เจ้าทั้งหมด ทำหลังให้เหยียดตรงหน่อย จะกลัวอะไร หืม!”“ขอรับท่านพี่เจา”เกาชุนหลางเหยียดหลังให้ตรง แม้ว่าจะยังกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่บ้าง เขาถูกกดให้ต่ำมาทั้งชีวิต วันนี้ได้สวมเสื้อผ้าราคาแพง ทั้งยังมีบ่าวรับใช้ช่วยทำผมแต่งกาย มันเหมือนความฝันยิ่งนักเขาจำได้ว่าตอนที่กลับมายังเมืองนี้ใหม่ ๆ ได้ไปแอบดูมารดาที่บ้านสามีใหม่ของนาง น้อง ๆ ต่างบิดา ล้วนดูดีจนเขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองมารดา“จำไว้นะชุนหลาง นับจากนี้เจ้าคือคุณชายเกา และจงจำไว้ว่าต่อให
“มู่อิง!”ชายสูงวัยที่ยืนอยู่ถนนหน้าบ้าน เรียกมู่อิงราวคนคุ้นเคย แต่จากสายตาที่มองแล้ว ชายผู้นั้นไม่รู้ว่าใครกันแน่คือมู่อิง เพราะเสื้อผ้าที่สองนายบ่าวสวม ล้วนเป็นไหมชั้นดี ซึ่งไม่มีบ่าวบ้านใดได้สวมเสื้อผ้าเช่นนี้ จึงไม่อาจบอกได้ว่าคนไหนคือมู่อิง“ท่านเป็นใคร มาที่บ้านข้าด้วยเรื่องใด”แม่ทัพสาวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ต่างจากสายตาที่ทอดมองคนทั้งหมดด้านล่าง“ข้าเป็นบิดาของ....”ชายสูงวัยลังเลอยู่มาก ด้วยไม่แน่ใจว่าคนไหนคือบุตรสาวของตนเอง เพราะไม่สามารถแยกได้จากเสื้อผ้า หรือท่าทางของหญิงสาวทั้งสอง เพราะมันแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง“ท่านจะบอกว่าเป็นบิดาของมู่อิงสินะ!”“ใช่!”“แล้วอย่างไร!”“บิดามาพบลูกต้องอย่างไร! มีข้อห้ามหรือ”“ย่อมไม่มี แต่นางคือคนของสกุลหยวน ฉะนั้นถ้าข้าไม่อนุญาตใครก็ไม่อาจพบนางได้ตามอำเภอใจ”“นางเป็นลูกข้า จะเป็นคนของสกุลอื่นได้อย่างไร”“ลืมอะไรไปหรือไม่! ท่านขายนางไปแล้ว”“นางเป็นอิสระแล้วมิใช่รึ!”“ใครบอกเจ้ากันว่านางเป็นอิสระ”“บ้านหลังนี้ไงเป็นสิ่งยืนยัน”“ยังไง!”“นางซื้อบ้านหลังใหญ่ได้ แสดงว่านางมีเงินไถ่ตัวเองออกมาได้แล้ว นางย่อมเป็นอิสระ”“อ่านนิยายมากไปร