หยวนไป่หลินอ่านความรู้สึกของว่าที่พี่เขยออก เขายึดมั่นว่าต้องแต่งกับคนที่ช่วยพ่อแม่ของเขา จนเกิดความสับสนในใจ นางเคยผ่านการมีรัก ย่อมมองออกว่าแม่ทัพจ้าว กำลังอยากสานสัมพันธ์อันดีต่อพี่สาวของนาง
“ข้าขออภัย ที่คิดเช่นนั้น”
แม่ทัพหนุ่มไม่คิดที่จะปฏิเสธในสิ่งที่หยวนไป่หลินพูด เขาเองก็สับสนว่าทำไมต้องใส่ใจเรื่องเล็กน้อยนี้ด้วย เพราะเขาตั้งใจแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับหยวนไป่หลิง
“ข้ามิอาจถือสาความคิดของท่านแม่ทัพได้ แต่ข้าอยากให้ท่านแม่ทัพถามใจตนเองให้ดี ก่อนจะตัดสินใจอะไรไป เพราะหนึ่งคำพูดอาจทำให้บางความรู้สึกขาดสะบั้นลง ชนิดที่ไม่สามารถสมานคืนได้เลย”
“ข้ารู้แล้ว”
“ท่านแม่ทัพกับพี่ใหญ่ โชคดีกว่าข้านัก ที่ยังได้ชิดใกล้กันก่อนตัดสิ้นใจว่าภายหน้าจะร่วมเดิน หรือแยกกันเดินคนละเส้นทาง แต่ข้าที่นั่งในตำแหน่งเท่าเทียมท่าน หาได้มีโอกาสเช่นนั้นไม่”
แม่ทัพหนุ่มเหลียวมองหยวนไป่หลินอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มเนือย ๆ ให้หญิงสาว เขาอยากบอกนางยิ่งนัก ว่าคงมีเพียงเขาที่จับตาดูพี่สาวของนาง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น หยวนไป่หลิงไม่แม้แต่จะสนทนากับเขาเยี่ยงคนที่กำลังจะแต่งงานกันเสียด้วยซ้ำ
“ข้า...ขอบใจเจ้ามาก ทุกคนไปพักเถอะ นางตื่นแล้วข้าจะป้อนน้ำแกงให้นางเอง”
แม่ทัพหนุ่มเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงเรื่องของเขากับคนเจ็บ แต่เสนอตัวดูแลนางแทนทุกคน ก่อนจะลุกไปนั่งข้างเตียง พร้อมเอนกายพิงพนักเก้าอี้ แล้วหลับตาลงเพื่อข่มความรู้สึกว้าวุ่นภายในให้สงบ
หลังจากมั่นใจแล้วว่าผู้เป็นพี่ปลอดภัย แม่ทัพสาวได้มุ่งกลับจวนไปในทันที สิ่งที่นางต้องการรู้คือใครที่อาจหาญลงมือในครั้ง ต่อให้เป็นการหยั่งเชิงนางก็ไม่อภัยให้มิว่าด้วยข้ออ้างใดก็ตามแต่
“เรียบร้อยดีไหม!”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ ท่านพ่อบ้านกำลังทำความสะอาดอยู่เจ้าค่ะ”
“จับตาดูนับจากนี้ คนของพวกมันหายไป ย่อมต้องดิ้นราวถูกไฟลนเลยทีเดียว”
“ท่านแม่ทัพจะพักก่อนไหมเจ้าคะ พรุ่งนี้มีประชุมขุนนางแต่เช้านะเจ้าคะ”
“เตรียมชุดกับน้ำไว้ให้ข้าก็พอ ตอนเช้าข้าจัดการเองได้ เจ้าพักผ่อนให้มากหน่อย”
แม่ทัพสาวเอ่ยกับคนสนิท นางรู้ว่ามู่อิงได้รับบาดเจ็บ แม้ไม่สาหัสเท่าใดนัก ทว่ามันก็ส่งผลต่อภายหน้าได้ และด้วยนิสัยของมู่อิง หากไม่สาหัสจะไม่มีวันปริปากบอกนางแม้แต่คำเดียว
“เจ้าค่ะ”
มู่อิงรับคำอย่างว่าง่าย เพราะรู้นิสัยของผู้เป็นนายดีว่าหากออกคำสั่งแล้ว ถ้านางยังรั้นที่จะทำหน้าที่ต่อ มิพ้นต้องถูกวางยาโดยไม่รู้ตัว เพื่อให้นางหยุดมือจากงานต่าง ๆ
แม่ทัพสาวก้าวตรงไปที่เตียงนอน ก่อนจะทิ้งกายลงนอนโดยไม่แม้แต่จะถอดรองเท้า หรือผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า นางคือทหารจะมาพิถีพิถันกับเรื่องเล็กน้อยนี้ไม่ได้ และอีกไม่ถึงสองชั่วยามก็เช้าแล้ว นางจะมัวแช่น้ำอุ่นอยู่ไม่ได้ มันคือการไม่ถนอมเวลาสำหรับพักผ่อน ซึ่งมีอยู่น้อยนิดนัก
ดวงตาที่ดุกร้าวอยู่แทบตลอดเวลาปิดลงอย่างรวดเร็ว และเพียงแค่เสี้ยวนาที เสียงลมหายใจของคนบนเตียงก็สม่ำเสมอ การหลับหรือตื่นของคนในกองทัพล้วนหลับง่ายตื่นไว จะไม่มีคำว่างัวเงียเช่นคนทั่วไป ที่มีเวลากลิ้งบนเตียงสักสิบรอบค่อยลุกก็ย่อมได้
ก๊อก! เสียงเคาะดังขึ้นเป็นจังหวะ บอกให้คนที่ลืมตาโพลงขึ้นรู้ว่าเวลานี้ นางต้องเตรียมตัวสำหรับเข้าวังแล้วนั่นเอง พ่อบ้านของนางช่างไม่ยอมชราตามวัยเลยจริง ๆ
เมื่อคืนนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาได้นอนบ้างไหม หญิงสาวลุกขึ้นก้าวไปยังห้องอาบน้ำที่เชื่อมกับห้องนอน ก่อนจะกวักน้ำเย็นเยียบขึ้นมาล้างหน้า ก่อนจะรีบถอดเสื้อผ้าออก ก้าวลงไปในอ่างน้ำใบใหญ่ ที่มีดอกเหมยกุ้ยลอยอยู่เต็ม
ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย ทัพสาวออกจากจวนไป โดยมีพ่อบ้านติดตามไปแทนสาวใช้ การประชุมขุนนางจะว่าตึงเครียดก็ไม่เสียทีเดียว คงมีขุนนางบางคนเท่านั้น ที่เพียรพยายามเล่นงานนางและว่าที่พี่เขยอยู่เนือง ๆ
กำหนดการแต่งงานของนางถูกแจ้งมาแล้ว และที่น่าเจ็บใจคงเป็นการกลั่นแกล้งของใครบางคน ที่มีคำสั่งให้พี่สาวของนาง ติดตามท่านแม่ทัพจ้าวลู่เชียนไปยังชายแดนตะวันออก เพื่อรอรับท่านอ๋องจากเว่ย และองค์รัชทายาทจากฉู่ ที่จะมาร่วมงานอภิเษกสมรสขององค์ชายเจ็ด กับบุตรสาวของท่านราชครูหลงชาง
“ท่านแม่ทัพ อยากให้ข้าช่วยอันใดหรือไม่”
ท่านมหาอำมาตย์จ้าวเอ่ยถามแม่ทัพสาว ที่มีใบหน้าเรียบตึงกว่าเดิมหลายเท่า
“เดินตามหมากไปเจ้าค่ะ เรื่องเล็กน้อยนักหากเทียบกับสิ่งที่จะเกิดในภายหน้า”
“ขอบใจเจ้ามากนะ” ท่านมหาอำมาตย์เอ่ยด้วยความซึ้งใจ
แม่ทัพสาวคลี่ยิ้ม ก่อนที่ทั้งสองจะเงียบเสียงไป เมื่อมีขุนนางอื่น ๆ เดินออกมาสมทบ รวมถึงว่าที่พ่อสามีและว่าที่พี่เขยของนางด้วย หญิงสาวเดินไปยืนเคียงข้างท่านมหาเสนาบดีกั๋ว
เมื่อท่านเจ้ากรมกู้ได้เดินเข้ามาเพื่อสนทนาด้วย แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนจ้าว ย่อมต้องมีคนอยู่เบื้องหลัง และดูเหมือนว่ายังไม่ทันที่ฮ้าวเฉินจะกลับมารายงาน ก็มีคนร้อนตัวให้เห็นต่อหน้าแล้วหนึ่ง
ถึงจะเป็นเพียงเบี้ยในกระดาน ก็ถือว่าเป็นตัวเชื่อมโยงไปถึงคนอยู่เบื้องหลังได้ แม่ทัพสาวยกยิ้มน้อย ๆ พร้อมหันสบตากับท่านมหาเสนาบดี เมื่อท่านเจ้ากรมเอ่ยเชิญไปร่วมงานเลี้ยงที่จวน
แม่ทัพสาวค้อมหัวเล็กน้อย เมื่อว่าที่พี่เขยส่งสายตาขอความคิดเห็น เรื่องพี่สาวของนางที่ถูกเชื้อเชิญ ให้ไปร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย แน่นอนว่าอาการบาดเจ็บยังไม่หายดีได้ในชั่วข้ามคืน แต่ก็พอที่จะแสดงละครตบตาศัตรูได้อยู่บ้าง
“เช่นนั้นคืนนี้ ข้าให้เชียวหลางไปรับเจ้าที่จวนนะ”
“เจ้าค่ะ”
แม่ทัพสาวรับคำท่านมหาเสนาบดี ก่อนจะพากันเดินออกจากวังหลวง เพื่อกลับไปยังจวนของตนเอง แม่ทัพสาวก้าวขึ้นรถม้า โดยมีฮ้าวเฉินนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ได้เรื่องว่าอย่างไร”
“เป็นคนหลังกำแพง แต่คนออกหน้าคือขุนนางที่ยืนข้างฝ่ายนั้นขอรับ”
“พี่น้องคู่นั้นสินะ!”
นักล่าตัวจริงมักซุ่มรอเหยื่ออ่อนแรง และลงมือโดยไม่ต้องสูญเสียพลังงานร่างกายมากมายอันใด เอาเป็นว่านางจะสนองให้อย่างครบครัน โดยที่เขาไม่ต้องลงแรงเพราะจะไร้แรงเดินไปเลยทีเดียว
“ให้คนของเราลงมือไหมขอรับ”
“ไม่ต้อง! ปล่อยให้มันระวังตัวขึ้นอีกสักหน่อย ความระแวงของพวกเขาจะทำให้เราทำงานง่ายขึ้น” “ขอรับ” “อีกเจ็ดวันพี่ใหญ่ต้องออกเดินทางไปชายแดนตะวันออก เจ้าติดตามนางไป ทางนี้ข้ามีคนอยู่มาก สัญญากับข้าว่าจะพานางกลับมาอย่างปลอดภัย” “ฮ้าวเฉินจะไม่ทำให้นายหญิงน้อยผิดหวังขอรับ” “ข้ารู้นิสัยนางและพวกเจ้าทุกคนดี อย่าลงมือเกินกำลัง เบื้องหน้าพวกเจ้าจัดการได้ ในเงามืดให้เหล่าวิหกจัดการไป” “ทราบแล้วขอรับ” เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามค่ำคืน แม่ทัพสาวจึงได้ออกไปร่วมงานเลี้ยงที่สกุลกู้ พร้อมกับว่าที่สามี ทำให้คนที่ซุ่มจับตาดูพี่น้องสกุลหยวน ไม่อาจเดาทิศทางของทั้งคู่ได้เลย “ขอโทษที่ข้าทำให้ท่านล่าช้า”แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นด้วยรู้สึกเห็นใจ ที่กั๋วเชียวหลางต้องมาเสียเวลารอนางอยู่นานพอสมควร “แบบนี้ดีแล้ว เราจะได้รีบกลับ”กั๋วเชียวหลางรู้สึกเช่นนั้นจริง เขาเบื่อหน่ายงานเลี้ยงเป็นที่สุด ยิ่งรู้ว่าศัตรูเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เขา ทั้งยังอุตส่าห์ส่งหญิงงามมา หมายจะให้พัวพันชีวิตเขา จนการแต่งงานมีเรื่องสั่นคลอน หมากบางตัว
“เจ้ารู้ใช่ไหม! ว่าข้ามิอาจลงมือทำอันใดได้ในตอนนี้” “หน้าที่ของท่านคือสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ตกปลาไม่มีเหยื่อชั้นดีล่อ มีหรือปลาจะติดเบ็ดเรา” แม่ทัพสาวขยับกายเตรียมที่จะลงจากรถม้า ทว่ามือหนาของชายหนุ่มยังคงรั้งไว้ ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่แม่ทัพสาวจะถอนหายใจหนัก ๆ อย่างจำยอม “ท่านจะเอายังไง!” “ข้าไปด้วย” “หากมีใครเห็นท่านเข้า ทุกอย่างจะพังทั้งที่ยังมิลงมือ” “ข้ามิใช่เด็กอมมือ” “ก็ได้!” แม่ทัพสาวเป่าปากสามครั้ง เพื่อเป็นสัญญาณให้คนขับรถม้ารู้ในสิ่งที่ต้องทำ ความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับคบไฟที่อยู่ด้านท้ายรถม้าจะดับลง ก่อนที่ความเร็วของรถม้าจะกลับมาเป็นปกติจวนสกุลชู ท่านเสนาบดีชูรีบเดินตรงไปยังห้องหนังสือ โดยไม่สนใจว่าภรรยานั้นพยายามก้าวตามให้ทันเขา ด้วยสิ่งที่คาใจมันน่ากลัวกว่านั้นหลายเท่านักเพราะถ้าสิ่งที่คิดเป็นจริงขึ้นมา อนาคตของเขาคงต้องแขวนอยู่บนเส้นด้าย จะรอดหรือร่วง ผู้กำหนดจะเป็นคนในความคิดเขาในทันที หาใช่ตัวเขาที่กำหนดมันเช่นตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม
“ส่งคนออกตรวจโดยรอบ ข้ารู้สึกว่ามีคนกำลังซุ่มมองเราอยู่” “ขอรับ” สั่งการเสร็จร่างสูงของจิ้งอ๋องลั่วเจี๋ยได้เดินจากไปในทันที จะเป็นใครเขาก็ไม่สนใจแล้วในเวลานี้ เพราะสิ่งที่ต้องทำสำคัญกว่านั้นมากนัก แม่ทัพสาวโน้มใบหน้าไปกระซิบกับชายหนุ่มข้างกาย ก่อนที่ทั้งคู่จะหายไปจากตรงนั้น สองร่างออกมาหยุดยืนอยู่ข้าลำธารด้วยใบหน้าอันตึงเครียด “เจ้าจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี” “ไม่เริ่มจากใครทั้งนั้น เพราะการเคลื่อนไหวของเรา รังแต่จะเพิ่มอันตรายให้แก่สกุลกั๋วและจ้าว” “ข้าเพิ่งเข้าใจว่าทำไมฝ่าบาทถึงเลือกให้เจ้า มารักษาการแทนจ้าวลู่เชียน” “ชั่วคราวเท่านั้น” แก๊ก! เสียงจากด้านในของป่า ทำให้การสนทนาหยุดลง หมับ! ฟึ่บ! แม่ทัพสาวดึงร่างของชายหนุ่มหลบไปพิงอยู่กับหลังต้นไม้ โดยไม่คิดจะหันมองเขาแม้แต่น้อย ทว่าสายตาจับจ้องไปในความมืด จุดที่ทั้งสองอยู่แสงจันทร์ลงมาถึง จึงเป็นเป้ากลางแจ้งกว่าอีกฝ่าย “อย่าให้ใครรู้ตัวตนของท่าน” กั๋วเชียวหลางได้แต่พยักหน้ารับ ให้กับแผ่นหลังเหยียดตรงของหญิงสา
เช้าวันถัดมา ณ วังหลวง ฮ่องเต้ถึงกับใบหน้าซีดเผือด เมื่อม้าเร็วเข้ามาส่งข่าว เหล่าขุนนางที่เข้าร่วมประชุม อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอื้ออึง เมื่อข่าวการตายของแม่ทัพจ้าวและคู่หมั้น ส่วนท่านชายลั่วนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ยากจะบอกได้ว่าจะรอดชีวิตถึงเมืองหลวงหรือไม่ “ทูลฝ่าบาท แม่ทัพจ้าวเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จนทำให้ท่านชายและอาคันตุกะของแคว้นเยี่ยได้รับบาดเจ็บ นับว่ามีใจคิดคดต่อแผ่นดิน” หนึ่งในขุนนางใหญ่กราบทูลแก่ฮ่องเต้ ถ้อยคำที่พูดออกมาทำให้ท่านมหาอำมาตย์ถึงกับใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ “ข้าอยากรอฟังข้อเท็จจริงจากคนที่ร่วมคณะไปด้วย” “จะทรงรอได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคนที่รอดล้วนเป็นคนของสกุลจ้าว” คำพูดของขุนนางผู้นั้นเจาะจงไปที่จ้าวลู่เหลียน ซึ่งมีรายงานว่านางรอดชีวิตกลับมาพร้อมคณะเดินทาง แม้จะบาดเจ็ดจากการต่อสู้ ย่อมเชื่อถืออันใดไม่ได้เพราะพี่น้องต้องเข้าข้างกันอยู่ดี “ท่านกล้าดีเยี่ยงไรมาปรักปรำว่าบุตรชายของข้าคิดคด” “แค่สตรีเพียงคนเดียว ถึงกับประมือกับแขกของบ้านเมือง นี่เขาคิดว่าตนเองเป็นใครกัน”
จวนสกุลชู “ได้ความว่าอย่างไร” “ความเป็นมาของคุณหนูหยวนและท่านแม่ทัพหยวน ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันดีขอรับ แต่มีเรื่องที่ข้าน้อยเพิ่งรู้มา” “เรื่องอะไร” “มารดาของท่านแม่ทัพหยวนจะมาถึงเมืองหลวง ในอีกไม่กี่ชั่วยามขอรับ” “จับตาดูคนของนางให้ดี มารดาของนางคือคำตอบที่ชัดเจน” “ขอรับ” ชูถงขบกรามแน่น เขาใช้เวลากว่าสองเดือนเพื่อหาความเป็นมาของสองพี่น้อง แต่มันเหมือนปริศนาที่ซับซ้อน ได้พบนางด้วยตนเองก็ดี จะได้รู้ไปเลยว่าใช่อดีตภรรยาของเขาหรือไม่ เขาไม่อยากจะเชื่อว่านางจะรอดชีวิตมาได้ ความอดอยากสำหรับสตรีตัวคนเดียว มันเป็นไปได้ยากนักที่จะพาตนเองก้าวมาอยู่เหนือผู้คนได้เช่นนี้ ต้วนอี้เหยาหันไปสบตากับสาวใช้คนสนิท ก่อนที่ทั้งคู่จะจากไป ในเมื่อศัตรูเดินเข้ามาหานางเอง ก็ไม่สมควรให้รอดไปได้ นางไม่สนว่าคนที่กำลังเดินทางมาเมืองหลวง จะใช่สตรีผู้นั้นหรือไม่ คนตายเท่านั้นที่จะไม่มาก่อกวนครอบครัวของนางได้ “อย่าให้พลาดเป็นอันขาด” “เจ้าค่ะ”เส้นทางสู่เมืองหลวง ทิศตะวันตก
“ป้าจูเสร็จธุระของนางแล้ว เราก็เร่งออกเดินทางเข้าเมืองหลวงกันเถอะ หากค่ำมืดจะทำให้ท่านแม่ทัพของเจ้าเป็นกังวล” “เจ้าค่ะ” สาวใช้สูงวัยรีบก้าวขึ้นรถม้า ส่วนหยวนเฟยและมู่อิง ต่างแยกย้ายไปที่ม้าของตนเอง คณะเดินทางเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนร่างที่นอนเกลื่อนอยู่เบื้องหลังสองชั่วยามต่อมา ก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า รถม้าจากเมืองหยางได้มาถึงหน้าจวนสกุลหยวน แม่ทัพสาวพร้อมด้วยสามี ยืนยิ้มกว้างเมื่อเห็นทุกคนมาถึงอย่างปลอดภัย “หยวนเฟยคารวะ คุณชายกั๋ว” กั๋วเชียวหลาง ค้อมศีรษะรับการคารวะจากชายหนุ่ม ผู้ที่ใช้แซ่เดียวกับภรรยา “พี่เฟยการเดินทางเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ มีใครดื้อรั้นหรือไม่” “ย่อมไม่มี” “ท่านพี่ นี่คือท่านพี่หยวนเฟย หัวหน้ามวลเมฆา และเขายังเป็นพี่ชายคนโตของเราสองพี่น้อง ส่วนประวัติใดนั้นคืนนี้ท่านก็ถามเขาด้วยตนเองเถิด” “เมืองหลวงยินดีต้อนรับ ท่านพี่เฟย” “พี่น้องทักทายกันจนลืมคนแก่ไปเสียแล้วกระมัง” ประตูรถม้าเปิดออก กั๋วเชียวหลางรีบก้าวยาว ๆ
ชูถงมองหน้าชายหนุ่ม ที่อ้างตัวเป็นบุตรชายคนโตของอดีตภรรยา ความสับสนเกิดขึ้นมาในทันที หากเป็นคู่แฝดอายุของพวกนาง คือลูกของเขาอย่างแน่นอน แต่ชายหนุ่มตรงหน้าย่อมไม่ใช่บุตรชายของเขา ด้วยวัยที่มันเกินจากที่เขาคิดคำนวณ“เจ้าคิดจะหลอกลวงข้าสินะ!”“ข้ามีนามว่าหยวนเฟย ท่านจะถามใครในเมืองหน้าด่านชายแดนตะวันออกก็ได้ ทุกคนรู้หมดว่าข้าคือบุตรชายคนโตของนายหญิงใหญ่หยวนไป่หลี”“หากเจ้าเป็นบุตรชายของนางจริง ไยจึงได้ยินยอมให้น้องสาวออกเรือนก่อนได้เล่า”“การออกเรือนก่อนหลังมันจะเป็นอะไรไป ในเมื่อข้าพอใจที่จะอยู่แบบนี้ ไยข้าต้องรั้งชีวิตน้อง ๆ ไว้กับตัวเอง เพียงเพราะข้ายังไม่ออกเรือน แล้วอีกอย่างท่านรู้ได้อย่างไร ว่าข้ายังไม่ออกเรือน เป็นเห็บเกาะตัวข้าอยู่รึ! รู้จักกันหรือก็มิเคย ยังมาสู่รู้เรื่องครอบครัวคนอื่นอยู่อีก”กั๋วเชียวหลางที่เดินมาตามภรรยา ได้แต่กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ เมื่อได้ยินฝีปากของหยวนเฟย เขาต้องทำตัวให้คุ้นชินกับคำเลาะร้ายของคนสกุลนี้ให้มากกว่าเดิม“ท่านเสนาบดี มาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ ข้าไม่เห็นมีบ่าวมารายงานเลยว่าท่านมาเยือนกลางดึก”“ข้ามาทักทายคนรู้จัก”“ใครกันที่ท่านรู้จัก”กั๋วเชียว
“พี่ชายของข้า รู้จักเพียงการปกป้องครอบครัว”แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยน ชีวิตของคนอื่นอาจราบรื่นเพราะร่ำรวย แต่ชีวิตของลูกหญิงหม้ายนั้นล้วนต้องต่อสู้ การที่พี่ชายบุญธรรมไม่ค่อยแสดงตัว มิใช่เขาถูกลืม แต่เพราะเขาเลือกทำหน้าที่เป็นปีกที่กางปกป้องครอบครัวอยู่เบื้องหลัง เขาคือเงาที่ไม่เคยหายไปไหน แค่ไม่ชื่นชอบเปิดเผยตัวก็เท่านั้น“ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไม การค้าของมวลเมฆาถึงมั่นคงนัก”“การให้ใจคนใช่ว่าเราจะได้ใจตอบแทนเสมอ ทุกอย่างล้วนเสี่ยงทั้งสิ้น”“วันนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว เราเข้านอนกันเถอะ”กั๋วเชียวหลางจูงมือภรรยาเข้าเรือน เขาไม่สนว่าตอนนี้จะมีสายตาของศัตรูคนไหนซุ่มมองอยู่ เพราะอีกไม่กี่วันทุกอย่างก็จะต้องจบสิ้น มิว่าจะเป็นฝ่ายไหนกำชัย ขอแค่เวลาที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้ เขาได้ใช้มันให้คุ้มค่าก็ดีมากแล้วสิบห้าวันต่อมา วังหลวง เสียงดนตรีดังก้องไปทั้งลานหน้าท้องพระโรง เพื่อเฉลิมฉลองสำหรับงานอภิเษกสมรสขององค์ชายเจ็ด แขกจากต่างเมืองที่มาถึงก่อนหน้า ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง พระนางกุ้ยเฟยคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อเห็นโอรสคนโปรด กำลังจะก้าวสู่อำน
สิบวันต่อมา จวนสกุลกั๋ว หลังจากเรื่องวุ่นวายสิ้นสุดลง กว่าที่สองสามีภรรยาจะได้พบหน้ากัน ก็กินเวลาไปนับสิบวันเลยทีเดียว หมับ! กั๋วเชียวหลางคว้าร่างภรรยาเข้าสู่อ้อมแขน แม่ทัพสาวยังคงนิ่งงันด้วยมิคิดว่าเขาจะทำเช่นนี้ “คืนนี้เราจะไม่คุยเรื่องงาน ทั้งของเจ้าและข้า แต่จะเป็นเรื่องของเราเท่านั้น” ชายหนุ่มพูดชิดอยู่กับกลุ่มผมดกดำของภรรยา แม้ว่าใจของเขาจะแป้วไปมาก ด้วยนางยืนนิ่งในอ้อมกอดของเขา แต่ทว่ามิได้โอบรัดเขาตอบเลยแม้แต่น้อย “เรื่องไหน!” คำถามห้วนสั้นของนาง แทบจะทำให้กั๋วเชียวหลางหลั่งน้ำตา เขาอยากให้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึก ที่เขาพยายามถ่ายทอดให้แก่นางในตอนนี้ “เรื่องอนาคตของครอบครัวเราอย่างไรเล่า” “ว่ามาสิ!” แม่ทัพสาวมิใช่ไม่รู้ว่าตอนนี้ สามีของนางกำลังต้องการสื่อถึงอะไร หากนางไร้ความทรงจำในอีกโลก อาจยังไม่รู้ประสากับความรัก แต่เพราะนางเคยมีมันมาก่อนแล้ว จึงรู้ว่าตอนนี้สามี กำลังรู้สึกเยี่ยงไรต่อนาง “อื้อ!” ไม่มีคำพูดใดนอกจากเสียงครางเบา ๆ เมื่อริมฝีปากหนาประกบลงบนเรี
จ้าวลู่เชียนไม่คิดเอ่ยถามหาความกระจ่างแล้ว สิ่งที่ผู้คนมากมายต้องการรู้ เขาก็ได้เห็นชัดแก่สายตาแล้ว ว่าใครคือนายแห่งวิหกฟ้า หยวนไป่หลิงรีบเดินเข้าไปหามารดา ก่อนจะสวมกอดเอาไว้แน่น นางอยู่กับแม่มากกว่าน้องสาวและพี่ชาย ตอนที่เห็นคมมีดกดลงใบบนผิวอ่อนนุ่มของมารดา นางแทบอยากจะฉีกสตรีผู้นั้นออกเป็นชิ้น ๆ เสียในทันที “เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย แม่ดีใจเหลือเกิน” “จะมาเมืองหลวงไยมิรอข้าก่อน” “เป็นพี่เองที่อยากมาดูหน้าน้องเขย ท่านแม่เลยติดตามมาด้วยเพราะพี่จะทำตัวมุทะลุ” “ข้านึกว่าพี่เฟยจะคอยออกรับแทนข้ากับหลินเอ๋อร์เท่านั้น แล้วไยวันนี้ท่านกลับออกรับแทนท่านแม่เสียได้” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดกับพี่ชาย แน่นอนว่าเฟยไม่อาจต้านทานอาการนี้ของน้อง ๆ ได้ จึงทำเพียงยิ้มแห้ง ๆ แก้เก้อ ก่อนจะมองไปที่ผู้เป็นแม่ “แม่เรียกพี่ชายเจ้ามา เพื่อเข้าเมืองหลวงเอง เจ้ารู้นิสัยของหลินเอ๋อร์ดีมิใช่หรือ ไม่มีเจ้าอยู่ด้วย แม่เกรงนางจะทำให้ตนเองไม่สบายใจไปชั่วชีวิต” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สายตาคู่งามก็หันมองไปยั
“สิ่งใดเช่นนั้นรึพ่ะย่ะค่ะ ทรงเห็นความดีของข้าบ้างไหม หรือคิดแค่ว่าตัวข้าอ่อนแอไร้สามารถ ตำแหน่งที่คู่ควรจึงไม่คิดจะมอบให้” “ความดีอย่างนั้นเหรอ เจ้าเห็นข้าเป็นลารึยังไง เจ้าคิดว่าพ่ออย่างข้ามองลูกตัวเองไม่ออกสักคนเลยรึ! เจ้าฆ่าพี่ชายหวังชิงตำแหน่ง หาหนส่งหลานตัวเองไปตายใต้คมดาบศัตรู แม้แต่พี่สาวน้องสาวที่มิอาจครองบัลลังก์ ก็เป็นเจ้าที่ทำให้พวกนางต้องแต่งไปแคว้นอื่น ไยมิเอาความฉลาดของเจ้าช่วยเหลือบ้านเมืองของเราให้รุ่งเรือง” “เพราะข้าอยากนั่งแทนที่ท่านอย่างไรเล่า!” ลั่วเจี๋ยกวาดสายตามองศัตรู ที่ซ้อนแผนเขาได้อย่างแนบเนียน ถึงว่าทำไมบิดายอมทำตามคำของมารดาง่ายดายเช่นนั้น ไม่ว่าจะเรื่องแต่งงานของกั๋วเชียวหลางและหยวนไป่หลิน แม้แต่การส่งลั่วหยางไปชายแดน ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นกับดักที่วางเอาไว้ แค่รอเขาวิ่งมาติดกับ แต่ไม่ว่ายังไงวันนี้ เขาเท่านั้นที่จะกลายเป็นฮ่องเต้คนใหม่ ที่ไร้มลทินจากคำว่ากบฏ “คิดว่าจะมีใครรอดออกจากประตูวังหลวงไปได้อย่างนั้นรึ!” “หากจะรอกองกำลังที่ท่านอาเตรียมการไว้นั้น อย่ารอเลยพ่ะย่ะค่ะ เพ
“มุทะลุได้ใจดีองค์ชายเจ็ด” แม่ทัพสาวก้าวเข้ามายืนขวางระหว่างผู้เป็นนาย กับสองแม่ลูกที่หมายช่วงชิงอำนาจ “ข้าอยากรู้นัก ที่ผู้คนยำเกรงเจ้าที่มากด้วยฝีมือ จะเอาชีวิตรอดจากตรงนี้ไปได้ไหม” ลั่วเจี้ยนวาดแขนกันมารดาให้ไปอยู่เบื้องหลังของตนเอง ก่อนจะพุ่งเข้าหาแม่ทัพหญิง เขาชิงชังสตรีที่คิดว่าตนเองเทียบเท่าบุรุษยิ่งนัก หยวนไป่หลินยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะขยับเท้าเข้าหาองค์ชายเจ็ดการต่อสู้ของผู้ที่อยากนั่งบัลลังก์กับผู้พิทักษ์บัลลังก์ เป็นไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธกระทบกันดังขึ้นรอบด้าน แผนการที่วางไว้ พลันต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะความคับแค้นใจของหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่ทนนิ่งเงียบเพื่อรอวันนี้ ชูเยี่ยนมองหน้ามารดาด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ นางคิดเสมอว่าตนเองเหนือกว่าใคร ๆ แต่วันนี้นางเห็นชัดเจนแล้ว ว่าชาติกำเนิดไม่ได้การรันตีว่านางคือที่หนึ่ง ที่ผ่านมานางเสมือนเงา ไม่เคยมีตัวตนในสายตาของชายคนรัก เป็นนางเองที่พยายามจะไขว่คว้า ทว่าอีกฝ่ายกลับหวังเพียงผลประโยชน์เท่านั้น “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้วว่ามารดาที่อุ้มท้องลูก โดยบุรุษไม่ยอมรั
“พี่ชายของข้า รู้จักเพียงการปกป้องครอบครัว”แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยน ชีวิตของคนอื่นอาจราบรื่นเพราะร่ำรวย แต่ชีวิตของลูกหญิงหม้ายนั้นล้วนต้องต่อสู้ การที่พี่ชายบุญธรรมไม่ค่อยแสดงตัว มิใช่เขาถูกลืม แต่เพราะเขาเลือกทำหน้าที่เป็นปีกที่กางปกป้องครอบครัวอยู่เบื้องหลัง เขาคือเงาที่ไม่เคยหายไปไหน แค่ไม่ชื่นชอบเปิดเผยตัวก็เท่านั้น“ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไม การค้าของมวลเมฆาถึงมั่นคงนัก”“การให้ใจคนใช่ว่าเราจะได้ใจตอบแทนเสมอ ทุกอย่างล้วนเสี่ยงทั้งสิ้น”“วันนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว เราเข้านอนกันเถอะ”กั๋วเชียวหลางจูงมือภรรยาเข้าเรือน เขาไม่สนว่าตอนนี้จะมีสายตาของศัตรูคนไหนซุ่มมองอยู่ เพราะอีกไม่กี่วันทุกอย่างก็จะต้องจบสิ้น มิว่าจะเป็นฝ่ายไหนกำชัย ขอแค่เวลาที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้ เขาได้ใช้มันให้คุ้มค่าก็ดีมากแล้วสิบห้าวันต่อมา วังหลวง เสียงดนตรีดังก้องไปทั้งลานหน้าท้องพระโรง เพื่อเฉลิมฉลองสำหรับงานอภิเษกสมรสขององค์ชายเจ็ด แขกจากต่างเมืองที่มาถึงก่อนหน้า ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง พระนางกุ้ยเฟยคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อเห็นโอรสคนโปรด กำลังจะก้าวสู่อำน
ชูถงมองหน้าชายหนุ่ม ที่อ้างตัวเป็นบุตรชายคนโตของอดีตภรรยา ความสับสนเกิดขึ้นมาในทันที หากเป็นคู่แฝดอายุของพวกนาง คือลูกของเขาอย่างแน่นอน แต่ชายหนุ่มตรงหน้าย่อมไม่ใช่บุตรชายของเขา ด้วยวัยที่มันเกินจากที่เขาคิดคำนวณ“เจ้าคิดจะหลอกลวงข้าสินะ!”“ข้ามีนามว่าหยวนเฟย ท่านจะถามใครในเมืองหน้าด่านชายแดนตะวันออกก็ได้ ทุกคนรู้หมดว่าข้าคือบุตรชายคนโตของนายหญิงใหญ่หยวนไป่หลี”“หากเจ้าเป็นบุตรชายของนางจริง ไยจึงได้ยินยอมให้น้องสาวออกเรือนก่อนได้เล่า”“การออกเรือนก่อนหลังมันจะเป็นอะไรไป ในเมื่อข้าพอใจที่จะอยู่แบบนี้ ไยข้าต้องรั้งชีวิตน้อง ๆ ไว้กับตัวเอง เพียงเพราะข้ายังไม่ออกเรือน แล้วอีกอย่างท่านรู้ได้อย่างไร ว่าข้ายังไม่ออกเรือน เป็นเห็บเกาะตัวข้าอยู่รึ! รู้จักกันหรือก็มิเคย ยังมาสู่รู้เรื่องครอบครัวคนอื่นอยู่อีก”กั๋วเชียวหลางที่เดินมาตามภรรยา ได้แต่กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ เมื่อได้ยินฝีปากของหยวนเฟย เขาต้องทำตัวให้คุ้นชินกับคำเลาะร้ายของคนสกุลนี้ให้มากกว่าเดิม“ท่านเสนาบดี มาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ ข้าไม่เห็นมีบ่าวมารายงานเลยว่าท่านมาเยือนกลางดึก”“ข้ามาทักทายคนรู้จัก”“ใครกันที่ท่านรู้จัก”กั๋วเชียว
“ป้าจูเสร็จธุระของนางแล้ว เราก็เร่งออกเดินทางเข้าเมืองหลวงกันเถอะ หากค่ำมืดจะทำให้ท่านแม่ทัพของเจ้าเป็นกังวล” “เจ้าค่ะ” สาวใช้สูงวัยรีบก้าวขึ้นรถม้า ส่วนหยวนเฟยและมู่อิง ต่างแยกย้ายไปที่ม้าของตนเอง คณะเดินทางเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนร่างที่นอนเกลื่อนอยู่เบื้องหลังสองชั่วยามต่อมา ก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า รถม้าจากเมืองหยางได้มาถึงหน้าจวนสกุลหยวน แม่ทัพสาวพร้อมด้วยสามี ยืนยิ้มกว้างเมื่อเห็นทุกคนมาถึงอย่างปลอดภัย “หยวนเฟยคารวะ คุณชายกั๋ว” กั๋วเชียวหลาง ค้อมศีรษะรับการคารวะจากชายหนุ่ม ผู้ที่ใช้แซ่เดียวกับภรรยา “พี่เฟยการเดินทางเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ มีใครดื้อรั้นหรือไม่” “ย่อมไม่มี” “ท่านพี่ นี่คือท่านพี่หยวนเฟย หัวหน้ามวลเมฆา และเขายังเป็นพี่ชายคนโตของเราสองพี่น้อง ส่วนประวัติใดนั้นคืนนี้ท่านก็ถามเขาด้วยตนเองเถิด” “เมืองหลวงยินดีต้อนรับ ท่านพี่เฟย” “พี่น้องทักทายกันจนลืมคนแก่ไปเสียแล้วกระมัง” ประตูรถม้าเปิดออก กั๋วเชียวหลางรีบก้าวยาว ๆ
จวนสกุลชู “ได้ความว่าอย่างไร” “ความเป็นมาของคุณหนูหยวนและท่านแม่ทัพหยวน ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันดีขอรับ แต่มีเรื่องที่ข้าน้อยเพิ่งรู้มา” “เรื่องอะไร” “มารดาของท่านแม่ทัพหยวนจะมาถึงเมืองหลวง ในอีกไม่กี่ชั่วยามขอรับ” “จับตาดูคนของนางให้ดี มารดาของนางคือคำตอบที่ชัดเจน” “ขอรับ” ชูถงขบกรามแน่น เขาใช้เวลากว่าสองเดือนเพื่อหาความเป็นมาของสองพี่น้อง แต่มันเหมือนปริศนาที่ซับซ้อน ได้พบนางด้วยตนเองก็ดี จะได้รู้ไปเลยว่าใช่อดีตภรรยาของเขาหรือไม่ เขาไม่อยากจะเชื่อว่านางจะรอดชีวิตมาได้ ความอดอยากสำหรับสตรีตัวคนเดียว มันเป็นไปได้ยากนักที่จะพาตนเองก้าวมาอยู่เหนือผู้คนได้เช่นนี้ ต้วนอี้เหยาหันไปสบตากับสาวใช้คนสนิท ก่อนที่ทั้งคู่จะจากไป ในเมื่อศัตรูเดินเข้ามาหานางเอง ก็ไม่สมควรให้รอดไปได้ นางไม่สนว่าคนที่กำลังเดินทางมาเมืองหลวง จะใช่สตรีผู้นั้นหรือไม่ คนตายเท่านั้นที่จะไม่มาก่อกวนครอบครัวของนางได้ “อย่าให้พลาดเป็นอันขาด” “เจ้าค่ะ”เส้นทางสู่เมืองหลวง ทิศตะวันตก
เช้าวันถัดมา ณ วังหลวง ฮ่องเต้ถึงกับใบหน้าซีดเผือด เมื่อม้าเร็วเข้ามาส่งข่าว เหล่าขุนนางที่เข้าร่วมประชุม อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอื้ออึง เมื่อข่าวการตายของแม่ทัพจ้าวและคู่หมั้น ส่วนท่านชายลั่วนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ยากจะบอกได้ว่าจะรอดชีวิตถึงเมืองหลวงหรือไม่ “ทูลฝ่าบาท แม่ทัพจ้าวเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จนทำให้ท่านชายและอาคันตุกะของแคว้นเยี่ยได้รับบาดเจ็บ นับว่ามีใจคิดคดต่อแผ่นดิน” หนึ่งในขุนนางใหญ่กราบทูลแก่ฮ่องเต้ ถ้อยคำที่พูดออกมาทำให้ท่านมหาอำมาตย์ถึงกับใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ “ข้าอยากรอฟังข้อเท็จจริงจากคนที่ร่วมคณะไปด้วย” “จะทรงรอได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคนที่รอดล้วนเป็นคนของสกุลจ้าว” คำพูดของขุนนางผู้นั้นเจาะจงไปที่จ้าวลู่เหลียน ซึ่งมีรายงานว่านางรอดชีวิตกลับมาพร้อมคณะเดินทาง แม้จะบาดเจ็ดจากการต่อสู้ ย่อมเชื่อถืออันใดไม่ได้เพราะพี่น้องต้องเข้าข้างกันอยู่ดี “ท่านกล้าดีเยี่ยงไรมาปรักปรำว่าบุตรชายของข้าคิดคด” “แค่สตรีเพียงคนเดียว ถึงกับประมือกับแขกของบ้านเมือง นี่เขาคิดว่าตนเองเป็นใครกัน”