ที่ทำให้สกุลเจียงเดินเข้ามาหาพวกนางเอง โดยไม่ต้องเสียเวลาไปติดตามหรือทำให้อีกฝ่ายไหวตัวทัน หากจะถามว่าสาสน์ลับที่เจ้าเมืองเจียงได้รับมันผิดพลาดตรงไหน ย่อมไม่มีแม้แต่น้อย เพราะมันเป็นนางเองที่ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น
การลงทัณฑ์ท่านเจ้าเมือง นับเป็นเรื่องที่อุกอาจอยู่ไม่น้อย แต่เพราะแม่ทัพหญิงมีสิ่งแทนพระองค์ จึงทำได้โดยไร้คนขัดขวาง สิ่งที่นางทำมีทั้งผลดีและร้าย ทว่าผลร้ายนั้นก็คือสิ่งที่นางต้องการให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว จึงไม่ได้ตื่นตระหนกใด ๆ
เช้าวันถัดมาก่อนออกเดินทาง แม่ทัพสาวได้ให้นายอำเภอเป็นคนรักษาการแทน จนกว่าจะมีการส่งเจ้าเมืองคนใหม่มา ส่วนครอบครัวของท่านเจ้าเมืองถูกจองจำในคุก เพื่อรอให้ทางการจากเมืองหลวงมารับตัว นางไม่สะดวกพานักโทษไปด้วย หญิงสาวได้มอบหน้าที่ดูแลสกุลเกาให้เป็นของซือเส่า
เกาชุนหลางสามารถที่จะพัฒนาตนเอง ให้ก้าวหน้าได้มิยาก ส่วนญาติสาวอีกสองคนของสกุลเกา เมื่อมีมลทินบนร่างกาย ย่อมเริ่มต้นยากหากจะแต่งสามีสักคน
นางจึงเลือกที่จะให้พวกนางเดินบนเส้นทางการค้า หรือหากคนใดอยากทำอะไรก็ให้แจ้งมาในภายหลัง ภาระของนางกับมู่อิงยังมีอีกมาก จึงไม่อาจรั้งอยู่ได้นาน
“ท่านแม่ทัพ สกุลเกาเป็นหนี้ชีวิตท่านแล้วขอรับ”
ชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงซึ้งในน้ำใจของหญิงสาว เขาได้ลูกหลานและบ้านกลับมา จะมีนายสักกี่คน ที่เมตตาต่อบ่าวไพร่เยี่ยงนี้ ถึงมีก็ไม่มากพอจะทำเช่นที่ท่านแม่ทัพหญิงมอบให้แก่มู่อิง
“ไม่มีคำว่าหนี้อันใดทั้งนั้นท่านลุง ข้าไม่เคยลำเอียงต่อคนที่เคียงข้าง มารดาข้าสอนเสมอ อยากได้สิ่งใดจงใช้สิ่งนั้นแลกมา”
“ท่านพี่ไป่หลิน ข้าจะตั้งใจร่ำเรียนรอพี่ ๆ ทุกท่านนะขอรับ”
“ดี! ดูแลน้องสาวอีกสองคนของเจ้าด้วย พวกเจ้าจำไว้ว่าคำคนมิทำให้ใครตาย ถ้าจิตใจเราเข้มแข็งพอ ในเมื่อเราไม่ได้ทำผิดต่อผู้ใด ก็มิต้องใส่ใจกับสายตาและคำพูดที่ไม่ได้ทำให้เราอิ่มท้อง”
“ขอรับ”
“รบกวนท่านแล้ว ท่านน้าซือ”
หญิงสาวหันไปค้อมหัวให้แก่ซือเส่า นี่คือสิ่งที่ครอบครัวสกุลหยวนมีมาตั้งแต่รุ่นแม่ คือการอ่อนน้อมและให้เกียรติแก่คนในปกครอง ยากนักที่ใครจะกล้าหักหลังนายที่ดีเช่นนี้
“นายหญิงน้อยโปรดวางใจ ข้าน้อยจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยขอรับ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
แม่ทัพสาวหันไปกล่าวลาแก่ครอบครัวสกุลเกา ก่อนจะหยิบขนมในจานที่เกาชุนหลางยื่นมาตรงหน้า แม่ทัพสาวหัวเราะในลำคอ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ขนมนี้ ทำให้นางไม่ต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่นาน หากวันนั้นเกาชุนหลางไม่ไปที่ร้านขนม เรื่องราวคงต้องยืดออกไปอีกพอสมควร
“ข้าไปล่ะ!”
ทุกคนเหวี่ยงกายขึ้นหลังม้า ก่อนจะโบกมือลาอีกครั้ง ครอบครัวสกุลเกาคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะคำนับให้แก่แม่ทัพแดนเหนือและเหล่าผู้ติดตาม
วังหลวงแคว้นเยี่ย ตำหนักกุ้ยเฟย
ร่างสูงใหญ่ของจิ้นอ๋องลั่วเจี๋ย ก้าวตรงไปยังตำหนักของพระนางเชี่ยกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดา โดยมีอนุชาร่วมมารดาอย่างองค์ชายเจ็ดเดินเคียงข้าง สองพี่น้องมีใบหน้าที่หล่อเหลามิแพ้กัน
ทว่าสิ่งที่แตกต่างคงเป็นที่นิสัยและสุขภาพ จิ้นอ๋องนั้นสุขภาพอ่อนแอ ซึ่งสวนทางกับรูปร่างอยู่มาก นิสัยเป็นคนนิ่งเงียบ พูดน้อยไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าใดนัก
ส่วนองค์ชายเจ็ดนั้น ร่างกายแข็งแรง ฉลาดและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ไม่ว่าลงมือทำสิ่งใดย่อมทุ่มเต็มกำลัง เขาจึงเป็นองค์ชายผู้ยังไม่ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋อง และมีแววว่าจะได้รับเลือกเป็นองค์รัชทายาท
“ทูลพระนาง ท่านอ๋องกับองค์ชายเจ็ดเสด็จมาถึงแล้วเพคะ”
“ให้พวกเขาเข้ามาได้”
“เพคะ”
นางกำนัลรีบออกไปเชื้อเชิญโอรสทั้งสองของผู้เป็นนาย ก่อนที่เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของหนึ่งในสองพี่น้อง จะดังเข้ามาให้ผู้เป็นแม่ได้ยิน ร่างงามเดินนวยนาทออกมาจากห้องชั้นใน
“ถวายบังคมเสด็จแม่”
สองพี่น้องเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะเดินไปนั่งลงยังเก้าอี้ใกล้พระมารดา
“พวกเจ้าสองพี่น้องรู้เรื่องที่ฝ่าบาทจะพระราชทานสมรส ให้แก่แม่ทัพหญิงกับกั๋วเชียวหลางแล้วใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“หากเป็นเช่นนี้ จะไม่เท่ากับเพิ่มอำนาจให้แก่สกุลกั๋วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายเจ็ดเอ่ยถามด้วยสีหน้าติดกังวล หากจะพูดไปแล้วสกุลกั๋วและจ้าวมิได้ยืนฝั่งเขาเลยสักคน
“ที่แม่ไม่คัดค้าน เพราะมันเข้าทางเราอย่างไรเล่า หากกำจัดโดยตรงไม่ได้ ก็ให้ผ่านหยวนไป่หลินแม่ทัพหญิงผู้นั้น”
“มันจะไม่ง่ายอย่างที่คิดนะพ่ะย่ะค่ะ เพราะเท่าที่รู้มาแม่ทัพผู้นี้เก่งกาจมิน้อย”
อ๋องหนุ่มเอ่ยกับพระมารดา เพราะข่าวที่เขาเพิ่งได้รับมานั้น มันทำให้อยู่นิ่งเฉยได้ยากนัก
“เสด็จพี่จะคิดให้เหนื่อยทำไม เพราะอย่างไรเสียนางก็เป็นทหาร พลาดแค่ก้าวเดียวเราก็สามารถเก็บเสียทั้งสองสกุล”
ลั่วเจี้ยนยกยิ้มเยาะในความคิดมากของพี่ชาย เขาคือคนที่จะก้าวสู่ความเป็นใหญ่ จะมั่วคิดให้ลึกเกินไปเพื่อสิ่งใดกัน ในเมื่อมันชัดเจนอยู่แล้ว อีกทั้งพระมารดายังมั่นพระทัยว่ามันจะสำเร็จ
“นั่นสิ! เป็นข้าที่คิดมากไปเอง”
“ไม่ต้องเถียงกัน เรื่องนี้แม่เป็นคนชี้แนะแก่เสด็จพ่อของพวกเจ้า ก็ย่อมต้องไต่ตรองมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ที่แม่เรียกเจ้าสองพี่น้องมาในวันนี้ ก็เพราะมีเรื่องจะบอกกล่าว”
“พ่ะย่ะค่ะ” สองพี่น้องรับคำเบา ๆ
“ลั่วเจี๋ยเจ้าเป็นพี่ตามจริงควรได้นั่งตำแหน่งองค์รัชทายาท แต่เพราะร่างกายของเจ้ามิอาจอำนวย แม่อยากให้เจ้าสนับสนุนน้อง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ส่วนเจ้าลั่วเจี้ยนแม่เสนอให้เสด็จพ่อของเจ้า พิจารณาเรื่องแต่งงานของเจ้าภายในปีนี้”
“แต่...”
“เจ้าจำไว้! ความรู้สึกไม่สำคัญเท่าอำนาจในมือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องอื่นใดแม่จะไม่ใส่ใจ แต่อย่าได้ทำให้เสียเรื่อง เจ้าไม่รู้หรอกว่าอนาคตของแม่ขึ้นอยู่กับเจ้าลั่วเจี้ยน”
การก้าวเข้ามาอยู่ในวังหลังนั้นว่ายากแล้ว แต่การรักษาชีวิตในยามผลัดเปลี่ยนบัลลังก์นั้นสำคัญกว่า ตั้งแต่อายุสิบหกที่นางก้าวเข้าสู่วังวนแห่งวังหลัง ล้วนต้องต่อสู้และฝ่าฟันกับสตรีนับร้อย กว่าที่จะมายืนยังจุดนี้
นางจะไม่มีวันต้องกลายเป็นชายาที่ต้องถูกฝังในสุสาน ตามพระสวามีเป็นอันขาด ตำแหน่งต่อจากนี้คือไทเฮามารดาของฮ่องเต้องค์ใหม่เท่านั้น ในเมื่อพระสวามีลังเลที่จะมอบตำแหน่งนี้ให้แก่โอรสของนาง เกิดสิ่งใดขึ้นก็อย่าได้โทษนางเลย“การที่แม่ทำเช่นนี้ก็เพื่อความอยู่รอดของเราสามแม่ลูก ตอนนี้ลั่วหยางกลับมาอยู่เมืองหลวง เรายังทำอะไรเขาไม่ได้ แต่สิ่งที่แม่คิดไว้มิช้าก็สำเร็จ”“กระหม่อมเป็นโอรส จะมีสิ่งใดต้องกลัวเพียงหลาน”“หากเขามิใช่โอรสที่กำเนิดจากอดีตองค์รัชทายาท ที่ถือกำเนิดจากฮองเฮา มีหรือจะน่าหวาดหวั่นสำหรับการลงสนามครั้งนี้”“แค่เด็กปากมิสิ้นกลิ่นน้ำนม อ่อนแอไร้สามารถ จะมีขุนนางใดสนับสนุน”“คิดจะเป็นใหญ่ต้องรู้จักประเมินศัตรูในทุกทาง เพราะทุกสิ่งอย่างอาจไม่เป็นเช่นที่ตาเห็น”“พ่ะย่ะค่ะ”แม้จะไม่พอใจเท่าใดที่ถูกตำหนิต่อหน้าพี่ชาย แต่เขายังไม่ควรทำให้มารดาขุ่นเคืองมากไปกว่านี้ เขาไม่ได้โง่ที่จะมิรู้ว่าผู้เป็นแม่ต้องการกุมอำนาจเหนือเขา หลังจากก้าวสู่บัลลังก์การสนทนาของสามแม่ลูกมีอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่สองพี่น้องจะลาจากกลับไปยังจวนของตน สายตาที่มองตามแผ่นหลังของลูก ๆ บอกได้ถึงความหวาดหวั่นอยู่ภายในใจลึก
รองแม่ทัพสวนกลับด้วยคำถาม ที่ทำให้ชายหนุ่มทั้งห้าเงียบเสียงลง เพราะการที่บุรุษกำยำเอ่ยปกป้องสาวใช้ของท่านแม่ทัพ นั่นบอกได้ว่านางสำคัญไม่น้อยทีเดียว “คุณชาย...เอ่อ!” “เชียวหลาง” “คุณชายเชียว ฮูหยินเชียว นายท่านของข้าชิงเว่ยขอรับ” “ข้าชิงเว่ย ยินดีที่ได้รู้จักคุณชายเชียว ฮูหยินเชียว หวังว่าคงไม่เป็นการรบกวน ที่เชิญคุณชายและฮูหยินมาร่วมดื่มสุราด้วยกันสักกา” “นับเป็นเรื่องน่ายินดีขอรับ” สองหนุ่มสาวพากันนั่งลงตรงข้ามกับชิงเว่ย แค่เห็นแววตาของชายผู้อยากผูกสัมพันธ์กับว่าที่สามี แม่ทัพสาวก็อดไม่ได้ที่จะสบถอยู่ภายในใจ เพราะคนตรงหน้าหาใช่พ่อค้านักเดินทางโดยทั่วไปนับว่าโชคดียิ่งที่นางมาทัน หาไม่แล้วคงรู้สึกผิดไม่น้อย ที่เป็นต้นเหตุให้คนข้างกายได้รับอันตราย ต่อให้กั๋วเชียวหลางเก่งแค่ไหน มีหรือจะสู้นักล่าในป่าได้“ข้าขอเสียมารยาทถามได้หรือไม่ ว่าเหตุใดคุณชายกับฮูหยินไม่ได้มาที่นี่พร้อมกัน”“ข้ากลับไปเยี่ยมมารดา ส่วนสามีของข้าไม่สบายในช่วงที่ข้าออกเดินทาง เขาเลยมารอรับข้าที่นี่แทนเจ้าค่ะ”แม่ทัพสาวเอ่ยตอบ ก่อนจะยกถ้วยสุราขึ้นด
“ไม่มีทาง” เป็นคำพูดสุดท้ายของกั๋วเชียวหลาง ก่อนที่ดวงตาและสติของเขาจะดับมืดไป แม่ทัพสาวล้วงเอาห่อผ้าสีเข้มออกมา เพียงเปิดออกเข็มจำนวนหลายเล่มเรียงรายอยู่หลายขนาด แม่ทัพสาวจัดการฝังเข็มให้แก่ชายหนุ่ม นางรู้ว่าเขามิได้อ่อนแอ แค่อยู่ในพื้นที่ของคนอื่น จึงทำให้เขาตกเป็นรองอีกฝ่าย แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นางไม่อาจทอดทิ้งให้เขาตกที่นั่งลำบากได้ แม้เขาไม่ได้เต็มใจที่จะออกมารับนาง แต่เพราะนางอยู่ดีมิใช่หรือเขาถึงต้องเป็นเช่นนี้ยามค่ำคืนได้มาเยือน แม่ทัพสาวเหลียวมองไปยังคนที่หลับลึกอยู่บนเตียง เขาควรต้องได้รับการพักผ่อน ผิวที่เคยแดงก่ำเริ่มเป็นปกติแล้ว ลมหายใจที่ร้อนผ่าวกลับเป็นสม่ำเสมอนกในกรงทองเก่งแค่ไหนก็มิอาจเทียบนักล่า ที่ผ่านการดิ้นรนให้มีชีวิตรอดต่อโลกอันโหดร้ายได้ จากชีพจรของเขาบอกได้ว่ากั๋วเชียวหลาง เป็นยอดนักรบคนหนึ่งเลยทีเดียวแต่คนเราไม่มีใครเก่งไปทุกอย่าง เช่นนางที่เก่งกาจในการรบ และการปรุงยา ทว่างานบ้านงานเรือน ความเป็นสตรีนั้นหาได้มีแม้แต่น้อย สักเสี้ยวยังยากจะพบจากคนเยี่ยงนางเสียงพูดคุยกันด้านนอก มันอาจเบาราวกระซิบสำหรับพวกเขา แต่มิใช่กับน
ยามสายริมลำธาร กั๋วเชียวหลางเดินลงจากรถม้า ด้วยอาการแตกตื่นเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา รอบกายมิใช่ห้องนอนแต่เป็นรถม้า เกิดสิ่งใดกับเขากัน ไยถึงได้ไร้สติถึงเพียงนี้กัน“ตื่นแล้วล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย แล้วมากินข้าวเราต้องเร่งเข้าเมืองหลวงกันต่อ” แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง“เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน แล้วรถม้านั่น!”“ไม่มีอะไรมาก ข้าแค่มิอยากเสียเวลาไปมากกว่านี้”แม่ทัพสาวไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากความ ในเมื่อทุกคนปลอดภัยอย่างอื่นก็หาได้จำเป็นที่ต้องสาธยาย หนอนร้ายหายตัวไปตั้งแต่หัวค่ำ ป่านนี้คงใกล้เมืองหลวงเต็มทีแล้ว นางต้องการรู้ตัวคนชักใยเพื่อให้ง่ายต่อการรับมือกั๋วเชียวหลางได้แต่เดินไปกวักน้ำขึ้นล้างหน้า ก่อนจะกลับไปนั่งรวมกับคนของตน ที่ยื่นส่งห่ออาหารให้แก่เขา ชายหนุ่มรู้สึกหิวขึ้นมาในทันที เมื่อวานนี้เขาแทบไม่ได้กินอะไรเลย เพราะกลัวว่าเนื้อที่สั่งจะมิใช่เนื้อสัตว์“มันคือเนื้อแพะเค็มขอรับ”รองแม่ทัพเดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับชายหนุ่ม พร้อมไขความสงสัยให้แก่คุณชายกั๋ว เพราะจากที่เขาเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จ้องห่อเนื้อ ก็รู้ว่าคงยังระแวงอยู่นั่นเอง“ขอบคุณ ข้ากลายเป็นภาระของพวกท่านจริงๆ”“อย่า
สองเดือนต่อมา “นายหญิงน้อย!”ดวงตาคู่คมกำลังนั่งอ่านสาสน์ลับอยู่ พลันต้องละสายตา เมื่อเสียงของอู่หรงดังขึ้นจากด้านหน้าประตู แม่ทัพสาวลุกพรวดขึ้นในทันที เมื่อเห็นสภาพของอู่หรงถนัดตา“เกิดอะไรขึ้น!”“นายหญิงได้ถูกพิษเจ้าค่ะ”“มู่อิง! ทางนี้ให้เจ้าจัดการ ฮ้าวเฉิน เอากล่องยาแล้วตามข้ามาเร็วเข้า”แม่ทัพสาววิ่งตรงไปยังคอกม้าที่อยู่ท้ายจวน ก่อนที่นางจะตวัดสายตาไปยังพวกนกกระจอก ที่ไม่ยอมหลับนอนเอาแต่เฝ้าจับตานางมิรู้เหน็ดเหนื่อย“มิต้องห่วงทางนี้เจ้าค่ะ บ่าวจัดการเอง”มู่อิงกระชับดาบคู่ใจ พุ่งตรงไปยังเป้าหมาย โดยมีพ่อบ้านจวนแม่ทัพติดตามไปช่วยเหลือ แม่ทัพสาวพร้อมด้วยอู่หรงและฮ้าวเฉิน ต่างรีบขึ้นนั่งบนหลังม้า ควบออกไปอย่างรวดใช้เวลาไม่นานนัก ม้าได้หยุดลงยังหน้าจวนสกุลจ้าว แม่ทัพสาวเหวี่ยงกายลงจากหลังม้า ก่อนจะติดตามอู่หรงเข้าไปด้านในจวน โดยมีฮ้าวเฉินก้าวตามไปติดๆแม่ทัพสาวก้าวเข้าไปในห้องด้วยความร้อนใจ แม้ใบหน้าของนางจะยังคงเรียบนิ่ง ทว่าภายในใจนั้น แทบระเบิดออกมาด้วยโทสะอันพลุ่งพล่านหญิงสาวเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง โดยที่ยังไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา และดูเหมือนว่าที่พี่เขย ยังคงเรียกสติตน
หยวนไป่หลินอ่านความรู้สึกของว่าที่พี่เขยออก เขายึดมั่นว่าต้องแต่งกับคนที่ช่วยพ่อแม่ของเขา จนเกิดความสับสนในใจ นางเคยผ่านการมีรัก ย่อมมองออกว่าแม่ทัพจ้าว กำลังอยากสานสัมพันธ์อันดีต่อพี่สาวของนาง “ข้าขออภัย ที่คิดเช่นนั้น” แม่ทัพหนุ่มไม่คิดที่จะปฏิเสธในสิ่งที่หยวนไป่หลินพูด เขาเองก็สับสนว่าทำไมต้องใส่ใจเรื่องเล็กน้อยนี้ด้วย เพราะเขาตั้งใจแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับหยวนไป่หลิง “ข้ามิอาจถือสาความคิดของท่านแม่ทัพได้ แต่ข้าอยากให้ท่านแม่ทัพถามใจตนเองให้ดี ก่อนจะตัดสินใจอะไรไป เพราะหนึ่งคำพูดอาจทำให้บางความรู้สึกขาดสะบั้นลง ชนิดที่ไม่สามารถสมานคืนได้เลย” “ข้ารู้แล้ว” “ท่านแม่ทัพกับพี่ใหญ่ โชคดีกว่าข้านัก ที่ยังได้ชิดใกล้กันก่อนตัดสิ้นใจว่าภายหน้าจะร่วมเดิน หรือแยกกันเดินคนละเส้นทาง แต่ข้าที่นั่งในตำแหน่งเท่าเทียมท่าน หาได้มีโอกาสเช่นนั้นไม่” แม่ทัพหนุ่มเหลียวมองหยวนไป่หลินอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มเนือย ๆ ให้หญิงสาว เขาอยากบอกนางยิ่งนัก ว่าคงมีเพียงเขาที่จับตาดูพี่สาวของนาง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น หยวนไป่หลิงไม่แม้แต่
“ไม่ต้อง! ปล่อยให้มันระวังตัวขึ้นอีกสักหน่อย ความระแวงของพวกเขาจะทำให้เราทำงานง่ายขึ้น” “ขอรับ” “อีกเจ็ดวันพี่ใหญ่ต้องออกเดินทางไปชายแดนตะวันออก เจ้าติดตามนางไป ทางนี้ข้ามีคนอยู่มาก สัญญากับข้าว่าจะพานางกลับมาอย่างปลอดภัย” “ฮ้าวเฉินจะไม่ทำให้นายหญิงน้อยผิดหวังขอรับ” “ข้ารู้นิสัยนางและพวกเจ้าทุกคนดี อย่าลงมือเกินกำลัง เบื้องหน้าพวกเจ้าจัดการได้ ในเงามืดให้เหล่าวิหกจัดการไป” “ทราบแล้วขอรับ” เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามค่ำคืน แม่ทัพสาวจึงได้ออกไปร่วมงานเลี้ยงที่สกุลกู้ พร้อมกับว่าที่สามี ทำให้คนที่ซุ่มจับตาดูพี่น้องสกุลหยวน ไม่อาจเดาทิศทางของทั้งคู่ได้เลย “ขอโทษที่ข้าทำให้ท่านล่าช้า”แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นด้วยรู้สึกเห็นใจ ที่กั๋วเชียวหลางต้องมาเสียเวลารอนางอยู่นานพอสมควร “แบบนี้ดีแล้ว เราจะได้รีบกลับ”กั๋วเชียวหลางรู้สึกเช่นนั้นจริง เขาเบื่อหน่ายงานเลี้ยงเป็นที่สุด ยิ่งรู้ว่าศัตรูเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เขา ทั้งยังอุตส่าห์ส่งหญิงงามมา หมายจะให้พัวพันชีวิตเขา จนการแต่งงานมีเรื่องสั่นคลอน หมากบางตัว
“เจ้ารู้ใช่ไหม! ว่าข้ามิอาจลงมือทำอันใดได้ในตอนนี้” “หน้าที่ของท่านคือสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ตกปลาไม่มีเหยื่อชั้นดีล่อ มีหรือปลาจะติดเบ็ดเรา” แม่ทัพสาวขยับกายเตรียมที่จะลงจากรถม้า ทว่ามือหนาของชายหนุ่มยังคงรั้งไว้ ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่แม่ทัพสาวจะถอนหายใจหนัก ๆ อย่างจำยอม “ท่านจะเอายังไง!” “ข้าไปด้วย” “หากมีใครเห็นท่านเข้า ทุกอย่างจะพังทั้งที่ยังมิลงมือ” “ข้ามิใช่เด็กอมมือ” “ก็ได้!” แม่ทัพสาวเป่าปากสามครั้ง เพื่อเป็นสัญญาณให้คนขับรถม้ารู้ในสิ่งที่ต้องทำ ความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับคบไฟที่อยู่ด้านท้ายรถม้าจะดับลง ก่อนที่ความเร็วของรถม้าจะกลับมาเป็นปกติจวนสกุลชู ท่านเสนาบดีชูรีบเดินตรงไปยังห้องหนังสือ โดยไม่สนใจว่าภรรยานั้นพยายามก้าวตามให้ทันเขา ด้วยสิ่งที่คาใจมันน่ากลัวกว่านั้นหลายเท่านักเพราะถ้าสิ่งที่คิดเป็นจริงขึ้นมา อนาคตของเขาคงต้องแขวนอยู่บนเส้นด้าย จะรอดหรือร่วง ผู้กำหนดจะเป็นคนในความคิดเขาในทันที หาใช่ตัวเขาที่กำหนดมันเช่นตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม
สิบวันต่อมา จวนสกุลกั๋ว หลังจากเรื่องวุ่นวายสิ้นสุดลง กว่าที่สองสามีภรรยาจะได้พบหน้ากัน ก็กินเวลาไปนับสิบวันเลยทีเดียว หมับ! กั๋วเชียวหลางคว้าร่างภรรยาเข้าสู่อ้อมแขน แม่ทัพสาวยังคงนิ่งงันด้วยมิคิดว่าเขาจะทำเช่นนี้ “คืนนี้เราจะไม่คุยเรื่องงาน ทั้งของเจ้าและข้า แต่จะเป็นเรื่องของเราเท่านั้น” ชายหนุ่มพูดชิดอยู่กับกลุ่มผมดกดำของภรรยา แม้ว่าใจของเขาจะแป้วไปมาก ด้วยนางยืนนิ่งในอ้อมกอดของเขา แต่ทว่ามิได้โอบรัดเขาตอบเลยแม้แต่น้อย “เรื่องไหน!” คำถามห้วนสั้นของนาง แทบจะทำให้กั๋วเชียวหลางหลั่งน้ำตา เขาอยากให้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึก ที่เขาพยายามถ่ายทอดให้แก่นางในตอนนี้ “เรื่องอนาคตของครอบครัวเราอย่างไรเล่า” “ว่ามาสิ!” แม่ทัพสาวมิใช่ไม่รู้ว่าตอนนี้ สามีของนางกำลังต้องการสื่อถึงอะไร หากนางไร้ความทรงจำในอีกโลก อาจยังไม่รู้ประสากับความรัก แต่เพราะนางเคยมีมันมาก่อนแล้ว จึงรู้ว่าตอนนี้สามี กำลังรู้สึกเยี่ยงไรต่อนาง “อื้อ!” ไม่มีคำพูดใดนอกจากเสียงครางเบา ๆ เมื่อริมฝีปากหนาประกบลงบนเรี
จ้าวลู่เชียนไม่คิดเอ่ยถามหาความกระจ่างแล้ว สิ่งที่ผู้คนมากมายต้องการรู้ เขาก็ได้เห็นชัดแก่สายตาแล้ว ว่าใครคือนายแห่งวิหกฟ้า หยวนไป่หลิงรีบเดินเข้าไปหามารดา ก่อนจะสวมกอดเอาไว้แน่น นางอยู่กับแม่มากกว่าน้องสาวและพี่ชาย ตอนที่เห็นคมมีดกดลงใบบนผิวอ่อนนุ่มของมารดา นางแทบอยากจะฉีกสตรีผู้นั้นออกเป็นชิ้น ๆ เสียในทันที “เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย แม่ดีใจเหลือเกิน” “จะมาเมืองหลวงไยมิรอข้าก่อน” “เป็นพี่เองที่อยากมาดูหน้าน้องเขย ท่านแม่เลยติดตามมาด้วยเพราะพี่จะทำตัวมุทะลุ” “ข้านึกว่าพี่เฟยจะคอยออกรับแทนข้ากับหลินเอ๋อร์เท่านั้น แล้วไยวันนี้ท่านกลับออกรับแทนท่านแม่เสียได้” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดกับพี่ชาย แน่นอนว่าเฟยไม่อาจต้านทานอาการนี้ของน้อง ๆ ได้ จึงทำเพียงยิ้มแห้ง ๆ แก้เก้อ ก่อนจะมองไปที่ผู้เป็นแม่ “แม่เรียกพี่ชายเจ้ามา เพื่อเข้าเมืองหลวงเอง เจ้ารู้นิสัยของหลินเอ๋อร์ดีมิใช่หรือ ไม่มีเจ้าอยู่ด้วย แม่เกรงนางจะทำให้ตนเองไม่สบายใจไปชั่วชีวิต” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สายตาคู่งามก็หันมองไปยั
“สิ่งใดเช่นนั้นรึพ่ะย่ะค่ะ ทรงเห็นความดีของข้าบ้างไหม หรือคิดแค่ว่าตัวข้าอ่อนแอไร้สามารถ ตำแหน่งที่คู่ควรจึงไม่คิดจะมอบให้” “ความดีอย่างนั้นเหรอ เจ้าเห็นข้าเป็นลารึยังไง เจ้าคิดว่าพ่ออย่างข้ามองลูกตัวเองไม่ออกสักคนเลยรึ! เจ้าฆ่าพี่ชายหวังชิงตำแหน่ง หาหนส่งหลานตัวเองไปตายใต้คมดาบศัตรู แม้แต่พี่สาวน้องสาวที่มิอาจครองบัลลังก์ ก็เป็นเจ้าที่ทำให้พวกนางต้องแต่งไปแคว้นอื่น ไยมิเอาความฉลาดของเจ้าช่วยเหลือบ้านเมืองของเราให้รุ่งเรือง” “เพราะข้าอยากนั่งแทนที่ท่านอย่างไรเล่า!” ลั่วเจี๋ยกวาดสายตามองศัตรู ที่ซ้อนแผนเขาได้อย่างแนบเนียน ถึงว่าทำไมบิดายอมทำตามคำของมารดาง่ายดายเช่นนั้น ไม่ว่าจะเรื่องแต่งงานของกั๋วเชียวหลางและหยวนไป่หลิน แม้แต่การส่งลั่วหยางไปชายแดน ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นกับดักที่วางเอาไว้ แค่รอเขาวิ่งมาติดกับ แต่ไม่ว่ายังไงวันนี้ เขาเท่านั้นที่จะกลายเป็นฮ่องเต้คนใหม่ ที่ไร้มลทินจากคำว่ากบฏ “คิดว่าจะมีใครรอดออกจากประตูวังหลวงไปได้อย่างนั้นรึ!” “หากจะรอกองกำลังที่ท่านอาเตรียมการไว้นั้น อย่ารอเลยพ่ะย่ะค่ะ เพ
“มุทะลุได้ใจดีองค์ชายเจ็ด” แม่ทัพสาวก้าวเข้ามายืนขวางระหว่างผู้เป็นนาย กับสองแม่ลูกที่หมายช่วงชิงอำนาจ “ข้าอยากรู้นัก ที่ผู้คนยำเกรงเจ้าที่มากด้วยฝีมือ จะเอาชีวิตรอดจากตรงนี้ไปได้ไหม” ลั่วเจี้ยนวาดแขนกันมารดาให้ไปอยู่เบื้องหลังของตนเอง ก่อนจะพุ่งเข้าหาแม่ทัพหญิง เขาชิงชังสตรีที่คิดว่าตนเองเทียบเท่าบุรุษยิ่งนัก หยวนไป่หลินยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะขยับเท้าเข้าหาองค์ชายเจ็ดการต่อสู้ของผู้ที่อยากนั่งบัลลังก์กับผู้พิทักษ์บัลลังก์ เป็นไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธกระทบกันดังขึ้นรอบด้าน แผนการที่วางไว้ พลันต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะความคับแค้นใจของหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่ทนนิ่งเงียบเพื่อรอวันนี้ ชูเยี่ยนมองหน้ามารดาด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ นางคิดเสมอว่าตนเองเหนือกว่าใคร ๆ แต่วันนี้นางเห็นชัดเจนแล้ว ว่าชาติกำเนิดไม่ได้การรันตีว่านางคือที่หนึ่ง ที่ผ่านมานางเสมือนเงา ไม่เคยมีตัวตนในสายตาของชายคนรัก เป็นนางเองที่พยายามจะไขว่คว้า ทว่าอีกฝ่ายกลับหวังเพียงผลประโยชน์เท่านั้น “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้วว่ามารดาที่อุ้มท้องลูก โดยบุรุษไม่ยอมรั
“พี่ชายของข้า รู้จักเพียงการปกป้องครอบครัว”แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยน ชีวิตของคนอื่นอาจราบรื่นเพราะร่ำรวย แต่ชีวิตของลูกหญิงหม้ายนั้นล้วนต้องต่อสู้ การที่พี่ชายบุญธรรมไม่ค่อยแสดงตัว มิใช่เขาถูกลืม แต่เพราะเขาเลือกทำหน้าที่เป็นปีกที่กางปกป้องครอบครัวอยู่เบื้องหลัง เขาคือเงาที่ไม่เคยหายไปไหน แค่ไม่ชื่นชอบเปิดเผยตัวก็เท่านั้น“ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไม การค้าของมวลเมฆาถึงมั่นคงนัก”“การให้ใจคนใช่ว่าเราจะได้ใจตอบแทนเสมอ ทุกอย่างล้วนเสี่ยงทั้งสิ้น”“วันนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว เราเข้านอนกันเถอะ”กั๋วเชียวหลางจูงมือภรรยาเข้าเรือน เขาไม่สนว่าตอนนี้จะมีสายตาของศัตรูคนไหนซุ่มมองอยู่ เพราะอีกไม่กี่วันทุกอย่างก็จะต้องจบสิ้น มิว่าจะเป็นฝ่ายไหนกำชัย ขอแค่เวลาที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้ เขาได้ใช้มันให้คุ้มค่าก็ดีมากแล้วสิบห้าวันต่อมา วังหลวง เสียงดนตรีดังก้องไปทั้งลานหน้าท้องพระโรง เพื่อเฉลิมฉลองสำหรับงานอภิเษกสมรสขององค์ชายเจ็ด แขกจากต่างเมืองที่มาถึงก่อนหน้า ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง พระนางกุ้ยเฟยคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อเห็นโอรสคนโปรด กำลังจะก้าวสู่อำน
ชูถงมองหน้าชายหนุ่ม ที่อ้างตัวเป็นบุตรชายคนโตของอดีตภรรยา ความสับสนเกิดขึ้นมาในทันที หากเป็นคู่แฝดอายุของพวกนาง คือลูกของเขาอย่างแน่นอน แต่ชายหนุ่มตรงหน้าย่อมไม่ใช่บุตรชายของเขา ด้วยวัยที่มันเกินจากที่เขาคิดคำนวณ“เจ้าคิดจะหลอกลวงข้าสินะ!”“ข้ามีนามว่าหยวนเฟย ท่านจะถามใครในเมืองหน้าด่านชายแดนตะวันออกก็ได้ ทุกคนรู้หมดว่าข้าคือบุตรชายคนโตของนายหญิงใหญ่หยวนไป่หลี”“หากเจ้าเป็นบุตรชายของนางจริง ไยจึงได้ยินยอมให้น้องสาวออกเรือนก่อนได้เล่า”“การออกเรือนก่อนหลังมันจะเป็นอะไรไป ในเมื่อข้าพอใจที่จะอยู่แบบนี้ ไยข้าต้องรั้งชีวิตน้อง ๆ ไว้กับตัวเอง เพียงเพราะข้ายังไม่ออกเรือน แล้วอีกอย่างท่านรู้ได้อย่างไร ว่าข้ายังไม่ออกเรือน เป็นเห็บเกาะตัวข้าอยู่รึ! รู้จักกันหรือก็มิเคย ยังมาสู่รู้เรื่องครอบครัวคนอื่นอยู่อีก”กั๋วเชียวหลางที่เดินมาตามภรรยา ได้แต่กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ เมื่อได้ยินฝีปากของหยวนเฟย เขาต้องทำตัวให้คุ้นชินกับคำเลาะร้ายของคนสกุลนี้ให้มากกว่าเดิม“ท่านเสนาบดี มาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ ข้าไม่เห็นมีบ่าวมารายงานเลยว่าท่านมาเยือนกลางดึก”“ข้ามาทักทายคนรู้จัก”“ใครกันที่ท่านรู้จัก”กั๋วเชียว
“ป้าจูเสร็จธุระของนางแล้ว เราก็เร่งออกเดินทางเข้าเมืองหลวงกันเถอะ หากค่ำมืดจะทำให้ท่านแม่ทัพของเจ้าเป็นกังวล” “เจ้าค่ะ” สาวใช้สูงวัยรีบก้าวขึ้นรถม้า ส่วนหยวนเฟยและมู่อิง ต่างแยกย้ายไปที่ม้าของตนเอง คณะเดินทางเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนร่างที่นอนเกลื่อนอยู่เบื้องหลังสองชั่วยามต่อมา ก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า รถม้าจากเมืองหยางได้มาถึงหน้าจวนสกุลหยวน แม่ทัพสาวพร้อมด้วยสามี ยืนยิ้มกว้างเมื่อเห็นทุกคนมาถึงอย่างปลอดภัย “หยวนเฟยคารวะ คุณชายกั๋ว” กั๋วเชียวหลาง ค้อมศีรษะรับการคารวะจากชายหนุ่ม ผู้ที่ใช้แซ่เดียวกับภรรยา “พี่เฟยการเดินทางเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ มีใครดื้อรั้นหรือไม่” “ย่อมไม่มี” “ท่านพี่ นี่คือท่านพี่หยวนเฟย หัวหน้ามวลเมฆา และเขายังเป็นพี่ชายคนโตของเราสองพี่น้อง ส่วนประวัติใดนั้นคืนนี้ท่านก็ถามเขาด้วยตนเองเถิด” “เมืองหลวงยินดีต้อนรับ ท่านพี่เฟย” “พี่น้องทักทายกันจนลืมคนแก่ไปเสียแล้วกระมัง” ประตูรถม้าเปิดออก กั๋วเชียวหลางรีบก้าวยาว ๆ
จวนสกุลชู “ได้ความว่าอย่างไร” “ความเป็นมาของคุณหนูหยวนและท่านแม่ทัพหยวน ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันดีขอรับ แต่มีเรื่องที่ข้าน้อยเพิ่งรู้มา” “เรื่องอะไร” “มารดาของท่านแม่ทัพหยวนจะมาถึงเมืองหลวง ในอีกไม่กี่ชั่วยามขอรับ” “จับตาดูคนของนางให้ดี มารดาของนางคือคำตอบที่ชัดเจน” “ขอรับ” ชูถงขบกรามแน่น เขาใช้เวลากว่าสองเดือนเพื่อหาความเป็นมาของสองพี่น้อง แต่มันเหมือนปริศนาที่ซับซ้อน ได้พบนางด้วยตนเองก็ดี จะได้รู้ไปเลยว่าใช่อดีตภรรยาของเขาหรือไม่ เขาไม่อยากจะเชื่อว่านางจะรอดชีวิตมาได้ ความอดอยากสำหรับสตรีตัวคนเดียว มันเป็นไปได้ยากนักที่จะพาตนเองก้าวมาอยู่เหนือผู้คนได้เช่นนี้ ต้วนอี้เหยาหันไปสบตากับสาวใช้คนสนิท ก่อนที่ทั้งคู่จะจากไป ในเมื่อศัตรูเดินเข้ามาหานางเอง ก็ไม่สมควรให้รอดไปได้ นางไม่สนว่าคนที่กำลังเดินทางมาเมืองหลวง จะใช่สตรีผู้นั้นหรือไม่ คนตายเท่านั้นที่จะไม่มาก่อกวนครอบครัวของนางได้ “อย่าให้พลาดเป็นอันขาด” “เจ้าค่ะ”เส้นทางสู่เมืองหลวง ทิศตะวันตก
เช้าวันถัดมา ณ วังหลวง ฮ่องเต้ถึงกับใบหน้าซีดเผือด เมื่อม้าเร็วเข้ามาส่งข่าว เหล่าขุนนางที่เข้าร่วมประชุม อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอื้ออึง เมื่อข่าวการตายของแม่ทัพจ้าวและคู่หมั้น ส่วนท่านชายลั่วนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ยากจะบอกได้ว่าจะรอดชีวิตถึงเมืองหลวงหรือไม่ “ทูลฝ่าบาท แม่ทัพจ้าวเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จนทำให้ท่านชายและอาคันตุกะของแคว้นเยี่ยได้รับบาดเจ็บ นับว่ามีใจคิดคดต่อแผ่นดิน” หนึ่งในขุนนางใหญ่กราบทูลแก่ฮ่องเต้ ถ้อยคำที่พูดออกมาทำให้ท่านมหาอำมาตย์ถึงกับใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ “ข้าอยากรอฟังข้อเท็จจริงจากคนที่ร่วมคณะไปด้วย” “จะทรงรอได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคนที่รอดล้วนเป็นคนของสกุลจ้าว” คำพูดของขุนนางผู้นั้นเจาะจงไปที่จ้าวลู่เหลียน ซึ่งมีรายงานว่านางรอดชีวิตกลับมาพร้อมคณะเดินทาง แม้จะบาดเจ็ดจากการต่อสู้ ย่อมเชื่อถืออันใดไม่ได้เพราะพี่น้องต้องเข้าข้างกันอยู่ดี “ท่านกล้าดีเยี่ยงไรมาปรักปรำว่าบุตรชายของข้าคิดคด” “แค่สตรีเพียงคนเดียว ถึงกับประมือกับแขกของบ้านเมือง นี่เขาคิดว่าตนเองเป็นใครกัน”