ยามสายริมลำธาร กั๋วเชียวหลางเดินลงจากรถม้า ด้วยอาการแตกตื่นเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา รอบกายมิใช่ห้องนอนแต่เป็นรถม้า เกิดสิ่งใดกับเขากัน ไยถึงได้ไร้สติถึงเพียงนี้กัน
“ตื่นแล้วล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย แล้วมากินข้าวเราต้องเร่งเข้าเมืองหลวงกันต่อ” แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง
“เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน แล้วรถม้านั่น!”
“ไม่มีอะไรมาก ข้าแค่มิอยากเสียเวลาไปมากกว่านี้”
แม่ทัพสาวไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากความ ในเมื่อทุกคนปลอดภัยอย่างอื่นก็หาได้จำเป็นที่ต้องสาธยาย หนอนร้ายหายตัวไปตั้งแต่หัวค่ำ ป่านนี้คงใกล้เมืองหลวงเต็มทีแล้ว นางต้องการรู้ตัวคนชักใยเพื่อให้ง่ายต่อการรับมือ
กั๋วเชียวหลางได้แต่เดินไปกวักน้ำขึ้นล้างหน้า ก่อนจะกลับไปนั่งรวมกับคนของตน ที่ยื่นส่งห่ออาหารให้แก่เขา ชายหนุ่มรู้สึกหิวขึ้นมาในทันที เมื่อวานนี้เขาแทบไม่ได้กินอะไรเลย เพราะกลัวว่าเนื้อที่สั่งจะมิใช่เนื้อสัตว์
“มันคือเนื้อแพะเค็มขอรับ”
รองแม่ทัพเดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับชายหนุ่ม พร้อมไขความสงสัยให้แก่คุณชายกั๋ว เพราะจากที่เขาเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จ้องห่อเนื้อ ก็รู้ว่าคงยังระแวงอยู่นั่นเอง
“ขอบคุณ ข้ากลายเป็นภาระของพวกท่านจริงๆ”
“อย่าได้คิดเช่นนั้นเลยขอรับ คุณชายมิคุ้นชินย่อมพลาดพลั้งได้ขอรับ”
ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย เมื่อได้พูดคุยกับรองแม่ทัพ ต่างจากว่าที่ภรรยาของเขา ที่มีใบหน้าราบเรียบตลอดเวลา เมื่อทุกคนกินอาหารเสร็จสิ้นแล้ว คณะเดินทางได้เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
อีกไม่เกินสองวันพวกเขาก็ถึงเมืองหลวงแล้ว หรืออาจเร็วกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความเร็วและอุปสรรคที่มีระหว่างทาง เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมา นับว่าเป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่เลยทีเดียว และเขานับถือน้ำใจของเหล่าขุนพลแดนเหนือ ที่ไม่มองเรื่องผิดพลาดนี้เป็นสิ่งขำขัน หรือนำมาเอ่ยเย้าแหย่ให้อับอาย
สองวันต่อมา
ก่อนฟ้าสางคณะเดินทางของท่านแม่ทัพหยวน ได้เดินทางมาถึงประตูเมืองหลวง ก่อนจะได้รับการเปิดประตูเมืองเป็นกรณีพิเศษ ทั้งหมดตรงเข้าสู่วังหลวง เพื่อเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ตามพระบัญชา
กั๋วเชียวหลางส่งหญิงสาวถึงหน้าประตูวัง แม่ทัพสาวได้ก้าวขึ้นไปบนรถม้าของสกุลกั๋ว ที่มาจอดรออยู่ก่อนแล้ว นับว่านกพิราบของบิดาทำงานได้ดีเยี่ยม อย่างน้อยมันก็มาส่งสาสน์ได้ถึงมือของบิดา แทนการถูกศัตรูยิงไปตุ๋นก่อนทำงานสำเร็จ
“ตื่นมาแต่เช้า หรือยังมิทันได้นอนขอรับ”
ชายหนุ่มเอ่ยถามบิดา ที่ยืนจิบชาอยู่ข้างๆ จากสภาพที่เห็นเขาเดาว่าบิดา คงมารออยู่นี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเป็นแน่ สวมชุดเต็มยศสำหรับเข้าเฝ้า ทว่าใบหน้ากลับดูอิดโรยอยู่ไม่น้อย
“เจ้าบอกข้าว่าจะมาถึงช่วงกลางดึก มันน่านัก!”
ท่านมหาเสนาบดีทำเสียงฮึดฮัดใส่บุตรชาย เขาได้ออกมานอนรออยู่หน้าวังหลวงตั้งแต่เที่ยงคืน จนเกือบรุ่งสางเจ้าลูกตัวดีเพิ่งจะมาถึง เขาจึงได้ลงมาเพื่อให้ว่าที่สะใภ้ขึ้นไปเปลี่ยนชุดสำหรับเข้าเฝ้า
“รบกวนท่านมหาเสนาบดีแล้วเจ้าค่ะ” แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นหลังจากก้าวเข้ามาหาสองพ่อลูก
“นี่คือหน้าที่ของข้า และตัวข้าก็เต็มใจยิ่งนักที่จะเข้าเฝ้าพร้อมกับเจ้า”
กั๋วเชียวหลางกรอกตาไปมา ก่อนจะหันไปยักคิ้วกับผู้ติดตามอย่างอารมณ์ดี เขายอมรับว่านิสัยของว่าที่ภรรยา มิได้เลวร้ายอันใดแต่เขาก็ไม่รีบจะตัดสินว่านางเป็นคนดี จนมองข้ามด้านมืดของนางไป
“ขอบคุณท่านมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ ที่เมตตาต่อข้า”
“เจ้าคือว่าที่มารดาของหลานชายหญิงของข้า สกุลกั๋วเราต้องยินดีที่จะช่วยเหลือเจ้าทุกอย่าง ไปกันเถอะ! อ่อ...ส่วนเจ้ารออยู่นี้อย่าได้คิดไปไหน หากไม่มีคำสั่งของข้า อย่าได้แม้แต่จะคิดก้าวออกจากตรงนี้”
ท่านมหาเสนาบดีออกคำสั่งกับบุตรชาย ด้วยเขารู้นิสัยของกั๋วเชียวหลางดี แม่ทัพสาวค้อมหัวให้ชายหนุ่มเล็กน้อย ก่อนจะก้าวตามท่านมหาเสนาบดีเข้าประตูวังไป
“เตรียมน้ำชาให้ข้าสักถ้วยได้หรือไม่”
ชายหนุ่มเอ่ยกับคนของบิดา ราวกับว่าเกรงอีกฝ่ายจะไม่ยินยอมให้เขาได้ลิ้มรสชาตัวโปรดของบิดา
ใช้เวลากว่าสองชั่วยามในการเข้าเฝ้าส่วนพระองค์ ก่อนจะมีการเรียกประชุมขุนนางในครึ่งชั่วยามสุดท้าย เพื่อประกาศให้เหล่าขุนนางได้ทราบ ถึงการพระราชทานสมรส ระหว่างบุตรชายคนโตของท่านมหาเสนาบดีกั๋วเสวี๋ยน และท่านแม่ทัพหญิงหยวนไป่หลิน
หลังจากออกจากวังหลวง หญิงสาวก็ได้รับรายงานว่าพี่สาวเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว นางจึงเลือกไปพบพี่สาวที่จวนสกุลจ้าว เพื่อหารือเรื่องสำคัญ โดยมีกั๋วเชียวหลางติดตามไปส่ง ตามคำสั่งของบิดา
นับตั้งแต่วันนั้น ชายหนุ่มเลือกที่จะไปมาหาสู่ว่าที่ภรรยา ตามคำสั่งของมารดา แน่นอนว่าความไม่รู้จักโตของเขา ไม่ได้สร้างความรำคาญใจใดๆ แก่แม่ทัพสาวแม้แต่น้อย
คนหนึ่งนิ่งราวภูผา อีกคนลอยไปลอยมาเยี่ยงสายลม ทำให้คนที่จับตาดูความสัมพันธ์ของทั้งคู่ มีทั้งหยามใจและระวังภัย หากจะเปรียบสิ่งที่เห็นแล้ว สกุลกั๋วและหยวนเสมือนน้ำนิ่งที่ไหลเชี่ยวอยู่เบื้องล่าง แค่เผลอก้าวพลาดอาจถึงตายได้
กั๋วเชียวหลางอาจไร้สาระ แต่แม่ทัพที่ผ่านความตายมาไม่น้อย ทั้งยังมีพี่สาวที่เป็นถึงนายหญิงแห่งมวลเมฆา ย่อมไม่ธรรมดาอย่างที่ตาเห็น พี่เก่งน้องหรือจะแพ้กัน
จวนจิ้นอ๋องลั่วเจี๋ย ชายหนุ่มนั่งวาดภาพอย่างใจเย็น โดยมีคนสนิทรายงานถึงสิ่งที่เขาสั่งให้ติดตามสืบข่าว
“พวกเขาได้แสดงถึงความชอบพอกันเลยหรือ”
“ไม่ขอรับ”
“แล้วคนขององค์ชายเจ็ดเล่า ทำสิ่งใดได้บ้าง”
“เหมือนจะยังล้มเหลวขอรับ”
“ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจไป”
“ขอรับ”
อ๋องหนุ่มยกยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงนิสัยมุทะลุของน้องชาย คนที่มั่นใจจนทำอะไรแบบไม่ยั้งคิด ผลที่ตามมามันชัดเจนอยู่แล้ว ผลไม้จะอร่อยก็ต่อเมื่อมันเหลือลูกสุดท้ายและสุกงอม จึงจะได้สัมผัสกับความหอมหวานอย่างแท้จริง
สองเดือนต่อมา “นายหญิงน้อย!”ดวงตาคู่คมกำลังนั่งอ่านสาสน์ลับอยู่ พลันต้องละสายตา เมื่อเสียงของอู่หรงดังขึ้นจากด้านหน้าประตู แม่ทัพสาวลุกพรวดขึ้นในทันที เมื่อเห็นสภาพของอู่หรงถนัดตา“เกิดอะไรขึ้น!”“นายหญิงได้ถูกพิษเจ้าค่ะ”“มู่อิง! ทางนี้ให้เจ้าจัดการ ฮ้าวเฉิน เอากล่องยาแล้วตามข้ามาเร็วเข้า”แม่ทัพสาววิ่งตรงไปยังคอกม้าที่อยู่ท้ายจวน ก่อนที่นางจะตวัดสายตาไปยังพวกนกกระจอก ที่ไม่ยอมหลับนอนเอาแต่เฝ้าจับตานางมิรู้เหน็ดเหนื่อย“มิต้องห่วงทางนี้เจ้าค่ะ บ่าวจัดการเอง”มู่อิงกระชับดาบคู่ใจ พุ่งตรงไปยังเป้าหมาย โดยมีพ่อบ้านจวนแม่ทัพติดตามไปช่วยเหลือ แม่ทัพสาวพร้อมด้วยอู่หรงและฮ้าวเฉิน ต่างรีบขึ้นนั่งบนหลังม้า ควบออกไปอย่างรวดใช้เวลาไม่นานนัก ม้าได้หยุดลงยังหน้าจวนสกุลจ้าว แม่ทัพสาวเหวี่ยงกายลงจากหลังม้า ก่อนจะติดตามอู่หรงเข้าไปด้านในจวน โดยมีฮ้าวเฉินก้าวตามไปติดๆแม่ทัพสาวก้าวเข้าไปในห้องด้วยความร้อนใจ แม้ใบหน้าของนางจะยังคงเรียบนิ่ง ทว่าภายในใจนั้น แทบระเบิดออกมาด้วยโทสะอันพลุ่งพล่านหญิงสาวเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง โดยที่ยังไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา และดูเหมือนว่าที่พี่เขย ยังคงเรียกสติตน
หยวนไป่หลินอ่านความรู้สึกของว่าที่พี่เขยออก เขายึดมั่นว่าต้องแต่งกับคนที่ช่วยพ่อแม่ของเขา จนเกิดความสับสนในใจ นางเคยผ่านการมีรัก ย่อมมองออกว่าแม่ทัพจ้าว กำลังอยากสานสัมพันธ์อันดีต่อพี่สาวของนาง “ข้าขออภัย ที่คิดเช่นนั้น” แม่ทัพหนุ่มไม่คิดที่จะปฏิเสธในสิ่งที่หยวนไป่หลินพูด เขาเองก็สับสนว่าทำไมต้องใส่ใจเรื่องเล็กน้อยนี้ด้วย เพราะเขาตั้งใจแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับหยวนไป่หลิง “ข้ามิอาจถือสาความคิดของท่านแม่ทัพได้ แต่ข้าอยากให้ท่านแม่ทัพถามใจตนเองให้ดี ก่อนจะตัดสินใจอะไรไป เพราะหนึ่งคำพูดอาจทำให้บางความรู้สึกขาดสะบั้นลง ชนิดที่ไม่สามารถสมานคืนได้เลย” “ข้ารู้แล้ว” “ท่านแม่ทัพกับพี่ใหญ่ โชคดีกว่าข้านัก ที่ยังได้ชิดใกล้กันก่อนตัดสิ้นใจว่าภายหน้าจะร่วมเดิน หรือแยกกันเดินคนละเส้นทาง แต่ข้าที่นั่งในตำแหน่งเท่าเทียมท่าน หาได้มีโอกาสเช่นนั้นไม่” แม่ทัพหนุ่มเหลียวมองหยวนไป่หลินอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มเนือย ๆ ให้หญิงสาว เขาอยากบอกนางยิ่งนัก ว่าคงมีเพียงเขาที่จับตาดูพี่สาวของนาง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น หยวนไป่หลิงไม่แม้แต่
“ไม่ต้อง! ปล่อยให้มันระวังตัวขึ้นอีกสักหน่อย ความระแวงของพวกเขาจะทำให้เราทำงานง่ายขึ้น” “ขอรับ” “อีกเจ็ดวันพี่ใหญ่ต้องออกเดินทางไปชายแดนตะวันออก เจ้าติดตามนางไป ทางนี้ข้ามีคนอยู่มาก สัญญากับข้าว่าจะพานางกลับมาอย่างปลอดภัย” “ฮ้าวเฉินจะไม่ทำให้นายหญิงน้อยผิดหวังขอรับ” “ข้ารู้นิสัยนางและพวกเจ้าทุกคนดี อย่าลงมือเกินกำลัง เบื้องหน้าพวกเจ้าจัดการได้ ในเงามืดให้เหล่าวิหกจัดการไป” “ทราบแล้วขอรับ” เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามค่ำคืน แม่ทัพสาวจึงได้ออกไปร่วมงานเลี้ยงที่สกุลกู้ พร้อมกับว่าที่สามี ทำให้คนที่ซุ่มจับตาดูพี่น้องสกุลหยวน ไม่อาจเดาทิศทางของทั้งคู่ได้เลย “ขอโทษที่ข้าทำให้ท่านล่าช้า”แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นด้วยรู้สึกเห็นใจ ที่กั๋วเชียวหลางต้องมาเสียเวลารอนางอยู่นานพอสมควร “แบบนี้ดีแล้ว เราจะได้รีบกลับ”กั๋วเชียวหลางรู้สึกเช่นนั้นจริง เขาเบื่อหน่ายงานเลี้ยงเป็นที่สุด ยิ่งรู้ว่าศัตรูเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เขา ทั้งยังอุตส่าห์ส่งหญิงงามมา หมายจะให้พัวพันชีวิตเขา จนการแต่งงานมีเรื่องสั่นคลอน หมากบางตัว
“เจ้ารู้ใช่ไหม! ว่าข้ามิอาจลงมือทำอันใดได้ในตอนนี้” “หน้าที่ของท่านคือสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ตกปลาไม่มีเหยื่อชั้นดีล่อ มีหรือปลาจะติดเบ็ดเรา” แม่ทัพสาวขยับกายเตรียมที่จะลงจากรถม้า ทว่ามือหนาของชายหนุ่มยังคงรั้งไว้ ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่แม่ทัพสาวจะถอนหายใจหนัก ๆ อย่างจำยอม “ท่านจะเอายังไง!” “ข้าไปด้วย” “หากมีใครเห็นท่านเข้า ทุกอย่างจะพังทั้งที่ยังมิลงมือ” “ข้ามิใช่เด็กอมมือ” “ก็ได้!” แม่ทัพสาวเป่าปากสามครั้ง เพื่อเป็นสัญญาณให้คนขับรถม้ารู้ในสิ่งที่ต้องทำ ความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับคบไฟที่อยู่ด้านท้ายรถม้าจะดับลง ก่อนที่ความเร็วของรถม้าจะกลับมาเป็นปกติจวนสกุลชู ท่านเสนาบดีชูรีบเดินตรงไปยังห้องหนังสือ โดยไม่สนใจว่าภรรยานั้นพยายามก้าวตามให้ทันเขา ด้วยสิ่งที่คาใจมันน่ากลัวกว่านั้นหลายเท่านักเพราะถ้าสิ่งที่คิดเป็นจริงขึ้นมา อนาคตของเขาคงต้องแขวนอยู่บนเส้นด้าย จะรอดหรือร่วง ผู้กำหนดจะเป็นคนในความคิดเขาในทันที หาใช่ตัวเขาที่กำหนดมันเช่นตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม
“ส่งคนออกตรวจโดยรอบ ข้ารู้สึกว่ามีคนกำลังซุ่มมองเราอยู่” “ขอรับ” สั่งการเสร็จร่างสูงของจิ้งอ๋องลั่วเจี๋ยได้เดินจากไปในทันที จะเป็นใครเขาก็ไม่สนใจแล้วในเวลานี้ เพราะสิ่งที่ต้องทำสำคัญกว่านั้นมากนัก แม่ทัพสาวโน้มใบหน้าไปกระซิบกับชายหนุ่มข้างกาย ก่อนที่ทั้งคู่จะหายไปจากตรงนั้น สองร่างออกมาหยุดยืนอยู่ข้าลำธารด้วยใบหน้าอันตึงเครียด “เจ้าจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี” “ไม่เริ่มจากใครทั้งนั้น เพราะการเคลื่อนไหวของเรา รังแต่จะเพิ่มอันตรายให้แก่สกุลกั๋วและจ้าว” “ข้าเพิ่งเข้าใจว่าทำไมฝ่าบาทถึงเลือกให้เจ้า มารักษาการแทนจ้าวลู่เชียน” “ชั่วคราวเท่านั้น” แก๊ก! เสียงจากด้านในของป่า ทำให้การสนทนาหยุดลง หมับ! ฟึ่บ! แม่ทัพสาวดึงร่างของชายหนุ่มหลบไปพิงอยู่กับหลังต้นไม้ โดยไม่คิดจะหันมองเขาแม้แต่น้อย ทว่าสายตาจับจ้องไปในความมืด จุดที่ทั้งสองอยู่แสงจันทร์ลงมาถึง จึงเป็นเป้ากลางแจ้งกว่าอีกฝ่าย “อย่าให้ใครรู้ตัวตนของท่าน” กั๋วเชียวหลางได้แต่พยักหน้ารับ ให้กับแผ่นหลังเหยียดตรงของหญิงสา
เช้าวันถัดมา ณ วังหลวง ฮ่องเต้ถึงกับใบหน้าซีดเผือด เมื่อม้าเร็วเข้ามาส่งข่าว เหล่าขุนนางที่เข้าร่วมประชุม อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอื้ออึง เมื่อข่าวการตายของแม่ทัพจ้าวและคู่หมั้น ส่วนท่านชายลั่วนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ยากจะบอกได้ว่าจะรอดชีวิตถึงเมืองหลวงหรือไม่ “ทูลฝ่าบาท แม่ทัพจ้าวเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จนทำให้ท่านชายและอาคันตุกะของแคว้นเยี่ยได้รับบาดเจ็บ นับว่ามีใจคิดคดต่อแผ่นดิน” หนึ่งในขุนนางใหญ่กราบทูลแก่ฮ่องเต้ ถ้อยคำที่พูดออกมาทำให้ท่านมหาอำมาตย์ถึงกับใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ “ข้าอยากรอฟังข้อเท็จจริงจากคนที่ร่วมคณะไปด้วย” “จะทรงรอได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคนที่รอดล้วนเป็นคนของสกุลจ้าว” คำพูดของขุนนางผู้นั้นเจาะจงไปที่จ้าวลู่เหลียน ซึ่งมีรายงานว่านางรอดชีวิตกลับมาพร้อมคณะเดินทาง แม้จะบาดเจ็ดจากการต่อสู้ ย่อมเชื่อถืออันใดไม่ได้เพราะพี่น้องต้องเข้าข้างกันอยู่ดี “ท่านกล้าดีเยี่ยงไรมาปรักปรำว่าบุตรชายของข้าคิดคด” “แค่สตรีเพียงคนเดียว ถึงกับประมือกับแขกของบ้านเมือง นี่เขาคิดว่าตนเองเป็นใครกัน”
จวนสกุลชู “ได้ความว่าอย่างไร” “ความเป็นมาของคุณหนูหยวนและท่านแม่ทัพหยวน ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันดีขอรับ แต่มีเรื่องที่ข้าน้อยเพิ่งรู้มา” “เรื่องอะไร” “มารดาของท่านแม่ทัพหยวนจะมาถึงเมืองหลวง ในอีกไม่กี่ชั่วยามขอรับ” “จับตาดูคนของนางให้ดี มารดาของนางคือคำตอบที่ชัดเจน” “ขอรับ” ชูถงขบกรามแน่น เขาใช้เวลากว่าสองเดือนเพื่อหาความเป็นมาของสองพี่น้อง แต่มันเหมือนปริศนาที่ซับซ้อน ได้พบนางด้วยตนเองก็ดี จะได้รู้ไปเลยว่าใช่อดีตภรรยาของเขาหรือไม่ เขาไม่อยากจะเชื่อว่านางจะรอดชีวิตมาได้ ความอดอยากสำหรับสตรีตัวคนเดียว มันเป็นไปได้ยากนักที่จะพาตนเองก้าวมาอยู่เหนือผู้คนได้เช่นนี้ ต้วนอี้เหยาหันไปสบตากับสาวใช้คนสนิท ก่อนที่ทั้งคู่จะจากไป ในเมื่อศัตรูเดินเข้ามาหานางเอง ก็ไม่สมควรให้รอดไปได้ นางไม่สนว่าคนที่กำลังเดินทางมาเมืองหลวง จะใช่สตรีผู้นั้นหรือไม่ คนตายเท่านั้นที่จะไม่มาก่อกวนครอบครัวของนางได้ “อย่าให้พลาดเป็นอันขาด” “เจ้าค่ะ”เส้นทางสู่เมืองหลวง ทิศตะวันตก
“ป้าจูเสร็จธุระของนางแล้ว เราก็เร่งออกเดินทางเข้าเมืองหลวงกันเถอะ หากค่ำมืดจะทำให้ท่านแม่ทัพของเจ้าเป็นกังวล” “เจ้าค่ะ” สาวใช้สูงวัยรีบก้าวขึ้นรถม้า ส่วนหยวนเฟยและมู่อิง ต่างแยกย้ายไปที่ม้าของตนเอง คณะเดินทางเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนร่างที่นอนเกลื่อนอยู่เบื้องหลังสองชั่วยามต่อมา ก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า รถม้าจากเมืองหยางได้มาถึงหน้าจวนสกุลหยวน แม่ทัพสาวพร้อมด้วยสามี ยืนยิ้มกว้างเมื่อเห็นทุกคนมาถึงอย่างปลอดภัย “หยวนเฟยคารวะ คุณชายกั๋ว” กั๋วเชียวหลาง ค้อมศีรษะรับการคารวะจากชายหนุ่ม ผู้ที่ใช้แซ่เดียวกับภรรยา “พี่เฟยการเดินทางเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ มีใครดื้อรั้นหรือไม่” “ย่อมไม่มี” “ท่านพี่ นี่คือท่านพี่หยวนเฟย หัวหน้ามวลเมฆา และเขายังเป็นพี่ชายคนโตของเราสองพี่น้อง ส่วนประวัติใดนั้นคืนนี้ท่านก็ถามเขาด้วยตนเองเถิด” “เมืองหลวงยินดีต้อนรับ ท่านพี่เฟย” “พี่น้องทักทายกันจนลืมคนแก่ไปเสียแล้วกระมัง” ประตูรถม้าเปิดออก กั๋วเชียวหลางรีบก้าวยาว ๆ
สิบวันต่อมา จวนสกุลกั๋ว หลังจากเรื่องวุ่นวายสิ้นสุดลง กว่าที่สองสามีภรรยาจะได้พบหน้ากัน ก็กินเวลาไปนับสิบวันเลยทีเดียว หมับ! กั๋วเชียวหลางคว้าร่างภรรยาเข้าสู่อ้อมแขน แม่ทัพสาวยังคงนิ่งงันด้วยมิคิดว่าเขาจะทำเช่นนี้ “คืนนี้เราจะไม่คุยเรื่องงาน ทั้งของเจ้าและข้า แต่จะเป็นเรื่องของเราเท่านั้น” ชายหนุ่มพูดชิดอยู่กับกลุ่มผมดกดำของภรรยา แม้ว่าใจของเขาจะแป้วไปมาก ด้วยนางยืนนิ่งในอ้อมกอดของเขา แต่ทว่ามิได้โอบรัดเขาตอบเลยแม้แต่น้อย “เรื่องไหน!” คำถามห้วนสั้นของนาง แทบจะทำให้กั๋วเชียวหลางหลั่งน้ำตา เขาอยากให้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึก ที่เขาพยายามถ่ายทอดให้แก่นางในตอนนี้ “เรื่องอนาคตของครอบครัวเราอย่างไรเล่า” “ว่ามาสิ!” แม่ทัพสาวมิใช่ไม่รู้ว่าตอนนี้ สามีของนางกำลังต้องการสื่อถึงอะไร หากนางไร้ความทรงจำในอีกโลก อาจยังไม่รู้ประสากับความรัก แต่เพราะนางเคยมีมันมาก่อนแล้ว จึงรู้ว่าตอนนี้สามี กำลังรู้สึกเยี่ยงไรต่อนาง “อื้อ!” ไม่มีคำพูดใดนอกจากเสียงครางเบา ๆ เมื่อริมฝีปากหนาประกบลงบนเรี
จ้าวลู่เชียนไม่คิดเอ่ยถามหาความกระจ่างแล้ว สิ่งที่ผู้คนมากมายต้องการรู้ เขาก็ได้เห็นชัดแก่สายตาแล้ว ว่าใครคือนายแห่งวิหกฟ้า หยวนไป่หลิงรีบเดินเข้าไปหามารดา ก่อนจะสวมกอดเอาไว้แน่น นางอยู่กับแม่มากกว่าน้องสาวและพี่ชาย ตอนที่เห็นคมมีดกดลงใบบนผิวอ่อนนุ่มของมารดา นางแทบอยากจะฉีกสตรีผู้นั้นออกเป็นชิ้น ๆ เสียในทันที “เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย แม่ดีใจเหลือเกิน” “จะมาเมืองหลวงไยมิรอข้าก่อน” “เป็นพี่เองที่อยากมาดูหน้าน้องเขย ท่านแม่เลยติดตามมาด้วยเพราะพี่จะทำตัวมุทะลุ” “ข้านึกว่าพี่เฟยจะคอยออกรับแทนข้ากับหลินเอ๋อร์เท่านั้น แล้วไยวันนี้ท่านกลับออกรับแทนท่านแม่เสียได้” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดกับพี่ชาย แน่นอนว่าเฟยไม่อาจต้านทานอาการนี้ของน้อง ๆ ได้ จึงทำเพียงยิ้มแห้ง ๆ แก้เก้อ ก่อนจะมองไปที่ผู้เป็นแม่ “แม่เรียกพี่ชายเจ้ามา เพื่อเข้าเมืองหลวงเอง เจ้ารู้นิสัยของหลินเอ๋อร์ดีมิใช่หรือ ไม่มีเจ้าอยู่ด้วย แม่เกรงนางจะทำให้ตนเองไม่สบายใจไปชั่วชีวิต” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สายตาคู่งามก็หันมองไปยั
“สิ่งใดเช่นนั้นรึพ่ะย่ะค่ะ ทรงเห็นความดีของข้าบ้างไหม หรือคิดแค่ว่าตัวข้าอ่อนแอไร้สามารถ ตำแหน่งที่คู่ควรจึงไม่คิดจะมอบให้” “ความดีอย่างนั้นเหรอ เจ้าเห็นข้าเป็นลารึยังไง เจ้าคิดว่าพ่ออย่างข้ามองลูกตัวเองไม่ออกสักคนเลยรึ! เจ้าฆ่าพี่ชายหวังชิงตำแหน่ง หาหนส่งหลานตัวเองไปตายใต้คมดาบศัตรู แม้แต่พี่สาวน้องสาวที่มิอาจครองบัลลังก์ ก็เป็นเจ้าที่ทำให้พวกนางต้องแต่งไปแคว้นอื่น ไยมิเอาความฉลาดของเจ้าช่วยเหลือบ้านเมืองของเราให้รุ่งเรือง” “เพราะข้าอยากนั่งแทนที่ท่านอย่างไรเล่า!” ลั่วเจี๋ยกวาดสายตามองศัตรู ที่ซ้อนแผนเขาได้อย่างแนบเนียน ถึงว่าทำไมบิดายอมทำตามคำของมารดาง่ายดายเช่นนั้น ไม่ว่าจะเรื่องแต่งงานของกั๋วเชียวหลางและหยวนไป่หลิน แม้แต่การส่งลั่วหยางไปชายแดน ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นกับดักที่วางเอาไว้ แค่รอเขาวิ่งมาติดกับ แต่ไม่ว่ายังไงวันนี้ เขาเท่านั้นที่จะกลายเป็นฮ่องเต้คนใหม่ ที่ไร้มลทินจากคำว่ากบฏ “คิดว่าจะมีใครรอดออกจากประตูวังหลวงไปได้อย่างนั้นรึ!” “หากจะรอกองกำลังที่ท่านอาเตรียมการไว้นั้น อย่ารอเลยพ่ะย่ะค่ะ เพ
“มุทะลุได้ใจดีองค์ชายเจ็ด” แม่ทัพสาวก้าวเข้ามายืนขวางระหว่างผู้เป็นนาย กับสองแม่ลูกที่หมายช่วงชิงอำนาจ “ข้าอยากรู้นัก ที่ผู้คนยำเกรงเจ้าที่มากด้วยฝีมือ จะเอาชีวิตรอดจากตรงนี้ไปได้ไหม” ลั่วเจี้ยนวาดแขนกันมารดาให้ไปอยู่เบื้องหลังของตนเอง ก่อนจะพุ่งเข้าหาแม่ทัพหญิง เขาชิงชังสตรีที่คิดว่าตนเองเทียบเท่าบุรุษยิ่งนัก หยวนไป่หลินยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะขยับเท้าเข้าหาองค์ชายเจ็ดการต่อสู้ของผู้ที่อยากนั่งบัลลังก์กับผู้พิทักษ์บัลลังก์ เป็นไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธกระทบกันดังขึ้นรอบด้าน แผนการที่วางไว้ พลันต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะความคับแค้นใจของหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่ทนนิ่งเงียบเพื่อรอวันนี้ ชูเยี่ยนมองหน้ามารดาด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ นางคิดเสมอว่าตนเองเหนือกว่าใคร ๆ แต่วันนี้นางเห็นชัดเจนแล้ว ว่าชาติกำเนิดไม่ได้การรันตีว่านางคือที่หนึ่ง ที่ผ่านมานางเสมือนเงา ไม่เคยมีตัวตนในสายตาของชายคนรัก เป็นนางเองที่พยายามจะไขว่คว้า ทว่าอีกฝ่ายกลับหวังเพียงผลประโยชน์เท่านั้น “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้วว่ามารดาที่อุ้มท้องลูก โดยบุรุษไม่ยอมรั
“พี่ชายของข้า รู้จักเพียงการปกป้องครอบครัว”แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยน ชีวิตของคนอื่นอาจราบรื่นเพราะร่ำรวย แต่ชีวิตของลูกหญิงหม้ายนั้นล้วนต้องต่อสู้ การที่พี่ชายบุญธรรมไม่ค่อยแสดงตัว มิใช่เขาถูกลืม แต่เพราะเขาเลือกทำหน้าที่เป็นปีกที่กางปกป้องครอบครัวอยู่เบื้องหลัง เขาคือเงาที่ไม่เคยหายไปไหน แค่ไม่ชื่นชอบเปิดเผยตัวก็เท่านั้น“ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไม การค้าของมวลเมฆาถึงมั่นคงนัก”“การให้ใจคนใช่ว่าเราจะได้ใจตอบแทนเสมอ ทุกอย่างล้วนเสี่ยงทั้งสิ้น”“วันนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว เราเข้านอนกันเถอะ”กั๋วเชียวหลางจูงมือภรรยาเข้าเรือน เขาไม่สนว่าตอนนี้จะมีสายตาของศัตรูคนไหนซุ่มมองอยู่ เพราะอีกไม่กี่วันทุกอย่างก็จะต้องจบสิ้น มิว่าจะเป็นฝ่ายไหนกำชัย ขอแค่เวลาที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้ เขาได้ใช้มันให้คุ้มค่าก็ดีมากแล้วสิบห้าวันต่อมา วังหลวง เสียงดนตรีดังก้องไปทั้งลานหน้าท้องพระโรง เพื่อเฉลิมฉลองสำหรับงานอภิเษกสมรสขององค์ชายเจ็ด แขกจากต่างเมืองที่มาถึงก่อนหน้า ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง พระนางกุ้ยเฟยคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อเห็นโอรสคนโปรด กำลังจะก้าวสู่อำน
ชูถงมองหน้าชายหนุ่ม ที่อ้างตัวเป็นบุตรชายคนโตของอดีตภรรยา ความสับสนเกิดขึ้นมาในทันที หากเป็นคู่แฝดอายุของพวกนาง คือลูกของเขาอย่างแน่นอน แต่ชายหนุ่มตรงหน้าย่อมไม่ใช่บุตรชายของเขา ด้วยวัยที่มันเกินจากที่เขาคิดคำนวณ“เจ้าคิดจะหลอกลวงข้าสินะ!”“ข้ามีนามว่าหยวนเฟย ท่านจะถามใครในเมืองหน้าด่านชายแดนตะวันออกก็ได้ ทุกคนรู้หมดว่าข้าคือบุตรชายคนโตของนายหญิงใหญ่หยวนไป่หลี”“หากเจ้าเป็นบุตรชายของนางจริง ไยจึงได้ยินยอมให้น้องสาวออกเรือนก่อนได้เล่า”“การออกเรือนก่อนหลังมันจะเป็นอะไรไป ในเมื่อข้าพอใจที่จะอยู่แบบนี้ ไยข้าต้องรั้งชีวิตน้อง ๆ ไว้กับตัวเอง เพียงเพราะข้ายังไม่ออกเรือน แล้วอีกอย่างท่านรู้ได้อย่างไร ว่าข้ายังไม่ออกเรือน เป็นเห็บเกาะตัวข้าอยู่รึ! รู้จักกันหรือก็มิเคย ยังมาสู่รู้เรื่องครอบครัวคนอื่นอยู่อีก”กั๋วเชียวหลางที่เดินมาตามภรรยา ได้แต่กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ เมื่อได้ยินฝีปากของหยวนเฟย เขาต้องทำตัวให้คุ้นชินกับคำเลาะร้ายของคนสกุลนี้ให้มากกว่าเดิม“ท่านเสนาบดี มาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ ข้าไม่เห็นมีบ่าวมารายงานเลยว่าท่านมาเยือนกลางดึก”“ข้ามาทักทายคนรู้จัก”“ใครกันที่ท่านรู้จัก”กั๋วเชียว
“ป้าจูเสร็จธุระของนางแล้ว เราก็เร่งออกเดินทางเข้าเมืองหลวงกันเถอะ หากค่ำมืดจะทำให้ท่านแม่ทัพของเจ้าเป็นกังวล” “เจ้าค่ะ” สาวใช้สูงวัยรีบก้าวขึ้นรถม้า ส่วนหยวนเฟยและมู่อิง ต่างแยกย้ายไปที่ม้าของตนเอง คณะเดินทางเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนร่างที่นอนเกลื่อนอยู่เบื้องหลังสองชั่วยามต่อมา ก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า รถม้าจากเมืองหยางได้มาถึงหน้าจวนสกุลหยวน แม่ทัพสาวพร้อมด้วยสามี ยืนยิ้มกว้างเมื่อเห็นทุกคนมาถึงอย่างปลอดภัย “หยวนเฟยคารวะ คุณชายกั๋ว” กั๋วเชียวหลาง ค้อมศีรษะรับการคารวะจากชายหนุ่ม ผู้ที่ใช้แซ่เดียวกับภรรยา “พี่เฟยการเดินทางเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ มีใครดื้อรั้นหรือไม่” “ย่อมไม่มี” “ท่านพี่ นี่คือท่านพี่หยวนเฟย หัวหน้ามวลเมฆา และเขายังเป็นพี่ชายคนโตของเราสองพี่น้อง ส่วนประวัติใดนั้นคืนนี้ท่านก็ถามเขาด้วยตนเองเถิด” “เมืองหลวงยินดีต้อนรับ ท่านพี่เฟย” “พี่น้องทักทายกันจนลืมคนแก่ไปเสียแล้วกระมัง” ประตูรถม้าเปิดออก กั๋วเชียวหลางรีบก้าวยาว ๆ
จวนสกุลชู “ได้ความว่าอย่างไร” “ความเป็นมาของคุณหนูหยวนและท่านแม่ทัพหยวน ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันดีขอรับ แต่มีเรื่องที่ข้าน้อยเพิ่งรู้มา” “เรื่องอะไร” “มารดาของท่านแม่ทัพหยวนจะมาถึงเมืองหลวง ในอีกไม่กี่ชั่วยามขอรับ” “จับตาดูคนของนางให้ดี มารดาของนางคือคำตอบที่ชัดเจน” “ขอรับ” ชูถงขบกรามแน่น เขาใช้เวลากว่าสองเดือนเพื่อหาความเป็นมาของสองพี่น้อง แต่มันเหมือนปริศนาที่ซับซ้อน ได้พบนางด้วยตนเองก็ดี จะได้รู้ไปเลยว่าใช่อดีตภรรยาของเขาหรือไม่ เขาไม่อยากจะเชื่อว่านางจะรอดชีวิตมาได้ ความอดอยากสำหรับสตรีตัวคนเดียว มันเป็นไปได้ยากนักที่จะพาตนเองก้าวมาอยู่เหนือผู้คนได้เช่นนี้ ต้วนอี้เหยาหันไปสบตากับสาวใช้คนสนิท ก่อนที่ทั้งคู่จะจากไป ในเมื่อศัตรูเดินเข้ามาหานางเอง ก็ไม่สมควรให้รอดไปได้ นางไม่สนว่าคนที่กำลังเดินทางมาเมืองหลวง จะใช่สตรีผู้นั้นหรือไม่ คนตายเท่านั้นที่จะไม่มาก่อกวนครอบครัวของนางได้ “อย่าให้พลาดเป็นอันขาด” “เจ้าค่ะ”เส้นทางสู่เมืองหลวง ทิศตะวันตก
เช้าวันถัดมา ณ วังหลวง ฮ่องเต้ถึงกับใบหน้าซีดเผือด เมื่อม้าเร็วเข้ามาส่งข่าว เหล่าขุนนางที่เข้าร่วมประชุม อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอื้ออึง เมื่อข่าวการตายของแม่ทัพจ้าวและคู่หมั้น ส่วนท่านชายลั่วนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ยากจะบอกได้ว่าจะรอดชีวิตถึงเมืองหลวงหรือไม่ “ทูลฝ่าบาท แม่ทัพจ้าวเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จนทำให้ท่านชายและอาคันตุกะของแคว้นเยี่ยได้รับบาดเจ็บ นับว่ามีใจคิดคดต่อแผ่นดิน” หนึ่งในขุนนางใหญ่กราบทูลแก่ฮ่องเต้ ถ้อยคำที่พูดออกมาทำให้ท่านมหาอำมาตย์ถึงกับใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ “ข้าอยากรอฟังข้อเท็จจริงจากคนที่ร่วมคณะไปด้วย” “จะทรงรอได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคนที่รอดล้วนเป็นคนของสกุลจ้าว” คำพูดของขุนนางผู้นั้นเจาะจงไปที่จ้าวลู่เหลียน ซึ่งมีรายงานว่านางรอดชีวิตกลับมาพร้อมคณะเดินทาง แม้จะบาดเจ็ดจากการต่อสู้ ย่อมเชื่อถืออันใดไม่ได้เพราะพี่น้องต้องเข้าข้างกันอยู่ดี “ท่านกล้าดีเยี่ยงไรมาปรักปรำว่าบุตรชายของข้าคิดคด” “แค่สตรีเพียงคนเดียว ถึงกับประมือกับแขกของบ้านเมือง นี่เขาคิดว่าตนเองเป็นใครกัน”