“ก่อนออกเดินทาง เราค่อยจ้างคนมาคอยดูแล และปลูกดอกไม้ให้แก่แม่ของเจ้า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ”
“พวกท่านเป็นใครกัน”
เสียงของชายชราจากด้านหลัง ทำให้สองนายบ่าวหันกลับไปมองอย่างใจเย็น
“ข้ากับน้องสาวมาเคารพญาติ”
“นางไร้ญาติมานานแล้ว นับตั้งแต่บุตรสาวของนางถูกขายไปเป็นทาสให้แก่พวกวาณิช”
น้ำเสียงติดกรุ่นโกรธของชายชรา ทำให้คิ้วเข้มของสองนายบ่าวขมวดเป็นปม ก่อนที่มู่อิงจะดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น คนที่นางคิดว่าตายไปแล้ว วันนี้กลับมาปรากฏต่อหน้านางราวชะตานำพายิ่งนัก
“ท่านลุง”
มู่อิงเรียกชายชราผู้เป็นพี่ชายของมารดา ซึ่งก็คือญาติฝั่งมารดาเพียงคนเดียวที่นางเหลืออยู่
“เจ้าคือ!”
“ข้า...”
หญิงสาวหันไปสบตากับผู้เป็นนาย เพื่อขอความเห็นว่านางควรเปิดเผยตัวหรือไม่ ด้วยตำแหน่งของผู้เป็นนายในตอนนี้ ใช่ว่าจะป่าวประกาศได้อย่างสะดวกนัก ด้วยอันตรายมีอยู่รอบด้าน
และนางก็คือคนที่ศัตรูของท่านแม่ทัพรู้จักเป็นอย่างดี ในฐานะมือซ้ายที่เคียงข้างมิห่างกาย แม่ทัพสาวพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะยิ้มอย่างให้กำลังใจต่อสาวใช้ ที่เสมือนน้องสาวอีกคนของนาง เช่นเดียวกันกับอู่หรง
“ข้าเอง...มู่อิง”
“ห๊า! เป็นเจ้าจริง ๆ เช่นนั้นรึ! ดวงตาข้าฝ้าฟางจนมองอะไรไม่ชัดเจนเช่นในอดีต เจ้าเป็นหลานสาวข้าจริง ๆ รึ! ฮือ ๆ เจ้า...เจ้ากลับมาแล้ว นางกลับมาแล้วนะเม่ยเม่ย ลูกสาวเจ้ากลับมาหาเราแล้ว”
ชายชราร้องไห้ราวเด็กน้อย มือหยาบกร้านบีบมือของหลานสาวแน่น เขาในอดีตต้องเดินทางทำการค้า จนครั้งล่าสุดถูกคดโกงจนไม่เหลือสิ่งใด กลับมาบ้านเกิดก็ได้รับข่าวร้าย
หลานสาวถูกขายมิรู้ชะตากรรม เมียรักที่คิดว่าซื่อตรงต่อเขา แต่งงานกับชายอื่น เพราะคิดว่าเขาตายไปแล้ว ลูกชายถูกทำร้ายจากสามีใหม่ของอดีตเมียรัก
เขาในฐานะพ่อที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เลือกที่จะลักพาตัวลูกชายออกจากบ้านของภรรยา แล้วก็ระหกระเหินไปยังต่างเมือง จนเวลาล่วงเลยไปนับสิบปี เขาจึงได้กลับมาที่เมืองนี้ และมาอาศัยอยู่กระท่อมชายป่า หวังที่จะตายในบ้านเกิดเท่านั้น
“ท่านพ่อ! เกิดสิ่งใดขึ้น บิดาข้าแค่คนชราคุณหนูทั้งสองโปรดอย่าได้ถือสาเลยนะขอรับ”
สองนายบ่าวมองไปยังชายหนุ่ม ที่มีรูปร่างกำยำเช่นคนทำงานหนัก บนใบหน้ามีร่องรอยบาดแผลขนาดใหญ่ จากปลายหางตายาวลงมาจนถึงคาง
มู่อิงกำหมัดแน่นเมื่อเห็นสภาพของน้องชาย นางจำได้ดีว่าเด็กชายตัวน้อย มักแอบเอาหมั่นโถวมาให้พี่สาวผู้นี้ ในยามที่ถูกบิดาลงโทษไม่ให้ดื่มกิน น้องชายของนางเดินจากบ้านสกุลเกา มาจนถึงสกุลมู่เพียงเพื่อหยิบยื่นน้ำใจให้พี่สาวเช่นนาง
“ชุนหลาง! พี่สาวเจ้าอย่างไรเล่า”
มู่อิงเรียกน้องชาย ก่อนที่จะยกมือปาดน้ำตาที่เอ่อไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ใครกันทำร้ายน้องน้อยของนางเช่นนี้ หากไร้รอยแผลเป็นบนใบหน้า เกาชุนหลางต้องหล่อเหลามากทีเดียว
“พี่สาว...ใช่ท่านจริง ๆ หรือพี่...กลับมาแล้ว...ฮึก ๆ”
ชายหนุ่มร้องไห้ราวเด็กห้าขวบ เขากับพี่สาวจากกันนานเหลือเกิน ในวันที่พี่สาวถูกลากไปตามถนนโดยบิดาของนาง เขาถูกมารดาพาตัวกลับไปขังไว้ในห้องเก็บฟืน
นับแต่นั้นเขาถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัสมาตลอด จนวันที่บิดามาลักพาตัวออกจากบ้านพ่อเลี้ยง เขายินดีอดมื้อกินมื้อ ขอแค่ได้อยู่กับบิดาที่รักเขาเท่านั้นก็พอ
การเร่ร่อนไปต่างเมืองทั้งเพื่อทำมาหากิน และตามหาพี่สาวของเขาไปด้วย แม้มันจะลำบากไม่น้อยเลย แต่ก็มีคำว่าความหวังเป็นแรงใจมาโดยตลอด
“ข้ากับท่านพ่อตามหาพี่มิเคยสักครั้ง ที่จะไม่ตามหาท่านพี่มู่อิง”
“พี่กลับมาแล้ว พี่อยู่ตรงนี้น้องรัก”
มู่อิงไม่อาจที่จะห้ามน้ำตาอีกต่อไปได้แล้ว สองพี่น้องร้องไห้กอดกันแน่น โดยมีชายชราโอบลูกและหลานเอาไว้กับอก ภาพนี้ทำให้แม่ทัพสาวจำต้องเบนสายตาไปทางอื่น
การพลัดพรากของทั้งสามยังมีโอกาสพบเจอ แต่นางกับครอบครัวในชีวิตเก่า ช่างห่างไกลคำว่าได้พบเจอกันอีกชั่วลมหายใจ พ่อแม่และน้องชายก็คงคิดถึงนาง เช่นที่ชายชราและบุตรชายของเขาคิดถึงมู่อิง
“เรากลับบ้านกันนะเจ้าคะ”
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ มู่อิงจึงได้เอ่ยกับผู้เป็นลุง ที่ตอนนี้ยังคงมีน้ำตาเอ่อคลออยู่
“กระท่อมของลุงกับน้องเจ้าอยู่ชายป่าด้านโน่น มันคับแคบไปบ้าง...”
มู่อิงตบเบา ๆ ลงที่หลังมือผู้เป็นลุง ที่กำลังหวั่นเกรงว่านางจะรับกับบ้านหลังเล็กนั้นไม่ได้ ชายชรามองหน้าหลานสาวที่ดูอิ่มเอิบไม่เหมือนคนที่ถูกขายไปใช้แรงงาน
“บ้านเราเจ้าค่ะ บ้านสกุลเกาของเรา”
สองพ่อลูกหันมองหน้ากัน ก่อนจะจ้องที่ใบหน้าของมู่อิงอย่างมีคำถามนับล้าน ที่อยากจะถามออกมา
“ของในกระท่อมข้าจะให้คนมาเก็บไปให้ ตอนนี้ข้าว่าเรากลับไปที่บ้านกันก่อนดีกว่า ท้องข้ามันเริ่มประท้วงว่าหิวแล้วเจ้าค่ะ”
ทั้งสามหันไปมองหญิงสาวที่สูงราวบุรุษ ก่อนจะพากันยิ้มแห้ง ๆ พวกเขามัวแต่ร่ำไห้คิดถึงกัน จนลืมไปว่ามีหญิงสาวอีกคนยืนอยู่ด้วย
“ข้าลืมแนะนำ ท่านลุง ชุนหลางนี่คือนายหญิงน้อยหยวนไป่หลิน บุตรสาวของคนที่ซื้อตัวข้าไป และเป็นนายของข้า”
“นายหญิงน้อย ช่างเมตตาต่อมู่อิงยิ่งนัก ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดตอบแทนในน้ำใจนี้ โปรดรับการคารวะจากข้าน้อยด้วยเถิดขอรับ”
หมับ! แม่ทัพสาวรีบคว้าต้นแขนของชายชราเอาไว้ ก่อนที่เขาจะคุกเข่าให้แก่นาง หากนับมู่อิงเป็นน้องสาว คนตรงหน้าย่อมเสมือนญาติ นางจะให้ผู้อาวุโสคุกเข่าให้ได้อย่างไร
“มู่อิงเสมือนน้องสาวของข้า ท่านลุงอย่าได้ทำกับข้าราวคนไกล เรากลับบ้านกันก่อนนะเจ้าคะ เรื่องอื่นถึงบ้านแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง พร้อมสุราชั้นยอดของข้า”
แม่ทัพสาวพยักหน้าให้แก่สาวใช้ ให้พาครอบครัวกลับกันได้แล้ว เพราะพวกสอดรู้เอียงหูฟังจนแทบคอหลุดแล้ว สองนายบ่าวสบตากันอย่างรู้ความนัย ก่อนจะหัวเราะในลำคอ
เหมือนนกรู้ที่โผล่มาได้ถูกจังหวะ ดี! จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหา มาเองแบบนี้รวดเร็วทันใจไม่น้อย แม่ทัพสาวเดินเคียงมู่อิงและสองพ่อลูกไป ไหน ๆ ก็ผ่านที่นี่แล้วจะได้ไม่ต้องย้อนมาจัดการ ทำงานไปด้วยเลยก็แล้วกัน
“น่ะ...นี่มัน!” ชายชราชี้นิ้วไปยังรถม้าที่จอดอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะหันมองหลานสาวที่ยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ “ไปกันเถอะ” แม่ทัพสาวภายมือให้แก่ชายชราและบุตรชายของเขา มู่อิงส่งให้ผู้เป็นลุงขึ้นรถม้า โดยให้น้องชายตามขึ้นไป หญิงสาวขยับไปยืนด้านข้าง เพื่อให้ผู้เป็นนายขึ้นรถม้าได้สะดวก“เจ้าขึ้นไปนั่งกับพวกเขาเถอะ ข้าอยากชมทิวทัศน์ข้างนอกสักหน่อย”“ทะ...เจ้าค่ะ”มู่อิงตั้งใจจะทักท้วง ก่อนจะเห็นสายตาห้ามปรามของผู้เป็นนาย หญิงสาวทำเพียงรับคำ ก่อนจะก้าวขึ้นบนรถม้า ส่วนแม่ทัพสาวนั่งเคียงข้างคนขับรถม้าในเมื่อแมลงกวนใจอยากรู้เห็น นางก็จะนั่งให้เห็นชัดตาเสียเลยแล้วกัน ฮ่องเต้ทรงเมตตานัก เรียกนางมารับสามีไม่พอ ยังให้ทำความสะอาดระหว่างเส้นทางอีกด้วยและที่นี่ก็คืออีกหนึ่งเมือง ที่นางต้องเก็บกวาดขยะให้สิ้น ก่อนการใหญ่จะเกิดขึ้น ซึ่งมันจำเป็นต้องไร้มดแลงใด ๆ ไปไต่ตอมให้รำคาญใจผู้เป็นนายเหนือหัวของนางสกุลเกา ร่างอันสั่นเทาก้าวลงจากรถม้า ก่อนจะมองไปยังป้ายเหนอประตู ‘สกุลเกา’ มันถูกทำขึ้นมาใหม่อย่างวิจิตร ชายชราหันไปมองหลานสาว“เจ้าทำได้อย่างไร”“นายหญ
อาหารชั้นดีพร้อมสุรารสแรง ถูกจัดเตรียมมาอย่างล้นเหลือ ลานกว้างเต็มไปด้วยแสงสว่างจากคบไฟ และเตาถ่านขนาดใหญ่ ที่มีหมูตัวใหญ่ถูกย่างส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายไหลรองแม่ทัพและทหารติดตาม ต่างพากันนั่งรอผู้เป็นนายและเจ้าของบ้านกันอย่างพร้อมเพรียง งานเลี้ยงในคืนนี้จัดขึ้นเพื่อมู่อิง น้องสาวที่แกร่งเยี่ยงบุรุษ“ชุนหลาง! มานี่เร็วเข้า”รองแม่ทัพเจากวักมือเรียกชายหนุ่ม เกาชุนหลางในชุดผ้าไหมเนื้อดี ผมที่ถูกรวบจนเรียบร้อย ทำให้มีความหล่อเหลายิ่งนัก แม้จะมีบาดแผลบนใบหน้า ก็ไม่อาจกลบความรูปงามนั้นได้เลย“นายท่าน...”“นายท่านอะไรกัน เรียกข้าพี่ชายเจา และทุกคนที่นี่คือพี่เจ้าทั้งหมด ทำหลังให้เหยียดตรงหน่อย จะกลัวอะไร หืม!”“ขอรับท่านพี่เจา”เกาชุนหลางเหยียดหลังให้ตรง แม้ว่าจะยังกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่บ้าง เขาถูกกดให้ต่ำมาทั้งชีวิต วันนี้ได้สวมเสื้อผ้าราคาแพง ทั้งยังมีบ่าวรับใช้ช่วยทำผมแต่งกาย มันเหมือนความฝันยิ่งนักเขาจำได้ว่าตอนที่กลับมายังเมืองนี้ใหม่ ๆ ได้ไปแอบดูมารดาที่บ้านสามีใหม่ของนาง น้อง ๆ ต่างบิดา ล้วนดูดีจนเขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองมารดา“จำไว้นะชุนหลาง นับจากนี้เจ้าคือคุณชายเกา และจงจำไว้ว่าต่อให
“มู่อิง!”ชายสูงวัยที่ยืนอยู่ถนนหน้าบ้าน เรียกมู่อิงราวคนคุ้นเคย แต่จากสายตาที่มองแล้ว ชายผู้นั้นไม่รู้ว่าใครกันแน่คือมู่อิง เพราะเสื้อผ้าที่สองนายบ่าวสวม ล้วนเป็นไหมชั้นดี ซึ่งไม่มีบ่าวบ้านใดได้สวมเสื้อผ้าเช่นนี้ จึงไม่อาจบอกได้ว่าคนไหนคือมู่อิง“ท่านเป็นใคร มาที่บ้านข้าด้วยเรื่องใด”แม่ทัพสาวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ต่างจากสายตาที่ทอดมองคนทั้งหมดด้านล่าง“ข้าเป็นบิดาของ....”ชายสูงวัยลังเลอยู่มาก ด้วยไม่แน่ใจว่าคนไหนคือบุตรสาวของตนเอง เพราะไม่สามารถแยกได้จากเสื้อผ้า หรือท่าทางของหญิงสาวทั้งสอง เพราะมันแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง“ท่านจะบอกว่าเป็นบิดาของมู่อิงสินะ!”“ใช่!”“แล้วอย่างไร!”“บิดามาพบลูกต้องอย่างไร! มีข้อห้ามหรือ”“ย่อมไม่มี แต่นางคือคนของสกุลหยวน ฉะนั้นถ้าข้าไม่อนุญาตใครก็ไม่อาจพบนางได้ตามอำเภอใจ”“นางเป็นลูกข้า จะเป็นคนของสกุลอื่นได้อย่างไร”“ลืมอะไรไปหรือไม่! ท่านขายนางไปแล้ว”“นางเป็นอิสระแล้วมิใช่รึ!”“ใครบอกเจ้ากันว่านางเป็นอิสระ”“บ้านหลังนี้ไงเป็นสิ่งยืนยัน”“ยังไง!”“นางซื้อบ้านหลังใหญ่ได้ แสดงว่านางมีเงินไถ่ตัวเองออกมาได้แล้ว นางย่อมเป็นอิสระ”“อ่านนิยายมากไปร
เกาชุนหลางไม่ลืมที่จะสวมหน้ากากที่นายหญิงน้อยมอบให้ เขารู้สึกมั่นใจขึ้นมากกว่าในอดีตหลายเท่านัก ชายหนุ่มวิ่งมาหยุดที่หน้าร้านขนมเก่าแก่ของเมือง“เจ้าคนอัปลักษณ์นี่ใครกัน ไยไม่รู้จักหลีกทางให้ข้า”เสียงนั้นทำให้เกาชุนหลางถึงกับสั่นน้อย ๆ คนที่อยู่เบื้องหลังคือน้องชายต่างบิดานั่นเอง ปึก! คุณชายสกุลเจียงถึงกับเซไปหลายก้าว เมื่อเขาตั้งใจที่จะลงมือต่อคนที่ขวางทาง“เจ้ากล้าดียังไง มาทำร้ายข้า!”“ขออภัยขอรับ เท่าที่ข้าน้อยเห็นเป็นท่านที่คิดจะแตะต้องคุณชายของเราก่อน”เกาชุนหลางหันขวับ! กลับไปมองด้านหลังในทันที ก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ เมื่อเห็นว่าเป็นหนึ่งในบ่าวชายในจวน“สกุลใดกัน! มิรู้หรือว่าที่นี่สกุลเจียงของข้าเป็นใหญ่”“บุตรชายท่านเจ้าเมือง ใช่ว่าใครจะไม่รู้จักขอรับ แต่ต่อให้ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องรู้จักมารยาท”“บังอาจ! ไพร่เยี่ยงกล้าดียังไงมากำแหงต่อข้า”“เอ่อ...”เกาชุนหลางคิดที่จะเอ่ยห้ามปราม ทว่ากลับต้องหยุดความคิดนั้นเสีย เมื่อสตรีที่ก้าวเข้ามาคือมารดาของเขาเอง มือหยาบที่จับแขนของบ่าวข้างกาย เผลอบีบแน่น ด้วยความรู้สึกทั้งกรุ่นโกรธและเสียใจ“จะเป็นคุณชายบ้านใด ก็ต้องรู้จักสูงต่ำบ้าง”“เจียงฮูหย
“คุกเข่า!”ทหารที่จับตัวของสองพ่อลูก เตะเข้าที่ข้อพับของชายชรา จนเขาล้มลงเข่ากระแทกกับพื้น เกาจ้านเจ็บร้าวไปทั้งขา ก่อนจะเงยหน้ามองไปที่สามีคนใหม่ของอดีตภรรยา“สตรีผู้นั้นอยู่ที่ใด กล้าที่จะกำแหงต่อครอบครัวข้า ก็ต้องกล้าที่ออกมารับโทษทัณฑ์”“โบยมันให้ตายเลยขอรับท่านพ่อ”เจียงหลุนรีบเติมเชื้อไฟ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครที่จะหักหน้าเขาเช่นวันนี้มาก่อน“โบยมันสองพ่อลูก จนกว่าจะบอกว่าสตรีผู้นั้นอยู่ที่ใด”“ลองโบยดูสิ!”เสียงกร้าวดังขึ้นจากประตูบ้าน ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของรองแม่ทัพจะก้าวออกมา โดยมีเหล่านายกองติดตามมามิห่าง ทั้งหมดมีใบหน้าทะมึนตึงไม่แพ้กันกับรองแม่ทัพ ที่สำคัญไปกว่านั้นชุดที่ชายหนุ่มทั้งหมดสวมอยู่นั้น บ่งบอกถึงตัวตนว่าเป็นใครท่านเจ้าเมืองถึงกับหายใจติดขัด เมื่อเห็นลวดลายที่ปักบนแขนเสื้อของพวกเขา มีเพียงแค่สังกัดเดียวเท่านั้น ที่ปักลวดลายนี้ไว้บนแขนเสื้อ“ทหารจากแดนเหนือ”“รู้จักด้วยรึ! อยากพบสตรีผู้นั้นมากใช่หรือไม่ท่านเจ้าเมือง เช่นนั้นรอสักครู่ประเดี๋ยวนางก็มา และข้าหวังว่าท่านและครอบครัว จะคิดหาคำแก้ตัวที่น่าฟัง นอกจากคำว่า...”“มิได้ตั้งใจ!”เสียงเย็นเยียบจากด้านหลัง ทำให
คำตอบรับของแม่ทัพสาว ราวสายฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะของครอบครัวท่านเจ้าเมือง ในอดีตก่อนที่เขาจะเลื่อนตำแหน่ง ได้ทำทุกทางช่วงชิงภรรยาผู้อื่นมา ทั้งยังตั้งใจกำจัดสายเลือดของนางให้พ้นสายตา วันนี้คนทั้งคู่กลับมาพร้อมนำความแค้นมาทวงคืนต่อเขา “ใต้เท้าเจียงมีสิ่งใดอยากจะแก้ต่างหรือไม่” “ข้าไม่ได้ทำ! มันเพราะความมิรู้พอของนางต่างหาก” “ความผิดจะโยนไปมาเพื่อสิ่งใดกัน ไหน ๆ ข้าก็เลือกตัดสินท่านตรงนี้แล้ว ก็ทำเสียให้เสร็จสิ้นในทุกเรื่อง ส่วนเจียงฮูหยินรู้สึกเช่นไรบ้าง ผิดหวังมากกว่าเดิมอย่างที่ข้าเคยบอกหรือไม่” “ท่านแม่ทัพ ได้โปรดเมตตาด้วยเจ้าค่ะ ข้ากับลูกมิรู้เห็นในสิ่งที่สามีของข้าทำจริง ๆ นะเจ้าคะ” “หึ ๆ เรื่องของสามีเจ้าอาจไม่รู้เห็น หรืออาจร่วมมือ ข้าย่อมไม่อาจรู้เห็นภายในใจของเจ้าได้ แต่เรื่องที่กระทำต่อเกาชุนหลางข้าย่อมยากปล่อยผ่าน หากบาดแผลนี้อยู่บนใบหน้าของเจ้าหรือใครสักคนที่อยู่ตรงนี้ ตอบข้าได้หรือไม่ว่ายินดีมีมันไหม” ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเกาชุนหลาง รอยแผลเป็นนั้นยากนักที่ใครจะทำใจมองมันได้นาน เจียงฮูหยินทำได้เพ
ที่ทำให้สกุลเจียงเดินเข้ามาหาพวกนางเอง โดยไม่ต้องเสียเวลาไปติดตามหรือทำให้อีกฝ่ายไหวตัวทัน หากจะถามว่าสาสน์ลับที่เจ้าเมืองเจียงได้รับมันผิดพลาดตรงไหน ย่อมไม่มีแม้แต่น้อย เพราะมันเป็นนางเองที่ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นการลงทัณฑ์ท่านเจ้าเมือง นับเป็นเรื่องที่อุกอาจอยู่ไม่น้อย แต่เพราะแม่ทัพหญิงมีสิ่งแทนพระองค์ จึงทำได้โดยไร้คนขัดขวาง สิ่งที่นางทำมีทั้งผลดีและร้าย ทว่าผลร้ายนั้นก็คือสิ่งที่นางต้องการให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว จึงไม่ได้ตื่นตระหนกใด ๆเช้าวันถัดมาก่อนออกเดินทาง แม่ทัพสาวได้ให้นายอำเภอเป็นคนรักษาการแทน จนกว่าจะมีการส่งเจ้าเมืองคนใหม่มา ส่วนครอบครัวของท่านเจ้าเมืองถูกจองจำในคุก เพื่อรอให้ทางการจากเมืองหลวงมารับตัว นางไม่สะดวกพานักโทษไปด้วย หญิงสาวได้มอบหน้าที่ดูแลสกุลเกาให้เป็นของซือเส่าเกาชุนหลางสามารถที่จะพัฒนาตนเอง ให้ก้าวหน้าได้มิยาก ส่วนญาติสาวอีกสองคนของสกุลเกา เมื่อมีมลทินบนร่างกาย ย่อมเริ่มต้นยากหากจะแต่งสามีสักคนนางจึงเลือกที่จะให้พวกนางเดินบนเส้นทางการค้า หรือหากคนใดอยากทำอะไรก็ให้แจ้งมาในภายหลัง ภาระของนางกับมู่อิงยังมีอีกมาก จึงไม่อาจรั้งอยู่ได้นาน“ท่านแม่ทัพ สกุลเกาเป็นห
นางจะไม่มีวันต้องกลายเป็นชายาที่ต้องถูกฝังในสุสาน ตามพระสวามีเป็นอันขาด ตำแหน่งต่อจากนี้คือไทเฮามารดาของฮ่องเต้องค์ใหม่เท่านั้น ในเมื่อพระสวามีลังเลที่จะมอบตำแหน่งนี้ให้แก่โอรสของนาง เกิดสิ่งใดขึ้นก็อย่าได้โทษนางเลย“การที่แม่ทำเช่นนี้ก็เพื่อความอยู่รอดของเราสามแม่ลูก ตอนนี้ลั่วหยางกลับมาอยู่เมืองหลวง เรายังทำอะไรเขาไม่ได้ แต่สิ่งที่แม่คิดไว้มิช้าก็สำเร็จ”“กระหม่อมเป็นโอรส จะมีสิ่งใดต้องกลัวเพียงหลาน”“หากเขามิใช่โอรสที่กำเนิดจากอดีตองค์รัชทายาท ที่ถือกำเนิดจากฮองเฮา มีหรือจะน่าหวาดหวั่นสำหรับการลงสนามครั้งนี้”“แค่เด็กปากมิสิ้นกลิ่นน้ำนม อ่อนแอไร้สามารถ จะมีขุนนางใดสนับสนุน”“คิดจะเป็นใหญ่ต้องรู้จักประเมินศัตรูในทุกทาง เพราะทุกสิ่งอย่างอาจไม่เป็นเช่นที่ตาเห็น”“พ่ะย่ะค่ะ”แม้จะไม่พอใจเท่าใดที่ถูกตำหนิต่อหน้าพี่ชาย แต่เขายังไม่ควรทำให้มารดาขุ่นเคืองมากไปกว่านี้ เขาไม่ได้โง่ที่จะมิรู้ว่าผู้เป็นแม่ต้องการกุมอำนาจเหนือเขา หลังจากก้าวสู่บัลลังก์การสนทนาของสามแม่ลูกมีอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่สองพี่น้องจะลาจากกลับไปยังจวนของตน สายตาที่มองตามแผ่นหลังของลูก ๆ บอกได้ถึงความหวาดหวั่นอยู่ภายในใจลึก
สิบวันต่อมา จวนสกุลกั๋ว หลังจากเรื่องวุ่นวายสิ้นสุดลง กว่าที่สองสามีภรรยาจะได้พบหน้ากัน ก็กินเวลาไปนับสิบวันเลยทีเดียว หมับ! กั๋วเชียวหลางคว้าร่างภรรยาเข้าสู่อ้อมแขน แม่ทัพสาวยังคงนิ่งงันด้วยมิคิดว่าเขาจะทำเช่นนี้ “คืนนี้เราจะไม่คุยเรื่องงาน ทั้งของเจ้าและข้า แต่จะเป็นเรื่องของเราเท่านั้น” ชายหนุ่มพูดชิดอยู่กับกลุ่มผมดกดำของภรรยา แม้ว่าใจของเขาจะแป้วไปมาก ด้วยนางยืนนิ่งในอ้อมกอดของเขา แต่ทว่ามิได้โอบรัดเขาตอบเลยแม้แต่น้อย “เรื่องไหน!” คำถามห้วนสั้นของนาง แทบจะทำให้กั๋วเชียวหลางหลั่งน้ำตา เขาอยากให้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึก ที่เขาพยายามถ่ายทอดให้แก่นางในตอนนี้ “เรื่องอนาคตของครอบครัวเราอย่างไรเล่า” “ว่ามาสิ!” แม่ทัพสาวมิใช่ไม่รู้ว่าตอนนี้ สามีของนางกำลังต้องการสื่อถึงอะไร หากนางไร้ความทรงจำในอีกโลก อาจยังไม่รู้ประสากับความรัก แต่เพราะนางเคยมีมันมาก่อนแล้ว จึงรู้ว่าตอนนี้สามี กำลังรู้สึกเยี่ยงไรต่อนาง “อื้อ!” ไม่มีคำพูดใดนอกจากเสียงครางเบา ๆ เมื่อริมฝีปากหนาประกบลงบนเรี
จ้าวลู่เชียนไม่คิดเอ่ยถามหาความกระจ่างแล้ว สิ่งที่ผู้คนมากมายต้องการรู้ เขาก็ได้เห็นชัดแก่สายตาแล้ว ว่าใครคือนายแห่งวิหกฟ้า หยวนไป่หลิงรีบเดินเข้าไปหามารดา ก่อนจะสวมกอดเอาไว้แน่น นางอยู่กับแม่มากกว่าน้องสาวและพี่ชาย ตอนที่เห็นคมมีดกดลงใบบนผิวอ่อนนุ่มของมารดา นางแทบอยากจะฉีกสตรีผู้นั้นออกเป็นชิ้น ๆ เสียในทันที “เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย แม่ดีใจเหลือเกิน” “จะมาเมืองหลวงไยมิรอข้าก่อน” “เป็นพี่เองที่อยากมาดูหน้าน้องเขย ท่านแม่เลยติดตามมาด้วยเพราะพี่จะทำตัวมุทะลุ” “ข้านึกว่าพี่เฟยจะคอยออกรับแทนข้ากับหลินเอ๋อร์เท่านั้น แล้วไยวันนี้ท่านกลับออกรับแทนท่านแม่เสียได้” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดกับพี่ชาย แน่นอนว่าเฟยไม่อาจต้านทานอาการนี้ของน้อง ๆ ได้ จึงทำเพียงยิ้มแห้ง ๆ แก้เก้อ ก่อนจะมองไปที่ผู้เป็นแม่ “แม่เรียกพี่ชายเจ้ามา เพื่อเข้าเมืองหลวงเอง เจ้ารู้นิสัยของหลินเอ๋อร์ดีมิใช่หรือ ไม่มีเจ้าอยู่ด้วย แม่เกรงนางจะทำให้ตนเองไม่สบายใจไปชั่วชีวิต” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สายตาคู่งามก็หันมองไปยั
“สิ่งใดเช่นนั้นรึพ่ะย่ะค่ะ ทรงเห็นความดีของข้าบ้างไหม หรือคิดแค่ว่าตัวข้าอ่อนแอไร้สามารถ ตำแหน่งที่คู่ควรจึงไม่คิดจะมอบให้” “ความดีอย่างนั้นเหรอ เจ้าเห็นข้าเป็นลารึยังไง เจ้าคิดว่าพ่ออย่างข้ามองลูกตัวเองไม่ออกสักคนเลยรึ! เจ้าฆ่าพี่ชายหวังชิงตำแหน่ง หาหนส่งหลานตัวเองไปตายใต้คมดาบศัตรู แม้แต่พี่สาวน้องสาวที่มิอาจครองบัลลังก์ ก็เป็นเจ้าที่ทำให้พวกนางต้องแต่งไปแคว้นอื่น ไยมิเอาความฉลาดของเจ้าช่วยเหลือบ้านเมืองของเราให้รุ่งเรือง” “เพราะข้าอยากนั่งแทนที่ท่านอย่างไรเล่า!” ลั่วเจี๋ยกวาดสายตามองศัตรู ที่ซ้อนแผนเขาได้อย่างแนบเนียน ถึงว่าทำไมบิดายอมทำตามคำของมารดาง่ายดายเช่นนั้น ไม่ว่าจะเรื่องแต่งงานของกั๋วเชียวหลางและหยวนไป่หลิน แม้แต่การส่งลั่วหยางไปชายแดน ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นกับดักที่วางเอาไว้ แค่รอเขาวิ่งมาติดกับ แต่ไม่ว่ายังไงวันนี้ เขาเท่านั้นที่จะกลายเป็นฮ่องเต้คนใหม่ ที่ไร้มลทินจากคำว่ากบฏ “คิดว่าจะมีใครรอดออกจากประตูวังหลวงไปได้อย่างนั้นรึ!” “หากจะรอกองกำลังที่ท่านอาเตรียมการไว้นั้น อย่ารอเลยพ่ะย่ะค่ะ เพ
“มุทะลุได้ใจดีองค์ชายเจ็ด” แม่ทัพสาวก้าวเข้ามายืนขวางระหว่างผู้เป็นนาย กับสองแม่ลูกที่หมายช่วงชิงอำนาจ “ข้าอยากรู้นัก ที่ผู้คนยำเกรงเจ้าที่มากด้วยฝีมือ จะเอาชีวิตรอดจากตรงนี้ไปได้ไหม” ลั่วเจี้ยนวาดแขนกันมารดาให้ไปอยู่เบื้องหลังของตนเอง ก่อนจะพุ่งเข้าหาแม่ทัพหญิง เขาชิงชังสตรีที่คิดว่าตนเองเทียบเท่าบุรุษยิ่งนัก หยวนไป่หลินยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะขยับเท้าเข้าหาองค์ชายเจ็ดการต่อสู้ของผู้ที่อยากนั่งบัลลังก์กับผู้พิทักษ์บัลลังก์ เป็นไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธกระทบกันดังขึ้นรอบด้าน แผนการที่วางไว้ พลันต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะความคับแค้นใจของหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่ทนนิ่งเงียบเพื่อรอวันนี้ ชูเยี่ยนมองหน้ามารดาด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ นางคิดเสมอว่าตนเองเหนือกว่าใคร ๆ แต่วันนี้นางเห็นชัดเจนแล้ว ว่าชาติกำเนิดไม่ได้การรันตีว่านางคือที่หนึ่ง ที่ผ่านมานางเสมือนเงา ไม่เคยมีตัวตนในสายตาของชายคนรัก เป็นนางเองที่พยายามจะไขว่คว้า ทว่าอีกฝ่ายกลับหวังเพียงผลประโยชน์เท่านั้น “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้วว่ามารดาที่อุ้มท้องลูก โดยบุรุษไม่ยอมรั
“พี่ชายของข้า รู้จักเพียงการปกป้องครอบครัว”แม่ทัพสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยน ชีวิตของคนอื่นอาจราบรื่นเพราะร่ำรวย แต่ชีวิตของลูกหญิงหม้ายนั้นล้วนต้องต่อสู้ การที่พี่ชายบุญธรรมไม่ค่อยแสดงตัว มิใช่เขาถูกลืม แต่เพราะเขาเลือกทำหน้าที่เป็นปีกที่กางปกป้องครอบครัวอยู่เบื้องหลัง เขาคือเงาที่ไม่เคยหายไปไหน แค่ไม่ชื่นชอบเปิดเผยตัวก็เท่านั้น“ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไม การค้าของมวลเมฆาถึงมั่นคงนัก”“การให้ใจคนใช่ว่าเราจะได้ใจตอบแทนเสมอ ทุกอย่างล้วนเสี่ยงทั้งสิ้น”“วันนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว เราเข้านอนกันเถอะ”กั๋วเชียวหลางจูงมือภรรยาเข้าเรือน เขาไม่สนว่าตอนนี้จะมีสายตาของศัตรูคนไหนซุ่มมองอยู่ เพราะอีกไม่กี่วันทุกอย่างก็จะต้องจบสิ้น มิว่าจะเป็นฝ่ายไหนกำชัย ขอแค่เวลาที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้ เขาได้ใช้มันให้คุ้มค่าก็ดีมากแล้วสิบห้าวันต่อมา วังหลวง เสียงดนตรีดังก้องไปทั้งลานหน้าท้องพระโรง เพื่อเฉลิมฉลองสำหรับงานอภิเษกสมรสขององค์ชายเจ็ด แขกจากต่างเมืองที่มาถึงก่อนหน้า ได้เข้าร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง พระนางกุ้ยเฟยคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อเห็นโอรสคนโปรด กำลังจะก้าวสู่อำน
ชูถงมองหน้าชายหนุ่ม ที่อ้างตัวเป็นบุตรชายคนโตของอดีตภรรยา ความสับสนเกิดขึ้นมาในทันที หากเป็นคู่แฝดอายุของพวกนาง คือลูกของเขาอย่างแน่นอน แต่ชายหนุ่มตรงหน้าย่อมไม่ใช่บุตรชายของเขา ด้วยวัยที่มันเกินจากที่เขาคิดคำนวณ“เจ้าคิดจะหลอกลวงข้าสินะ!”“ข้ามีนามว่าหยวนเฟย ท่านจะถามใครในเมืองหน้าด่านชายแดนตะวันออกก็ได้ ทุกคนรู้หมดว่าข้าคือบุตรชายคนโตของนายหญิงใหญ่หยวนไป่หลี”“หากเจ้าเป็นบุตรชายของนางจริง ไยจึงได้ยินยอมให้น้องสาวออกเรือนก่อนได้เล่า”“การออกเรือนก่อนหลังมันจะเป็นอะไรไป ในเมื่อข้าพอใจที่จะอยู่แบบนี้ ไยข้าต้องรั้งชีวิตน้อง ๆ ไว้กับตัวเอง เพียงเพราะข้ายังไม่ออกเรือน แล้วอีกอย่างท่านรู้ได้อย่างไร ว่าข้ายังไม่ออกเรือน เป็นเห็บเกาะตัวข้าอยู่รึ! รู้จักกันหรือก็มิเคย ยังมาสู่รู้เรื่องครอบครัวคนอื่นอยู่อีก”กั๋วเชียวหลางที่เดินมาตามภรรยา ได้แต่กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ เมื่อได้ยินฝีปากของหยวนเฟย เขาต้องทำตัวให้คุ้นชินกับคำเลาะร้ายของคนสกุลนี้ให้มากกว่าเดิม“ท่านเสนาบดี มาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ ข้าไม่เห็นมีบ่าวมารายงานเลยว่าท่านมาเยือนกลางดึก”“ข้ามาทักทายคนรู้จัก”“ใครกันที่ท่านรู้จัก”กั๋วเชียว
“ป้าจูเสร็จธุระของนางแล้ว เราก็เร่งออกเดินทางเข้าเมืองหลวงกันเถอะ หากค่ำมืดจะทำให้ท่านแม่ทัพของเจ้าเป็นกังวล” “เจ้าค่ะ” สาวใช้สูงวัยรีบก้าวขึ้นรถม้า ส่วนหยวนเฟยและมู่อิง ต่างแยกย้ายไปที่ม้าของตนเอง คณะเดินทางเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนร่างที่นอนเกลื่อนอยู่เบื้องหลังสองชั่วยามต่อมา ก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า รถม้าจากเมืองหยางได้มาถึงหน้าจวนสกุลหยวน แม่ทัพสาวพร้อมด้วยสามี ยืนยิ้มกว้างเมื่อเห็นทุกคนมาถึงอย่างปลอดภัย “หยวนเฟยคารวะ คุณชายกั๋ว” กั๋วเชียวหลาง ค้อมศีรษะรับการคารวะจากชายหนุ่ม ผู้ที่ใช้แซ่เดียวกับภรรยา “พี่เฟยการเดินทางเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ มีใครดื้อรั้นหรือไม่” “ย่อมไม่มี” “ท่านพี่ นี่คือท่านพี่หยวนเฟย หัวหน้ามวลเมฆา และเขายังเป็นพี่ชายคนโตของเราสองพี่น้อง ส่วนประวัติใดนั้นคืนนี้ท่านก็ถามเขาด้วยตนเองเถิด” “เมืองหลวงยินดีต้อนรับ ท่านพี่เฟย” “พี่น้องทักทายกันจนลืมคนแก่ไปเสียแล้วกระมัง” ประตูรถม้าเปิดออก กั๋วเชียวหลางรีบก้าวยาว ๆ
จวนสกุลชู “ได้ความว่าอย่างไร” “ความเป็นมาของคุณหนูหยวนและท่านแม่ทัพหยวน ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันดีขอรับ แต่มีเรื่องที่ข้าน้อยเพิ่งรู้มา” “เรื่องอะไร” “มารดาของท่านแม่ทัพหยวนจะมาถึงเมืองหลวง ในอีกไม่กี่ชั่วยามขอรับ” “จับตาดูคนของนางให้ดี มารดาของนางคือคำตอบที่ชัดเจน” “ขอรับ” ชูถงขบกรามแน่น เขาใช้เวลากว่าสองเดือนเพื่อหาความเป็นมาของสองพี่น้อง แต่มันเหมือนปริศนาที่ซับซ้อน ได้พบนางด้วยตนเองก็ดี จะได้รู้ไปเลยว่าใช่อดีตภรรยาของเขาหรือไม่ เขาไม่อยากจะเชื่อว่านางจะรอดชีวิตมาได้ ความอดอยากสำหรับสตรีตัวคนเดียว มันเป็นไปได้ยากนักที่จะพาตนเองก้าวมาอยู่เหนือผู้คนได้เช่นนี้ ต้วนอี้เหยาหันไปสบตากับสาวใช้คนสนิท ก่อนที่ทั้งคู่จะจากไป ในเมื่อศัตรูเดินเข้ามาหานางเอง ก็ไม่สมควรให้รอดไปได้ นางไม่สนว่าคนที่กำลังเดินทางมาเมืองหลวง จะใช่สตรีผู้นั้นหรือไม่ คนตายเท่านั้นที่จะไม่มาก่อกวนครอบครัวของนางได้ “อย่าให้พลาดเป็นอันขาด” “เจ้าค่ะ”เส้นทางสู่เมืองหลวง ทิศตะวันตก
เช้าวันถัดมา ณ วังหลวง ฮ่องเต้ถึงกับใบหน้าซีดเผือด เมื่อม้าเร็วเข้ามาส่งข่าว เหล่าขุนนางที่เข้าร่วมประชุม อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอื้ออึง เมื่อข่าวการตายของแม่ทัพจ้าวและคู่หมั้น ส่วนท่านชายลั่วนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ยากจะบอกได้ว่าจะรอดชีวิตถึงเมืองหลวงหรือไม่ “ทูลฝ่าบาท แม่ทัพจ้าวเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จนทำให้ท่านชายและอาคันตุกะของแคว้นเยี่ยได้รับบาดเจ็บ นับว่ามีใจคิดคดต่อแผ่นดิน” หนึ่งในขุนนางใหญ่กราบทูลแก่ฮ่องเต้ ถ้อยคำที่พูดออกมาทำให้ท่านมหาอำมาตย์ถึงกับใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ “ข้าอยากรอฟังข้อเท็จจริงจากคนที่ร่วมคณะไปด้วย” “จะทรงรอได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคนที่รอดล้วนเป็นคนของสกุลจ้าว” คำพูดของขุนนางผู้นั้นเจาะจงไปที่จ้าวลู่เหลียน ซึ่งมีรายงานว่านางรอดชีวิตกลับมาพร้อมคณะเดินทาง แม้จะบาดเจ็ดจากการต่อสู้ ย่อมเชื่อถืออันใดไม่ได้เพราะพี่น้องต้องเข้าข้างกันอยู่ดี “ท่านกล้าดีเยี่ยงไรมาปรักปรำว่าบุตรชายของข้าคิดคด” “แค่สตรีเพียงคนเดียว ถึงกับประมือกับแขกของบ้านเมือง นี่เขาคิดว่าตนเองเป็นใครกัน”