บ้านพักตากอากาศตระกูลกวง เซี่ยงไฮ
เท้าเปล่าเปลือยค่อย ๆ เดินตรงไปที่ห้องนั่งเล่นส่วนตัวของเธอ ในมือถือตะกร้าผลไม้ตามฤดู ที่พ่อแม่ของเธอปลูกไว้กิน และแจกจ่ายให้ครอบครัวคนดูแล มันกำลังสุกเต็มต้น เธอจึงตั้งใจที่จะเก็บมาให้คู่หมั้นและญาติผู้พี่ได้ลิ้มลอง
คุณหมอคนสวยหยุดนิ่งราวรูปปั้น มือที่จับลูกบิดประตูสั่นระริก ภาพด้านในมันยิ่งกว่าฟ้าผ่าลงมากลางแสกหน้า เสียงเพลงเบา ๆ และจูบอันเร้าร้อนของคนด้านใน ทำให้ไม่รู้ถึงการมาของเจ้าของบ้าน
หญิงสาวกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่น้ำตาที่กำลังเอ่อคลอบดบังภาพเบื้องหน้า เธอตั้งใจจะเซอร์ไพรส์คนรัก ด้วยการตอบตกลงที่จะแต่งงาน หลังจากหมั้นหมายมากว่าหนึ่งปี เธอพร้อมที่จะลาออกจากโรงพยาบาลของกองทัพ มาทำงานในโรงพยาบาลเอกชนตามคำขอของเขา
เท้าเปล่าเปลือยขยับถอยออกจากตรงนั้น เพื่อปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ นี่ใช่ไหม! ความรู้สึกของคนถูกหักหลัง มันรุนแรงจนเจียนตายได้อย่างที่หลายคนเคยบอกเธอ
ความพร้อมทุกอย่างในชีวิตมันไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างต้องแลกด้วยการเสียบางอย่าง เหมือนที่พ่อแม่ของเธอมักพูดเสมอ หากมีรักที่ดีเราอาจไร้มิตรที่ดี แต่มันไม่เสมอไปถ้าเรารู้จักที่จะอยู่ตรงกลาง
เธอวาดฝันมาตลอดว่าจะมีครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนพ่อแม่ มีพี่น้องที่รักกันเหมือนเธอกับน้องชาย แต่ภาพตรงหน้าเมื่อครู่ มันทำให้เธอต้องเลือกเส้นทางใหม่
เสียงเหมือนมีคนอยู่ข้างนอก ทำให้ชายหนุ่มผละออกจากหญิงสาว ก่อนจะรีบลุกขึ้นสาวเท้าตรงไปที่ประตู ชายหนุ่มเห็นแล้วว่าคนที่หายไปตรงบันได คือคู่หมั้นของเขาเอง
“ฮุ่ยผิงใช่ไหมคะ”
“อืม!”
“เราจะทำยังไงกันดี”
หญิงสาวถามชายหนุ่มด้วยสีหน้าแตกตื่น เธอไม่คิดว่าญาติผู้น้องจะกลับมาจากสวนผลไม่เร็วขนาดนี้
“จะกลัวไปทำไม ในเมื่อฮุ่ยผิงยังไม่โว้ยวายอะไรสักคำ”
ถึงปากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ภายในใจของชายหนุ่มกลับร้อนรนอยู่ไม่น้อย ถ้าเกิดฮุ่ยผิงถอนหมั้นกับเขาในตอนนี้ ธุรกิจของเขาที่มีพ่อของเธอหนุนอยู่ต้องพังลงไม่เป็นท่าแน่นอน
“คุณเคยบอกฉันเองไม่ใช่เหรอคะ ว่าคนที่เก็บทุกอย่างเอาไว้อย่างมิดชิด มักจะลงมืออย่างเด็ดขาดเสมอ”
“ฮุ่ยผิงเป็นลูกคนโต เธอไม่มีวันเอาอนาคตมาเสี่ยง จนทำให้พ่อแม่เสียใจไปตลอดชีวิตหรอกนะ”
“ฮุ่ยผิงจะไม่ทำอะไรฉันจริง ๆ เหรอคะ”
กวงเยี่ยชิงถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เธอไม่มีอะไรเทียบกับญาติผู้น้องได้เลย ไม่ว่าจะฐานะหรือฝีมือ ที่เธอมาอยู่ตรงนี้ได้ เพราะคำว่าญาติสนิทเท่านั้น ที่ทำพ่อแม่ของกวงฮุ่ยผิง คอยสนับสนุนช่วยเหลือเธอและครอบครัว
“เชื่อใจผม”
“ค่ะ อื้อ...”
ประตูห้องปิดลงอีกครั้ง โดยไม่ลืมที่จะล็อกมันอย่างแน่นหนา ก่อนที่บทรักจะเริ่มขึ้นอย่างเร่าร้อน ต่างจากคนที่เดินหายออกไปจากบ้าน ด้วยความรู้สึกอันแหลกสลาย
หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ก่อนจะเดินตรงไปหาม้าของเธอ ที่กำลังเล็มหญ้าในทุ่งหญ้าหลังบ้าน เธอผิดเองที่มองความสัมพันธ์ของญาติและคนรัก ว่าเป็นเพียงความเอื้อเฟื้อในฐานะของพี่น้อง
ฮุ่ยผิงดึงแว่นกันแดดที่เหน็บไว้กับคอเสื้อออกมาสวม เพื่อปิดบังดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้เอาไว้ ก่อนจะคลี่ยิ้มให้กับคนดูแลม้า แม้ว่ามันจะสวนทางกับความรู้สึกตอนนี้เป็นที่สุด
“คุณหนูจะขี่ม้าเหรอครับ”
“ค่ะ”
หญิงสาวตอบคนดูแลม้า ก่อนจะยื่นมือไปรับสายบังเหียนของม้าตัวโปรด หญิงสาวเลือกที่จะจูงมันออกห่างจากคนดูแล ก่อนจะเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนหลังของมัน ที่มีเพียงผ้าขนสัตว์รองเอาไว้เท่านั้น
“ฉันคิดถึงแกทาร่า”
หญิงสาวลูบแผงคอของทาร่าอย่างเบามือ ความรักที่ไม่เคยทรยศเธอ คือครอบครัวและทาร่าเท่านั้นสินะ เธอเคยมองข้ามกับคำพูดที่หลายคนเคยบอก ว่าคู่หมั้นของเธอต้องการแค่เงินเท่านั้น ไม่ได้รักเธอจริง ๆ อย่างที่เขาพยายามแสดงให้ทุกคนเห็น
“ฮุ่ยผิง!”
หญิงสาวหันไปตามเสียง ก่อนจะโบกมือให้กับพ่อกับแม่ ที่กำลังตกปลาอยู่ริมทะเลสาบ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกระตุ้นม้าให้ออกวิ่งไปในทุ่งหญ้า เพื่อทำให้อารมณ์ของเธอเบาบางลงอีกสักหน่อย ค่อยไปหาพ่อกับแม่ที่ริมทะเลสาบ
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
หลังจากปรับอารมณ์ให้สงบลงได้ กวงฮุ่ยผิงที่กลับมาหาพ่อกับแม่ที่ริมทะเลสาบ หญิงสาวกำลังง่วนเตรียมของลงเรือ เพื่อออกไปตกปลากลางทะเลสาบกับบิดา
เพราะเย็นนี้น้องชายของเธอก็จะมาถึง เขาชอบกินปลาของที่นี่มาก มันจึงเป็นกิจกรรมของครอบครัวที่มีมานาน ถ้าน้องชายมาถึงก่อนก็จะเป็นคนตกปลาไว้รอเธอ ครั้งนี้เป็นเธอที่จะตกปลาไว้ให้เขา
อย่างน้อยมันก็เป็นกิจกรรม ที่ทำให้เธอลืมบางเรื่องไปได้ชั่วขณะ แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อหนุ่มสาวที่หักหลังเธอ กำลังเดินเข้ามาเหมือนสิ่งที่พากันทำ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
“ที่รัก”
ฮุ่ยผิงเลือกที่จะไม่หันกลับไปมองชายหนุ่ม แต่เธอเลือกที่จะเดินไปขึ้นเรือกับพ่อ กึก! หญิงสาวตัวแข็งทื่อขึ้นมาในทันที เมื่อเขาเดินเข้ามาสวมกอดจากด้านหลัง
หญิงสาวมองไปที่กวงเยี่ยชิง ก่อนจะฝืนยิ้มรับเมื่อแม่ของเธอส่งยิ้มมาให้ มันยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะทำลายรอยยิ้มนี้ของพ่อแม่
“ผมไปด้วยนะครับ”
ชายหนุ่มพูดพร้อมก้าวขึ้นเรือ แน่นอนว่าพ่อที่ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ แต่กลับยินดีที่จะให้ว่าที่ลูกเขยได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกสาว ที่ช่วงครึ่งปีมานี้โหมงานจนแทบไม่มีเวลากลับบ้าน
“พี่กับคุณป้ารออยู่ที่นี่นะ”
กวงเยี่ยชิงพูดกับญาติผู้น้องด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะมองเลยไปสบตากับชายหนุ่ม ที่นั่งอยู่ด้านหลังของฮุ่ยผิง การนิ่งเงียบของหญิงสาวสร้างความแปลกใจให้พ่อแม่อยู่ไม่น้อย
ด้วยนิสัยปกติของลูกสาว จะเป็นคนร่าเริงต่อให้ทำงานมาหนักแค่ไหน ฮุ่ยผิงจะไม่เคยนำมาเป็นข้ออ้าง ที่จะเมินเฉยต่อคนในครอบครัว ซึ่งเมื่อเช้าลูกสาวก็ยังเป็นปกติอยู่แท้ ๆ
“มีงานด่วนรึเปล่าลูก ถึงได้ดูคิดหนักแบบนั้น”
“ขอโทษค่ะพ่อ พอดีมีเคสที่หนักมากเข้ามา เลยทำให้ทางโรงพยาบาลขอความช่วยเหลือมาค่ะ”
หญิงสาวเลือกที่จะโกหกบิดา เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม สำหรับเรื่องที่เธอกำลังตัดสินใจทำ แน่นอนว่าการแต่งงานจะไม่เกิดขึ้น และญาติของเธอก็ต้องรับผิดชอบต่อความรู้สึกนี้ของเธอ โดยการอยู่อย่างผู้หักหลังไปชั่วชีวิตการพูดคุยของเจ้าสัวกวงกับว่าที่ลูกเขย เป็นไปอย่างครื้นเครง ก่อนที่จะมีเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ ตูม! ร่างของทั้งสามร่วงลงลงน้ำ เมื่ออยู่ ๆ มันเกินโคลงจนทำให้พลิกคว่ำหมับ! ในจังหวะที่กวงฮุ่ยผิงจะพุ่งตัวขึ้นเหนือน้ำ ข้อเท้าของเธอถูกรวบจับเอาไว้ ก่อนตัวเธอจะดิ่งลงใต้พื้นน้ำอย่างรวดเร็ว หญิงสาวพยายามลืมตาในน้ำ สิ่งที่เห็นตรงหน้าตอนนี้คือร่างกำยำของคนรักหญิงสาวพยายามดิ้นรนให้รอดจากเงื้อมือของเขา ทว่ามันไม่เป็นแบบนั้น ปึก! หญิงสาวเจ็บราวไปทั้งศีรษะ เส้นผมของเธอถูกรวบเอาไว้แน่นก่อนที่เขาจะออกแรง เอาหัวเธอกระแทกเข้ากับหินใต้น้ำอยู่หลายครั้ง รอยยิ้มเหี้ยมเกรี้ยมคือภาพสุดท้ายที่เธอเห็น แน่นอนว่าสติสุดท้ายมันเลือนรางจนมืดมิดไปในที่สุดชานหลางปล่อยให้ร่างของคนรักจมอยู่เพียงลำพัง โดยที่ตัวเขาลอยออกห่างไปอีกด้าน ก่อนจะโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำด้วยสีหน้าแตกตื่น พร้อมทั้งหันรีหันขวาง เพื่อหาคู่หมั้นที
“ใช่ข้าเห็นด้วย เจ้าสมควรแก่วัยที่จะออกเรือนได้แล้ว อีกอย่างนิสัยร้ายกาจเช่นเจ้า สตรีใดจะคู่ควรกับเจ้าเท่าท่านแม่ทัพหยวน ทั้งแผ่นดินหาไม่ได้แล้วจริง ๆ” เมื่อบุตรชายติดกับของเขาแล้ว น้ำเสียงและสีหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนเป็นเริงร่า ใจจริงเขาไม่อยากให้มีการแต่งงานที่มิได้เกิดจากความรัก แต่หากปล่อยโอกาสนี้ไป เขาไม่รู้ว่าอีกสักกี่ปี บุตรชายจะแต่งงานเสียที เขาแก่ชราลงทุกวันอยากเห็นหน้าหลานก่อนตาย “ตรงไหนที่เรียกว่าร้ายกาจขอรับ” “ทุกตรงในสายตาของข้า” การตอบโต้ของสองพ่อลูก ทำให้คนที่ร่วมรับฟังได้แต่ส่ายหัวอย่างระอา ทว่าด้านนอกห้องนั้นนับเป็นข่าวสำคัญ ที่ต้องนำไปส่งให้แก่ผู้เป็นนาย ซึ่งทำให้พ่อลูกคลี่ยิ้มพอใจ กับสิ่งที่พวกเขาจงใจเปิดเผยเพราะสมรสพระราชทานในครั้งนี้ ยังไม่ได้ประกาศออกไปอย่างเป็นทางการ จะมีเพียงครอบครัวว่าที่บ่าวสาวเท่านั้นที่รับรู้ ฉะนั้นนับว่าเป็นข่าวสารสำคัญสำหรับหลายฝ่าย “ท่านพี่จะรับนางมาพักที่จวนหรือไม่เจ้าคะ” กั๋วฮูหยินเอ่ยถามสามี ซึ่งนางเองก็อยากให้เป็นเช่นนั้นอยู่มาก เพราะอย่างน้อยก็จะได้
“ก่อนออกเดินทาง เราค่อยจ้างคนมาคอยดูแล และปลูกดอกไม้ให้แก่แม่ของเจ้า” “ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ” “พวกท่านเป็นใครกัน” เสียงของชายชราจากด้านหลัง ทำให้สองนายบ่าวหันกลับไปมองอย่างใจเย็น “ข้ากับน้องสาวมาเคารพญาติ” “นางไร้ญาติมานานแล้ว นับตั้งแต่บุตรสาวของนางถูกขายไปเป็นทาสให้แก่พวกวาณิช” น้ำเสียงติดกรุ่นโกรธของชายชรา ทำให้คิ้วเข้มของสองนายบ่าวขมวดเป็นปม ก่อนที่มู่อิงจะดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น คนที่นางคิดว่าตายไปแล้ว วันนี้กลับมาปรากฏต่อหน้านางราวชะตานำพายิ่งนัก “ท่านลุง” มู่อิงเรียกชายชราผู้เป็นพี่ชายของมารดา ซึ่งก็คือญาติฝั่งมารดาเพียงคนเดียวที่นางเหลืออยู่ “เจ้าคือ!” “ข้า...” หญิงสาวหันไปสบตากับผู้เป็นนาย เพื่อขอความเห็นว่านางควรเปิดเผยตัวหรือไม่ ด้วยตำแหน่งของผู้เป็นนายในตอนนี้ ใช่ว่าจะป่าวประกาศได้อย่างสะดวกนัก ด้วยอันตรายมีอยู่รอบด้านและนางก็คือคนที่ศัตรูของท่านแม่ทัพรู้จักเป็นอย่างดี ในฐานะมือซ้ายที่เคียงข้างมิห่างกาย แม่ทัพสาวพยักหน้า
“น่ะ...นี่มัน!” ชายชราชี้นิ้วไปยังรถม้าที่จอดอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะหันมองหลานสาวที่ยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ “ไปกันเถอะ” แม่ทัพสาวภายมือให้แก่ชายชราและบุตรชายของเขา มู่อิงส่งให้ผู้เป็นลุงขึ้นรถม้า โดยให้น้องชายตามขึ้นไป หญิงสาวขยับไปยืนด้านข้าง เพื่อให้ผู้เป็นนายขึ้นรถม้าได้สะดวก“เจ้าขึ้นไปนั่งกับพวกเขาเถอะ ข้าอยากชมทิวทัศน์ข้างนอกสักหน่อย”“ทะ...เจ้าค่ะ”มู่อิงตั้งใจจะทักท้วง ก่อนจะเห็นสายตาห้ามปรามของผู้เป็นนาย หญิงสาวทำเพียงรับคำ ก่อนจะก้าวขึ้นบนรถม้า ส่วนแม่ทัพสาวนั่งเคียงข้างคนขับรถม้าในเมื่อแมลงกวนใจอยากรู้เห็น นางก็จะนั่งให้เห็นชัดตาเสียเลยแล้วกัน ฮ่องเต้ทรงเมตตานัก เรียกนางมารับสามีไม่พอ ยังให้ทำความสะอาดระหว่างเส้นทางอีกด้วยและที่นี่ก็คืออีกหนึ่งเมือง ที่นางต้องเก็บกวาดขยะให้สิ้น ก่อนการใหญ่จะเกิดขึ้น ซึ่งมันจำเป็นต้องไร้มดแลงใด ๆ ไปไต่ตอมให้รำคาญใจผู้เป็นนายเหนือหัวของนางสกุลเกา ร่างอันสั่นเทาก้าวลงจากรถม้า ก่อนจะมองไปยังป้ายเหนอประตู ‘สกุลเกา’ มันถูกทำขึ้นมาใหม่อย่างวิจิตร ชายชราหันไปมองหลานสาว“เจ้าทำได้อย่างไร”“นายหญ
อาหารชั้นดีพร้อมสุรารสแรง ถูกจัดเตรียมมาอย่างล้นเหลือ ลานกว้างเต็มไปด้วยแสงสว่างจากคบไฟ และเตาถ่านขนาดใหญ่ ที่มีหมูตัวใหญ่ถูกย่างส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายไหลรองแม่ทัพและทหารติดตาม ต่างพากันนั่งรอผู้เป็นนายและเจ้าของบ้านกันอย่างพร้อมเพรียง งานเลี้ยงในคืนนี้จัดขึ้นเพื่อมู่อิง น้องสาวที่แกร่งเยี่ยงบุรุษ“ชุนหลาง! มานี่เร็วเข้า”รองแม่ทัพเจากวักมือเรียกชายหนุ่ม เกาชุนหลางในชุดผ้าไหมเนื้อดี ผมที่ถูกรวบจนเรียบร้อย ทำให้มีความหล่อเหลายิ่งนัก แม้จะมีบาดแผลบนใบหน้า ก็ไม่อาจกลบความรูปงามนั้นได้เลย“นายท่าน...”“นายท่านอะไรกัน เรียกข้าพี่ชายเจา และทุกคนที่นี่คือพี่เจ้าทั้งหมด ทำหลังให้เหยียดตรงหน่อย จะกลัวอะไร หืม!”“ขอรับท่านพี่เจา”เกาชุนหลางเหยียดหลังให้ตรง แม้ว่าจะยังกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่บ้าง เขาถูกกดให้ต่ำมาทั้งชีวิต วันนี้ได้สวมเสื้อผ้าราคาแพง ทั้งยังมีบ่าวรับใช้ช่วยทำผมแต่งกาย มันเหมือนความฝันยิ่งนักเขาจำได้ว่าตอนที่กลับมายังเมืองนี้ใหม่ ๆ ได้ไปแอบดูมารดาที่บ้านสามีใหม่ของนาง น้อง ๆ ต่างบิดา ล้วนดูดีจนเขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองมารดา“จำไว้นะชุนหลาง นับจากนี้เจ้าคือคุณชายเกา และจงจำไว้ว่าต่อให
“มู่อิง!”ชายสูงวัยที่ยืนอยู่ถนนหน้าบ้าน เรียกมู่อิงราวคนคุ้นเคย แต่จากสายตาที่มองแล้ว ชายผู้นั้นไม่รู้ว่าใครกันแน่คือมู่อิง เพราะเสื้อผ้าที่สองนายบ่าวสวม ล้วนเป็นไหมชั้นดี ซึ่งไม่มีบ่าวบ้านใดได้สวมเสื้อผ้าเช่นนี้ จึงไม่อาจบอกได้ว่าคนไหนคือมู่อิง“ท่านเป็นใคร มาที่บ้านข้าด้วยเรื่องใด”แม่ทัพสาวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ต่างจากสายตาที่ทอดมองคนทั้งหมดด้านล่าง“ข้าเป็นบิดาของ....”ชายสูงวัยลังเลอยู่มาก ด้วยไม่แน่ใจว่าคนไหนคือบุตรสาวของตนเอง เพราะไม่สามารถแยกได้จากเสื้อผ้า หรือท่าทางของหญิงสาวทั้งสอง เพราะมันแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง“ท่านจะบอกว่าเป็นบิดาของมู่อิงสินะ!”“ใช่!”“แล้วอย่างไร!”“บิดามาพบลูกต้องอย่างไร! มีข้อห้ามหรือ”“ย่อมไม่มี แต่นางคือคนของสกุลหยวน ฉะนั้นถ้าข้าไม่อนุญาตใครก็ไม่อาจพบนางได้ตามอำเภอใจ”“นางเป็นลูกข้า จะเป็นคนของสกุลอื่นได้อย่างไร”“ลืมอะไรไปหรือไม่! ท่านขายนางไปแล้ว”“นางเป็นอิสระแล้วมิใช่รึ!”“ใครบอกเจ้ากันว่านางเป็นอิสระ”“บ้านหลังนี้ไงเป็นสิ่งยืนยัน”“ยังไง!”“นางซื้อบ้านหลังใหญ่ได้ แสดงว่านางมีเงินไถ่ตัวเองออกมาได้แล้ว นางย่อมเป็นอิสระ”“อ่านนิยายมากไปร
เกาชุนหลางไม่ลืมที่จะสวมหน้ากากที่นายหญิงน้อยมอบให้ เขารู้สึกมั่นใจขึ้นมากกว่าในอดีตหลายเท่านัก ชายหนุ่มวิ่งมาหยุดที่หน้าร้านขนมเก่าแก่ของเมือง“เจ้าคนอัปลักษณ์นี่ใครกัน ไยไม่รู้จักหลีกทางให้ข้า”เสียงนั้นทำให้เกาชุนหลางถึงกับสั่นน้อย ๆ คนที่อยู่เบื้องหลังคือน้องชายต่างบิดานั่นเอง ปึก! คุณชายสกุลเจียงถึงกับเซไปหลายก้าว เมื่อเขาตั้งใจที่จะลงมือต่อคนที่ขวางทาง“เจ้ากล้าดียังไง มาทำร้ายข้า!”“ขออภัยขอรับ เท่าที่ข้าน้อยเห็นเป็นท่านที่คิดจะแตะต้องคุณชายของเราก่อน”เกาชุนหลางหันขวับ! กลับไปมองด้านหลังในทันที ก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ เมื่อเห็นว่าเป็นหนึ่งในบ่าวชายในจวน“สกุลใดกัน! มิรู้หรือว่าที่นี่สกุลเจียงของข้าเป็นใหญ่”“บุตรชายท่านเจ้าเมือง ใช่ว่าใครจะไม่รู้จักขอรับ แต่ต่อให้ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องรู้จักมารยาท”“บังอาจ! ไพร่เยี่ยงกล้าดียังไงมากำแหงต่อข้า”“เอ่อ...”เกาชุนหลางคิดที่จะเอ่ยห้ามปราม ทว่ากลับต้องหยุดความคิดนั้นเสีย เมื่อสตรีที่ก้าวเข้ามาคือมารดาของเขาเอง มือหยาบที่จับแขนของบ่าวข้างกาย เผลอบีบแน่น ด้วยความรู้สึกทั้งกรุ่นโกรธและเสียใจ“จะเป็นคุณชายบ้านใด ก็ต้องรู้จักสูงต่ำบ้าง”“เจียงฮูหย
“คุกเข่า!”ทหารที่จับตัวของสองพ่อลูก เตะเข้าที่ข้อพับของชายชรา จนเขาล้มลงเข่ากระแทกกับพื้น เกาจ้านเจ็บร้าวไปทั้งขา ก่อนจะเงยหน้ามองไปที่สามีคนใหม่ของอดีตภรรยา“สตรีผู้นั้นอยู่ที่ใด กล้าที่จะกำแหงต่อครอบครัวข้า ก็ต้องกล้าที่ออกมารับโทษทัณฑ์”“โบยมันให้ตายเลยขอรับท่านพ่อ”เจียงหลุนรีบเติมเชื้อไฟ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครที่จะหักหน้าเขาเช่นวันนี้มาก่อน“โบยมันสองพ่อลูก จนกว่าจะบอกว่าสตรีผู้นั้นอยู่ที่ใด”“ลองโบยดูสิ!”เสียงกร้าวดังขึ้นจากประตูบ้าน ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของรองแม่ทัพจะก้าวออกมา โดยมีเหล่านายกองติดตามมามิห่าง ทั้งหมดมีใบหน้าทะมึนตึงไม่แพ้กันกับรองแม่ทัพ ที่สำคัญไปกว่านั้นชุดที่ชายหนุ่มทั้งหมดสวมอยู่นั้น บ่งบอกถึงตัวตนว่าเป็นใครท่านเจ้าเมืองถึงกับหายใจติดขัด เมื่อเห็นลวดลายที่ปักบนแขนเสื้อของพวกเขา มีเพียงแค่สังกัดเดียวเท่านั้น ที่ปักลวดลายนี้ไว้บนแขนเสื้อ“ทหารจากแดนเหนือ”“รู้จักด้วยรึ! อยากพบสตรีผู้นั้นมากใช่หรือไม่ท่านเจ้าเมือง เช่นนั้นรอสักครู่ประเดี๋ยวนางก็มา และข้าหวังว่าท่านและครอบครัว จะคิดหาคำแก้ตัวที่น่าฟัง นอกจากคำว่า...”“มิได้ตั้งใจ!”เสียงเย็นเยียบจากด้านหลัง ทำให