ณ ปี พ.ศ. 2538 “รศ.ดร.ธาวิน” อาจารย์หนุ่มอนาคตไกลแห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ เชื่อมั่นในหลักการทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่แล้ววันหนึ่งเรื่องเหนือธรรมชาติก็เกิดขึ้นกับเขา ! สิ่งที่เขาฝันเหมือนจะเกิดขึ้นจริง ๆ เขาจึงออกค้นหาเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง ! จนนำไปสู่การย้อนกลับไปในอดีตยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาติภพที่มีรักต่างฐานันดร รักที่ต้องแลกด้วยชีวิต รักนี้จะลงเอยเช่นไรไปติดตามกันค่ะ
View More“...เมื่อสิ้นบุญวาสนา
ชาตินี้ก็เป็นได้เพียง
คนแปลกหน้าของกันและกัน”
บทนำดวงตะวันสีแดงกลมโตคล้ายลูกโป่งใบใหญ่ ค่อย ๆ จมลงสู่ท้องทะเลจนเหลือเพียงครึ่งเดียวแสงสุดท้ายของวันทอประกายสีส้มแดงจับก้อนเมฆสีขาวกลายเป็นสีชมพูแดงระเรื่อ ทะเลสีครามลากเป็นเส้นตรงตัดกับพื้นทรายและแผ่นฟ้า เสียงคลื่นกระทบหาดทรายโขดหินขับกล่อมประสานกับเสียงนกที่ชวนกันโผบินเข้าสู่รวงรัง
หนุ่มสาวคู่หนึ่งนั่งเคียงคู่กันบนหาดทราย ให้น้ำทะเลสีครามฉ่ำเย็นสัมผัสเท้าอันเปลือยเปล่า นำพาวันและคืนเวลาให้ไหลไปสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ทั้งคู่ทอดตามองภาพวาดสวยงามเบื้องหน้า
หญิงสาวเอียงคอซบลงบนไหล่กว้างของชายหนุ่มราวกับจะหาที่พักพิงยามอ้างว้าง มือใหญ่ของเขาเลื่อนขึ้นกระชับไหล่บางราวกับจะบอกว่าเขาจะปกป้องดูแลหล่อนตลอดไป
จะมีสุขใดเล่า จะสุขยิ่งกว่าการได้อยู่เคียงข้างกับคนที่เรารัก แววตาอ่อนโยนของชายหนุ่มทอดมองหญิงสาวข้างกายมากกว่าทิวทัศน์เบื้องหน้า เขาอยากมองหล่อนให้นาน ๆ เพื่อย้ำกับตนเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้น คือ ความจริงมิใช่ความฝัน
เขาคร่ำเคร่งกับการทำงานมาครึ่งชีวิต ไม่เคยสนใจเรื่องความรักเลย ถึงแม้จะมีผู้หญิงมากหน้าหลายตาผ่านเข้ามาในชีวิต แต่เธอเหล่านั้นก็เหมือนกับรูปนางแบบในนิตยสารรายเดือน แม้สวยผุดผาดตระการตาสักเพียงใด พอเปิดดูผ่าน ๆ ไม่นานเขาก็ลืม
แต่กับเธอผู้นี้ อาจไม่สวยสะดุดตา แต่ดวงหน้าอ่อนใสปรากฏรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ในยามเช้า ดาวตากลมโตทอประกายดุจเดียวกับดาราบนฟากฟ้า หญิงสาวที่แสนบริสุทธิ์และงดงามผู้นี้ช่างตราตรึงใจเขายิ่งนัก
ดวงตากลมโตของหล่อนจับจ้องภาพเบื้องหน้าปล่อยให้ปอยผมที่ถูกแรงลมพลิ้วไสวคอเคลียสองแก้มนวลผ่อง เธอคือภาพวาดอันสวยสดและงดงามในใจเขา ใบหน้าอ่อนใสหันมามองเขาพร้อมกับรอยยิ้มละมุนเมื่อชายหนุ่มเอาแต่จับจ้องเธอไม่วางตา เสียงใส ๆ จึงทักขึ้นว่า
“หน้าอิงมีอะไรติดอยู่หรือคะ”
หญิงสาวจับผมที่ปลิวตามแรงลมทัดกับใบหูเพื่อไม่ให้ละใบหน้า
เขายิ้มให้สาวน้อยอย่างอ่อนโยน พร้อมกับจ้องลึกลงไปในแววตาไร้เดียงสาคู่นั้น เขาอยากบอกกับหล่อนเหลือเกินว่า
- เธอ คือ ทุก ๆ อย่างของเขา ผู้หญิงที่เขารักจนหมดหัวใจ อยากขอบคุณที่มีเธอบนโลกนี้ และขอบคุณที่ช่วยให้เขาได้พบกับเธอ –
ถึงแม้ว่าในยามนี้ เธออยู่ข้างกายเขา แต่ความสุขที่ท่วมท้นใจมันมากจนเขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันคือเรื่องจริง หรือความฝัน ? เขาจึงอยากมองเธอให้นานที่สุด เพื่อย้ำกับตัวเองว่า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ แต่ในสุดท้ายแล้ว... เขากลับเพียงแค่เอ่ยออกไปว่า
“ก็อิงสวยกว่าทะเลนี่ครับ”
“พี่วิน !”
ดวงตาสุกใสค้อนให้ชายหนุ่มทีหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองที่ท้องทะเลเบื้องหน้าอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยขึ้น
“อันที่จริง อิงไม่ชอบดูท้องฟ้าตอนพระอาทิตย์ตกเลยค่ะ มันรู้สึกหดหู่ใจอย่างไรไม่รู้ ตอนเด็ก ๆ อิงจำได้ว่า พอถึงตอนหัวค่ำทีไร ก็รู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก”
“ทำไมล่ะ?”
เขาถามขึ้นพลางทอดสายตามองดูพระอาทิตย์ที่จวนเจียนจะลับขอบฟ้า แสงสุดท้ายทอสีแดงระเรื่อ
“อิงคิดว่า นั่นอาจเป็นเพราะ เรารู้ว่าในตอนเช้าที่ดวงอาทิตย์ขึ้นนั้น แสงของมันแผดแสงแรงขึ้นทุกวินาที นั่นคือสัญญาณการเริ่มต้นของชีวิต แต่เมื่อถึงตอนเย็นดวงอาทิตย์อ่อนแรงลงทุกนาทีเช่นกัน และในไม่ช้าโลกทั้งใบตกอยู่ในความมืดมิด ทำให้เรารู้สึกว่ามันคือการสิ้นสุดของชีวิต”
เสียงท้ายประโยคสั่นเครือ ดวงตาที่เคยสดใสหม่นลง ร่างบางสะท้านไหวให้กับแสงอาทิตย์ริบหรี่เบื้องหน้าที่กำลังถูกความมืดเข้ากลืนกินในไม่ช้า ชายหนุ่มจึงกอดหญิงสาวไว้ด้วยอ้อมแขนแกร่ง
“แต่อิงรู้ไหม ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน แสงสุดท้ายของมันทำให้ท้องฟ้าสวยงามมากที่สุด มีเพียงแสงสุดท้ายของดวงตะวันเท่านั้นที่จะทำให้ก้อนเมฆกลายเป็นสีชมพูแดงระเรื่อได้”
เสียงทุ้มเอ่ยกับคนในอ้อมแขนเบาๆ
สาวในอ้อมกอดเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา ดวงตากลมโตเป็นประกายระยับราวกับเด็ก ๆ ที่กำลังตั้งใจฟังครูเล่านิทาน ธาวินจึงระบายยิ้มให้เธอแล้วอธิบายต่อว่า
“มีเพียงพระอาทิตย์ยามอัสดงเท่านั้น ที่ระบายสีท้องฟ้าให้งดงามได้เช่นนี้ และบางทีความมืดไม่ได้น่ากลัวเสมอไป ยามใดที่ความมืดมิดย่างกลาย ยามนั้นดวงดาวจะทอประกายเต็มท้องฟ้าเหมือนกับพี่ ทั้งชีวิตที่ผ่านมา เส้นทางที่พี่เดินมันมืดมิดและอ้างว้างเหลือเกิน แล้ววันหนึ่งอิงก็เดินเข้ามาในชีวิตของพี่ เป็นดังดวงดาราที่คอยส่องสว่างให้พี่ พี่รักอิงนะ”
เสียงบอกรักแผ่วเบา แต่ดังก้องในใจทั้งสองดวง
สิ้นคำชายหนุ่มก็จุมพิตลงบนกลีบปากบางอย่างนุ่มนวลยืนยันคำ “รัก” แทนความรู้สึกทั้งหมดที่มี หญิงสาวเผยอปากรับความอุ่นซ่านที่เขามอบให้ ไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร ขอแค่ ณ วินาทีนี้ ได้อยู่กับเขาและให้เขารับรู้ว่า เธอก็รักเขามากเฉกเช่นเดียวกัน
รักจนยอมสิ้น.... เสียทุกสิ่ง
รักจนยอมสิ้น.... ทั้งชีวิต
รักจนยอมให้.....
ลมหายใจนี้ สิ้นสุดเพียงแค่เธอ
ความจริงที่ซ่อนไว้ 8ฉันอาจจะเป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ Unlucky in love , Unlucky in gameเมื่อถึงรอบการประเมินเพื่อเลื่อนตำแหน่งจากพนักงานมหาวิทยาลัยระดับฝึกหัดเป็นระดับปฏิบัติการหากผ่านจะมีฐานเงินเดือนที่สูงขึ้น และมีความก้าวหน้าในสายงานอาชีพมากขึ้นปรากฏว่าฉันถูกประเมินว่า “ไม่ผ่าน” ซึ่งหัวหน้าสำนักงาน (พี่ณี) และท่านรองฯ ให้เหตุผลกับฉันว่า...เพราะเธอไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ (คงจะเป็นเมื่อครั้งที่ฉันรั้นจะจัดอบรมนอกมหาวิทยาลัย) มาสาย และบ่นลงเฟสบุ๊คเหตุผลแต่ละข้อที่กล่าวมา ทำให้ฉันหัวเราะทั้งน้ำตาการเลื่อนขั้นขึ้นเงินเดือนไม่ได้ดูที่ผลงานหรืองานที่พัฒนาขึ้น แต่วัดกันที่เหตุผลส่วนบุคคลของคนบางกลุ่ม จนบางครั้ง ฉันรู้สึกหมดแรงกับการทำงานตั้งใจทำงานเพื่ออะไร พัฒนางานไปเพื่ออะไรทำงานให้เสร็จเรียบร้อยเพื่ออะไรเพราะทำไปเงินเดือนก็ไม่ขึ้น ตำแหน่งก็ไม่ได้ สู้เอาแรงกายแรงใจไปนั่งเลียแข้งเลียขาเจ้านายดีกว่าไหมสุดท้าย....ฉันก็ต้องยอมรับกับผลการประเมินที่ไม่เป็นธรรมแต่จะให้เปลี่ยนตนเองเป็นคนเลียแข้งเลียขา หรือเช้าชามเย็นชามก็ไม่ไหวเพราะสิ่งที่ฉันยึดมั่นอยูในใจเสมอมา คือค่าของคนอยู
ความบังเอิญครั้งที่ 4วันนั้น ฉันจัดประชุมคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์กว่าการประชุมจะสิ้นสุดลง ก็กินเวลาจวนเจียนจะบ่ายข้าวเที่ยงยังไม่ตกถึงท้อง น้ำย่อยในกระเพาะมันร่ำร้องให้ฉันพาตนเองไปทานข้าวที่โรงอาหารกลางเมื่อกินข้าวเสร็จก็ลุกขึ้นเพื่อเอาจานไปวางไว้ที่อ่างสำหรับเตรียมล้างนึกไม่ถึงเลยว่าจะเจออาจารย์ A กำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่ด้านหลังเขานั่งหันหลังให้ฉันแม้หัวใจมันร่ำร้องอยากจะเข้าไปทักแต่สถานะที่เป็นอยู่ทำให้ฉันต้องข่มใจ แล้วเดินผ่านอาจารย์ไปฉันเดินออกจากโรงอาหารไปด้วยหัวใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะขึ้นสำนักงาน จึงแวะที่ร้านกาแฟก่อนระหว่างที่นั่งรอกาแฟนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ A จะมาที่ร้านกาแฟเหมือนกันอาจารย์ A เปิดประตูเข้ามา ใบหน้าเรียบเฉย มองฉันแค่แวบเดียวแล้วมองผ่านเลย เหมือนคนไม่เคยรู้จักกันฉันกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอในเมื่อเขาไม่อยากรู้จัก เราก็จะไม่ทักเขาให้ต้องระคายเคืองใจเมื่อได้กาแฟแล้ว ฉันก็รีบเดินออกจากร้านทันทีและสิ่งที่ทำให้ฉันตัดใจไม่ได้สักที คือผลจากแผนการที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้นที่ฉันเที่ยวไปประกาศปาว ๆ ว่างานอะไรที่เกี่ยวข้องก
ความจริงที่ซ่อนไว้ 7ยิ่งคุยกัน.....ระยะห่างระหว่างเรายิ่งสั้นลงเรื่อย ๆไม่รู้ทำไม...ทุกครั้งที่จบการสนทนาในแชทบล็อกเราต้องนั่งอมยิ้มคนเดียวแล้วในหัวก็จะมีเรื่องของเขาวนเวียนอยู่ในหัวทันทีที่เริ่มรู้สึกรัก ฉันก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดอกหักทันทีที่รัก เพราะรู้ดีแก่ใจว่า รักครั้งนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ฉันตั้งใจขุดหลุมล่อหลอกอาจารย์ให้ตกลงไปเพื่อใช้อาจารย์เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นหัวหน้ากลับกลายเป็นฉันที่ตกลงไปในหลุมเสียเองจนอยากที่จะปีนขึ้นไปในขณะที่ฉันเริ่มรู้ตัวว่าหลงรักอาจารย์จนยากจะตัดใจอาจารย์ก็เริ่มรู้ตัวว่าถูกฉันตามจีบการสนทนากันในแชทจึงเริ่มน้อยลง อาจารย์ A ถามคำตอบคำจนฉันเริ่มรู้ถึงการรักษาระยะห่างของเขาฉันจึงพยายามตัดใจจากเขา เพราะเข้าใจดีว่า ผู้ชายที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่มีทางมองผู้หญิงระดับต่ำกว่าแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา การศึกษา หรือฐานะดังนั้น ฉันจึงห้ามใจไม่ทักแชทไปอีก และหักดิบโดยการเลิกเป็นเพื่อนกับเขาทาง F******k เพื่อที่จะไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเขาอีกแต่ดูเหมือนฟ้าจะยังคงสนุกกับการทรมานหัวใจของฉันยิ่งอยากตัดใจ ก็ยิ่งให้ฉันต้องบังเอิญ
จนกระทั่งรถวิ่งผ่านสวนป่าข้างหนองน้ำ...“ ด้านซ้ายมือ... จะเห็นเครื่องออกกำลังกาย... สำหรับออกกำลังกายตอนเย็นๆ รอบหนองน้ำเป็นทางวิ่ง เขาเรียกกันว่า.... หนอง... หนอง....”อาจารย์ A หันมาสบตาฉันเพื่อขอความช่วยเหลือ...“หนองอิเจมค่ะ”ฉันตอบทันทีอย่างรู้งาน“ทำไมถึงชื่อ หนองอิเจมหรือครับ”วิทยากรสงสัย.......และแล้วอาจารย์ A ก็ได้รับอีก 1 หน้าที่ นั่นคือ นักเล่าประวัติศาสตร์หนองอิเจมของมหาวิทยาลัยจนกระทั่งในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้าตึกสำนักงานอธิการบดีที่รถอาจารย์ A จอดไว้เครื่องมือแก้แค้นหัวหน้ากำลังจะลงจากรถแล้ว !ฉันเหลือบมองกระเป๋าอาจารย์ A ที่วางอยู่บนเบาะข้าง ๆสวรรค์ช่างเข้าข้างนัก !ฉันจึงถือกระเป๋าใบนั้นขึ้นมา ในขณะที่อาจารย์ A กำลังไหว้ลาวิทยากร แล้วเปิดประตูลงจากรถ“อาจารย์คะ กระเป๋าค่ะ !”ฉันตะโกนเรียกอาจารย์ พร้อมกับชูกระเป๋าให้ดู“อ๋อ... ขอบคุณครับ”ฉันยื่นกระเป๋าให้.....มือหนึ่งจับด้านข้าง.... อีกมือสอดไว้ใต้กระเป๋าอย่างจงใจ...อาจารย์ A ยื่นมือมารับกระเป๋า...มือนุ่มๆ ยาวเรียวของเขาประกบกับมือเล็ก ๆ ที่ฉันจงใจสอดไว้ใต้กระเป๋าหนังใบโต...Yes !เป็นไปตามแผน !... ฉันลิงโลดในใจ
ความจริงที่ซ่อนไว้ 5และแล้ววันอบรมก็มาถึง !ฉันต้องดีดตัวเองลุกจากที่นอนตั้งแต่ไก่โห่ !แล้วแจ้นไปรับวิทยากรที่สนามบิน !….ส่วนอีกทีมหนึ่งฝากให้น้องนก กับพี่เกด คอยต้อนและรับเหล่าอาจารย์ ที่เข้าร่วมอบรมให้ขึ้นรถบัส แล้วไปสมทบกันที่ รีสอร์ต The best orchid….เริ่มต้นการอบรม เป็นไปอย่างสวยงาม ผู้เข้าร่วมอบรมต่างประทับใจวิทยากรกันยกใหญ่...ทึ่งกับความคิดที่ไม่เหมือนใครทึ่งกับแนวทางการก้าวสู่ “ตำแหน่งศาสตราจารย์” ที่อายุยังน้อยและทึ่งกับฉันที่สามารถขุดค้นศาสตราจารย์ท่านนี้มาได้น้อง ๆ พี่ทีมงานที่มาช่วยจัดอบรมต่างรู้กันดีว่า ฉันกำลังวางแผนจีบอาจารย์ A เพื่อแก้แค้นหัวหน้า ดังนั้น ทุกคนต่างสนับสนุนช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น ช่วยถ่ายรูปอาจารย์ A เอาไว้แทบจะทุกช็อตในระหว่างที่นั่งอบรมกันในห้องประชุมนั้นอาจารย์ A ขอน้ำดื่มเพิ่ม พี่เกดก็มาสะกิดฉันให้ยกน้ำดื่มไปเสิร์ฟอาจารย์แม้กระทั่งตอนพักเที่ยง....ฉันแอบชำเลืองมองไปที่โต๊ะอาหารที่กลุ่มอาจารย์คณะวิศวะฯ นั่งอยู่ เมื่อเห็นว่า กลุ่มอาจารย์กำลังลุกออกจากโต๊ะฉันจึงรวบช้อน รีบกลืนข้าวที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียดให้ลงคอ แล้วตามด้วยน้ำ“หนู
ความจริงที่ซ่อนไว้ 41 สัปดาห์ผ่านไป !อาจารย์ท่านอื่นๆ สมัครมาเกือบจะเต็มจำนวนที่เปิดรับแล้วอาจารย์ A ยังไม่ตอบรับมาเลย >เอาไงดี ๆ -ฉันกระวนกระวายในใจ“พี่เกด !” (นามสมมุติ)ฉันร้องเสียงหลง... ทันทีที่เห็นพี่เกดเดินเข้ามาในออฟฟิศ....ยังเช้าตรู่ ทั้งออฟฟิศมีแค่ฉันกับพี่เกด ดังนั้น ฉันจึงโหวกเหวกได้ตามใจ“แวะ ๆ แวะ โต๊ะหนูก่อน”ฉันลากพี่เกดมาที่โต๊ะ“พี่เกด หนูจะเชิญอาจารย์ A ไปอบรมกับหนูแบบเนียน ๆ”“หือ....”พี่เกดลากเสียง ตาวาว เพราะไม่มีใคร ไม่รู้จักความฮอต ของอาจารย์ผู้นั้น“หนูอยากจะทำความรู้จักกับอาจารย์ A ค่ะ”ฉันรีบบอกความต้องการของตนเองไปอย่างตรงไปตรงมา เพราะตอนนี้ความอยากแก้แค้น และเอาคืน มันมีมากกว่าความรู้สึกกระดากอาย“เอาจริง”“จริงแท้ แน่นอน”“เปลี่ยนเป้าหมายใหม่เถอะ ! เขาเป็นถึงตัวท๊อปของคณะวิศวะเลยนะ ! เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์เลยนะคะ”พี่เกดพูดพร้อมกับจะขยับตัวลุกขึ้น แต่คนมือไวคว้าหมับ รั้งไว้“ไม่เปลี่ยนใจค่ะ ! ให้หนูลองดูสักตั้งนะคะ”วินาทีนี้ ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนความตั้งใจของฉันได้ !สุดที่รักของหัวหน้าใช่ไหม ! คอยดู ! แล้วฉันจะสอยลงมาอยู่ในกำมือ
แต่กลับเชื่อเพียงลมปากของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็น “หัวหน้าสำนักงาน”!ลมปากที่พ่นออกมา...ไม่ใช่สีขาวแน่ๆ...แต่ต้องแต่งเติม......สาดสีเน่าๆ ขนาดไหนหนอ....ถึงสามารถเป่าหูท่านรองฯ ให้คุกรุ่นได้ขนาดนี้ !เมื่อพลิกกี่รอบ ๆ... ก็ไม่เจอสิ่งที่อ้างเอ่ย..ท่านรองฯ จึงหยิบดินสอขึ้นจรดลงบนกระดาษ“งั้นก็ไปแก้... คำถูกคำผิดมา ตรวจทานอีกรอบแล้วกัน”“ค่ะ”ฉันรับคำ พร้อมยื่นมือรับเอกสารคืนอย่างอ่อนแรง“แก้เสร็จ ก็ค่อยเสนอใหม่นะ แล้วคราวหน้า จะทำอะไร ก็ให้เข้ามาปรึกษาก่อน”“ค่ะ”ฉันรับแฟ้มเอกสารโครงการคืน.....เดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน...วางแฟ้ม.... ปิดคอมพิวเตอร์....เดินออกจากสำนักงาน... ด้วยดวงใจที่อ่อนล้า...พร้อมกับเสียงกระซิบบอก........เลิกเถอะ !... พอกันที !........เธอจะทำโครงการดี ๆ ให้คนเขาด่าเล่นทำไมวะ !...เลิกสรรหาผู้ทรงดี ๆ เอาแค่ใครก็ได้......เลิกทำจริง ๆ แล้วเอารายชื่อผีมาเบิกเงินหลวงกิน !...เลิกคิด เลิกทำสิ่งใหม่ ๆ .....แล้วปล่อย.... ให้ทุกสิ่งคงอยู่ในกะลาครอบของมัน !..ตะวันลาลับขอบฟ้า แต่หยาดน้ำตา กลับรื้อขึ้นมาไม่ขาดสายความจริงที่ซ่อนไว้ 3.....เสียงเซ็งแซ่... ของเหล่านกกา....กู
“ถ้าจะจัด... ก็ห้ามเอาคนในสำนักงานไปด้วย”“ค่ะ. เอาไปเฉพาะคนทำงานค่ะ”ฉันตอบ“รายชื่อที่ ใส่มาตัดออกให้หมด แล้วเสนอคนทำงานมาใหม่”หัวหน้าใช้ปากกาขีดฆ่ารายชื่อแนบท้ายหนังสือขออนุมัติจัดอบรมในขณะที่ปากกาในมือขีดเขียนโครงการอบรมของฉันจนยับเยินปากหัวหน้าก็พูดไปว่า“....เอาคนไปทำไมเยอะแยะตั้งห้าหกคน”ฉันเถียงในใจว่า- ก็ออกไปจัดอบรมข้างนอก ต้องมีคนช่วยขนของ. ช่วยดูแลบนรถ. ช่วยลงทะเบียน. ช่วยจัดกิจกรรม. รับวิทยากร. ฯลฯ..- แต่คำที่หลุดออกมาจากปากฉันจริง ๆ มีเพียงคำว่า...“ค่ะ”.“แล้ว เรื่องเที่ยว ตัดออกเลยนะ ! ห้ามไป !”“ค่ะ”ตอบค่ะ.... แต่ในใจอยากสวนกลับเต็มทนว่า- มันไม่ใช่เรื่องเที่ยวนะ ! กรุณาอ่านให้จบ !มันเป็นการท่องโลกกว้าง เพื่อเปิดโลกทัศน์ กระตุกความคิด ในชั่วโมงว่าง ! -หลังจากที่ขีด เขียน ฆ่า กระดาษโครงการของฉัน... จนสาแก่ใจ......หัวหน้าก็ปิดแฟ้ม แล้วเลื่อนซากโครงการที่พรุนไปด้วยปากกาแดงมาตรงหน้า“ไปแก้ไขมา ! แล้วค่อยมาเสนอใหม่ !”“ค่ะ”ฉันรับแฟ้มงานคืน แล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะ....วันนี้คงต้องงดวิ่งบนสนาม....แต่เปลี่ยนมาวิ่งบนแป้นพิมพ์แทน !ต้องแก้งานก่อน !ตอนนี้เหลือเวลา อีก 7
วันหนึ่งสำนักงานวิจัย แจ้งให้อาจารย์ขึ้นมาลงนามในสัญญารับทุนวิจัยที่โต๊ะพี่ณี (หัวหน้าสำนักงาน)และแล้วในตอนบ่าย ขณะที่ฉันกำลังเตรียมเอกสารจัดส่งไปตามคณะต่าง ๆ น้อง ๆ พี่ ๆ ผู้หญิงในสำนักงานเหมือนจะมีอาการนั่งไม่ติด สบตากันไปมา แล้วยิ้มเหมือนมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นฉันจึงหยุดมือจากเอกสารตรงหน้า แล้วตั้งใจมองหาสิ่งที่ทำให้สาว ๆ ทั้งสำนักงานเสียอาการ พี่คนหนึ่งส่งสายตาพยักพเยิดให้ดูหัวหน้าสำนักงานพี่ณีเดินเชิดหน้าคอตั้งเข้ามา พร้อมกับอาจารย์ A ตรงไปยังโต๊ะของตนเพื่อที่จะลงนามในสัญญารับทุน ใบหน้าอวบอ้วนของพี่ณีบานแฉ่งยิ่งกว่ากระด้ง แม้ว่าหัวหน้าสำนักงานจะพยายามเก็บอาการอย่างยิ่ง แต่แววตาของหัวหน้าที่บอกว่าปลื้มอาจารย์ A มาก กลบเท่าไหร่ ก็กลบไม่มิดส่วนอาจารย์ A นั้น ก็นิ่งขรึมไม่มีทีท่าวอกแวกกับสาว ๆ คนไหน หรือพูดจาทักทายกับใครสักคน เขาแค่นั่งลงที่โต๊ะ จรดปากกาลงในเอกสาร จากนั้นก็ลงขึ้นเดินกลับออกไปฉันรู้สึกในใจว่า อาจารย์ A ทั้งหยิ่ง ทั้งขี้เก๊กขนาดนี้ มีอะไรให้ชื่นชอบกันหนักหนา ที่สำคัญสายตาคมกริบ ปากบาง ๆ แบบนั้น ต้องดุมากแน่ ๆ ผู้ชายแบบนี้อันตราย อยู่ห่าง ๆ ไว้ดีที่สุดแต่ดูเหมือนว่า
Comments