“รีสอร์ตของคุณอยู่ติดทะเลใช่ไหมครับ”
“ครับ เดอะมูนวิลเลจ บีช รีสอร์ต เป็นรีสอร์ตสุดหรู หาดทรายส่วนตัว ที่ใหญ่ที่สุดของชลบุรีครับ”
คำตอบจากปลายสายทำเอาหัวใจของเขาเต้นรัวราวกับตีกลอง ความทรงจำที่หายไปวันนั้น คำตอบที่เขาต้องการอยู่ใกล้แค่เอื้อม อย่างน้อยที่สุดเขาก็รู้ว่าไปที่รีสอร์ตแห่งนี้จริง ๆ
“เมื่อกี้คุณบอกว่าผมมีคู่รักหรือครับ”
ธาวินถามต่อ
“ใช่ครับ ท่านเปิดห้องพักและขอให้ทางเราจัดบริการพิเศษเป็นดินเนอร์สุดโรแมนติกริมชายหาดให้”
“ผมเนี่ยนะ”
ธาวินแทบจะเป็นตะโกนออกมา
คำบอกเล่าจากปลายสายทำให้เขาอึ้งจนแทบจะไม่เชื่อว่านั่นคือตัวตนของเขาจริง ๆ คนที่ไม่เคยรู้จักกับความรักเช่นเขานะหรือ จะมีดินเนอร์อันแสนโรแมนติก แม้แต่กับหมอเกดเอง เขาก็ยังไม่เคยชวนหล่อนไปทานข้าวใต้แสงเทียนเลยสักครั้ง
“ครับ วันนั้น ท่านคุกเข่าขอว่าที่เจ้าสาวแต่งงาน ทางเราจึงเก็บภาพประทับใจนี้ไว้ให้ แล้วส่งเข้าเมล์ท่านตามที่ได้ให้ไว้แล้วเรียบร้อยครับ และผมก็โทรมาขอบคุณท่านด้วยตนเองอีกครั้งครับ”
“คุกเข่าขอแต่งงาน”
เขาอุทานออกมาคล้ายจะย้ำความชัดแจ้งกับตัวเอง สิ่งที่ปลายสายบอกเหมือนกับในความฝันของเขาไม่มีผิดเพี้ยน ความฝันจะเป็นความจริงได้อย่างไร หรือความฝันจะเป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้วแต่เขาจำมันไม่ได้
“แล้วว่าที่เจ้าสาวผมเป็นใคร เธอไปหาผมที่นั่นได้อย่างไร เธอชื่ออะไร กลับตอนไหน บ้านเธออยู่ที่ไหน คุณรู้จักเธอไหมครับ”
ธาวินรัวคำถามกลับไปคล้ายคนเสียสติที่จำคนรักของตนเองไม่ได้ เขาอยากรู้นักผู้หญิงคนนั้นมีตัวตนอยู่จริง ๆ หรือไม่
“เอ่อ”
เสียงจากปลายสายดูอับจนหนทางที่จะให้คำตอบกับเขาเต็มที่ และกำลังคิดในใจว่า ตนกดหมายเลขโทรศัพท์โทรหาลูกค้าถูกคนแน่นอนหรือไม่ ทำไมเขาถามราวกับว่าไม่รู้ว่าตัวเองมาที่รีสอร์ตแม้แต่น้อย ซ้ำยังเหมือนว่าไม่รู้จักกับผู้หญิงที่เขาขอแต่งงานด้วย แต่เมื่อก้มดูสมุดบันทึกข้อมูล ก็พบว่าทั้งหมายเลขโทรศัพท์ และชื่อของชายหนุ่มก็ตรงกับแขกวีไอพีที่มาใช้บริการเมื่อสองวันก่อนไม่ผิดเพี้ยนแม้สักตัวเดียว
“ตอนเช็กอินท่านเข้ามาพร้อมกันกับคนรัก แต่ตอนกลับไม่ปรากฏว่าคนรักของท่านกลับตอนไหน เห็นเพียงตอนเวลาหลังเที่ยงคืนท่านก็เช็กเอาท์ออกไปโดยไม่ได้เข้าพักที่ห้องพักแม้แต่น้อย ส่วนชื่อคนรัก ของท่าน ผมไม่อาจทราบได้เนื่องจากท่านเป็นคนดำเนินการเองทั้งหมด ดังนั้น จึงมีเพียงข้อมูลของท่านที่ปรากฏครับ”
คนที่อยู่ปลายสายพยายามให้ข้อมูลเท่าที่รู้ และขออนุญาตวางสายเนื่องจากได้ทำหน้าที่โทรมาแจ้งเรื่องของกำนัลเรียบร้อยแล้ว
เมื่อสายตัดไปธาวินหันมองรอบตัว หวาดระแวงไปทุกสิ่ง ถึงขั้นลองตบหน้าตัวเองเพื่อพิสูจน์ว่าตอนนี้เขากำลังฝันอยู่หรือไม่ เมื่อความเจ็บแปลบแล่นจี๊ดเข้าสู่สมอง ทุกอย่างรอบกายยังคงเหมือนเดิม หน้าจอโทรศัพท์ยังปรากฏหมายเลขที่โทรมาเมื่อสักครู่ เขาไม่ได้ฝันไปจริง ๆ
แล้วดวงตาเขาก็เบิกโพลงขึ้น เขาลุกขึ้นแทบจะกระโดดลงจากเตียงถลาไปที่ลิ้นชักในตู้เสื้อผ้า มือแกร่งควานหาแหวนรุ่นที่เขาเก็บมันไว้ในลิ้นชักเป็นอย่างดี แต่แล้วเขาก็พบแต่ความว่างเปล่า ชายหนุ่มถึงกับเข่าทรุดลง ทิ้งตัวลงนั่งพิงตู้เสื้ออย่างหมดสภาพ
‘ต้องมีใครสักคนเล่นตลกกับเข่าแน่ ๆ หรือเป็นภูตผีที่ไหน เพราะถ้าเขาเครียดมากจนประสาทหลอนไปเอง ไปทะเลเองคนเดียว แล้วแหวนหายไปไหน’
ธาวินสูดหายใจเข้าลึกเต็มปอด เพื่อสงบสติอารมณ์แล้วตรงไปเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ห้องหนังสือ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงที่เขาพาไปรีสอร์ตด้วยวันนั้นเป็นใครกันแน่
เมื่อหน้าคอมพิวเตอร์ปรากฏขึ้นเขารีบคลิกเปิด E-mail ฉบับล่าสุดที่รีสอร์ตส่งมาให้ ในขณะที่วงกลมเล็ก ๆ บนหัวมุมด้านซ้ายกำลังหมุนแสดงการดาวน์โหลดข้อมูล เขากลืนน้ำลายเหนียวหนึบลงลำคออย่างยากลำบาก รู้สึกว่าอินเทอร์เน็ตในบ้านช้ากว่าปกติ ทั้ง ๆ ที่ความเร็วของเน็ตก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย
“ฮะ”
ธาวินอุทานเบาหวิว เมื่อเห็นภาพคู่รักที่รีสอร์ตส่งมาให้ ทำเอาหัวใจของเขากระตุกวูบแล้วตามมาด้วยอาการเสียวสันหลังวาบ มือและเท้าเย็นเฉียบ ผู้ชายคือเขาไม่มีผิดเพี้ยน และอีกคนคือผู้หญิงที่เขาฝันเห็น !
ธาวินรีบอาบแต่งตัวลวก ๆ แล้วตรงดิ่งไปที่มหาวิทยาลัยเลย สมองของตอนนี้เหมือนถูกทุบด้วยค้อนปอนด์ขนาดใหญ่ ทั้งปวดตุบ ๆ ทั้งสับสนกันไปหมด จนไม่สามารถคิดหาความจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง
“ฉันว่าต้องมีใครสักคนที่เล่นไสยศาสตร์มนต์ดำกับแกแน่ ๆ”
ดร.ประชา ออกความคิดเห็น หลังจากนั่งกินมื้อเที่ยงไปด้วย ฟังเพื่อนสนิทเล่าเรื่องราวไปด้วย
“ไสยศาสตร์หรือ”
ธาวินเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว เขาจบถึงปริญญาเอกจากเมืองนอกในสาขาวิทยาศาสตร์ ทั้งชีวิตเขาเชื่อเพียงตรรกศาสตร์ สสารสิ่งของที่มีอยู่จริง แม้แต่อากาศที่มองไม่เห็นยังมีตัวตนอยู่จริง แล้ววันนี้จะให้เขาเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจที่ไม่เคยพิสูจน์ได้ว่ามีอยู่จริงไหม มันก็จะแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย จนเขาต้องโต้แย้งออกมาว่า
“หรืออาจจะมีคนใช้ยาหรือสารที่ทำให้ไม่มีสติมาป้ายฉันไหม เหมือนแก๊งโจรตบทรัพย์อะไรพวกนั้น”
ดร.ประชาส่ายหัวดิก คว้าน้ำขึ้นดื่มหลังจากซัดข้าวเข้าไปจน เต็มท้อง ก่อนจะเอ่ยว่า
“ดูจากสภาพแกแล้ว แกถูกของแน่ ๆ”
เขาไล่สายตามองเพื่อนทั้งแต่หัวจนถึงเท้า แล้วไล่สายตากลับขึ้นไปจ้องหน้าคนที่นั่งตาโรยอยู่ตรงหน้า แม้จะมีแว่นตาปกปิดไว้ชั้นหนึ่ง แต่รอยคล้ำรอบดวงตาของเพื่อนสนิทก็ปรากฏชัด
“ขอบตาดำยังกับว่าแกไม่ได้นอนมาเป็นอาทิตย์ ขนาดฉันเที่ยวดึก ๆ ทุกวันหน้าตาฉันยังสดใสกว่าแกด้วยซ้ำ แล้วนี่เสื้อผ้าแกปกติไม่ใช่คนที่หยิบจับอะไรมาได้ก็ใส่นี่หว่า ไงวันนี้ถึงหยิบเสื้อแจกคอโปโลของคณะฯ มาใส่ แถมยังยับย่นจนดูไม่ได้ ผมแกก็เหมือนคนไม่ได้หวีชี้โด่เด่ หนวดเคราก็ขึ้นจนเริ่มเห็นราง ๆ เอาตรง ๆ นะ สภาพแกตอนนี้ เหมือนคนงานในฟาร์มวัวของคณะเกษตรฯ เลยวะ ไม่ใช่ว่าที่ศาสตราจารย์ สุดเนี้ยบที่ฉันรู้จักแน่ ๆ ถ้าแกไม่ได้โดนของแล้วจะเรียกว่าอะไร เรื่องแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะเว้ย”
ดร.ประชาร่ายยาว แม้เขาจะเรียนในสายวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกับเพื่อน แต่ประสบการณ์ด้านสังคมรอบตัวเขามีมากกว่า จึงทำให้เห็นโลกในอีกมุมมองหนึ่ง “แล้วเขาจะเล่นไสยศาสตร์ใส่ฉันทำไมวะ ฉันไม่ได้มีศัตรูที่ไหน วัน ๆ ก็ทำแต่งาน เลิกงานก็กลับบ้าน ชีวิตฉันมีอยู่เท่านี้” ธาวินเอ่ยออกมาอย่างจนใจ เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เขาปวดหัวจนไม่มีเวลาใส่ใจอย่างอื่น แม้แต่การดูแลตนเอง “ใครบอกว่า ไสยศาสตร์เขาทำใส่เฉพาะคนที่เกลียดกัน คนไหนที่รักมาก ๆ แต่ไม่ได้ครอบครองเขาก็ทำกันทั้งนั้น ยิ่งเป็นแกด้วยแล้ว ฉันว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูง” “ยังไง” ธาวินถามกลับอย่างจนปัญญาเพราะคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าคนอย่างเขาน่าทำของใส่ตรงไหน “ก็แกทั้งหล่อ ทั้งเก่ง ฐานะดี บอกเลยว่าเป็นชายหนุ่มหมายเลขหนึ่งที่สาว ๆ ต่างหมายปอง นี่ถ้าฉันเป็นแกนะ ป่านนี้ฟาดผู้หญิงไปครึ่งมหาลัยแล้ว” คำบอกเล่าของเพื่อนสนิททำให้ธาวินมองเขาอย่างเอือม ๆ กับนิสัยหนุ่มคาสโนว่าตัวพ่อ ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็หนีไม่พ้นผู้หญิงกับความรัก แต่ ดร.ประชาก็ไม่ได้ใส่ใจสายตาของเพื่อนนัก เพราะเจอสายตาดุ ๆ แบบนี้ของเพื่อนจนชิน จึงอธิบายต่อไปว่า “แต่เพราะเป็นท่านว่าที่ศา
“หะ”เขาอุทานในลำคอ แทบจะหลุดปากออกมาทันทีที่เห็นภาพใบหน้าเต็ม ๆ ของหญิงสาวที่อยู่ในรูป“ลงนามเสร็จก็ไปได้แล้ว แกมีสอนตอนบ่ายไม่เหรอ”ดร.ประชาที่ยืนอยู่ด้านหลังเพื่อน สะกิดที่ไหล่เขาเบา ๆ โดยไม่ทันเห็นอาการตื่นตะลึงของผู้เป็นเพื่อน“ประชา ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะคล้าย ๆ กับผู้หญิงที่ไปเที่ยวกับฉันที่ทะเลเลยวะ”ธาวินลุกขึ้นแล้วยื่นรูปผู้หญิงใบนั้นให้ ดร.ประชา ดู“ผู้หญิงคนนี้เหรอ”ดร.ประชา อุทานออกมาแทบจะไม่เชื่อสายตัวเอง เพราะเด็กสาวในรูป ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าสวยสะดุดตา หรือการแต่งกายที่ส่อแววว่าเป็นผู้หญิงเปรี้ยวเข็ดฟันถึงขนาดลุกขึ้นมาไล่จับผู้ชายก่อนแม้แต่น้อย ดวงตากลมโตของเด็กสาวในภาพดูใสซื่อมาก อีกทั้งรอยยิ้มของเธอยังดูไร้เดียงสา ไม่น่าจะกระทำเรื่องชั่วร้ายเช่นการทำของใส่เสน่ห์ให้ผู้ชายรักผู้ชายหลง แน่ ๆ“ฉันไม่แน่ใจ แต่โครงหน้าคล้ายกันมาก ผู้หญิงในฝันคนนั้น ผมยาวสลวย และดูมีน้ำมีนวลมากกว่านี้ แต่เธอในรูปนี้ดูผอมและผิวสีเหลืองซีดจนบอกไม่ถูก ที่สำคัญคนในรูปผมหยักศก”“อาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ”ดร.ประชา ออกความเห็นพร้อมกับคืนรูปให้ธาวินแต่ดูเหมือนว่าเพื่อนของเขายังไม่ตัดใจง่าย ๆ เพราะธาวิ
“อิง ๆ อาจารย์ธาวิน ขอสายอิงนะ”ใหม่เด็กสาวที่อายุรุ่นเดียวกันกับเธอ เรียกให้รับโทรศัพท์จากอาจารย์ท่านหนึ่งอิงดาวมองหน้าสาวธุรการประจำสำนักงานคนสวยอย่างงวยงง เธอมาทำงานที่นี่ได้เพียงแค่สองอาทิตย์เท่านั้น ทำไมมีคนโทรมาติดต่องานเร็วจัง“ไม่ต้องทำหน้างงจ๊ะ อาจารย์เขาจะขอพูดกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องมาตรฐานห้องทดลองของมหาวิทยาลัย ก็มีแค่อิงดาวคนเดียวเท่านั้นล่ะจ๊ะที่ทำเรื่องนี้”ใหม่รีบพูดขึ้นเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ใหม่ประจำสำนักงานทำท่าเงอะงะเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก“จ๊ะ ขอบใจ”อิงดาวยิ้มให้เพื่อนแก้เก้อ พลางยกหูโทรศัพท์ขึ้นแล้วกรอกเสียงลงไปว่า“สวัสดีค่ะ อิงดาวพูดค่ะ”“ครับ คุณดูแลเรื่องมาตรฐานห้องทดลองใช่ไหม”เสียงทุ้มจากปลายดังขึ้น“ค่ะ”อิงดาวตอบเสียงสั่น หัวใจเต้นตุบตับรู้สึกร้อนรน เพราะเธอเพิ่งจะเข้าทำงานได้ไม่ถึงเดือน เกิดเหตุผิดพลาดจากงานที่ทำหรือเปล่านะ ทำไมอาจารย์ต้องโทรมาหาเราด้วย“ห้องทดลองของผม ไม่มีเชื้อโรคและพิษจากสัตว์นะ คงไม่ต้องส่งรายละเอียดของห้องทดลองคืนกลับไปให้ใช่ไหม”เสียงจากปลายสายดังรัวเข้ามา คนที่รับฟังอยู่ปลายสายเหงื่อแตกซิกเต็มหน้าผากก่อนตอบเสียงสั่นว่า“ใช่ค่ะ ราย
“วู้ย ! ฉันไม่คุยกับยัยซื่อบื้อแบบเธอแล้วย่ะ ! อารมณ์เสีย ไปทำงานต่อดีกว่า”ใหม่กระแทกส้นเข็มกลับไปที่โต๊ะของตน อิงดาวมองตามหญิงสาวสวยเปรี้ยวจี๊ดอย่างขำ ๆ เธอเข้าใจในความหวังดีของเพื่อน แต่อะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเธอก็ไม่ปฏิเสธหญิงสาวก้มหน้าก้มตาทำงานของตนเองได้ไม่นานนักเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น“อิง ๆ พรุ่งนี้พี่จัดอบรมพัฒนาทักษะนักวิจัย ไปช่วยพี่จัดงานหน่อยนะ”พี่มุตา ที่อยู่ฝ่ายงานวิจัย เดินเข้ามาหาเธอที่โต๊ะ สำหรับพี่มุตานั้นงานล้นมือจริง เพราะต้องดูแลการขอรับทุนทั้งหมดของมหาวิทยาลัย รวมถึงการพัฒนาทักษะด้านการวิจัยให้แก่คณาจารย์ อิงดาวจึงตอบรับไปอย่างเต็มใจ“ได้ค่ะพี่ตา แล้วมีอะไรให้หนูช่วยเตรียมไหมคะ”“พี่เตรียมเอกสาร และอุปกรณ์สำหรับการอบรมไว้หมดแล้วจ้า เหลือแค่ตอนบ่ายเดี๋ยวช่วยกันยกไปจัดสถานที่ที่โรงแรม”“ได้ค่ะ”“อ่อ ถ้าตอนนี้ว่างอยู่ ลงไปซื้อกาแฟใต้ตึกเราให้หน่อยสิ นั่งทำงานตั้งแต่เช้า ชักเพลีย ๆ อยากได้กาแฟสักแก้ว” “ได้ค่ะ”อิงดาวตอบรับคำอย่างว่องไว คิดเสียว่าเป็นการลุกจากเก้าอี้ ได้ขยับแข้งขยับขาเสียบ้าง“นี่จ๊ะ เงิน ของพี่เอาเอสเปรสโซ่น้ำผึ้งมะนาวนะ ส่วนอิงอยากกินอะไ
อิงดาวยกมือไหว้ พลางส่งยิ้มให้ แล้วเดินตรงไปยังปีกด้านซ้ายของตลาดที่เป็นแผงอาหารสดและร้านข้าวแกงต่าง ๆตลอดทางที่อิงดาวเดินผ่านเต็มไปด้วยเสียงทักทายฉันมิตรของพ่อค้าแม่ค้าชาวตลาดสดแม่ลา เธอช่วยแม่ขายข้าวแกงตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนบัดนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่“อิงดาว อิงดาว”คุณป้าร้านขายขนมไทยเรียก พร้อมกับกวักมือให้หญิงสาวเข้าไปหา“สวัสดีค่ะป้าศรี”อิงดาวยกมือไหว้หญิงชรา ที่หน้าตาเบิกบานไม่ได้ยับย่นเหมือนกับผิวของตนแม้แต่น้อย“อ่ะ นี่ขนม เอาไปกิน ทำงานมาเหนื่อย ๆ จะได้มีแรงช่วยแม่เขา”ป้าศรียื่นถุงขนมไทยให้“ขอบคุณค่ะป้า”หญิงสาวไหว้ขอบคุณก่อนจะยื่นมือออกไปรับเอามา แล้วถามต่อไปว่า“วันนี้คุณป้าจะกลับแล้วรึค่ะ”“ใช่ นางเพ็ญลูกสาวป้ามันบอกวันนี้เงินเดือนมันออก ให้รีบกลับจะพาไปกินข้าวนอกบ้านแนะ”ป้าศรียิ้มแฉ่งดวงตาที่มีสีฝ้ามัวของวัยชราเต็มไปด้วยแววของความดีใจ“ดีจังเลยค่ะคุณป้า ฝากขอบคุณพี่เพ็ญด้วยนะคะ ชุดที่พี่เพ็ญเอาให้ หนูใส่ได้พอดีทุกตัวเลยค่ะ” อิงดาวนึกถึงชุดทำงานที่เธอสวมใส่ส่วนใหญ่เป็นชุดที่ได้จาก ป้าศรี ซึ่งลูกสาวของแกโละตู้เสื้อผ้ามาบริจาคให้เธออีกทีหนึ่ง ชุดเหล่านั้นบางตัวย
“แม่ ๆ เดี๋ยวหนูยกเข้าบ้านเองค่ะ แม่เจ็บหลังอยู่อย่ายกของหนัก” อิงดาวรีบวิ่งเข้าไปแย่งถุงเนื้อไก่ และถุงเนื้อหมูออกมาจากมือแม่“ช่วย ๆ กันจะได้เสร็จไว ๆ”“แม่เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปอาบน้ำเตรียมกินข้าวพักผ่อนเถอะค่ะ”“แล้วเอ็งไม่เหนื่อยหรือไง ทำงานแล้วยังจะมาช่วยแม่ขายของเหมือนตอนเด็ก ๆ”นางจันทร์แย้งขึ้นด้วยความสงสารจับใจ ด้วยความรักของผู้เป็นมารดา“โธ่แม่ หนูนะยังเด็ก พละกำลังมีเหลือเฟือเลยค่ะ ดูสิลูกแม่แข็งแรงจะตาย อีกอย่างหนูจะได้เอาข้าวให้เจ้าพวกนี้กินด้วย”อิงดาวดุนหลังแม่เข้าไปในบ้าน พร้อมกับบุ้ยใบ้ให้ดูเจ้าสี่ขาที่ยืนกระดิกหางกันสลอน“เอ่อ ๆ ตามใจเอ็งแล้วกัน”นางจันทร์ยอมเข้าไปในบ้านแต่โดยดี ปล่อยให้ลูกสาวจัดการเก็บข้าวของ และจัดการอาหารที่เหลือจากการขายแบ่งให้หมา รวมถึงอาหารเย็นสำหรับครอบครัวของเธอในวันนี้บรืน ๆ บรืน ๆเสียงรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าวิ่งเข้ามาจอดเทียบหน้าบ้าน ขณะที่อิงดาวกำลังคลุกข้าวให้บรรดาเจ้าสี่ขาเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ถอดหมวกกันน็อคคล้องไว้กับกระจกส่องหลัง แล้วเอามือสางผมให้เข้าที่“ทำไมกลับดึกนัก”อิงดาวถามน้องชายด้วยความเป็นห่วง เพราะโรงเ
“หะ อะไร”อิงดาวสะดุ้งขึ้น ใบหน้ายังคงแดงแจ๋“นี่ ! อย่าบอกนะว่าเธอหลงเสน่ห์ อาจารย์สุดฮอต ตัวท๊อปของมหาวิทยาลัยไปเรียบร้อยแล้ว”ใหม่แซวเพื่อนทันที“ใคร อาจารย์ตัวท๊อป”อิงดาวถามขึ้นเพราะเธอไม่รู้จริง ๆ ว่าใคร“ก็ คนเมื่อกี้ไง อาจารย์ธาวิน”แววตาของใหม่มีประกายวิบวับยามเมื่อเอ่ยถึงอาจารย์หนุ่ม“อะไร ๆ กันจ๊ะ สาว ๆ ยืนคุยกันแบบนี้ ไม่ทำงานทำการกันหรือจ๊ะ”ป้านกเคลื่อนย้ายกายที่อวบอ้วนมาที่โต๊ะลงทะเบียน วันนี้ป้านกแต่งตัวใส่สูท แต่งหน้าทำผม เรียกได้ว่าสวยเป๊ะตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้า เพื่อให้เป็นที่สนใจ เพราะในวันอบรมใหญ่มีอาจารย์มากหน้าหลายตา ซึ่งอาจจะมีโอกาสได้ทำความรู้จักคุ้นเคยจนกระทั่งพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่การสละโสดของเธอได้“ก็ยัยอิงดาวสิพี่นก หลงเสน่ห์อาจารย์ธาวินเข้าแล้ว นั่นแน่ ๆ” ใหม่ยังคงล้ออิงดาวไม่หยุด“ไม่ใช่ค่ะ คือ คือว่า หนูเพิ่งรู้ว่าคนที่ช่วยหนูเมื่อวาน คือ อาจารย์ธาวิน หนูก็แค่คิดว่าจะบอกขอบคุณอาจารย์ธาวินอย่างไรดี ก็เท่านั้นค่ะ”อิงดาวรีบแก้ตัว“เอ่อ งั้นก็ดีแล้ว ปลื้มอาจารย์เฉย ๆ นะได้ แต่อย่าคิดจริงจังเชียว เพราะอาจารย์ธาวินเป็นถึงรองศาสตราจารย์ อีกไม่
เมื่อส่งเจ้าเต่าโชคร้ายตัวนั้นถึงมือสัตวแพทย์ประจำคลินิกเรียบร้อยแล้วอิงดาวก็นั่งคอยอยู่ภายในคลินิกอย่างใจจดใจจ่อ พลางสวดมนต์แผ่เมตตาและภาวนาขอให้คุณหมอช่วยมันได้ด้วยเถิด“หนู”เสียงเรียกดังขึ้นทำให้อิงดาวเงยหน้าขึ้นมอง และพบว่าเป็นอาจารย์สัตวแพทย์อายุราว ๆ ห้าสิบปี อยู่ในชุดสีฟ้าของคลินิก“เต่าที่หนูเอามา กระดองมันแตกมากจนถึงภายใน มันคงจะตายในอีกไม่ช้านะ”อาจารย์สัตวแพทย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเจือไปด้วยความสงสาร“ไม่มีทางช่วยชีวิตมันได้เลยรึคะ”อิงดาวลุกขึ้นอย่างร้อนใจ ดวงตากลมโตของเธอจับจ้องอาจารย์หมออย่างมีความหวัง“ไม่มีเลย เคสนี้กระดองแตกจนอวัยวะภายในบอบซ้ำหมดแล้ว”อาจารย์ส่ายหน้าช้า ๆ ดวงตาเศร้าสร้อยไม่แพ้กัน ชีวิตสัตว์ก็มีค่าเท่ากับชีวิตของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ล้วนรักตัวกลัวตายด้วยกันทุกชีวิต“โธ่ เจ้าเต่า”อิงดาวสีหน้าสลด“หนูไปเจอเต่าตัวนี้ที่ไหน”อาจารย์หมอถามขึ้น“หนูเห็นมันถูกรถเหยียบที่ถนนใกล้กับหน้ามหาลัยค่ะ”อิงดาวบอกออกไป“อืม น่าจะเป็นเต่าที่อยู่สระบัวหน้ามหาลัยของเรานะ แต่ก่อนมีเยอะกว่านี้ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมารถยนต์มากขึ้นทุกวัน จึงทำให้พวกมันเหลือน้อยเ
ความจริงที่ซ่อนไว้ 8ฉันอาจจะเป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ Unlucky in love , Unlucky in gameเมื่อถึงรอบการประเมินเพื่อเลื่อนตำแหน่งจากพนักงานมหาวิทยาลัยระดับฝึกหัดเป็นระดับปฏิบัติการหากผ่านจะมีฐานเงินเดือนที่สูงขึ้น และมีความก้าวหน้าในสายงานอาชีพมากขึ้นปรากฏว่าฉันถูกประเมินว่า “ไม่ผ่าน” ซึ่งหัวหน้าสำนักงาน (พี่ณี) และท่านรองฯ ให้เหตุผลกับฉันว่า...เพราะเธอไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ (คงจะเป็นเมื่อครั้งที่ฉันรั้นจะจัดอบรมนอกมหาวิทยาลัย) มาสาย และบ่นลงเฟสบุ๊คเหตุผลแต่ละข้อที่กล่าวมา ทำให้ฉันหัวเราะทั้งน้ำตาการเลื่อนขั้นขึ้นเงินเดือนไม่ได้ดูที่ผลงานหรืองานที่พัฒนาขึ้น แต่วัดกันที่เหตุผลส่วนบุคคลของคนบางกลุ่ม จนบางครั้ง ฉันรู้สึกหมดแรงกับการทำงานตั้งใจทำงานเพื่ออะไร พัฒนางานไปเพื่ออะไรทำงานให้เสร็จเรียบร้อยเพื่ออะไรเพราะทำไปเงินเดือนก็ไม่ขึ้น ตำแหน่งก็ไม่ได้ สู้เอาแรงกายแรงใจไปนั่งเลียแข้งเลียขาเจ้านายดีกว่าไหมสุดท้าย....ฉันก็ต้องยอมรับกับผลการประเมินที่ไม่เป็นธรรมแต่จะให้เปลี่ยนตนเองเป็นคนเลียแข้งเลียขา หรือเช้าชามเย็นชามก็ไม่ไหวเพราะสิ่งที่ฉันยึดมั่นอยูในใจเสมอมา คือค่าของคนอยู
ความบังเอิญครั้งที่ 4วันนั้น ฉันจัดประชุมคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์กว่าการประชุมจะสิ้นสุดลง ก็กินเวลาจวนเจียนจะบ่ายข้าวเที่ยงยังไม่ตกถึงท้อง น้ำย่อยในกระเพาะมันร่ำร้องให้ฉันพาตนเองไปทานข้าวที่โรงอาหารกลางเมื่อกินข้าวเสร็จก็ลุกขึ้นเพื่อเอาจานไปวางไว้ที่อ่างสำหรับเตรียมล้างนึกไม่ถึงเลยว่าจะเจออาจารย์ A กำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่ด้านหลังเขานั่งหันหลังให้ฉันแม้หัวใจมันร่ำร้องอยากจะเข้าไปทักแต่สถานะที่เป็นอยู่ทำให้ฉันต้องข่มใจ แล้วเดินผ่านอาจารย์ไปฉันเดินออกจากโรงอาหารไปด้วยหัวใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะขึ้นสำนักงาน จึงแวะที่ร้านกาแฟก่อนระหว่างที่นั่งรอกาแฟนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ A จะมาที่ร้านกาแฟเหมือนกันอาจารย์ A เปิดประตูเข้ามา ใบหน้าเรียบเฉย มองฉันแค่แวบเดียวแล้วมองผ่านเลย เหมือนคนไม่เคยรู้จักกันฉันกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอในเมื่อเขาไม่อยากรู้จัก เราก็จะไม่ทักเขาให้ต้องระคายเคืองใจเมื่อได้กาแฟแล้ว ฉันก็รีบเดินออกจากร้านทันทีและสิ่งที่ทำให้ฉันตัดใจไม่ได้สักที คือผลจากแผนการที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้นที่ฉันเที่ยวไปประกาศปาว ๆ ว่างานอะไรที่เกี่ยวข้องก
ความจริงที่ซ่อนไว้ 7ยิ่งคุยกัน.....ระยะห่างระหว่างเรายิ่งสั้นลงเรื่อย ๆไม่รู้ทำไม...ทุกครั้งที่จบการสนทนาในแชทบล็อกเราต้องนั่งอมยิ้มคนเดียวแล้วในหัวก็จะมีเรื่องของเขาวนเวียนอยู่ในหัวทันทีที่เริ่มรู้สึกรัก ฉันก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดอกหักทันทีที่รัก เพราะรู้ดีแก่ใจว่า รักครั้งนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ฉันตั้งใจขุดหลุมล่อหลอกอาจารย์ให้ตกลงไปเพื่อใช้อาจารย์เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นหัวหน้ากลับกลายเป็นฉันที่ตกลงไปในหลุมเสียเองจนอยากที่จะปีนขึ้นไปในขณะที่ฉันเริ่มรู้ตัวว่าหลงรักอาจารย์จนยากจะตัดใจอาจารย์ก็เริ่มรู้ตัวว่าถูกฉันตามจีบการสนทนากันในแชทจึงเริ่มน้อยลง อาจารย์ A ถามคำตอบคำจนฉันเริ่มรู้ถึงการรักษาระยะห่างของเขาฉันจึงพยายามตัดใจจากเขา เพราะเข้าใจดีว่า ผู้ชายที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่มีทางมองผู้หญิงระดับต่ำกว่าแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา การศึกษา หรือฐานะดังนั้น ฉันจึงห้ามใจไม่ทักแชทไปอีก และหักดิบโดยการเลิกเป็นเพื่อนกับเขาทาง F******k เพื่อที่จะไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเขาอีกแต่ดูเหมือนฟ้าจะยังคงสนุกกับการทรมานหัวใจของฉันยิ่งอยากตัดใจ ก็ยิ่งให้ฉันต้องบังเอิญ
จนกระทั่งรถวิ่งผ่านสวนป่าข้างหนองน้ำ...“ ด้านซ้ายมือ... จะเห็นเครื่องออกกำลังกาย... สำหรับออกกำลังกายตอนเย็นๆ รอบหนองน้ำเป็นทางวิ่ง เขาเรียกกันว่า.... หนอง... หนอง....”อาจารย์ A หันมาสบตาฉันเพื่อขอความช่วยเหลือ...“หนองอิเจมค่ะ”ฉันตอบทันทีอย่างรู้งาน“ทำไมถึงชื่อ หนองอิเจมหรือครับ”วิทยากรสงสัย.......และแล้วอาจารย์ A ก็ได้รับอีก 1 หน้าที่ นั่นคือ นักเล่าประวัติศาสตร์หนองอิเจมของมหาวิทยาลัยจนกระทั่งในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้าตึกสำนักงานอธิการบดีที่รถอาจารย์ A จอดไว้เครื่องมือแก้แค้นหัวหน้ากำลังจะลงจากรถแล้ว !ฉันเหลือบมองกระเป๋าอาจารย์ A ที่วางอยู่บนเบาะข้าง ๆสวรรค์ช่างเข้าข้างนัก !ฉันจึงถือกระเป๋าใบนั้นขึ้นมา ในขณะที่อาจารย์ A กำลังไหว้ลาวิทยากร แล้วเปิดประตูลงจากรถ“อาจารย์คะ กระเป๋าค่ะ !”ฉันตะโกนเรียกอาจารย์ พร้อมกับชูกระเป๋าให้ดู“อ๋อ... ขอบคุณครับ”ฉันยื่นกระเป๋าให้.....มือหนึ่งจับด้านข้าง.... อีกมือสอดไว้ใต้กระเป๋าอย่างจงใจ...อาจารย์ A ยื่นมือมารับกระเป๋า...มือนุ่มๆ ยาวเรียวของเขาประกบกับมือเล็ก ๆ ที่ฉันจงใจสอดไว้ใต้กระเป๋าหนังใบโต...Yes !เป็นไปตามแผน !... ฉันลิงโลดในใจ
ความจริงที่ซ่อนไว้ 5และแล้ววันอบรมก็มาถึง !ฉันต้องดีดตัวเองลุกจากที่นอนตั้งแต่ไก่โห่ !แล้วแจ้นไปรับวิทยากรที่สนามบิน !….ส่วนอีกทีมหนึ่งฝากให้น้องนก กับพี่เกด คอยต้อนและรับเหล่าอาจารย์ ที่เข้าร่วมอบรมให้ขึ้นรถบัส แล้วไปสมทบกันที่ รีสอร์ต The best orchid….เริ่มต้นการอบรม เป็นไปอย่างสวยงาม ผู้เข้าร่วมอบรมต่างประทับใจวิทยากรกันยกใหญ่...ทึ่งกับความคิดที่ไม่เหมือนใครทึ่งกับแนวทางการก้าวสู่ “ตำแหน่งศาสตราจารย์” ที่อายุยังน้อยและทึ่งกับฉันที่สามารถขุดค้นศาสตราจารย์ท่านนี้มาได้น้อง ๆ พี่ทีมงานที่มาช่วยจัดอบรมต่างรู้กันดีว่า ฉันกำลังวางแผนจีบอาจารย์ A เพื่อแก้แค้นหัวหน้า ดังนั้น ทุกคนต่างสนับสนุนช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น ช่วยถ่ายรูปอาจารย์ A เอาไว้แทบจะทุกช็อตในระหว่างที่นั่งอบรมกันในห้องประชุมนั้นอาจารย์ A ขอน้ำดื่มเพิ่ม พี่เกดก็มาสะกิดฉันให้ยกน้ำดื่มไปเสิร์ฟอาจารย์แม้กระทั่งตอนพักเที่ยง....ฉันแอบชำเลืองมองไปที่โต๊ะอาหารที่กลุ่มอาจารย์คณะวิศวะฯ นั่งอยู่ เมื่อเห็นว่า กลุ่มอาจารย์กำลังลุกออกจากโต๊ะฉันจึงรวบช้อน รีบกลืนข้าวที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียดให้ลงคอ แล้วตามด้วยน้ำ“หนู
ความจริงที่ซ่อนไว้ 41 สัปดาห์ผ่านไป !อาจารย์ท่านอื่นๆ สมัครมาเกือบจะเต็มจำนวนที่เปิดรับแล้วอาจารย์ A ยังไม่ตอบรับมาเลย >เอาไงดี ๆ -ฉันกระวนกระวายในใจ“พี่เกด !” (นามสมมุติ)ฉันร้องเสียงหลง... ทันทีที่เห็นพี่เกดเดินเข้ามาในออฟฟิศ....ยังเช้าตรู่ ทั้งออฟฟิศมีแค่ฉันกับพี่เกด ดังนั้น ฉันจึงโหวกเหวกได้ตามใจ“แวะ ๆ แวะ โต๊ะหนูก่อน”ฉันลากพี่เกดมาที่โต๊ะ“พี่เกด หนูจะเชิญอาจารย์ A ไปอบรมกับหนูแบบเนียน ๆ”“หือ....”พี่เกดลากเสียง ตาวาว เพราะไม่มีใคร ไม่รู้จักความฮอต ของอาจารย์ผู้นั้น“หนูอยากจะทำความรู้จักกับอาจารย์ A ค่ะ”ฉันรีบบอกความต้องการของตนเองไปอย่างตรงไปตรงมา เพราะตอนนี้ความอยากแก้แค้น และเอาคืน มันมีมากกว่าความรู้สึกกระดากอาย“เอาจริง”“จริงแท้ แน่นอน”“เปลี่ยนเป้าหมายใหม่เถอะ ! เขาเป็นถึงตัวท๊อปของคณะวิศวะเลยนะ ! เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์เลยนะคะ”พี่เกดพูดพร้อมกับจะขยับตัวลุกขึ้น แต่คนมือไวคว้าหมับ รั้งไว้“ไม่เปลี่ยนใจค่ะ ! ให้หนูลองดูสักตั้งนะคะ”วินาทีนี้ ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนความตั้งใจของฉันได้ !สุดที่รักของหัวหน้าใช่ไหม ! คอยดู ! แล้วฉันจะสอยลงมาอยู่ในกำมือ
แต่กลับเชื่อเพียงลมปากของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็น “หัวหน้าสำนักงาน”!ลมปากที่พ่นออกมา...ไม่ใช่สีขาวแน่ๆ...แต่ต้องแต่งเติม......สาดสีเน่าๆ ขนาดไหนหนอ....ถึงสามารถเป่าหูท่านรองฯ ให้คุกรุ่นได้ขนาดนี้ !เมื่อพลิกกี่รอบ ๆ... ก็ไม่เจอสิ่งที่อ้างเอ่ย..ท่านรองฯ จึงหยิบดินสอขึ้นจรดลงบนกระดาษ“งั้นก็ไปแก้... คำถูกคำผิดมา ตรวจทานอีกรอบแล้วกัน”“ค่ะ”ฉันรับคำ พร้อมยื่นมือรับเอกสารคืนอย่างอ่อนแรง“แก้เสร็จ ก็ค่อยเสนอใหม่นะ แล้วคราวหน้า จะทำอะไร ก็ให้เข้ามาปรึกษาก่อน”“ค่ะ”ฉันรับแฟ้มเอกสารโครงการคืน.....เดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน...วางแฟ้ม.... ปิดคอมพิวเตอร์....เดินออกจากสำนักงาน... ด้วยดวงใจที่อ่อนล้า...พร้อมกับเสียงกระซิบบอก........เลิกเถอะ !... พอกันที !........เธอจะทำโครงการดี ๆ ให้คนเขาด่าเล่นทำไมวะ !...เลิกสรรหาผู้ทรงดี ๆ เอาแค่ใครก็ได้......เลิกทำจริง ๆ แล้วเอารายชื่อผีมาเบิกเงินหลวงกิน !...เลิกคิด เลิกทำสิ่งใหม่ ๆ .....แล้วปล่อย.... ให้ทุกสิ่งคงอยู่ในกะลาครอบของมัน !..ตะวันลาลับขอบฟ้า แต่หยาดน้ำตา กลับรื้อขึ้นมาไม่ขาดสายความจริงที่ซ่อนไว้ 3.....เสียงเซ็งแซ่... ของเหล่านกกา....กู
“ถ้าจะจัด... ก็ห้ามเอาคนในสำนักงานไปด้วย”“ค่ะ. เอาไปเฉพาะคนทำงานค่ะ”ฉันตอบ“รายชื่อที่ ใส่มาตัดออกให้หมด แล้วเสนอคนทำงานมาใหม่”หัวหน้าใช้ปากกาขีดฆ่ารายชื่อแนบท้ายหนังสือขออนุมัติจัดอบรมในขณะที่ปากกาในมือขีดเขียนโครงการอบรมของฉันจนยับเยินปากหัวหน้าก็พูดไปว่า“....เอาคนไปทำไมเยอะแยะตั้งห้าหกคน”ฉันเถียงในใจว่า- ก็ออกไปจัดอบรมข้างนอก ต้องมีคนช่วยขนของ. ช่วยดูแลบนรถ. ช่วยลงทะเบียน. ช่วยจัดกิจกรรม. รับวิทยากร. ฯลฯ..- แต่คำที่หลุดออกมาจากปากฉันจริง ๆ มีเพียงคำว่า...“ค่ะ”.“แล้ว เรื่องเที่ยว ตัดออกเลยนะ ! ห้ามไป !”“ค่ะ”ตอบค่ะ.... แต่ในใจอยากสวนกลับเต็มทนว่า- มันไม่ใช่เรื่องเที่ยวนะ ! กรุณาอ่านให้จบ !มันเป็นการท่องโลกกว้าง เพื่อเปิดโลกทัศน์ กระตุกความคิด ในชั่วโมงว่าง ! -หลังจากที่ขีด เขียน ฆ่า กระดาษโครงการของฉัน... จนสาแก่ใจ......หัวหน้าก็ปิดแฟ้ม แล้วเลื่อนซากโครงการที่พรุนไปด้วยปากกาแดงมาตรงหน้า“ไปแก้ไขมา ! แล้วค่อยมาเสนอใหม่ !”“ค่ะ”ฉันรับแฟ้มงานคืน แล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะ....วันนี้คงต้องงดวิ่งบนสนาม....แต่เปลี่ยนมาวิ่งบนแป้นพิมพ์แทน !ต้องแก้งานก่อน !ตอนนี้เหลือเวลา อีก 7
วันหนึ่งสำนักงานวิจัย แจ้งให้อาจารย์ขึ้นมาลงนามในสัญญารับทุนวิจัยที่โต๊ะพี่ณี (หัวหน้าสำนักงาน)และแล้วในตอนบ่าย ขณะที่ฉันกำลังเตรียมเอกสารจัดส่งไปตามคณะต่าง ๆ น้อง ๆ พี่ ๆ ผู้หญิงในสำนักงานเหมือนจะมีอาการนั่งไม่ติด สบตากันไปมา แล้วยิ้มเหมือนมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นฉันจึงหยุดมือจากเอกสารตรงหน้า แล้วตั้งใจมองหาสิ่งที่ทำให้สาว ๆ ทั้งสำนักงานเสียอาการ พี่คนหนึ่งส่งสายตาพยักพเยิดให้ดูหัวหน้าสำนักงานพี่ณีเดินเชิดหน้าคอตั้งเข้ามา พร้อมกับอาจารย์ A ตรงไปยังโต๊ะของตนเพื่อที่จะลงนามในสัญญารับทุน ใบหน้าอวบอ้วนของพี่ณีบานแฉ่งยิ่งกว่ากระด้ง แม้ว่าหัวหน้าสำนักงานจะพยายามเก็บอาการอย่างยิ่ง แต่แววตาของหัวหน้าที่บอกว่าปลื้มอาจารย์ A มาก กลบเท่าไหร่ ก็กลบไม่มิดส่วนอาจารย์ A นั้น ก็นิ่งขรึมไม่มีทีท่าวอกแวกกับสาว ๆ คนไหน หรือพูดจาทักทายกับใครสักคน เขาแค่นั่งลงที่โต๊ะ จรดปากกาลงในเอกสาร จากนั้นก็ลงขึ้นเดินกลับออกไปฉันรู้สึกในใจว่า อาจารย์ A ทั้งหยิ่ง ทั้งขี้เก๊กขนาดนี้ มีอะไรให้ชื่นชอบกันหนักหนา ที่สำคัญสายตาคมกริบ ปากบาง ๆ แบบนั้น ต้องดุมากแน่ ๆ ผู้ชายแบบนี้อันตราย อยู่ห่าง ๆ ไว้ดีที่สุดแต่ดูเหมือนว่า