อิงดาวยกมือไหว้ พลางส่งยิ้มให้ แล้วเดินตรงไปยังปีกด้านซ้ายของตลาดที่เป็นแผงอาหารสดและร้านข้าวแกงต่าง ๆตลอดทางที่อิงดาวเดินผ่านเต็มไปด้วยเสียงทักทายฉันมิตรของพ่อค้าแม่ค้าชาวตลาดสดแม่ลา เธอช่วยแม่ขายข้าวแกงตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนบัดนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่“อิงดาว อิงดาว”คุณป้าร้านขายขนมไทยเรียก พร้อมกับกวักมือให้หญิงสาวเข้าไปหา“สวัสดีค่ะป้าศรี”อิงดาวยกมือไหว้หญิงชรา ที่หน้าตาเบิกบานไม่ได้ยับย่นเหมือนกับผิวของตนแม้แต่น้อย“อ่ะ นี่ขนม เอาไปกิน ทำงานมาเหนื่อย ๆ จะได้มีแรงช่วยแม่เขา”ป้าศรียื่นถุงขนมไทยให้“ขอบคุณค่ะป้า”หญิงสาวไหว้ขอบคุณก่อนจะยื่นมือออกไปรับเอามา แล้วถามต่อไปว่า“วันนี้คุณป้าจะกลับแล้วรึค่ะ”“ใช่ นางเพ็ญลูกสาวป้ามันบอกวันนี้เงินเดือนมันออก ให้รีบกลับจะพาไปกินข้าวนอกบ้านแนะ”ป้าศรียิ้มแฉ่งดวงตาที่มีสีฝ้ามัวของวัยชราเต็มไปด้วยแววของความดีใจ“ดีจังเลยค่ะคุณป้า ฝากขอบคุณพี่เพ็ญด้วยนะคะ ชุดที่พี่เพ็ญเอาให้ หนูใส่ได้พอดีทุกตัวเลยค่ะ” อิงดาวนึกถึงชุดทำงานที่เธอสวมใส่ส่วนใหญ่เป็นชุดที่ได้จาก ป้าศรี ซึ่งลูกสาวของแกโละตู้เสื้อผ้ามาบริจาคให้เธออีกทีหนึ่ง ชุดเหล่านั้นบางตัวย
“แม่ ๆ เดี๋ยวหนูยกเข้าบ้านเองค่ะ แม่เจ็บหลังอยู่อย่ายกของหนัก” อิงดาวรีบวิ่งเข้าไปแย่งถุงเนื้อไก่ และถุงเนื้อหมูออกมาจากมือแม่“ช่วย ๆ กันจะได้เสร็จไว ๆ”“แม่เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปอาบน้ำเตรียมกินข้าวพักผ่อนเถอะค่ะ”“แล้วเอ็งไม่เหนื่อยหรือไง ทำงานแล้วยังจะมาช่วยแม่ขายของเหมือนตอนเด็ก ๆ”นางจันทร์แย้งขึ้นด้วยความสงสารจับใจ ด้วยความรักของผู้เป็นมารดา“โธ่แม่ หนูนะยังเด็ก พละกำลังมีเหลือเฟือเลยค่ะ ดูสิลูกแม่แข็งแรงจะตาย อีกอย่างหนูจะได้เอาข้าวให้เจ้าพวกนี้กินด้วย”อิงดาวดุนหลังแม่เข้าไปในบ้าน พร้อมกับบุ้ยใบ้ให้ดูเจ้าสี่ขาที่ยืนกระดิกหางกันสลอน“เอ่อ ๆ ตามใจเอ็งแล้วกัน”นางจันทร์ยอมเข้าไปในบ้านแต่โดยดี ปล่อยให้ลูกสาวจัดการเก็บข้าวของ และจัดการอาหารที่เหลือจากการขายแบ่งให้หมา รวมถึงอาหารเย็นสำหรับครอบครัวของเธอในวันนี้บรืน ๆ บรืน ๆเสียงรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าวิ่งเข้ามาจอดเทียบหน้าบ้าน ขณะที่อิงดาวกำลังคลุกข้าวให้บรรดาเจ้าสี่ขาเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ถอดหมวกกันน็อคคล้องไว้กับกระจกส่องหลัง แล้วเอามือสางผมให้เข้าที่“ทำไมกลับดึกนัก”อิงดาวถามน้องชายด้วยความเป็นห่วง เพราะโรงเ
“หะ อะไร”อิงดาวสะดุ้งขึ้น ใบหน้ายังคงแดงแจ๋“นี่ ! อย่าบอกนะว่าเธอหลงเสน่ห์ อาจารย์สุดฮอต ตัวท๊อปของมหาวิทยาลัยไปเรียบร้อยแล้ว”ใหม่แซวเพื่อนทันที“ใคร อาจารย์ตัวท๊อป”อิงดาวถามขึ้นเพราะเธอไม่รู้จริง ๆ ว่าใคร“ก็ คนเมื่อกี้ไง อาจารย์ธาวิน”แววตาของใหม่มีประกายวิบวับยามเมื่อเอ่ยถึงอาจารย์หนุ่ม“อะไร ๆ กันจ๊ะ สาว ๆ ยืนคุยกันแบบนี้ ไม่ทำงานทำการกันหรือจ๊ะ”ป้านกเคลื่อนย้ายกายที่อวบอ้วนมาที่โต๊ะลงทะเบียน วันนี้ป้านกแต่งตัวใส่สูท แต่งหน้าทำผม เรียกได้ว่าสวยเป๊ะตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้า เพื่อให้เป็นที่สนใจ เพราะในวันอบรมใหญ่มีอาจารย์มากหน้าหลายตา ซึ่งอาจจะมีโอกาสได้ทำความรู้จักคุ้นเคยจนกระทั่งพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่การสละโสดของเธอได้“ก็ยัยอิงดาวสิพี่นก หลงเสน่ห์อาจารย์ธาวินเข้าแล้ว นั่นแน่ ๆ” ใหม่ยังคงล้ออิงดาวไม่หยุด“ไม่ใช่ค่ะ คือ คือว่า หนูเพิ่งรู้ว่าคนที่ช่วยหนูเมื่อวาน คือ อาจารย์ธาวิน หนูก็แค่คิดว่าจะบอกขอบคุณอาจารย์ธาวินอย่างไรดี ก็เท่านั้นค่ะ”อิงดาวรีบแก้ตัว“เอ่อ งั้นก็ดีแล้ว ปลื้มอาจารย์เฉย ๆ นะได้ แต่อย่าคิดจริงจังเชียว เพราะอาจารย์ธาวินเป็นถึงรองศาสตราจารย์ อีกไม่
เมื่อส่งเจ้าเต่าโชคร้ายตัวนั้นถึงมือสัตวแพทย์ประจำคลินิกเรียบร้อยแล้วอิงดาวก็นั่งคอยอยู่ภายในคลินิกอย่างใจจดใจจ่อ พลางสวดมนต์แผ่เมตตาและภาวนาขอให้คุณหมอช่วยมันได้ด้วยเถิด“หนู”เสียงเรียกดังขึ้นทำให้อิงดาวเงยหน้าขึ้นมอง และพบว่าเป็นอาจารย์สัตวแพทย์อายุราว ๆ ห้าสิบปี อยู่ในชุดสีฟ้าของคลินิก“เต่าที่หนูเอามา กระดองมันแตกมากจนถึงภายใน มันคงจะตายในอีกไม่ช้านะ”อาจารย์สัตวแพทย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเจือไปด้วยความสงสาร“ไม่มีทางช่วยชีวิตมันได้เลยรึคะ”อิงดาวลุกขึ้นอย่างร้อนใจ ดวงตากลมโตของเธอจับจ้องอาจารย์หมออย่างมีความหวัง“ไม่มีเลย เคสนี้กระดองแตกจนอวัยวะภายในบอบซ้ำหมดแล้ว”อาจารย์ส่ายหน้าช้า ๆ ดวงตาเศร้าสร้อยไม่แพ้กัน ชีวิตสัตว์ก็มีค่าเท่ากับชีวิตของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ล้วนรักตัวกลัวตายด้วยกันทุกชีวิต“โธ่ เจ้าเต่า”อิงดาวสีหน้าสลด“หนูไปเจอเต่าตัวนี้ที่ไหน”อาจารย์หมอถามขึ้น“หนูเห็นมันถูกรถเหยียบที่ถนนใกล้กับหน้ามหาลัยค่ะ”อิงดาวบอกออกไป“อืม น่าจะเป็นเต่าที่อยู่สระบัวหน้ามหาลัยของเรานะ แต่ก่อนมีเยอะกว่านี้ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมารถยนต์มากขึ้นทุกวัน จึงทำให้พวกมันเหลือน้อยเ
ก๊อก ก๊อก ก๊อกอิงดาวรัวข้อนิ้วเคาะลงบนบานประตูห้องของน้องชาย เธอรอจนกระทั่งแน่ใจว่าแม่หลับสนิทแล้ว จึงออกมาหาน้องชายที่อยู่ห้องข้าง ๆแกร่กบานประตูไม้แง้มออกเพียงครึ่งเดียว ดวงหน้าสะลึมสะลือของน้องชายเพียงคนเดียวของเธอก็โผล่ออกให้เห็น อิงดาวถอนหายใจออกมาก่อนเอ่ยขึ้นว่า“อาทิตย์หน้า พี่ต้องไปจัดงานนิทรรศการที่จังหวัดเชียงใหม่ ช่วงที่พี่ไม่อยู่เธอต้องรีบกลับบ้านมาช่วยแม่ทำงาน เพราะแม่แก่มากแล้ว ร่างกายของแม่ไม่ได้แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน”“ถ้าพี่ห่วงมากนะพี่ก็ไม่ต้องไปสิ”ตะวันขยี้ตาเพื่อไล่ความง่วง รู้สึกหงุดหงิดที่ถูกปลุกขึ้นมากลางดึก ปากเขาจึงโพล่งออกไปโดยที่ไม่ได้คิดอิงดาวกัดริมฝีปากของตนเองแน่น จากนั้นก็ค่อย ๆ คลายออก แล้วเอ่ยกับน้องชายอย่างใจเย็นอีกครั้งว่า“ตะวัน พี่ไปทำงานนะ พี่ไม่ได้ไปเที่ยว เธอเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน เป็นความหวังของทุกคนในบ้าน”“พอ ๆ เลย หยุดเทศนากันได้แล้ว นี่มันเวลาไหนแล้วพี่อิง ตะวันง่วง ! ตะวันจะนอน !”ตะวันตะโกนขัดขึ้น สีหน้าหงุดหงิดเต็มที่ ขนาดแม่ยังไม่เคยบ่นเขาสักคำ แต่หล่อนเป็นแค่พี่สาวมีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนเขา“ตะวันเบา ๆ หน่อย แม่กำลังนอนอยู่น
ในขณะที่เครื่องบินทะยานสู่ฝากฟ้า เธอหันไปมองเขาเป็นระยะ ๆ ตลอดการเดินทาง แต่อาจารย์หนุ่มกลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด อิงดาวกำลังต่อสู้กับหัวใจของตนเองอย่างหนักใจหนึ่งก็บอกให้เธอรีบทักทายและบอกขอบคุณไปเสีย ทุกอย่างจะได้จบ ๆ เธอจะได้ไม่ต้องคิดถึงเขาทุก ๆ วัน อีกใจหนึ่งก็ค้าน เธอจะทักทายเขาว่าอะไร แม้แต่ชื่อเธอเขาก็ยังไม่รู้จัก เขาคงคิดว่าหล่อนเป็นผู้หญิงเสียสติ หรือไม่ก็พวกคลั่งไคล้ผู้ชายหล่อ ๆ ที่หาโอกาสคุยด้วยอิงดาวหลับตาลง แล้วตัดสินใจอย่างแน่วแน่ จากนั้นก็ลืมตาขึ้นแล้วหันหน้าไปยังเป้าหมายทันที ริมฝีปากบางขยับขึ้นลงพร้อมกับเสียงที่หลุดออกมาอย่างแผ่วเบาว่า“อะ อาจารย์คะ”เสียงของเธอเบามาก มากจนเพียงแค่เสียงรถเข็นบริการอาหารว่างบนเครื่องบินเลื่อนผ่าน ก็กลบเสียงของเธอไปจนหมดและเมื่อเธอพยายามจะเรียกอาจารย์ธาวินให้รู้ตัวอีกที เขาก็หลับตาลงแล้ว ร่างสูงเอนศีรษะพิงพนักเบาะอย่างสบาย ท่าทีของเขาทำให้อิงดาวไม่กล้าที่จะรบกวนเขาอีกต่อไป เธอจึงได้แต่เฝ้ามองเขานอนหลับตา มองจากด้านข้างจะเห็นจมูกโด่งเป็นสันอย่างชัดเจน ขับให้ใบหน้าเรียว สมส่วนหล่อเหลาปานรูปปั้นของเทพบุตรที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ เรือ
ชื่อของผู้มาใหม่หลุดออกมาอย่างแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงลมพัดผ่าน อิงดาวจึงรีบหันกลับมาจ้องตู้กระจกผลไม้ทันที ในขณะที่หัวใจเต้นราวกับกลองตี เหมือนว่าแข้งขาจะอ่อนแรงขึ้นมาโดยฉับพลัน“เอาอะไรคะ”เสียงแม่ค้าเรียกสติ อิงดาวจึงรีบบอกออกไปอย่างร้อนรนว่า“มะม่วงเปรี้ยว สาลี่ กับแตงโมค่ะ”หญิงสาวบอกแม่ค้าเสร็จก็ยืนเงียบนิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะเหล่ตามองคนข้าง ๆ หัวใจเธอเต้นแรงจนได้ยินเสียงของมันก้องอยู่ในหู พร้อมกับเสียงหนึ่งที่ตะโกนสั่งเธอในใจว่า- ทักอาจารย์สิ บอกขอบคุณอาจารย์สิ ที่วันนั้นช่วยเธอไว้ – - เอาผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นคืนอาจารย์ แล้วบอกขอบคุณสิ –- บอกขอบคุณไปเลย กล้า ๆ หน่อย –และแล้วในที่สุดอิงดาวก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดเท่าที่มี เอ่ยทักอาจารย์ออกไปว่า“อะ อาจารย์ธาวินคะ”“ได้แล้วจ้า”เสียงแม่ค้าผลไม้ดังกลบเสียงเบา ๆ ของอิงดาวจนหมด หญิงสาวหน้าแดงก่ำ รีบรับถุงผลไม้มาจากมือของแม่ค้า พร้อมกับจ่ายเงินให้แล้วเดินออกมาจากร้านผลไม้ ในขณะที่อาจารย์ธาวินกำลังสั่งผลไม้กับแม่ค้าอิงดาวเหลียวมองอาจารย์ธาวินอีกครั้ง พร้อมกลับถอนหายใจออกมา หากจะเดินกลับไปทักอาจารย์ใหม่อีกครั้ง เธอก็อายเกินกว่าที่จะทำเช่นนั้น
“งั้นเราก็เอาเอกสารนี่ไปส่งที่คณะวิศวะ วันนี้เลยก็ได้ เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน”อิงดาวเสนอทางออกที่คิดว่าที่ดีที่สุด เพื่อนสาวจึงหยุดคร่ำครวญแล้วจับมือของเธอเอาไว้“อิงดาว เอาเอกสารขอทุนไปส่งที่คณะวิศวะ ให้ฉันหน่อยนะ”ใหม่ขอร้องพร้อมกับส่งสายตาเป็นประกายมาให้เพื่อนสาว“ใหม่จะให้ฉันไปคนเดียวเหรอ”คนถูกไหว้วานโพล่งออกมาด้วยความตกใจ แม้ว่าเธอจะทำงานที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มาได้สามเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเหยียบย่างไปที่ตึกของคณะอื่น ๆ เลย“นะ ๆ อิงดาวนะ พอดีว่าวันนี้ฉันนัดกับแฟนเอาไว้ตอนหกโมงเย็น นี่มันก็สี่โมงครึ่งเกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว เดี๋ยวฉันไปไม่ทันนัด ถ้าไปไม่ทันนัด แฟนฉันต้องโกรธแน่ ๆ เธออยากเห็นเพื่อนอกหักหรือไง นะ ๆ อิงดาวนะ ช่วยฉันหน่อยนะ”ใหม่เขย่าแขนเพื่อน ส่งสายตาขอร้องให้ดูน่าสงสารที่สุด“กะ... ก็ได้”อิงดาวตอบรับเสียงเบา เธอไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว หากปฏิเสธก็คงจะใจดำเกินไปหน่อย แค่เอาเอกสารไปส่งให้ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์เท่านั้นเอง และหากมีโอกาสได้พบกับอาจารย์ธาวินก็จะดี เธอจะได้คืนผ้าเช็ดหน้า และบอกขอบคุณเขาเสียที“ขอบใจมาก”ใหม่ยิ้มแฉ่ง พร้อมกับยื่นซองน้ำตาลที่ใส่เอกสารขอทุนฉบั
ความจริงที่ซ่อนไว้ 8ฉันอาจจะเป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ Unlucky in love , Unlucky in gameเมื่อถึงรอบการประเมินเพื่อเลื่อนตำแหน่งจากพนักงานมหาวิทยาลัยระดับฝึกหัดเป็นระดับปฏิบัติการหากผ่านจะมีฐานเงินเดือนที่สูงขึ้น และมีความก้าวหน้าในสายงานอาชีพมากขึ้นปรากฏว่าฉันถูกประเมินว่า “ไม่ผ่าน” ซึ่งหัวหน้าสำนักงาน (พี่ณี) และท่านรองฯ ให้เหตุผลกับฉันว่า...เพราะเธอไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ (คงจะเป็นเมื่อครั้งที่ฉันรั้นจะจัดอบรมนอกมหาวิทยาลัย) มาสาย และบ่นลงเฟสบุ๊คเหตุผลแต่ละข้อที่กล่าวมา ทำให้ฉันหัวเราะทั้งน้ำตาการเลื่อนขั้นขึ้นเงินเดือนไม่ได้ดูที่ผลงานหรืองานที่พัฒนาขึ้น แต่วัดกันที่เหตุผลส่วนบุคคลของคนบางกลุ่ม จนบางครั้ง ฉันรู้สึกหมดแรงกับการทำงานตั้งใจทำงานเพื่ออะไร พัฒนางานไปเพื่ออะไรทำงานให้เสร็จเรียบร้อยเพื่ออะไรเพราะทำไปเงินเดือนก็ไม่ขึ้น ตำแหน่งก็ไม่ได้ สู้เอาแรงกายแรงใจไปนั่งเลียแข้งเลียขาเจ้านายดีกว่าไหมสุดท้าย....ฉันก็ต้องยอมรับกับผลการประเมินที่ไม่เป็นธรรมแต่จะให้เปลี่ยนตนเองเป็นคนเลียแข้งเลียขา หรือเช้าชามเย็นชามก็ไม่ไหวเพราะสิ่งที่ฉันยึดมั่นอยูในใจเสมอมา คือค่าของคนอยู
ความบังเอิญครั้งที่ 4วันนั้น ฉันจัดประชุมคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์กว่าการประชุมจะสิ้นสุดลง ก็กินเวลาจวนเจียนจะบ่ายข้าวเที่ยงยังไม่ตกถึงท้อง น้ำย่อยในกระเพาะมันร่ำร้องให้ฉันพาตนเองไปทานข้าวที่โรงอาหารกลางเมื่อกินข้าวเสร็จก็ลุกขึ้นเพื่อเอาจานไปวางไว้ที่อ่างสำหรับเตรียมล้างนึกไม่ถึงเลยว่าจะเจออาจารย์ A กำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่ด้านหลังเขานั่งหันหลังให้ฉันแม้หัวใจมันร่ำร้องอยากจะเข้าไปทักแต่สถานะที่เป็นอยู่ทำให้ฉันต้องข่มใจ แล้วเดินผ่านอาจารย์ไปฉันเดินออกจากโรงอาหารไปด้วยหัวใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะขึ้นสำนักงาน จึงแวะที่ร้านกาแฟก่อนระหว่างที่นั่งรอกาแฟนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ A จะมาที่ร้านกาแฟเหมือนกันอาจารย์ A เปิดประตูเข้ามา ใบหน้าเรียบเฉย มองฉันแค่แวบเดียวแล้วมองผ่านเลย เหมือนคนไม่เคยรู้จักกันฉันกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอในเมื่อเขาไม่อยากรู้จัก เราก็จะไม่ทักเขาให้ต้องระคายเคืองใจเมื่อได้กาแฟแล้ว ฉันก็รีบเดินออกจากร้านทันทีและสิ่งที่ทำให้ฉันตัดใจไม่ได้สักที คือผลจากแผนการที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้นที่ฉันเที่ยวไปประกาศปาว ๆ ว่างานอะไรที่เกี่ยวข้องก
ความจริงที่ซ่อนไว้ 7ยิ่งคุยกัน.....ระยะห่างระหว่างเรายิ่งสั้นลงเรื่อย ๆไม่รู้ทำไม...ทุกครั้งที่จบการสนทนาในแชทบล็อกเราต้องนั่งอมยิ้มคนเดียวแล้วในหัวก็จะมีเรื่องของเขาวนเวียนอยู่ในหัวทันทีที่เริ่มรู้สึกรัก ฉันก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดอกหักทันทีที่รัก เพราะรู้ดีแก่ใจว่า รักครั้งนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ฉันตั้งใจขุดหลุมล่อหลอกอาจารย์ให้ตกลงไปเพื่อใช้อาจารย์เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นหัวหน้ากลับกลายเป็นฉันที่ตกลงไปในหลุมเสียเองจนอยากที่จะปีนขึ้นไปในขณะที่ฉันเริ่มรู้ตัวว่าหลงรักอาจารย์จนยากจะตัดใจอาจารย์ก็เริ่มรู้ตัวว่าถูกฉันตามจีบการสนทนากันในแชทจึงเริ่มน้อยลง อาจารย์ A ถามคำตอบคำจนฉันเริ่มรู้ถึงการรักษาระยะห่างของเขาฉันจึงพยายามตัดใจจากเขา เพราะเข้าใจดีว่า ผู้ชายที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่มีทางมองผู้หญิงระดับต่ำกว่าแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา การศึกษา หรือฐานะดังนั้น ฉันจึงห้ามใจไม่ทักแชทไปอีก และหักดิบโดยการเลิกเป็นเพื่อนกับเขาทาง F******k เพื่อที่จะไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเขาอีกแต่ดูเหมือนฟ้าจะยังคงสนุกกับการทรมานหัวใจของฉันยิ่งอยากตัดใจ ก็ยิ่งให้ฉันต้องบังเอิญ
จนกระทั่งรถวิ่งผ่านสวนป่าข้างหนองน้ำ...“ ด้านซ้ายมือ... จะเห็นเครื่องออกกำลังกาย... สำหรับออกกำลังกายตอนเย็นๆ รอบหนองน้ำเป็นทางวิ่ง เขาเรียกกันว่า.... หนอง... หนอง....”อาจารย์ A หันมาสบตาฉันเพื่อขอความช่วยเหลือ...“หนองอิเจมค่ะ”ฉันตอบทันทีอย่างรู้งาน“ทำไมถึงชื่อ หนองอิเจมหรือครับ”วิทยากรสงสัย.......และแล้วอาจารย์ A ก็ได้รับอีก 1 หน้าที่ นั่นคือ นักเล่าประวัติศาสตร์หนองอิเจมของมหาวิทยาลัยจนกระทั่งในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้าตึกสำนักงานอธิการบดีที่รถอาจารย์ A จอดไว้เครื่องมือแก้แค้นหัวหน้ากำลังจะลงจากรถแล้ว !ฉันเหลือบมองกระเป๋าอาจารย์ A ที่วางอยู่บนเบาะข้าง ๆสวรรค์ช่างเข้าข้างนัก !ฉันจึงถือกระเป๋าใบนั้นขึ้นมา ในขณะที่อาจารย์ A กำลังไหว้ลาวิทยากร แล้วเปิดประตูลงจากรถ“อาจารย์คะ กระเป๋าค่ะ !”ฉันตะโกนเรียกอาจารย์ พร้อมกับชูกระเป๋าให้ดู“อ๋อ... ขอบคุณครับ”ฉันยื่นกระเป๋าให้.....มือหนึ่งจับด้านข้าง.... อีกมือสอดไว้ใต้กระเป๋าอย่างจงใจ...อาจารย์ A ยื่นมือมารับกระเป๋า...มือนุ่มๆ ยาวเรียวของเขาประกบกับมือเล็ก ๆ ที่ฉันจงใจสอดไว้ใต้กระเป๋าหนังใบโต...Yes !เป็นไปตามแผน !... ฉันลิงโลดในใจ
ความจริงที่ซ่อนไว้ 5และแล้ววันอบรมก็มาถึง !ฉันต้องดีดตัวเองลุกจากที่นอนตั้งแต่ไก่โห่ !แล้วแจ้นไปรับวิทยากรที่สนามบิน !….ส่วนอีกทีมหนึ่งฝากให้น้องนก กับพี่เกด คอยต้อนและรับเหล่าอาจารย์ ที่เข้าร่วมอบรมให้ขึ้นรถบัส แล้วไปสมทบกันที่ รีสอร์ต The best orchid….เริ่มต้นการอบรม เป็นไปอย่างสวยงาม ผู้เข้าร่วมอบรมต่างประทับใจวิทยากรกันยกใหญ่...ทึ่งกับความคิดที่ไม่เหมือนใครทึ่งกับแนวทางการก้าวสู่ “ตำแหน่งศาสตราจารย์” ที่อายุยังน้อยและทึ่งกับฉันที่สามารถขุดค้นศาสตราจารย์ท่านนี้มาได้น้อง ๆ พี่ทีมงานที่มาช่วยจัดอบรมต่างรู้กันดีว่า ฉันกำลังวางแผนจีบอาจารย์ A เพื่อแก้แค้นหัวหน้า ดังนั้น ทุกคนต่างสนับสนุนช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น ช่วยถ่ายรูปอาจารย์ A เอาไว้แทบจะทุกช็อตในระหว่างที่นั่งอบรมกันในห้องประชุมนั้นอาจารย์ A ขอน้ำดื่มเพิ่ม พี่เกดก็มาสะกิดฉันให้ยกน้ำดื่มไปเสิร์ฟอาจารย์แม้กระทั่งตอนพักเที่ยง....ฉันแอบชำเลืองมองไปที่โต๊ะอาหารที่กลุ่มอาจารย์คณะวิศวะฯ นั่งอยู่ เมื่อเห็นว่า กลุ่มอาจารย์กำลังลุกออกจากโต๊ะฉันจึงรวบช้อน รีบกลืนข้าวที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียดให้ลงคอ แล้วตามด้วยน้ำ“หนู
ความจริงที่ซ่อนไว้ 41 สัปดาห์ผ่านไป !อาจารย์ท่านอื่นๆ สมัครมาเกือบจะเต็มจำนวนที่เปิดรับแล้วอาจารย์ A ยังไม่ตอบรับมาเลย >เอาไงดี ๆ -ฉันกระวนกระวายในใจ“พี่เกด !” (นามสมมุติ)ฉันร้องเสียงหลง... ทันทีที่เห็นพี่เกดเดินเข้ามาในออฟฟิศ....ยังเช้าตรู่ ทั้งออฟฟิศมีแค่ฉันกับพี่เกด ดังนั้น ฉันจึงโหวกเหวกได้ตามใจ“แวะ ๆ แวะ โต๊ะหนูก่อน”ฉันลากพี่เกดมาที่โต๊ะ“พี่เกด หนูจะเชิญอาจารย์ A ไปอบรมกับหนูแบบเนียน ๆ”“หือ....”พี่เกดลากเสียง ตาวาว เพราะไม่มีใคร ไม่รู้จักความฮอต ของอาจารย์ผู้นั้น“หนูอยากจะทำความรู้จักกับอาจารย์ A ค่ะ”ฉันรีบบอกความต้องการของตนเองไปอย่างตรงไปตรงมา เพราะตอนนี้ความอยากแก้แค้น และเอาคืน มันมีมากกว่าความรู้สึกกระดากอาย“เอาจริง”“จริงแท้ แน่นอน”“เปลี่ยนเป้าหมายใหม่เถอะ ! เขาเป็นถึงตัวท๊อปของคณะวิศวะเลยนะ ! เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์เลยนะคะ”พี่เกดพูดพร้อมกับจะขยับตัวลุกขึ้น แต่คนมือไวคว้าหมับ รั้งไว้“ไม่เปลี่ยนใจค่ะ ! ให้หนูลองดูสักตั้งนะคะ”วินาทีนี้ ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนความตั้งใจของฉันได้ !สุดที่รักของหัวหน้าใช่ไหม ! คอยดู ! แล้วฉันจะสอยลงมาอยู่ในกำมือ
แต่กลับเชื่อเพียงลมปากของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็น “หัวหน้าสำนักงาน”!ลมปากที่พ่นออกมา...ไม่ใช่สีขาวแน่ๆ...แต่ต้องแต่งเติม......สาดสีเน่าๆ ขนาดไหนหนอ....ถึงสามารถเป่าหูท่านรองฯ ให้คุกรุ่นได้ขนาดนี้ !เมื่อพลิกกี่รอบ ๆ... ก็ไม่เจอสิ่งที่อ้างเอ่ย..ท่านรองฯ จึงหยิบดินสอขึ้นจรดลงบนกระดาษ“งั้นก็ไปแก้... คำถูกคำผิดมา ตรวจทานอีกรอบแล้วกัน”“ค่ะ”ฉันรับคำ พร้อมยื่นมือรับเอกสารคืนอย่างอ่อนแรง“แก้เสร็จ ก็ค่อยเสนอใหม่นะ แล้วคราวหน้า จะทำอะไร ก็ให้เข้ามาปรึกษาก่อน”“ค่ะ”ฉันรับแฟ้มเอกสารโครงการคืน.....เดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน...วางแฟ้ม.... ปิดคอมพิวเตอร์....เดินออกจากสำนักงาน... ด้วยดวงใจที่อ่อนล้า...พร้อมกับเสียงกระซิบบอก........เลิกเถอะ !... พอกันที !........เธอจะทำโครงการดี ๆ ให้คนเขาด่าเล่นทำไมวะ !...เลิกสรรหาผู้ทรงดี ๆ เอาแค่ใครก็ได้......เลิกทำจริง ๆ แล้วเอารายชื่อผีมาเบิกเงินหลวงกิน !...เลิกคิด เลิกทำสิ่งใหม่ ๆ .....แล้วปล่อย.... ให้ทุกสิ่งคงอยู่ในกะลาครอบของมัน !..ตะวันลาลับขอบฟ้า แต่หยาดน้ำตา กลับรื้อขึ้นมาไม่ขาดสายความจริงที่ซ่อนไว้ 3.....เสียงเซ็งแซ่... ของเหล่านกกา....กู
“ถ้าจะจัด... ก็ห้ามเอาคนในสำนักงานไปด้วย”“ค่ะ. เอาไปเฉพาะคนทำงานค่ะ”ฉันตอบ“รายชื่อที่ ใส่มาตัดออกให้หมด แล้วเสนอคนทำงานมาใหม่”หัวหน้าใช้ปากกาขีดฆ่ารายชื่อแนบท้ายหนังสือขออนุมัติจัดอบรมในขณะที่ปากกาในมือขีดเขียนโครงการอบรมของฉันจนยับเยินปากหัวหน้าก็พูดไปว่า“....เอาคนไปทำไมเยอะแยะตั้งห้าหกคน”ฉันเถียงในใจว่า- ก็ออกไปจัดอบรมข้างนอก ต้องมีคนช่วยขนของ. ช่วยดูแลบนรถ. ช่วยลงทะเบียน. ช่วยจัดกิจกรรม. รับวิทยากร. ฯลฯ..- แต่คำที่หลุดออกมาจากปากฉันจริง ๆ มีเพียงคำว่า...“ค่ะ”.“แล้ว เรื่องเที่ยว ตัดออกเลยนะ ! ห้ามไป !”“ค่ะ”ตอบค่ะ.... แต่ในใจอยากสวนกลับเต็มทนว่า- มันไม่ใช่เรื่องเที่ยวนะ ! กรุณาอ่านให้จบ !มันเป็นการท่องโลกกว้าง เพื่อเปิดโลกทัศน์ กระตุกความคิด ในชั่วโมงว่าง ! -หลังจากที่ขีด เขียน ฆ่า กระดาษโครงการของฉัน... จนสาแก่ใจ......หัวหน้าก็ปิดแฟ้ม แล้วเลื่อนซากโครงการที่พรุนไปด้วยปากกาแดงมาตรงหน้า“ไปแก้ไขมา ! แล้วค่อยมาเสนอใหม่ !”“ค่ะ”ฉันรับแฟ้มงานคืน แล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะ....วันนี้คงต้องงดวิ่งบนสนาม....แต่เปลี่ยนมาวิ่งบนแป้นพิมพ์แทน !ต้องแก้งานก่อน !ตอนนี้เหลือเวลา อีก 7
วันหนึ่งสำนักงานวิจัย แจ้งให้อาจารย์ขึ้นมาลงนามในสัญญารับทุนวิจัยที่โต๊ะพี่ณี (หัวหน้าสำนักงาน)และแล้วในตอนบ่าย ขณะที่ฉันกำลังเตรียมเอกสารจัดส่งไปตามคณะต่าง ๆ น้อง ๆ พี่ ๆ ผู้หญิงในสำนักงานเหมือนจะมีอาการนั่งไม่ติด สบตากันไปมา แล้วยิ้มเหมือนมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นฉันจึงหยุดมือจากเอกสารตรงหน้า แล้วตั้งใจมองหาสิ่งที่ทำให้สาว ๆ ทั้งสำนักงานเสียอาการ พี่คนหนึ่งส่งสายตาพยักพเยิดให้ดูหัวหน้าสำนักงานพี่ณีเดินเชิดหน้าคอตั้งเข้ามา พร้อมกับอาจารย์ A ตรงไปยังโต๊ะของตนเพื่อที่จะลงนามในสัญญารับทุน ใบหน้าอวบอ้วนของพี่ณีบานแฉ่งยิ่งกว่ากระด้ง แม้ว่าหัวหน้าสำนักงานจะพยายามเก็บอาการอย่างยิ่ง แต่แววตาของหัวหน้าที่บอกว่าปลื้มอาจารย์ A มาก กลบเท่าไหร่ ก็กลบไม่มิดส่วนอาจารย์ A นั้น ก็นิ่งขรึมไม่มีทีท่าวอกแวกกับสาว ๆ คนไหน หรือพูดจาทักทายกับใครสักคน เขาแค่นั่งลงที่โต๊ะ จรดปากกาลงในเอกสาร จากนั้นก็ลงขึ้นเดินกลับออกไปฉันรู้สึกในใจว่า อาจารย์ A ทั้งหยิ่ง ทั้งขี้เก๊กขนาดนี้ มีอะไรให้ชื่นชอบกันหนักหนา ที่สำคัญสายตาคมกริบ ปากบาง ๆ แบบนั้น ต้องดุมากแน่ ๆ ผู้ชายแบบนี้อันตราย อยู่ห่าง ๆ ไว้ดีที่สุดแต่ดูเหมือนว่า