“งั้นเราก็เอาเอกสารนี่ไปส่งที่คณะวิศวะ วันนี้เลยก็ได้ เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน”อิงดาวเสนอทางออกที่คิดว่าที่ดีที่สุด เพื่อนสาวจึงหยุดคร่ำครวญแล้วจับมือของเธอเอาไว้“อิงดาว เอาเอกสารขอทุนไปส่งที่คณะวิศวะ ให้ฉันหน่อยนะ”ใหม่ขอร้องพร้อมกับส่งสายตาเป็นประกายมาให้เพื่อนสาว“ใหม่จะให้ฉันไปคนเดียวเหรอ”คนถูกไหว้วานโพล่งออกมาด้วยความตกใจ แม้ว่าเธอจะทำงานที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มาได้สามเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเหยียบย่างไปที่ตึกของคณะอื่น ๆ เลย“นะ ๆ อิงดาวนะ พอดีว่าวันนี้ฉันนัดกับแฟนเอาไว้ตอนหกโมงเย็น นี่มันก็สี่โมงครึ่งเกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว เดี๋ยวฉันไปไม่ทันนัด ถ้าไปไม่ทันนัด แฟนฉันต้องโกรธแน่ ๆ เธออยากเห็นเพื่อนอกหักหรือไง นะ ๆ อิงดาวนะ ช่วยฉันหน่อยนะ”ใหม่เขย่าแขนเพื่อน ส่งสายตาขอร้องให้ดูน่าสงสารที่สุด“กะ... ก็ได้”อิงดาวตอบรับเสียงเบา เธอไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว หากปฏิเสธก็คงจะใจดำเกินไปหน่อย แค่เอาเอกสารไปส่งให้ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์เท่านั้นเอง และหากมีโอกาสได้พบกับอาจารย์ธาวินก็จะดี เธอจะได้คืนผ้าเช็ดหน้า และบอกขอบคุณเขาเสียที“ขอบใจมาก”ใหม่ยิ้มแฉ่ง พร้อมกับยื่นซองน้ำตาลที่ใส่เอกสารขอทุนฉบั
หลังจากได้รู้จักเขามากขึ้น เธอก็ทราบว่าผู้ชายคนนี้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเหมาะสำหรับการเป็นสามีในอนาคตทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ฐานะ การศึกษา หรือแม้แต่รูปลักษณะภายนอกของเขา ที่สง่าผ่าเผยโดดเด่นกว่าใคร ๆ เธอจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะสานสัมพันธ์ให้เป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงาน“ครับ”อาจารย์หนุ่มตอบรับพร้อมกับรอยยิ้มเมื่อทั้งคู่เดินออกไปจากตึกได้ไม่นานนัก อิงดาวก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ลุง รปภ. จึงรีบบอกกับเธอว่า“ลุงเอาเอกสารที่หนูฝากไว้ ให้ท่านรองฯ ธาวิน แล้วนะ”“อาจารย์ธาวินลงมาแล้วเหรอคะ”อิงดาวถามออกไปด้วยความตื่นเต้น ดวงตากลมโตเบิกกว้าง พอ ๆ กับรอยยิ้มที่ระบายออกเกือบจะเต็มใบหน้าของหญิงสาว“ใช่อาจารย์พึ่งออกไปเมื่อสักครู่นี้เอง”“ขอบคุณมากค่ะ ลุง”อิงดาวรีบวิ่งออกไปจากตึกด้วยความหวังว่าจะตามทันอาจารย์ธาวิน ไม่แน่คราวนี้เธออาจจะได้คืนผ้าเช็ดหน้าของเขาที่หล่อนพกติดตัวตลอด รวมถึงได้บอกขอบคุณเขาก็ได้“เอ๊ะ”ทันทีที่อิงดาววิ่งตามออกมา ภาพตรงหน้าที่เห็นก็ทำให้เธอรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุหนุ่มหล่อหญิงสาวคู่หนึ่งสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกกำลังเดินเคียงคู่กันท่ามกลางละอองฝนเล็ก ๆ ที่โปรยปรายลงม
ด้วยความขยันขันแข็งและมุ่งมั่นในการทำงานของอาจารย์ธาวิน อิงดาวจึงไม่แปลกใจเลยสักนิดที่เขาเป็นอาจารย์คนแรกที่ได้รับตำแหน่ง “รองศาสตราจารย์” ของคณะที่มีอายุน้อยที่สุด และเป็นผู้มีผลงานวิจัย โดดเด่นจนได้รับรางวัลระดับชาติอิงดาวยิ้มที่มุมปาก ดวงตาอิดโรยมองไปรอบ ๆ ตัวอาคารแล้วมาหยุดอยู่ที่แปลงบัวดินที่ปลูกเอาไว้รอบทางเดินของคณะ ดอกสีชมพูบานเย็นของมันแข่งกันเบ่งบานในช่วงหน้าฝน ผีเสื้อสีเขียวตองอ่อนตัวนิดบินวนจากดอกนั้นสู่ดอกนี้ด้วยความรื่นเริง อิงดาวนึกสงสัยในใจ ผู้ชายที่มุ่งมั่นในการทำงานอย่างอาจารย์ธาวิน จะมองเห็นความสวยงามที่อยู่ ใกล้ ๆ ตัวบ้างไหม เขาเคยมองท้องฟ้าสีส้มแดงยามพระอาทิตย์ใกล้ตกดินบ้างไหม อิงดาวย่อตัวลงนั่งใกล้ ๆ ต้นบัวดิน ผีเสื้อสีตองอ่อนตัวหนึ่งกำลังขยับปีกเบา ๆ ขณะที่ดูดกินน้ำหวานจากดอกบัวสีสด“เจ้าผีเสื้อน้อย รู้จักอาจารย์ธาวินไหม เขาเป็นอาจารย์ที่ขยันและเก่งมาก ๆ เลยนะ จะมืดแล้วอาจารย์ยังไม่กลับบ้านเลย ไม่รู้อาจารย์จะ หิวข้าวไหม อาจารย์จะเหนื่อยไหม หากเจ้าเห็นอาจารย์ผ่านมาแถวนี้ ช่วยบอกอาจารย์ให้หน่อยนะว่า ฉันเป็นห่วง”เธอระบายยิ
อิงดาวหันมองรอบกาย ท้องฟ้ามืดลงทุกขณะ บริเวณที่เธอยืนอยู่ไม่ปรากฏเงาของผู้ใด เธอจึงคิดว่าหูคงจะแว่วไปเอง จึงตัดสินใจวิ่งต่อไปยังห้องเรียนรวมบนชั้น 6 แล้วผลักประตูบานใหญ่เต็มแรง จนประตูนั้น เปิดออกพลั่ก !“อาจารย์ประชาคะ”อิงดาวตะโกนออกไป ทั้งห้องเงียบกริบ หันมามองเธอเป็นตาเดียว เธอไม่มีเวลาให้รู้สึกเขินอาย สิ่งเดียวที่เธอคิดอยู่ในใจคือ ต้องช่วยอาจารย์ธาวินให้ได้ เธอจึงรีบตะโกนบอกคนที่อยู่ในห้องว่า“รถของอาจารย์ธาวินถูกตัดเบรกค่ะ ต้องรีบโทรแจ้งอาจารย์ ด่วนค่ะ”สิ้นคำที่เธอบอกออกไป เธอรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอื้ออึงก้องขึ้นในหู จากนั้นดวงตาของเธอก็พร่าเลือนแล้วมืดดับลงในที่สุด.....พี่ดลคะ วดีจะไม่ยอมให้พี่เป็นอะไร....... ลืมตาขึ้นมาสิคะ........ วดีรักพี่ดล และจะรักตลอดไป..... เสียงเย็นยะเยือกราวกับว่ากำลังร่ำไห้ในความมืดมิด“เสียงใครน่ะ เสียงใคร”อิงดาวตะโกนออกไป หันมองรอบกายมีเพียงความมืดมิด เวิ้งว้างกว้างใหญ่“เมื่อสิ้นบุญวาสนาต่อกัน เหนี่ยวรั้งเอาไว้ก็มีแต่ทุกข์ จงตัดใจเสียเถิด และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขเถิดหนา”เสียงทุ้มกังวานดังตอบกลับมา“คุณเป็นใคร ? ที่นี่ที่ไหน ?”
สิ่งที่พยาบาลบอกล้วนตรงกับอาการที่อิงดาวเป็นทั้งหมด มันตอกย้ำให้หญิงสาวยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น“โรคนี้เป็นโรคทางกายภาพไม่มีทางรักษาหาย ต้องใช้วิธีการฟอกเลือดล้างไตเพื่อต่อชีวิตไปเรื่อย ๆ สำหรับคนไข้เป็นระยะสุดท้ายแล้วต้องมาฟอกเลือดที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 4 – 5 ชั่วโมง นะคะ”พยาบาลอธิบายให้คนไข้ฟังจนครบ เพราะคนไข้โรคไตเป็นโรคเรื้อรังที่จะต้องรักษาตลอดชีวิต หากคนไข้เข้าใจโรคที่เกิดขึ้นและดูแลรักษาตนเองควบคู่กับการฟอกเลือดก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหลายปี ซึ่งขึ้นอยู่กับกำลังใจของคนไข้ด้วยเมื่อคนไข้ยังคงนิ่งไม่มีคำถามเพิ่มเติม พยาบาลจึงหันไปเอ่ยกับญาติคนไข้ที่กำลังเช็ดน้ำตาออกจากแก้มทั้งสองข้างว่า“รบกวนคุณแม่มาชำระค่าใช้จ่ายในการฟอกเลือดที่ห้องจ่ายเงินด้วยค่ะ”“เท่าไหร่คะ”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของญาติคนไข้ แต่กลับเป็นคนไข้สาวบนเตียงที่รีบถามขึ้น“ประมาณสามพันห้าร้อยบาทในครั้งแรกนี้ค่ะ แต่ครั้งต่อไปก็ประมาณ สองพันกว่าบาทจ้า ส่วนตัวเลขที่แน่ชัดต้องถามที่ห้องจ่ายเงินนะคะ”พูดจบพยาบาลก็เดินออกไปดูคนไข้ที่เตียงอื่น ๆ ต่อไป จากนั้น ตะวันก็พยุงนางจันทร์
ยิ่งร่างผอมเร่งฝีเท้าวิ่งตามมากขึ้นเท่าไหร่ รถยุโรปสีเงินวาวคันนั้นก็เหมือนยิ่งไกลออกไปมากเท่านั้น อิงดาวรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้า ลมหายใจติดขัด“โอ๊ย !”อิงดาวล้มลงไปกับพื้นเพราะข้อเท้าพลิก แสงแดดยามเที่ยง แผ่ความร้อนระอุออกมา จนเธอรู้สึกว่าทุกอย่างพร่ามัวไปหมด แม้แต่รถยุโรปสีเงินวาวคันนั้นก็หายลับไปจากสายตา“อาจารย์ธาวิน”เธอเรียกชื่อเขาออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะดับ วูบลง สวรรค์ช่างใจร้ายกับเธอนัก ขอแค่ได้เจอหน้าเป็นครั้งสุดท้าย เธอก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่เพียง น้อยใจตนเอง ที่เกิดมามีบุญเท่านี้ เป็นได้แค่เพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่คู่ควรกับรองศาสตราจารย์ผู้สูงส่งติ๊ด ติ๊ด ติ๊ดเสียงเครื่องฟอกไตกำลังทำงาน กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้ออบอวลไปทั่วทั้งห้อง นางจันทร์ปาดน้ำตาที่ข้างแก้มทิ้ง เธอรับโทรศัพท์ด่วนจากหน่วยกู้ภัยว่าลูกสาวของเธอหัวใจหยุดเต้น เจ้าหน้าที่กำลังให้การช่วยเหลือ และถูกนำส่งโรงพยาบาลนางจึงฝากร้านไว้กับแม่ค้าร้านข้าง ๆ เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาล อิงดาวพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังไม่รู้สึกตัว“แม่”เสียงเบาออกมากจากริมฝีปากซีด ดวงตาอิดโรยของอิงดาวมองไปรอบ ๆ ตัว ก็พบ
“ขอให้ฉันได้รักกับอาจารย์ธาวินสักวันได้หรือไม่”แม้ปากบางซีดจะขยับเพียงเล็กน้อยและเสียงแผ่วเบา แต่หูทิพย์ของท่านยมทูตทั้งสองได้ยินอย่างแจ่มชัด และเมื่อตรวจดูดวงชะตาของหญิงสาวกับผู้ชายที่เธอบอกกลับพบว่าทั้งคู่ไม่มีบุญวาสนาต่อกันบุรุษผู้นั้นที่เธอต้องการจะรัก เขาสะสมบุญบารมีไว้มาก ชาตินี้จึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์เพศผู้ในฐานันดรสูงศักดิ์ เพียบพร้อมด้วยสติปัญญา ทรัพย์ และรูปลักษณ์ สตรีผู้ที่ครองคู่บุรุษที่มีบุญญาธิการเช่นนี้ ต้องมี บุญบารมีทัดเทียมกันส่วนเธอคนนี้ บุญเก่าที่สะสมไว้น้อยนัก เกิดมาในฐานันดรต่ำศักดิ์ ด้อยทั้งปัญญา ทรัพย์และรูปโฉม อีกทั้งอายุเธอก็แสนสั้น มีเพียงเศษกรรมเก่าที่เกิดจากการยึดมั่นถือมั่นในภพชาติที่แล้ว จึงทำให้เธอได้พบเขาอีกครั้งดังนั้น ท่านยมทูตร่างใหญ่จึงเอ่ยกับเธออย่างตรงไปตรงมาว่า“เสียใจด้วย เราไม่อาจทำให้เจ้าสมดั่งปรารถนา เพราะในภพนี้ชาตินี้เจ้ากับผู้ชายคนนั้นไม่มีบุญวาสนาต่อกันอีกแล้ว”คำพูดที่ยมทูตพูดนั้น ใช่ว่าเธอจะไม่เคยคิด อิงดาวบอกตัวเองเสมอว่า เธอกับอาจารย์ธาวินไม่มีทางรักกันได้ ไม่คู่ควร เขาไม่เคยเห็นหล่อนอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ แต่ทุกครั้งที่พยายามตัดใจ
เสียงเศร้าสุดอาดูรลอยออกมาจากริมฝีปากซีด แม้ลมหายใจของเธออ่อนแรงมาก แต่ความปรารถนาในใจของช่างแรงกล้ามากนัก“มนุษย์หนอมนุษย์ ที่เต็มไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง ในบรรดากิเลส 4 ตัวนี้ รัก เป็นสิ่งที่ทำให้ดวงจิตมนุษย์ทุกข์ทรมานที่สุด แต่มนุษย์กลับต้องการมันมากที่สุดเช่นกัน มิอาจหลุดพ้น มิอาจหลุดพ้น”ยมทูตผู้ฝึกสอนได้แค่ส่ายหน้าอย่างระอา ในบรรดาสัตว์นรกที่ถูกลงทัณฑ์เพราะความรักบังตาจนเป็นเหตุให้ก่อกรรมชั่วนั้นมีมากกว่าครึ่งหนึ่งของเมืองนรก“สุริยคราสใกล้จะเต็มดวงแล้ว เราต้องเร่งลงมือตอนนี้เลย”ยมทูตฝึกหัดพนมมือขึ้น พร้อมกับท่องบทสวดเปลี่ยนชะตาฟ้า ที่เขาเพิ่งอ่านเจอในตำรามืดที่ถูกทิ้งไว้ในชั้นหนังสือเก่าแก่ แม้เป็นครั้งแรกของการปฏิบัติจริง แต่เขาพยายามทำมันให้เต็มที่เสียงสวดคาถานอกรีตดังกังวานขึ้นเรื่อย ๆ หน้าผากของยมทูตน้อยมีเหงื่อผุดพราย ไอสีขาวจาง ๆ จากตัวของอิงดาวลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือร่างของเธอ ท้องฟ้าด้านนอกค่อย ๆ มืดสลัวลง นกกาบินว่อนเต็มท้องฟ้า ส่งเสียงกู่ร้องอลหม่าน แดนมนุษย์กำลังสับสนวุ่นวายเพราะแยกไม่ออกว่ากลางวันหรือกลางคืน24 ตุลาคม 2538 เวลา 09:00 น “รองศาสตราจารย์ธาวินขอรับ สน
ความจริงที่ซ่อนไว้ 8ฉันอาจจะเป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ Unlucky in love , Unlucky in gameเมื่อถึงรอบการประเมินเพื่อเลื่อนตำแหน่งจากพนักงานมหาวิทยาลัยระดับฝึกหัดเป็นระดับปฏิบัติการหากผ่านจะมีฐานเงินเดือนที่สูงขึ้น และมีความก้าวหน้าในสายงานอาชีพมากขึ้นปรากฏว่าฉันถูกประเมินว่า “ไม่ผ่าน” ซึ่งหัวหน้าสำนักงาน (พี่ณี) และท่านรองฯ ให้เหตุผลกับฉันว่า...เพราะเธอไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ (คงจะเป็นเมื่อครั้งที่ฉันรั้นจะจัดอบรมนอกมหาวิทยาลัย) มาสาย และบ่นลงเฟสบุ๊คเหตุผลแต่ละข้อที่กล่าวมา ทำให้ฉันหัวเราะทั้งน้ำตาการเลื่อนขั้นขึ้นเงินเดือนไม่ได้ดูที่ผลงานหรืองานที่พัฒนาขึ้น แต่วัดกันที่เหตุผลส่วนบุคคลของคนบางกลุ่ม จนบางครั้ง ฉันรู้สึกหมดแรงกับการทำงานตั้งใจทำงานเพื่ออะไร พัฒนางานไปเพื่ออะไรทำงานให้เสร็จเรียบร้อยเพื่ออะไรเพราะทำไปเงินเดือนก็ไม่ขึ้น ตำแหน่งก็ไม่ได้ สู้เอาแรงกายแรงใจไปนั่งเลียแข้งเลียขาเจ้านายดีกว่าไหมสุดท้าย....ฉันก็ต้องยอมรับกับผลการประเมินที่ไม่เป็นธรรมแต่จะให้เปลี่ยนตนเองเป็นคนเลียแข้งเลียขา หรือเช้าชามเย็นชามก็ไม่ไหวเพราะสิ่งที่ฉันยึดมั่นอยูในใจเสมอมา คือค่าของคนอยู
ความบังเอิญครั้งที่ 4วันนั้น ฉันจัดประชุมคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์กว่าการประชุมจะสิ้นสุดลง ก็กินเวลาจวนเจียนจะบ่ายข้าวเที่ยงยังไม่ตกถึงท้อง น้ำย่อยในกระเพาะมันร่ำร้องให้ฉันพาตนเองไปทานข้าวที่โรงอาหารกลางเมื่อกินข้าวเสร็จก็ลุกขึ้นเพื่อเอาจานไปวางไว้ที่อ่างสำหรับเตรียมล้างนึกไม่ถึงเลยว่าจะเจออาจารย์ A กำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่ด้านหลังเขานั่งหันหลังให้ฉันแม้หัวใจมันร่ำร้องอยากจะเข้าไปทักแต่สถานะที่เป็นอยู่ทำให้ฉันต้องข่มใจ แล้วเดินผ่านอาจารย์ไปฉันเดินออกจากโรงอาหารไปด้วยหัวใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะขึ้นสำนักงาน จึงแวะที่ร้านกาแฟก่อนระหว่างที่นั่งรอกาแฟนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ A จะมาที่ร้านกาแฟเหมือนกันอาจารย์ A เปิดประตูเข้ามา ใบหน้าเรียบเฉย มองฉันแค่แวบเดียวแล้วมองผ่านเลย เหมือนคนไม่เคยรู้จักกันฉันกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอในเมื่อเขาไม่อยากรู้จัก เราก็จะไม่ทักเขาให้ต้องระคายเคืองใจเมื่อได้กาแฟแล้ว ฉันก็รีบเดินออกจากร้านทันทีและสิ่งที่ทำให้ฉันตัดใจไม่ได้สักที คือผลจากแผนการที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้นที่ฉันเที่ยวไปประกาศปาว ๆ ว่างานอะไรที่เกี่ยวข้องก
ความจริงที่ซ่อนไว้ 7ยิ่งคุยกัน.....ระยะห่างระหว่างเรายิ่งสั้นลงเรื่อย ๆไม่รู้ทำไม...ทุกครั้งที่จบการสนทนาในแชทบล็อกเราต้องนั่งอมยิ้มคนเดียวแล้วในหัวก็จะมีเรื่องของเขาวนเวียนอยู่ในหัวทันทีที่เริ่มรู้สึกรัก ฉันก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดอกหักทันทีที่รัก เพราะรู้ดีแก่ใจว่า รักครั้งนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ฉันตั้งใจขุดหลุมล่อหลอกอาจารย์ให้ตกลงไปเพื่อใช้อาจารย์เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นหัวหน้ากลับกลายเป็นฉันที่ตกลงไปในหลุมเสียเองจนอยากที่จะปีนขึ้นไปในขณะที่ฉันเริ่มรู้ตัวว่าหลงรักอาจารย์จนยากจะตัดใจอาจารย์ก็เริ่มรู้ตัวว่าถูกฉันตามจีบการสนทนากันในแชทจึงเริ่มน้อยลง อาจารย์ A ถามคำตอบคำจนฉันเริ่มรู้ถึงการรักษาระยะห่างของเขาฉันจึงพยายามตัดใจจากเขา เพราะเข้าใจดีว่า ผู้ชายที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่มีทางมองผู้หญิงระดับต่ำกว่าแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา การศึกษา หรือฐานะดังนั้น ฉันจึงห้ามใจไม่ทักแชทไปอีก และหักดิบโดยการเลิกเป็นเพื่อนกับเขาทาง F******k เพื่อที่จะไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเขาอีกแต่ดูเหมือนฟ้าจะยังคงสนุกกับการทรมานหัวใจของฉันยิ่งอยากตัดใจ ก็ยิ่งให้ฉันต้องบังเอิญ
จนกระทั่งรถวิ่งผ่านสวนป่าข้างหนองน้ำ...“ ด้านซ้ายมือ... จะเห็นเครื่องออกกำลังกาย... สำหรับออกกำลังกายตอนเย็นๆ รอบหนองน้ำเป็นทางวิ่ง เขาเรียกกันว่า.... หนอง... หนอง....”อาจารย์ A หันมาสบตาฉันเพื่อขอความช่วยเหลือ...“หนองอิเจมค่ะ”ฉันตอบทันทีอย่างรู้งาน“ทำไมถึงชื่อ หนองอิเจมหรือครับ”วิทยากรสงสัย.......และแล้วอาจารย์ A ก็ได้รับอีก 1 หน้าที่ นั่นคือ นักเล่าประวัติศาสตร์หนองอิเจมของมหาวิทยาลัยจนกระทั่งในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้าตึกสำนักงานอธิการบดีที่รถอาจารย์ A จอดไว้เครื่องมือแก้แค้นหัวหน้ากำลังจะลงจากรถแล้ว !ฉันเหลือบมองกระเป๋าอาจารย์ A ที่วางอยู่บนเบาะข้าง ๆสวรรค์ช่างเข้าข้างนัก !ฉันจึงถือกระเป๋าใบนั้นขึ้นมา ในขณะที่อาจารย์ A กำลังไหว้ลาวิทยากร แล้วเปิดประตูลงจากรถ“อาจารย์คะ กระเป๋าค่ะ !”ฉันตะโกนเรียกอาจารย์ พร้อมกับชูกระเป๋าให้ดู“อ๋อ... ขอบคุณครับ”ฉันยื่นกระเป๋าให้.....มือหนึ่งจับด้านข้าง.... อีกมือสอดไว้ใต้กระเป๋าอย่างจงใจ...อาจารย์ A ยื่นมือมารับกระเป๋า...มือนุ่มๆ ยาวเรียวของเขาประกบกับมือเล็ก ๆ ที่ฉันจงใจสอดไว้ใต้กระเป๋าหนังใบโต...Yes !เป็นไปตามแผน !... ฉันลิงโลดในใจ
ความจริงที่ซ่อนไว้ 5และแล้ววันอบรมก็มาถึง !ฉันต้องดีดตัวเองลุกจากที่นอนตั้งแต่ไก่โห่ !แล้วแจ้นไปรับวิทยากรที่สนามบิน !….ส่วนอีกทีมหนึ่งฝากให้น้องนก กับพี่เกด คอยต้อนและรับเหล่าอาจารย์ ที่เข้าร่วมอบรมให้ขึ้นรถบัส แล้วไปสมทบกันที่ รีสอร์ต The best orchid….เริ่มต้นการอบรม เป็นไปอย่างสวยงาม ผู้เข้าร่วมอบรมต่างประทับใจวิทยากรกันยกใหญ่...ทึ่งกับความคิดที่ไม่เหมือนใครทึ่งกับแนวทางการก้าวสู่ “ตำแหน่งศาสตราจารย์” ที่อายุยังน้อยและทึ่งกับฉันที่สามารถขุดค้นศาสตราจารย์ท่านนี้มาได้น้อง ๆ พี่ทีมงานที่มาช่วยจัดอบรมต่างรู้กันดีว่า ฉันกำลังวางแผนจีบอาจารย์ A เพื่อแก้แค้นหัวหน้า ดังนั้น ทุกคนต่างสนับสนุนช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น ช่วยถ่ายรูปอาจารย์ A เอาไว้แทบจะทุกช็อตในระหว่างที่นั่งอบรมกันในห้องประชุมนั้นอาจารย์ A ขอน้ำดื่มเพิ่ม พี่เกดก็มาสะกิดฉันให้ยกน้ำดื่มไปเสิร์ฟอาจารย์แม้กระทั่งตอนพักเที่ยง....ฉันแอบชำเลืองมองไปที่โต๊ะอาหารที่กลุ่มอาจารย์คณะวิศวะฯ นั่งอยู่ เมื่อเห็นว่า กลุ่มอาจารย์กำลังลุกออกจากโต๊ะฉันจึงรวบช้อน รีบกลืนข้าวที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียดให้ลงคอ แล้วตามด้วยน้ำ“หนู
ความจริงที่ซ่อนไว้ 41 สัปดาห์ผ่านไป !อาจารย์ท่านอื่นๆ สมัครมาเกือบจะเต็มจำนวนที่เปิดรับแล้วอาจารย์ A ยังไม่ตอบรับมาเลย >เอาไงดี ๆ -ฉันกระวนกระวายในใจ“พี่เกด !” (นามสมมุติ)ฉันร้องเสียงหลง... ทันทีที่เห็นพี่เกดเดินเข้ามาในออฟฟิศ....ยังเช้าตรู่ ทั้งออฟฟิศมีแค่ฉันกับพี่เกด ดังนั้น ฉันจึงโหวกเหวกได้ตามใจ“แวะ ๆ แวะ โต๊ะหนูก่อน”ฉันลากพี่เกดมาที่โต๊ะ“พี่เกด หนูจะเชิญอาจารย์ A ไปอบรมกับหนูแบบเนียน ๆ”“หือ....”พี่เกดลากเสียง ตาวาว เพราะไม่มีใคร ไม่รู้จักความฮอต ของอาจารย์ผู้นั้น“หนูอยากจะทำความรู้จักกับอาจารย์ A ค่ะ”ฉันรีบบอกความต้องการของตนเองไปอย่างตรงไปตรงมา เพราะตอนนี้ความอยากแก้แค้น และเอาคืน มันมีมากกว่าความรู้สึกกระดากอาย“เอาจริง”“จริงแท้ แน่นอน”“เปลี่ยนเป้าหมายใหม่เถอะ ! เขาเป็นถึงตัวท๊อปของคณะวิศวะเลยนะ ! เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์เลยนะคะ”พี่เกดพูดพร้อมกับจะขยับตัวลุกขึ้น แต่คนมือไวคว้าหมับ รั้งไว้“ไม่เปลี่ยนใจค่ะ ! ให้หนูลองดูสักตั้งนะคะ”วินาทีนี้ ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนความตั้งใจของฉันได้ !สุดที่รักของหัวหน้าใช่ไหม ! คอยดู ! แล้วฉันจะสอยลงมาอยู่ในกำมือ
แต่กลับเชื่อเพียงลมปากของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็น “หัวหน้าสำนักงาน”!ลมปากที่พ่นออกมา...ไม่ใช่สีขาวแน่ๆ...แต่ต้องแต่งเติม......สาดสีเน่าๆ ขนาดไหนหนอ....ถึงสามารถเป่าหูท่านรองฯ ให้คุกรุ่นได้ขนาดนี้ !เมื่อพลิกกี่รอบ ๆ... ก็ไม่เจอสิ่งที่อ้างเอ่ย..ท่านรองฯ จึงหยิบดินสอขึ้นจรดลงบนกระดาษ“งั้นก็ไปแก้... คำถูกคำผิดมา ตรวจทานอีกรอบแล้วกัน”“ค่ะ”ฉันรับคำ พร้อมยื่นมือรับเอกสารคืนอย่างอ่อนแรง“แก้เสร็จ ก็ค่อยเสนอใหม่นะ แล้วคราวหน้า จะทำอะไร ก็ให้เข้ามาปรึกษาก่อน”“ค่ะ”ฉันรับแฟ้มเอกสารโครงการคืน.....เดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน...วางแฟ้ม.... ปิดคอมพิวเตอร์....เดินออกจากสำนักงาน... ด้วยดวงใจที่อ่อนล้า...พร้อมกับเสียงกระซิบบอก........เลิกเถอะ !... พอกันที !........เธอจะทำโครงการดี ๆ ให้คนเขาด่าเล่นทำไมวะ !...เลิกสรรหาผู้ทรงดี ๆ เอาแค่ใครก็ได้......เลิกทำจริง ๆ แล้วเอารายชื่อผีมาเบิกเงินหลวงกิน !...เลิกคิด เลิกทำสิ่งใหม่ ๆ .....แล้วปล่อย.... ให้ทุกสิ่งคงอยู่ในกะลาครอบของมัน !..ตะวันลาลับขอบฟ้า แต่หยาดน้ำตา กลับรื้อขึ้นมาไม่ขาดสายความจริงที่ซ่อนไว้ 3.....เสียงเซ็งแซ่... ของเหล่านกกา....กู
“ถ้าจะจัด... ก็ห้ามเอาคนในสำนักงานไปด้วย”“ค่ะ. เอาไปเฉพาะคนทำงานค่ะ”ฉันตอบ“รายชื่อที่ ใส่มาตัดออกให้หมด แล้วเสนอคนทำงานมาใหม่”หัวหน้าใช้ปากกาขีดฆ่ารายชื่อแนบท้ายหนังสือขออนุมัติจัดอบรมในขณะที่ปากกาในมือขีดเขียนโครงการอบรมของฉันจนยับเยินปากหัวหน้าก็พูดไปว่า“....เอาคนไปทำไมเยอะแยะตั้งห้าหกคน”ฉันเถียงในใจว่า- ก็ออกไปจัดอบรมข้างนอก ต้องมีคนช่วยขนของ. ช่วยดูแลบนรถ. ช่วยลงทะเบียน. ช่วยจัดกิจกรรม. รับวิทยากร. ฯลฯ..- แต่คำที่หลุดออกมาจากปากฉันจริง ๆ มีเพียงคำว่า...“ค่ะ”.“แล้ว เรื่องเที่ยว ตัดออกเลยนะ ! ห้ามไป !”“ค่ะ”ตอบค่ะ.... แต่ในใจอยากสวนกลับเต็มทนว่า- มันไม่ใช่เรื่องเที่ยวนะ ! กรุณาอ่านให้จบ !มันเป็นการท่องโลกกว้าง เพื่อเปิดโลกทัศน์ กระตุกความคิด ในชั่วโมงว่าง ! -หลังจากที่ขีด เขียน ฆ่า กระดาษโครงการของฉัน... จนสาแก่ใจ......หัวหน้าก็ปิดแฟ้ม แล้วเลื่อนซากโครงการที่พรุนไปด้วยปากกาแดงมาตรงหน้า“ไปแก้ไขมา ! แล้วค่อยมาเสนอใหม่ !”“ค่ะ”ฉันรับแฟ้มงานคืน แล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะ....วันนี้คงต้องงดวิ่งบนสนาม....แต่เปลี่ยนมาวิ่งบนแป้นพิมพ์แทน !ต้องแก้งานก่อน !ตอนนี้เหลือเวลา อีก 7
วันหนึ่งสำนักงานวิจัย แจ้งให้อาจารย์ขึ้นมาลงนามในสัญญารับทุนวิจัยที่โต๊ะพี่ณี (หัวหน้าสำนักงาน)และแล้วในตอนบ่าย ขณะที่ฉันกำลังเตรียมเอกสารจัดส่งไปตามคณะต่าง ๆ น้อง ๆ พี่ ๆ ผู้หญิงในสำนักงานเหมือนจะมีอาการนั่งไม่ติด สบตากันไปมา แล้วยิ้มเหมือนมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นฉันจึงหยุดมือจากเอกสารตรงหน้า แล้วตั้งใจมองหาสิ่งที่ทำให้สาว ๆ ทั้งสำนักงานเสียอาการ พี่คนหนึ่งส่งสายตาพยักพเยิดให้ดูหัวหน้าสำนักงานพี่ณีเดินเชิดหน้าคอตั้งเข้ามา พร้อมกับอาจารย์ A ตรงไปยังโต๊ะของตนเพื่อที่จะลงนามในสัญญารับทุน ใบหน้าอวบอ้วนของพี่ณีบานแฉ่งยิ่งกว่ากระด้ง แม้ว่าหัวหน้าสำนักงานจะพยายามเก็บอาการอย่างยิ่ง แต่แววตาของหัวหน้าที่บอกว่าปลื้มอาจารย์ A มาก กลบเท่าไหร่ ก็กลบไม่มิดส่วนอาจารย์ A นั้น ก็นิ่งขรึมไม่มีทีท่าวอกแวกกับสาว ๆ คนไหน หรือพูดจาทักทายกับใครสักคน เขาแค่นั่งลงที่โต๊ะ จรดปากกาลงในเอกสาร จากนั้นก็ลงขึ้นเดินกลับออกไปฉันรู้สึกในใจว่า อาจารย์ A ทั้งหยิ่ง ทั้งขี้เก๊กขนาดนี้ มีอะไรให้ชื่นชอบกันหนักหนา ที่สำคัญสายตาคมกริบ ปากบาง ๆ แบบนั้น ต้องดุมากแน่ ๆ ผู้ชายแบบนี้อันตราย อยู่ห่าง ๆ ไว้ดีที่สุดแต่ดูเหมือนว่า