แต่เมื่อวานเขากลับได้รับแจ้งเรื่องน่าตกใจ และเป็นเรื่องที่เขาต้องเชิญอาจารย์หนุ่มที่เป็นแบบอย่างมาสอบถามให้กระจ่าง คณบดี ถอนหายใจออกมาก่อนเอ่ยต่อว่า
“เมื่อวาน ผมได้รับแจ้งจากประธานหลักสูตรว่า มีนักศึกษาร้องเรียนว่า คาบสุดท้ายของวิชาสนามแม่เหล็กไฟฟ้าไม่มีอาจารย์เข้าสอน และพวกเขาต้องสอบในอาทิตย์หน้า หากนักศึกษาเหล่านั้นคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ คุณรับผิดชอบไหวรึ”
ผู้มีอำนาจสูงสุดในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ตั้งใจกล่าวอย่างช้า ๆ ให้ชัดลงไปในมโนสำนึกของผู้ฟัง
อาจารย์หนุ่มผู้ถูกกล่าวโทษชาวาบไปทั้งตัว รู้สึกได้ถึงลำคอ ตีบตัน สมองของเขาอื้ออึงสับสน การถูกกล่าวหาว่าทิ้งคาบสอนสำหรับคนที่อยู่ในกฎระเบียบอย่างสม่ำเสมอเช่นเขา เป็นคำพูดที่สบประมาทอย่างรุนแรงมาก
- คนอย่างเขาไม่เคยละเลยหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ! ไม่เคยปฏิบัติผิดวินัย ! และทั้งชีวิตการทำงานของเขาไม่เคยถูกตำหนิจากผู้บังคับบัญชา แต่วันนี้ ! เขากลับถูกกล่าวโทษอย่างร้ายแรงว่าไม่เข้าสอนนักศึกษา จะเป็นไปได้อย่างไร -
ธาวินเม้มริมฝีปากแน่น หัวใจเต้นกระหน่ำ ก่อนยืนยันในสิ่งที่ตนเองเป็นว่า
“ผมยืนยันว่าเมื่อวานผมเข้าสอนนักศึกษาแน่ ๆ ประธานหลักสูตรอาจจะได้รับฟังมาผิด ๆ “
“รองศาสตราจารย์ธาวิน ผมไม่คิดเลยว่า คุณจะไม่ยอมรับผิดและโกหกแม้กระทั่งผม !”
ประโยคนั้นราวกับสายฟ้าฟาดลงที่กลางใจของอาจารย์หนุ่ม ความหยิ่งผยองในศักดิ์ศรีของเขาถูกคำปรามาสทำลายลงในพริบตา ! หัวใจเขาไหวระริก สั่นไปทั้งร่าง
“ผม”
คำว่า –ผมไม่ได้โกหก- มันยั้งอยู่ที่ริมฝีปากสั่นระริก ความสะเทือนใจที่ถูกกล่าวหามันบีบเคล้นหัวใจนัก
“ผมก็ไม่อยากจะเชื่อ เมื่อวานผมถึงกับไปดูด้วยตาตนเอง ว่าอาจารย์ดีเด่นเช่นคุณจะเหลวไหลได้ขนาดนั้นเชียวรึ”
คณบดีจ้องตาคนที่เขาเคยชื่นชม และคาดหวังเอาไว้ว่าจะเป็นศาสตราจารย์คนแรกของคณะวิศวกรรมศาสตร์
“คุณรู้ไหม ผมพบอะไร”
คณบดีถาม ในแววตาของเขานั้นมีริ้วรอยแห่งความผิดหวัง
เมื่อคนถูกถามไม่ตอบเขาจึงเอ่ยต่อว่า
“ผมพบห้องเรียนว่างเปล่า ในคาบวิชาที่คุณควรจะสอน !”
ท้ายประโยคชายชราขึ้นเสียงสูงราวกับจะย้ำให้ชัดว่าสิ่งที่เขาเจอเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นเรื่องจริง
“ไม่จริง”
คำปฏิเสธแผ่วเบา หลุดออกมาจากปากของอาจารย์หนุ่ม แววตาสั่นระริก ในหัวของเขามันมีเสียงดังอึงอลมากมาย ความเชื่อมั่นที่มีอยู่ในตัวทั้งหมดเริ่มสั่นคลอน
-เขาไม่ได้เข้าสอนจริง ๆ ใช่ไหม -
-แล้วเขาไปอยู่ที่ไหน -
-ทำไมเขาจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้เลย -
-นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ! -
“ช่วงนี้คุณเคร่งเครียดกับงานวิจัยเพื่อที่จะขอตำแหน่งศาสตราจารย์มากเกินไปหรือเปล่า”
คณบดีทอดถอนหายใจ ด้วยวัยใกล้เกษียณ เขาจึงเห็นมานักต่อหนักแล้ว อาจารย์ในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศถูกกดดันจาก รอบด้าน ทั้งเรื่องการสอน การสร้างผลงาน รวมถึงการขอตำแหน่งทางวิชาการ หากรับแรงกดดันไม่ไหวก็อาจจะเป็นบ้าไปเลยก็ได้ ที่เรามักจะเรียกกันต่อ ๆ มาว่า “ศาสตราจารย์สติเฟื่อง”
“ไม่ครับ”
แววตาอาจารย์หนุ่มเลื่อนลอย คำว่า “ไม่” หลุดออกมาจากปากเขาราวกับจะปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้น
ชายชราเห็นท่าทีของอาจารย์หนุ่มที่อนาคตกำลังจะรุ่งโรจน์ เหมือนจะหลุดออกไปจากโลกปัจจุบัน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งปลอบว่า
“รองศาสตราจารย์ธาวิน ผมคิดว่าคุณควรจะพักเสียบ้าง อะไรที่ทำไม่ได้ตามแผนที่วางเอาไว้ก็ปล่อยเสียบ้าง ถ้าปีนี้คุณยื่นขอตำแหน่งศาสตราจารย์ไม่ทัน ปีหน้าก็ยังมีโอกาส”
ธาวินมองผู้บังคับบัญชา แววตาของเขาวูบไหว สะเทือนใจที่คณบดีคิดว่าเขาอยากได้ตำแหน่งศาสตราจารย์จนจะกลายเป็นบ้า
“เอาล่ะ คุณทำผิดในคราแรกผมจะแค่ตักเตือนเท่านั้น คุณไปเถอะ หมดเรื่องแล้ว”
สิ้นเสียงคณบดี ธาวินเดินออกจากห้องอย่างคนไร้สติ
เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ หรือว่าเขาจะเครียดมากจริง ๆ จนลืมไปสอน มันจะเป็นไปได้อย่างไร
ในหัวเขามันเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีคำตอบ คำถามนับร้อยทะลักขึ้นมาในสมอง รู้ตัวอีกทีชายหนุ่มก็เดินมาจนถึงรถ Mercedes-Benz สีเงินคันงามแวววับ เขาบิดกุญแจไขประตู เปิดเข้าไปนั่งที่เบาะหนังนุ่มรับกับสรีระของผู้เป็นเจ้าของมัน
ธาวินหลบอยู่ในรถเพื่อหลีกหนีสิ่งที่เขาเผชิญเมื่อสักครู่ ความสับสนมันทำให้เขาอยากอยู่คนเดียวสักพัก แสงแดดยามสายส่องลงกระทบโลหะรูปดาวสามแฉกหน้ารถเกิดแสงแวบเข้าตา เขาหลุบตาลงเพื่อหลบแสงกระทบนั้น แล้วสายตาเขาก็ไปสะดุดกับเม็ดทรายสีขาวละเอียดบนถาด รองพื้นรถใต้เท้า
เขารีบขยับแว่นตาเพื่อให้มองได้ชัดขึ้น ขณะที่ก้มดูเม็ดทราย เล็ก ๆ มือเรียวหยิบเม็ดทรายขึ้นมาดูใกล้ ๆ ดวงตาสีเข้มวาวระริก บางสิ่งบางอย่างแวบเข้ามาในจิตใต้สำนึกจนขนอ่อนในกายลุกซู่ !
ลักษณะเม็ดทรายแบบนี้ไม่มีที่มหาวิทยาลัยใจกลางกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยคอนกรีตอย่างแน่นอน ! หรือว่าเมื่อวานเขาจะไม่ได้เข้าสอนจริง ๆ หรือว่าสิ่งที่เขาฝันว่านั่งอยู่ริมทะเล เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ
มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่เขาจำอะไรไม่ได้เลย ! จำไม่ได้แม้กระทั่งผู้หญิงที่เขาไปด้วยเป็นใคร
ทรายเนื้อละเอียดในมืออาจารย์หนุ่มถูกกำจนแน่น ! เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้าด้วยหัวใจที่เต้นระทึก ! หากเขาไม่บ้า ก็ต้องมีใครสักคนที่เล่นตลกกับเขาแน่ ๆ
ธาวินรีบวิ่งออกจากรถมุ่งหน้าขึ้นตึกสูงอย่างรวดเร็ว เขาต้องรู้คำตอบให้ได้ ก่อนที่เขาจะกลายเป็นบ้าไปจริงๆ
ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้าใส่ธาวินอย่างรุนแรงราวกับโดนคลื่นซัด เขาไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่ไร้เหตุผล และควบคุมไม่ได้เช่นนี้มาก่อน ใครสักคนที่สามารถให้คำตอบเรื่องนี้ได้ก็คงมีแต่ ดร.ประชา เท่านั้น เพราะเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับเขา
“ประชา!”
ธาวินกระชากประตูห้องเรียนออก แล้วตะโกนดังลั่น ใบหน้า แดงก่ำ หายใจหอบเพราะเขาวิ่งจากโรงรถขึ้นมาที่ตึก EN 6 โดยไม่หยุดพัก
นักศึกษาร่วมร้อยชีวิตเงียบกริบทั่วทั้งห้อง ต่างหันมามอง รศ.ดร.ธาวิน ไตรสุวรรณ ที่ยืนหอบตรงหน้าประตูด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
คนถูกเรียกชะงัก มือจับปากกาไวท์บอร์ดค้างบนกระดาน เมื่อตั้งสติได้ เขาหันกลับไปยังนักศึกษาแล้วออกคำสั่งว่า
“นักเรียนทำโจทย์บนกระดานรอ เดี๋ยวอาจารย์กลับมา”
ประชาวางปากกาไวท์บอร์ดบนโต๊ะ แล้วเข้าไปลากเพื่อนที่ดูเหมือนคนสติแตกไปแล้ว ออกไปให้พ้นจากสายตาของนักศึกษาที่อยากรู้อยากเห็น“เฮ้ย ! วิน แกเป็นบ้าไปแล้วรึ ฉันกำลังสอนนักเรียนอยู่”เขาเป็นฝ่ายลากธาวินออกมา แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเขาที่ถูกลากไปจนชิดกำแพงมุมตึก“ประชา เมื่อวานฉันดูสุริยุปราคากับแกบนดาดฟ้าใช่ไหม”ธาวินละล่ำละลักถาม สีหน้าร้อนรน แววตาภายใต้กรอบแว่นคาดคั้นอยากรู้คำตอบอย่างเต็มที่“ใช่”ดร.ประชา พยักหน้ายืนยันคำตอบด้วยอาการงง ๆ ที่ถูกเพื่อนลากออกมาเพราะถามเรื่องแค่นี้“แล้วหลังจากนั้นล่ะ หลังจากนั้นฉันไปไหน”ธาวินแทบจะตะโกนถาม สองมือขยุ้มคอเสื้อเพื่อนสนิทอย่าง ลืมตัว“เฮ้ย ! แกเป็นอะไรเนี่ย ปล่อยฉันก่อน ถามกันดี ๆ ก็ได้นี่หว่า”ดร.ประชาผลักเพื่อนเขาออก จ้องมองคนที่ควบคุมตนเองไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของเขา ทำไม รศ.ดร.ธาวิน ผู้เงียบขรึมกลับดูตื่นตระหนกจนผิดปกติธาวินถอยห่างออกมาจากเพื่อน กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ยกมือขึ้นกุมศีรษะ ในหัวสับสนไปหมดคล้ายคนถูกค้อนทุบ“ใจเย็น ๆ ธาวิน เกิดอะไรขึ้นกับแก ทำไมหลังจากไปพบคณบดีแล้วแกดูเหมือนคนสติแตกแบบนี้”ดร.ประชาตบบ่าเพื่อนสนิ
“...เมื่อสิ้นบุญวาสนาชาตินี้ก็เป็นได้เพียงคนแปลกหน้าของกันและกัน” บทนำ ดวงตะวันสีแดงกลมโตคล้ายลูกโป่งใบใหญ่ ค่อย ๆ จมลงสู่ท้องทะเลจนเหลือเพียงครึ่งเดียวแสงสุดท้ายของวันทอประกายสีส้มแดงจับก้อนเมฆสีขาวกลายเป็นสีชมพูแดงระเรื่อ ทะเลสีครามลากเป็นเส้นตรงตัดกับพื้นทรายและแผ่นฟ้า เสียงคลื่นกระทบหาดทรายโขดหินขับกล่อมประสานกับเสียงนกที่ชวนกันโผบินเข้าสู่รวงรังหนุ่มสาวคู่หนึ่งนั่งเคียงคู่กันบนหาดทราย ให้น้ำทะเลสีครามฉ่ำเย็นสัมผัสเท้าอันเปลือยเปล่า นำพาวันและคืนเวลาให้ไหลไปสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ทั้งคู่ทอดตามองภาพวาดสวยงามเบื้องหน้าหญิงสาวเอียงคอซบลงบนไหล่กว้างของชายหนุ่มราวกับจะหาที่พักพิงยามอ้างว้าง มือใหญ่ของเขาเลื่อนขึ้นกระชับไหล่บางราวกับจะบอกว่าเขาจะปกป้องดูแลหล่อนตลอดไปจะมีสุขใดเล่า จะสุขยิ่งกว่าการได้อยู่เคียงข้างกับคนที่เรารัก แววตาอ่อนโยนของชายหนุ่มทอดมองหญิงสาวข้างกายมากกว่าทิวทัศน์เบื้องหน้า เขาอยากมองหล่อนให้นาน ๆ เพื่อย้ำกับตนเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้น คือ ความจริงมิใช่ความฝันเขาคร่ำเคร่งกับการทำงานมาครึ่งชีวิต ไม่เคยสนใจเรื่องความรักเลย ถึงแม้จะมีผู้หญิงมากหน้าหลายตาผ่านเข้
พ.ศ. 2538 เวลา 4.00 น.รศ.ดร.ธาวิน ไตรสุวรรณ นอนลืมตาในความมืดตีสี่ของทุกวันร่างกายของเขาจะตื่นขึ้นโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก เนื่องด้วยเขาเกิดและเติบโตในตึกแถวท้ายตลาด ตีสามตีสี่รถพ่อค้าแม่ค้าขายส่ง จะนำสินค้ามาขายให้กับพ่อค้าคนกลาง เพื่อจำหน่ายต่อให้บรรดาลูกค้าที่มาจับจ่ายซื้อของในตอนเช้าแม้ว่าครอบครัวของเขาไม่ได้เป็นผู้ค้าส่ง แต่เป็นร้านขายของชำที่มีสินค้านานาชนิดเป็นที่ต้องการของเหล่าวาณิชทั้งหลาย ดังนั้น ตีสี่ของทุก ๆ วัน เขาถูกป๊ากับม๊าตะโกนเรียกจากหน้าบ้านให้มาช่วยเปิดร้าน เมื่อช่วยกันเปิดร้านเรียบร้อยแล้ว ตามด้วยการไล่ให้ไปอ่านหนังสือ โดยป๊าให้เหตุผลกับเขาว่า“อ่านหนังสือเช้าๆ สมองจะรับดี เพราะยังไม่มีอะไรมารกหัว”แม้ป๊าของเขาจะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ป๊าก็มักจะทำให้เขาทึ่งอยู่เสมอ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่ป๊าบอกว่าให้อ่านหนังสือในตอนเช้า และผลที่ได้ คือ พี่สาวทั้งสามของเขาเป็นหมอทั้งหมดหรือการรวมยอดราคาของให้ลูกค้า เร็วยิ่งกว่าการดีดลูกคิด ต่อให้ลูกค้าจะซื้อมากแค่ไหน ป๊าเขาแค่เอ่ยทวนราคาสินค้าขณะหยิบของใส่ลงถุง เมื่อยื่นให้ลูกค้าก็บอกราคาขายได้ทันที ไม่มีตกหล่นแม้แต่บาทเดียว
เวลา 8.00 น. “สวัสดีท่านด๊อกประชา”เสียงทุ้มดังขึ้น ทันทีที่ประตูไม้บานใหญ่ของห้องพักอาจารย์เปิดออก แล้วชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีน้ำตาลเข้มที่ถูกรีดจนเรียบกริบ ก็โผล่เข้ามาในห้องพร้อมกับส่งเสียงทักทายเพื่อนร่วมห้องพักที่นั่งอยู่ก่อนแล้วอย่างอารมณ์ดีผู้ที่ถูกเรียก “ท่านด๊อกประชา” ถึงกับรีบเงยหน้าขึ้นจากแผนการสอนแทบจะไม่ทัน ยิ่งสบเข้ากับรอยยิ้มของผู้มาใหม่ ยิ่งทำให้เขาอึ้งไปกว่านาที-นี่คือ รศ.ดร.ธาวิน ไตรสุวรรณ เพื่อนของเขาจริงๆ หรือนี่ ! -ดร.ประชา ชื่นจิตต์ อุทานในใจ จ้องมองอาจารย์แว่นหนุ่มหล่อ ที่กำลังถอดเสื้อคลุมตัวนอกแขวนไว้บนราวไม้สักด้านหลังห้องอย่างเบามือการที่เพื่อนของเขามีสอนภาคบ่าย แต่มามหาวิทยาลัยแปดโมงตรงเป๊ะ ! ทุกวันเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติ คือ คนที่ทั้งเงียบขรึมและจริงจังกับชีวิตมากอย่าง รศ.ดร.ธาวิน ไตรสุวรรณ เย้าเขาด้วยการเรียกว่า “ท่านด๊อก !”ดร.ประชา อ้าปากจนกรามแทบค้าง ราวกับว่าเพื่อนสนิทได้กลายเป็นเอเลี่ยนจากนอกโลก กำลังนั่งลงที่โต๊ะทำงานประจำของเพื่อนเขา ซึ่งด้านหลังยังมีกระดานสีขาวมันวาวตัวอักษรสีน้ำเงินที่เขียนด้วยปากกา ไวบอร์ด ระบุปี พ.ศ. พร