“...เมื่อสิ้นบุญวาสนา
ชาตินี้ก็เป็นได้เพียง
คนแปลกหน้าของกันและกัน”
บทนำดวงตะวันสีแดงกลมโตคล้ายลูกโป่งใบใหญ่ ค่อย ๆ จมลงสู่ท้องทะเลจนเหลือเพียงครึ่งเดียวแสงสุดท้ายของวันทอประกายสีส้มแดงจับก้อนเมฆสีขาวกลายเป็นสีชมพูแดงระเรื่อ ทะเลสีครามลากเป็นเส้นตรงตัดกับพื้นทรายและแผ่นฟ้า เสียงคลื่นกระทบหาดทรายโขดหินขับกล่อมประสานกับเสียงนกที่ชวนกันโผบินเข้าสู่รวงรัง
หนุ่มสาวคู่หนึ่งนั่งเคียงคู่กันบนหาดทราย ให้น้ำทะเลสีครามฉ่ำเย็นสัมผัสเท้าอันเปลือยเปล่า นำพาวันและคืนเวลาให้ไหลไปสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ทั้งคู่ทอดตามองภาพวาดสวยงามเบื้องหน้า
หญิงสาวเอียงคอซบลงบนไหล่กว้างของชายหนุ่มราวกับจะหาที่พักพิงยามอ้างว้าง มือใหญ่ของเขาเลื่อนขึ้นกระชับไหล่บางราวกับจะบอกว่าเขาจะปกป้องดูแลหล่อนตลอดไป
จะมีสุขใดเล่า จะสุขยิ่งกว่าการได้อยู่เคียงข้างกับคนที่เรารัก แววตาอ่อนโยนของชายหนุ่มทอดมองหญิงสาวข้างกายมากกว่าทิวทัศน์เบื้องหน้า เขาอยากมองหล่อนให้นาน ๆ เพื่อย้ำกับตนเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้น คือ ความจริงมิใช่ความฝัน
เขาคร่ำเคร่งกับการทำงานมาครึ่งชีวิต ไม่เคยสนใจเรื่องความรักเลย ถึงแม้จะมีผู้หญิงมากหน้าหลายตาผ่านเข้ามาในชีวิต แต่เธอเหล่านั้นก็เหมือนกับรูปนางแบบในนิตยสารรายเดือน แม้สวยผุดผาดตระการตาสักเพียงใด พอเปิดดูผ่าน ๆ ไม่นานเขาก็ลืม
แต่กับเธอผู้นี้ อาจไม่สวยสะดุดตา แต่ดวงหน้าอ่อนใสปรากฏรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ในยามเช้า ดาวตากลมโตทอประกายดุจเดียวกับดาราบนฟากฟ้า หญิงสาวที่แสนบริสุทธิ์และงดงามผู้นี้ช่างตราตรึงใจเขายิ่งนัก
ดวงตากลมโตของหล่อนจับจ้องภาพเบื้องหน้าปล่อยให้ปอยผมที่ถูกแรงลมพลิ้วไสวคอเคลียสองแก้มนวลผ่อง เธอคือภาพวาดอันสวยสดและงดงามในใจเขา ใบหน้าอ่อนใสหันมามองเขาพร้อมกับรอยยิ้มละมุนเมื่อชายหนุ่มเอาแต่จับจ้องเธอไม่วางตา เสียงใส ๆ จึงทักขึ้นว่า
“หน้าอิงมีอะไรติดอยู่หรือคะ”
หญิงสาวจับผมที่ปลิวตามแรงลมทัดกับใบหูเพื่อไม่ให้ละใบหน้า
เขายิ้มให้สาวน้อยอย่างอ่อนโยน พร้อมกับจ้องลึกลงไปในแววตาไร้เดียงสาคู่นั้น เขาอยากบอกกับหล่อนเหลือเกินว่า
- เธอ คือ ทุก ๆ อย่างของเขา ผู้หญิงที่เขารักจนหมดหัวใจ อยากขอบคุณที่มีเธอบนโลกนี้ และขอบคุณที่ช่วยให้เขาได้พบกับเธอ –
ถึงแม้ว่าในยามนี้ เธออยู่ข้างกายเขา แต่ความสุขที่ท่วมท้นใจมันมากจนเขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันคือเรื่องจริง หรือความฝัน ? เขาจึงอยากมองเธอให้นานที่สุด เพื่อย้ำกับตัวเองว่า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ แต่ในสุดท้ายแล้ว... เขากลับเพียงแค่เอ่ยออกไปว่า
“ก็อิงสวยกว่าทะเลนี่ครับ”
“พี่วิน !”
ดวงตาสุกใสค้อนให้ชายหนุ่มทีหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองที่ท้องทะเลเบื้องหน้าอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยขึ้น
“อันที่จริง อิงไม่ชอบดูท้องฟ้าตอนพระอาทิตย์ตกเลยค่ะ มันรู้สึกหดหู่ใจอย่างไรไม่รู้ ตอนเด็ก ๆ อิงจำได้ว่า พอถึงตอนหัวค่ำทีไร ก็รู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก”
“ทำไมล่ะ?”
เขาถามขึ้นพลางทอดสายตามองดูพระอาทิตย์ที่จวนเจียนจะลับขอบฟ้า แสงสุดท้ายทอสีแดงระเรื่อ
“อิงคิดว่า นั่นอาจเป็นเพราะ เรารู้ว่าในตอนเช้าที่ดวงอาทิตย์ขึ้นนั้น แสงของมันแผดแสงแรงขึ้นทุกวินาที นั่นคือสัญญาณการเริ่มต้นของชีวิต แต่เมื่อถึงตอนเย็นดวงอาทิตย์อ่อนแรงลงทุกนาทีเช่นกัน และในไม่ช้าโลกทั้งใบตกอยู่ในความมืดมิด ทำให้เรารู้สึกว่ามันคือการสิ้นสุดของชีวิต”
เสียงท้ายประโยคสั่นเครือ ดวงตาที่เคยสดใสหม่นลง ร่างบางสะท้านไหวให้กับแสงอาทิตย์ริบหรี่เบื้องหน้าที่กำลังถูกความมืดเข้ากลืนกินในไม่ช้า ชายหนุ่มจึงกอดหญิงสาวไว้ด้วยอ้อมแขนแกร่ง
“แต่อิงรู้ไหม ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน แสงสุดท้ายของมันทำให้ท้องฟ้าสวยงามมากที่สุด มีเพียงแสงสุดท้ายของดวงตะวันเท่านั้นที่จะทำให้ก้อนเมฆกลายเป็นสีชมพูแดงระเรื่อได้”
เสียงทุ้มเอ่ยกับคนในอ้อมแขนเบาๆ
สาวในอ้อมกอดเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา ดวงตากลมโตเป็นประกายระยับราวกับเด็ก ๆ ที่กำลังตั้งใจฟังครูเล่านิทาน ธาวินจึงระบายยิ้มให้เธอแล้วอธิบายต่อว่า
“มีเพียงพระอาทิตย์ยามอัสดงเท่านั้น ที่ระบายสีท้องฟ้าให้งดงามได้เช่นนี้ และบางทีความมืดไม่ได้น่ากลัวเสมอไป ยามใดที่ความมืดมิดย่างกลาย ยามนั้นดวงดาวจะทอประกายเต็มท้องฟ้าเหมือนกับพี่ ทั้งชีวิตที่ผ่านมา เส้นทางที่พี่เดินมันมืดมิดและอ้างว้างเหลือเกิน แล้ววันหนึ่งอิงก็เดินเข้ามาในชีวิตของพี่ เป็นดังดวงดาราที่คอยส่องสว่างให้พี่ พี่รักอิงนะ”
เสียงบอกรักแผ่วเบา แต่ดังก้องในใจทั้งสองดวง
สิ้นคำชายหนุ่มก็จุมพิตลงบนกลีบปากบางอย่างนุ่มนวลยืนยันคำ “รัก” แทนความรู้สึกทั้งหมดที่มี หญิงสาวเผยอปากรับความอุ่นซ่านที่เขามอบให้ ไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร ขอแค่ ณ วินาทีนี้ ได้อยู่กับเขาและให้เขารับรู้ว่า เธอก็รักเขามากเฉกเช่นเดียวกัน
รักจนยอมสิ้น.... เสียทุกสิ่ง
รักจนยอมสิ้น.... ทั้งชีวิต
รักจนยอมให้.....
ลมหายใจนี้ สิ้นสุดเพียงแค่เธอ
พ.ศ. 2538 เวลา 4.00 น.รศ.ดร.ธาวิน ไตรสุวรรณ นอนลืมตาในความมืดตีสี่ของทุกวันร่างกายของเขาจะตื่นขึ้นโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก เนื่องด้วยเขาเกิดและเติบโตในตึกแถวท้ายตลาด ตีสามตีสี่รถพ่อค้าแม่ค้าขายส่ง จะนำสินค้ามาขายให้กับพ่อค้าคนกลาง เพื่อจำหน่ายต่อให้บรรดาลูกค้าที่มาจับจ่ายซื้อของในตอนเช้าแม้ว่าครอบครัวของเขาไม่ได้เป็นผู้ค้าส่ง แต่เป็นร้านขายของชำที่มีสินค้านานาชนิดเป็นที่ต้องการของเหล่าวาณิชทั้งหลาย ดังนั้น ตีสี่ของทุก ๆ วัน เขาถูกป๊ากับม๊าตะโกนเรียกจากหน้าบ้านให้มาช่วยเปิดร้าน เมื่อช่วยกันเปิดร้านเรียบร้อยแล้ว ตามด้วยการไล่ให้ไปอ่านหนังสือ โดยป๊าให้เหตุผลกับเขาว่า“อ่านหนังสือเช้าๆ สมองจะรับดี เพราะยังไม่มีอะไรมารกหัว”แม้ป๊าของเขาจะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ป๊าก็มักจะทำให้เขาทึ่งอยู่เสมอ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่ป๊าบอกว่าให้อ่านหนังสือในตอนเช้า และผลที่ได้ คือ พี่สาวทั้งสามของเขาเป็นหมอทั้งหมดหรือการรวมยอดราคาของให้ลูกค้า เร็วยิ่งกว่าการดีดลูกคิด ต่อให้ลูกค้าจะซื้อมากแค่ไหน ป๊าเขาแค่เอ่ยทวนราคาสินค้าขณะหยิบของใส่ลงถุง เมื่อยื่นให้ลูกค้าก็บอกราคาขายได้ทันที ไม่มีตกหล่นแม้แต่บาทเดียว
เวลา 8.00 น. “สวัสดีท่านด๊อกประชา”เสียงทุ้มดังขึ้น ทันทีที่ประตูไม้บานใหญ่ของห้องพักอาจารย์เปิดออก แล้วชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีน้ำตาลเข้มที่ถูกรีดจนเรียบกริบ ก็โผล่เข้ามาในห้องพร้อมกับส่งเสียงทักทายเพื่อนร่วมห้องพักที่นั่งอยู่ก่อนแล้วอย่างอารมณ์ดีผู้ที่ถูกเรียก “ท่านด๊อกประชา” ถึงกับรีบเงยหน้าขึ้นจากแผนการสอนแทบจะไม่ทัน ยิ่งสบเข้ากับรอยยิ้มของผู้มาใหม่ ยิ่งทำให้เขาอึ้งไปกว่านาที-นี่คือ รศ.ดร.ธาวิน ไตรสุวรรณ เพื่อนของเขาจริงๆ หรือนี่ ! -ดร.ประชา ชื่นจิตต์ อุทานในใจ จ้องมองอาจารย์แว่นหนุ่มหล่อ ที่กำลังถอดเสื้อคลุมตัวนอกแขวนไว้บนราวไม้สักด้านหลังห้องอย่างเบามือการที่เพื่อนของเขามีสอนภาคบ่าย แต่มามหาวิทยาลัยแปดโมงตรงเป๊ะ ! ทุกวันเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติ คือ คนที่ทั้งเงียบขรึมและจริงจังกับชีวิตมากอย่าง รศ.ดร.ธาวิน ไตรสุวรรณ เย้าเขาด้วยการเรียกว่า “ท่านด๊อก !”ดร.ประชา อ้าปากจนกรามแทบค้าง ราวกับว่าเพื่อนสนิทได้กลายเป็นเอเลี่ยนจากนอกโลก กำลังนั่งลงที่โต๊ะทำงานประจำของเพื่อนเขา ซึ่งด้านหลังยังมีกระดานสีขาวมันวาวตัวอักษรสีน้ำเงินที่เขียนด้วยปากกา ไวบอร์ด ระบุปี พ.ศ. พร
แต่เมื่อวานเขากลับได้รับแจ้งเรื่องน่าตกใจ และเป็นเรื่องที่เขาต้องเชิญอาจารย์หนุ่มที่เป็นแบบอย่างมาสอบถามให้กระจ่าง คณบดี ถอนหายใจออกมาก่อนเอ่ยต่อว่า“เมื่อวาน ผมได้รับแจ้งจากประธานหลักสูตรว่า มีนักศึกษาร้องเรียนว่า คาบสุดท้ายของวิชาสนามแม่เหล็กไฟฟ้าไม่มีอาจารย์เข้าสอน และพวกเขาต้องสอบในอาทิตย์หน้า หากนักศึกษาเหล่านั้นคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ คุณรับผิดชอบไหวรึ”ผู้มีอำนาจสูงสุดในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ตั้งใจกล่าวอย่างช้า ๆ ให้ชัดลงไปในมโนสำนึกของผู้ฟังอาจารย์หนุ่มผู้ถูกกล่าวโทษชาวาบไปทั้งตัว รู้สึกได้ถึงลำคอ ตีบตัน สมองของเขาอื้ออึงสับสน การถูกกล่าวหาว่าทิ้งคาบสอนสำหรับคนที่อยู่ในกฎระเบียบอย่างสม่ำเสมอเช่นเขา เป็นคำพูดที่สบประมาทอย่างรุนแรงมาก- คนอย่างเขาไม่เคยละเลยหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ! ไม่เคยปฏิบัติผิดวินัย ! และทั้งชีวิตการทำงานของเขาไม่เคยถูกตำหนิจากผู้บังคับบัญชา แต่วันนี้ ! เขากลับถูกกล่าวโทษอย่างร้ายแรงว่าไม่เข้าสอนนักศึกษา จะเป็นไปได้อย่างไร - ธาวินเม้มริมฝีปากแน่น หัวใจเต้นกระหน่ำ ก่อนยืนยันในสิ่งที่ตนเองเป็นว่า“ผมยืนยันว่าเมื่อวานผมเข้าสอนนักศึกษาแน่ ๆ ประธานหลักสูตรอาจจะได
ประชาวางปากกาไวท์บอร์ดบนโต๊ะ แล้วเข้าไปลากเพื่อนที่ดูเหมือนคนสติแตกไปแล้ว ออกไปให้พ้นจากสายตาของนักศึกษาที่อยากรู้อยากเห็น“เฮ้ย ! วิน แกเป็นบ้าไปแล้วรึ ฉันกำลังสอนนักเรียนอยู่”เขาเป็นฝ่ายลากธาวินออกมา แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเขาที่ถูกลากไปจนชิดกำแพงมุมตึก“ประชา เมื่อวานฉันดูสุริยุปราคากับแกบนดาดฟ้าใช่ไหม”ธาวินละล่ำละลักถาม สีหน้าร้อนรน แววตาภายใต้กรอบแว่นคาดคั้นอยากรู้คำตอบอย่างเต็มที่“ใช่”ดร.ประชา พยักหน้ายืนยันคำตอบด้วยอาการงง ๆ ที่ถูกเพื่อนลากออกมาเพราะถามเรื่องแค่นี้“แล้วหลังจากนั้นล่ะ หลังจากนั้นฉันไปไหน”ธาวินแทบจะตะโกนถาม สองมือขยุ้มคอเสื้อเพื่อนสนิทอย่าง ลืมตัว“เฮ้ย ! แกเป็นอะไรเนี่ย ปล่อยฉันก่อน ถามกันดี ๆ ก็ได้นี่หว่า”ดร.ประชาผลักเพื่อนเขาออก จ้องมองคนที่ควบคุมตนเองไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของเขา ทำไม รศ.ดร.ธาวิน ผู้เงียบขรึมกลับดูตื่นตระหนกจนผิดปกติธาวินถอยห่างออกมาจากเพื่อน กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ยกมือขึ้นกุมศีรษะ ในหัวสับสนไปหมดคล้ายคนถูกค้อนทุบ“ใจเย็น ๆ ธาวิน เกิดอะไรขึ้นกับแก ทำไมหลังจากไปพบคณบดีแล้วแกดูเหมือนคนสติแตกแบบนี้”ดร.ประชาตบบ่าเพื่อนสนิ