“ข้าอุตส่าห์อดทนเพราะไม่อยากให้เจ้าหมดแรง ข้าไม่ได้ต้องการสูบพลังของเจ้าหรอกนะ เรื่องนี้เป็นเจ้าที่ผิด ข้าตั้งใจรอจนกว่าเจ้าจะพร้อม แต่เจ้า..เจ้ากลับ..รอไม่ไหว ข้าไร้หนทาง ไม่อาจทนมองเจ้าน่ารักเพียงนั้น จึงได้แต่ตามใจเจ้า” เขารีบพูดแก้ตัว
“ข้า...” หลินโม่เหนียงได้แต่ตาโต มองบุรุษสายน้ำพูดถึงเรื่องน่าอายที่นางทำอย่างปกติ
“เจ้ายังโลภมากอยากได้อีกหรือ เจ้าหลับไปตั้งสามวันเลยนะ ยามนี้ห้าม รอเจ้าแข็งแรงกว่านี้ก่อน ข้าเป็นห่วง”
โม่เหนียงหน้าแดงราวถูกไฟเผา นางรีบก้มหน้า เมื่อครู่นางเพียงตกใจเรื่องที่เขาพูด จึงได้มองเขาตรงๆ แต่เขากลับเข้าใจผิดคิดว่านางจะขอให้ทำเรื่องน่าอายพวกนั้นอีก แย่ที่สุด!!
ถึงนางจะต้องการทำอีก แต่นางจะไม่มีวันเอ่ยปากเด็ดขาด โม่เหนียงขบฟันและแสร้งจับตะเกียบคีบเนื้อปลามากิน แต่เพราะรีบร้อนและเขินอายมากจึงมือสั่นไปหมด แทบจะคีบเนื้อปลาไม่ได้
“เจ้าใจเย็นก่อน ข้าไม่ได้บอกว่าไม่ทำ เพียงแต่งดเว้นไปก่อนสักช่วงหนึ่ง เจ้าอย่าโกรธเลย” เขากลับเข้าใจผิดไปอีกทาง
“ข้า..ไม่ได้โกรธ” โม่เหนียงต้องพูดให้เขาเลิกเข้าใจผิด
“เจ้าโกรธ เห็นอยู่ว่าเจ้าไม่พอใจ หากเจ้าต้องการมาก ข้าจะ..”
“หุบปาก!!” โม่เหนียงอับอายจนไร้หนทาง เหตุใดเจ้าปิศาจนี่ถึงได้โง่เขลานัก นางไม่ได้พูดว่าอยากทำ เขาก็คิดอยู่ได้ว่านางอยาก
“...”
ในเมื่อนางโกรธจนตะคอก ตะเกียบในมือของนางก็สั่นจนแทบคีบเนื้อปลาไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจจะตามใจนางสักเล็กน้อย เพียงทำให้นางหายโกรธก่อน จากนั้นค่อยหลอกล่อให้นางกินอาหารบำรุง
บุรุษสายน้ำคิดได้เช่นนั้นจึงหยิบตะเกียบจากมือของโม่เหนียง แม้นางจะงุนงง แต่ก็ยอมเงยหน้ามองเขาแล้ว ปิศาจหนุ่มจึงก้มลงไปจะจูบหญิงสาวด้วยความตั้งใจจะเอาใจนาง
“เจ้า!! เจ้าจะทำอะไร” โม่เหนียงตกใจรีบผลักไหล่ของเขา
“ข้ายอมให้เจ้าจูบก็ได้ มันช่วยบรรเทาความอยากได้เล็กน้อย จากนั้นเจ้าต้องสัญญาว่าจะยอมกินอาหารของมนุษย์บำรุงร่างกาย” เขาเกลี้ยกล่อม
“เจ้า..เจ้า..” โม่เหนียงได้แต่อ้าปากเอ่ยคำใดไม่ได้
หญิงสาวยังไม่ทันทำอะไร ปิศาจหนุ่มก็ก้มลงมาจูบปากเบาๆ จากนั้นก็นั่งลงที่ข้างโต๊ะ และเริ่มแกะเนื้อปลายื่นมาที่ปากของโม่เหนียงพร้อมป้อนให้นางกิน
“อ้าปาก เจ้าต้องกินบำรุง อย่าดื้อ” เขากล่อมราวกับนางเป็นเด็กน้อย
หลินโม่เหนียงมองเขาแล้วพูดไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
หลังจากนั้น ชีวิตอันสงบสุขของโม่เหนียงก็เริ่มไม่ปกติ
ทุกเช้า หลินโม่เหนียงจะตื่นมาพบบุรุษสายน้ำทำอาหารรอนาง จากนั้นจะจูบนางและดูแลปรนนิบัติบังคับให้นางกินอาหารที่เขาปรุง นางจะปฏิเสธอย่างไรเขาก็คล้ายฟังไม่เข้าใจ
หลังมื้ออาหารก็พานางไปนั่งสมาธิใต้น้ำตกเช่นเคย ส่วนตัวเขาจะออกล่าสัตว์และตัดฟืนเตรียมต้มน้ำอุ่นรอ เมื่อนางกลับมาอาบน้ำอุ่นที่เขาต้มไว้ เขาจะรีบไปทำอาหารมื้อถัดไป ดูแลจนหญิงสาวเข้านอนแล้วเขาจะเก็บเสื้อผ้าชุดเก่าไปซักตาก ก่อนจะเข้ามานั่งข้างเตียงมองดูนางนอนหลับ
แม้ช่วงแรกโม่เหนียงจะเขินอายและไม่คุ้นชิน แต่เมื่อเข้าสู่คืนที่สอง คืนที่สามและคืนต่อๆ มา นางคล้ายสบายใจและหลับสนิทมากกว่ายามที่นางนอนคนเดียวเสียอีก
งานบ้านทุกอย่าง หลินโม่เหนียงไม่เคยได้แตะอีกเลย เขาดูแลราวกับนางเป็นองค์หญิงหรือฮ่องเต้ที่ไม่มีมือของตัวเอง หากนางยินยอมเขาคงเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างเช็ดก้นให้นางด้วย
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเขาที่คอยชวนพูดคุย หลินโม่เหนียงจะเงียบและคอยระอาความพูดมากของอีกฝ่าย แต่นางไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไร ทั้งยังรู้สึกว่าบ้านหลังน้อยดูอบอุ่นมากขึ้น ไม่เงียบเหงาเช่นเดิม
หญิงสาวจึงยอมให้เขาพูดมาก ยอมให้เขาดูแลตามใจ แม้จะรู้เต็มอกว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่กลับเอ่ยปากไล่เขาออกบ้านไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าคิดถึงเขาเหลือเกิน เป็นความคิดถึงที่รู้สึกหนักหน่วงคล้ายคิดถึงเขามานานจนจำไม่ได้
เมื่อเขาเป็นฝ่ายพูดเสียส่วนใหญ่ โม่เหนียงจึงไม่เคยได้มีโอกาสถามชื่อและความเป็นมาของเขา ส่วนตัวเขาก็ไม่เคยพูดถึง พวกเขาเพียงอยู่ด้วยกันอย่างสบายใจ แต่ไม่เคยถามความเป็นมาของใคร คล้ายต่างฝ่ายต่างรู้จักอีกฝ่ายเป็นอย่างดี แม้จะไม่รู้สิ่งใดเลยก็ตาม
มีบางครั้ง เมื่อเขาเข้าใจผิดเรื่องความต้องการของนางไปไกล หญิงสาวพยายามพูดอธิบาย แต่ยิ่งอธิบายเขาก็ยิ่งเข้าใจผิด หลินโม่เหนียงจึงไม่อยากอธิบายถึงความต้องการของตัวเองอีก ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดไป ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดอยู่บนเขามาทำให้นางต้องอับอายกับการถูกเข้าใจผิดนี้
กระทั่งผ่านไปเกือบสองเดือน ในเช้าวันหนึ่งเมื่อเขาจูบนางก่อนมื้ออาหาร เขาก็เงยหน้าและพูดยิ้มๆ ว่า
"เจ้าแข็งแรงแล้ว"
โม่เหนียงเพียงกะพริบตาตอบ ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาต้องการพูดเรื่องอะไร เพราะปกตินางก็คล้ายสื่อสารกับเขาไม่ค่อยเข้าใจอยู่แล้ว
เขาดูแลนางกินมื้อเช้าและเดินไปส่งนางที่ใต้น้ำตก
"ข้าจะรอเจ้ากลับมาบ้านเร็วๆ นะ" เขาบอกนางก่อนกลับ ยังส่งยิ้มหวานด้วยความดีใจอีกด้วย
โม่เหนียงได้แต่ยืนมองเขาเดินกลับบ้านด้วยความงุนงง นางนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ใต้น้ำตกอยู่นานกว่าจะนึกขึ้นได้ว่าเขาเคยปฏิเสธที่จะทำเรื่องอับอายกับนาง อ้างว่านางยังอ่อนแอ แต่วันนี้เขาบอกว่านางแข็งแรงแล้ว ทั้งยังทำหน้าตาราวกับกำลังรอทำบางอย่างกับนางเมื่อนางกลับไปถึงบ้าน
หลินโม่เหนียงใบหน้าร้อนผ่าว ตลอดเวลาสองชั่วยามที่นั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร นางไม่อาจข่มใจให้สงบนิ่งแม้สักชั่วขณะ รอยจูบและสัมผัสจากฝ่ามืออุ่นยังคงตราตรึง
อารมณ์หอมหวานของการถูกฝ่ามือพาวิ่งไปสู่ความหฤหรรษ์ยังคงชัดเจน แม้นางจะพยายามไม่ใส่ใจ แต่เพียงนึกถึง ความเร่าร้อนคล้ายยังคงไม่จางหาย ยิ่งนึกถึงตรงกลีบท้อยิ่งชุ่มฉ่ำ โม่เหนียงอับอายกับความต้องการทางกายของตัวเองยิ่งนัก
วันนี้นางจึงตั้งใจนั่งอยู่ใต้น้ำตกให้นานขึ้นอีก หากเป็นไปได้ นางก็ไม่อยากกลับบ้านตลอดไป หากนางแข็งแรง และพวกเขา..ทำเรื่องน่าอายด้วยกัน วันหน้าจะเป็นอย่างไร นางเป็นมนุษย์ เขาเป็นปิศาจ..
หลินโม่เหนียงนั่งทบทวน แม้ร่างกายจะเรียกร้องให้นางรีบกลับ แต่หญิงสาวยังจำได้ดี ยามเมื่อนางขาดสติ นางไม่อาจคิดทบทวนเรื่องราวอย่างกระจ่างชัดได้ นางยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่นางฉลาดพอจะรู้ว่ากลิ่นอายปิศาจของเขาทำให้นางร้อนรุ่มเกินควบคุม“เจ้ายังไม่กลับบ้านหรือ” ปิศาจหนุ่มเอ่ยถามโม่เหนียงสะดุ้งลืมตามองร่างบุรุษงดงามที่มาตามนางถึงใต้น้ำตก นางถึงกับตกตะลึงในความงามของเขา ชุดสีขาวของเขาเปียกชุ่ม แนบไปกับร่างกาย แผงอกแกร่งน่าลูบไล้ ริมฝีปากระเรื่อ สายตาหวานที่กำลังทอดมองหญิงสาว ช่วงเอวสอบเข้ารูป และส่วนล่างของเขาที่กำลังชูชัน “ข้า..อะแฮ่ม..ข้า” หลินโม่เหนียงพยายามกลืนน้ำลาย“ข้ากำลังคิด”“เจ้าไปคิดที่บ้านก็ได้ ข้ารอได้” เขาตอบเรียบง่าย ทั้งที่มองดูก็รู้ว่าร่างกายเขาพร้อมสำหรับเรื่องหฤหรรษ์แล้ว“ไม่” นางไม่อยากกลับบ้าน“เจ้า..ไม่อยากหรือ ข้านึกว่า...วันนี้ทั้งวัน เจ้าส่งกลิ่นเย้ายวนตลอด เวลานี้ก็ยังคงหลั่งไหลความหอมหวานออกมา แต่เจ้ากลับ..ไม่ยอมกลับบ้าน เจ้าไม่ได้ต้องการข้าหรือ ให้ข้าทำให้ตรงนี้ดีหรือไม่” เขาพูดพร้อมกับนั่งลงมาทันทีและยื่นมาสวมกอดหลินโม่เหนียงไว้จากด้านหลัง“อะ..อย่า” นางยังไม่ทันตั
“ได้ โม่เอ๋อร์รีบกลับนะ ข้าจะเตรียมงานแต่งรอ” เขายิ้มดีใจอย่างโง่งม ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปราวกับเด็กๆ ที่มีของหวานรออยู่ที่บ้าน“เดี๋ยวก่อน” หลินโม่เหนียงตะโกนตามหลัง เขาหยุดและหันมารอฟังนางพูด“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เจ้ามาอุ้มข้า เรากลับด้วยกัน จัดเตรียมงานแต่งด้วยกัน เจ้าว่าเช่นนี้ดีกว่าหรือไม่” ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เขาก็เป็นปิศาจโง่เขลาตนหนึ่ง นางไม่จำเป็นต้องอับอายอะไร เพียงทำตามสิ่งที่ต้องการก็พอ“ดีกว่ามาก” เขาตอบ รีบวิ่งกลับมาอุ้มว่าที่เจ้าสาวอย่างดีอกดีใจหลินโม่เหนียงเคยใฝ่ฝันว่าอยากให้คนรักอุ้มนางไว้ข้างหลังอย่างทะนุถนอม เมื่อก่อนไม่เคยคิดว่าจะทำได้ เพราะนางแต่งเป็นเพียงอนุคนหนึ่ง ขอเพียงสามียังเลี้ยงข้าวสามมื้อก็ดีมากแล้วส่วนเขาแม้จะเป็นปิศาจ แต่ไม่ว่านางสั่งอะไร เขาจะรีบทำให้ ดียิ่งนัก ดีกว่าบุรุษที่เป็นมนุษย์หลายเท่า วันนี้นางจะเอาแต่ใจ สั่งให้เขาอุ้มเขาก็ทำ สั่งให้เขาร้องเพลงเขาก็ร้อง มีคนรักเช่นนี้ดียิ่งนักพวกเขาช่วยกันจัดบ้านหลังน้อยเพื่อเตรียมงานแต่ง หลินโม่เหนียงปูเตียงนอนด้วยผ้าแดงที่ไม่รู้ว่าเขาเอามาจากที่ใด ส่วนเขาลอยตัวมัดผ้าแดงตรงประตูบ้าน ไม่กลัวผู้ใดเห็น ไม่สนใจจะปก
เขาพานางเดินไปที่เตียงแคบๆ วางนางลงและเริ่มถอดเสื้อผ้าให้ภรรยา แม้โม่เหนียงจะรู้สึกเขินอาย แต่อย่างไรพวกเขาก็แต่งให้กันแล้ว เรื่องเช่นนี้ควรปล่อยมันให้เป็นไปตามธรรมชาติไม่นานเขาก็เริ่มถอดเสื้อผ้าของเขาบ้าง รูปร่างของเขาดูภายนอกบอบบาง แต่เมื่อถอดเสื้อแล้วกลับมีมัดกล้ามออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน โม่เหนียงแม้อับอายแต่ก็มองไม่วางตา นางเห็นว่าส่วนล่างเริ่มตั้งตรงเป็นแท่งหยก ทั้งยังใหญ่โต ดูแล้วน่าหวาดกลัวว่าร่างกายของนางอาจกลืนกินไม่ไหว“ชอบหรือไม่” เขามองสีหน้าภรรยาแล้วถาม“...ใหญ่เกินไปหรือไม่” นางกลัวว่าจะเจ็บ เมื่อครั้งที่เข้าหอกับคหบดีเฒ่า แม้ของเจ้าชั่วนั่นจะเล็กมาก แต่นางก็ยังเจ็บมาก“หากโม่เอ๋อร์กลัว เช่นนั้นเท่านี้เป็นอย่างไร” เขาถามโม่เหนียงเห็นกับตาว่าเจ้าสิ่งนั้นลดขนาดลงเหลือเท่านิ้วหัวแม่เท้า นางตาโตตกใจอยู่บ้าง ไม่เคยรู้ว่าพวกปิศาจทำเช่นนี้ได้ด้วย นางเงยหน้ามองสามีปิศาจของตนอย่างประหลาดใจ“เล็กไปหรือ” เขาถามพร้อมกับขึ้นเตียงมาคร่อมนางไว้“เช่นนั้นลองใช้ดูก่อน แล้วค่อยปรับตามที่เจ้าชอบ” เขากระซิบ“...” โม่เหนียงได้แต่กลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก จะบอกว่าเป็นเรื่องน่าอับอายนางก็รู
“เจ้า..ปิศาจเจ้าเล่ห์” โม่เหนียงดุสามี“ได้ ข้าไม่ดีเอง”“เจ้ายังหลบหน้าข้าด้วย” โม่เหนียงเตือนความจำเขา“ก็..จุมพิตวันนั้นทำให้ข้าสามารถเสกน้ำรวมเป็นรูปร่างได้ ทำให้ข้าคิดแต่อยากจะสัมผัสเจ้า ข้าจึงไม่กล้าเข้าใกล้”“ไม่กล้าเข้าใกล้อะไรกัน เจ้า..กัดข้าและข้ารู้ว่าเจ้าต้องทำบางอย่าง ทำให้ข้า..ทำให้ข้า..อยาก...อยากทำเรื่องน่าอายจนไร้สติ” โม่เหนียงนึกถึงความทรมานวันนั้นแล้วรู้สึกอับอาย นางรู้ว่านั่นไม่ใช่ความต้องการทั้งหมดของนางแน่“ก็เจ้าจะทิ้งข้า ข้าจึง..จึง..ข้ายอมให้เจ้าทิ้งข้าไปอยู่กับมนุษย์ทหารผู้นั้นไม่ได้ ข้าไม่ชอบ ข้าไม่ยินยอม ข้า..” เขาหน้างอ ทั้งน้อยใจและเสียใจ“ข้าไม่ได้ต้องการไปกับเขา เจ้าทำอะไรข้ากันแน่” นางคาดคั้นเขารีบกอดภรรยาเข้ามาในอก หวาดกลัวว่านางจะทิ้งเขาหากนางรู้ว่าเขาใช้เล่ห์เหลี่ยมกับนาง โม่เอ๋อร์ของเขาอาจเข้าใจเขาผิด คิดเอาเองว่าเขาทำไปเพราะต้องการสูบพลังจากนาง“ข้าไม่ได้ทำเพราะอยากสูบพลังของเจ้า ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่เคยรู้ว่าทำเช่นนั้นได้ด้วย ข้าเพียงปล่อยกลิ่นหอมเพราะอยากให้ปิศาจตนอื่นๆ รู้ว่าเจ้ามีข้าแล้ว แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลให้เจ้า..เมามาย..หลั่งความหอมหวานออ
บุรุษในร่างงดงามกำลังพรมจูบไปทั่วเนินอก ก่อนจะแลบลิ้นชิมยอดถัน เพียงปลายลิ้นชุ่มฉ่ำอบอุ่นหมุนวนรอบยอดดอกชมพู โม่เหนียงก็สั่นไปทั้งร่าง เขาอ้าปากครอบครองยอดถันไว้และดูดดุนยอดอกเล่นราวกับตรงนั้นเป็นตาน้ำพุบริสุทธิ์ที่อาจมีน้ำหวานให้เขาดื่มคลายกระหายเสียดายที่ยอดชมพูของโม่เหนียงไม่ได้เป็นน้ำพุบริสุทธิ์อย่างที่หนิงเหอต้องการ ต่อให้เขาดูดดุนลิ้มเลียเท่าไหร่ก็ไม่มีอะไรออกมาให้เขาดื่ม แต่สิ่งที่เขากำลังทำส่งผลให้หญิงสาวสั่นสะท้านไปทั่วร่างหลินโม่เหนียงยกสองมือมาจับหัวของสามีไว้ และขยุ้มผมสลวยของเขาอย่างไม่อาจควบคุม เมื่อยอดถันข้างหนึ่งถูกเขาล้อเล่นจนอ่อนไหวเกินจะทน แต่อีกข้างกลับว่างเปล่า นางจึงบังคับให้เขาหันไปกลืนกินยอดถันอีกข้างแทน เผื่อว่าความสุขสมที่เกิดตรงยอดอกจะได้ทั่วถึงทั้งสองข้างเขายินดีทำตามที่ภรรยาต้องการ เปลี่ยนมาลิ้มเลียยอดถันอีกข้าง และใช้มือสองข้างสำรวจไปทั่วร่างเนียนนุ่ม เขาลูบไล้ไปตามไหล่มน แผ่นหลัง เอวคอดและไล่ต่ำลงไปด้านล่างหนิงเหอค้นพบว่าที่แท้ทรวงอกนุ่มมือนุ่มลิ้นนั้นไม่มีตาน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ แต่ด้านล่างเลยจุดตันเถียนลงไป ภรรยาของเขากำลังปล่อยน้ำพุหอมหวานอยู่จนเปียกแ
เพียงแต่การพูดมากมายของเขาครั้งนี้ โม่เหนียงรู้สึกอยากฟังมาก นางก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับเขา คล้ายว่าการสัมผัสร่วมเตียงเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่นางต้องการมานานมากแล้วเช่นกันหนิงเหอพรมจูบนางไปทั่วอยู่สักครู่ จากนั้นก็หยุดและจับนางให้แยกขาเช่นเมื่อครู่อีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้แลบลิ้นยาวออกมา แต่กดจูบปิดปากนางไว้ จากนั้นก็ดุนดันแท่งเนื้อขนาดเท่าหัวแม่มือเข้าไปในร่างของหญิงสาวโม่เหนียงที่ถูกลิ้นยาวของเขากระทำลึกล้ำมาแล้ว ทั้งลูกท้อของนางก็ยังคงเปียกชุ่มจากความกระสันเมื่อครู่อยู่ การที่เขาสอดใส่แท่งหยกเท่านิ้วมือเข้าสู่ร่าง นางจึงไม่รู้สึกอะไรปิศาจหนุ่มเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าขนาดเท่านั้นไม่อาจสร้างความรู้สึกอะไรให้ภรรยาพึงพอใจได้ เขาจึงเสกให้ขนาดแท่งหยกสวรรค์ขยายใหญ่ขึ้น“เท่านี้พอหรือไม่” เขาเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “ใหญ่อีก” โม่เหนียงที่ถูกเขาปล่อยกลิ่นให้มอมเมา ยามนี้นางรับรู้เพียงแรงขับทางกามารมณ์ ความอับอายถูกเขากลืนกินจนหายไปหมดแล้ว นางพูดและขอเรื่องน่าอายได้โดยไม่รู้สึกติดขัด“พอหรือยัง” เขาขยายและถามอีก“ยัง” นางเอ่ยตอบเสียงแหบพร่า“เท่านี้เล่า”“อีกนิด”“เช่นนี้พอหรือไม่” เขาถามพร้อมกับขย
ปิศาจหนุ่มรู้เพียงว่าเขาชอบที่ได้กลืนกินและเสพความสุขสมของภรรยา แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองก็สุขสมเช่นเดียวกันได้ด้วย อาจเพราะก่อนหน้านี้เขาทำทุกอย่างเพื่อหญิงคนรัก จึงไม่ได้ใส่ใจความกำหนัดของตนเอง ยามนี้เมื่อรู้สึกถึงคลื่นความกระสันที่กำลังโหมกระหน่ำจากการกระแทกกระทั้นใส่ร่องรักชมพู เขาทั้งตกใจและยินดี ยิ่งขยับแรงขึ้น “เร็วอีก อา อ๊ะ อะ..อา แรงๆ” หลินโม่เหนียงส่งเสียงสั่นเครือสั่งสามีหนิงเหอที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองก็มีความกำหนัดรุนแรงรออยู่ในท้อง มันเกิดจากการที่เขาได้กระแทกอย่างรุนแรงใส่โม่เอ๋อร์ แต่เขายังคงมีสติห่วงว่าด้วยแรงกายปิศาจของเขาอาจทำให้ภรรยาร่างแหลกสลาย เขาจึงตัดสินใจปลดปล่อยร่างมนุษย์กลับสู่ร่างเดิมโม่เหนียงที่กอดสามีไว้แน่น ปากก็ร้องขอให้สามีกระแทกกระทั้นให้แรงขึ้น นางที่ทำเพียงรอรับความสุขสมอยู่นั้น ช่วงขณะหนึ่งกลับรู้สึกว่าไหล่กว้างที่กอดอยู่กลายเป็นสายน้ำ แต่เป็นสายน้ำที่มีตัวตนและนางกอดสัมผัสได้ หญิงสาวจึงลืมตาดูว่าเกิดอะไรขึ้นโม่เหนียงเห็นร่างของตัวเองถูกสายน้ำรัดทั่วตัวพาลอยขึ้นอยู่กลางห้องนอน ในขณะที่สามีของนางมีเพียงใบหน้าที่ยื่นมาจูบนาง ส่วนร่างของเขากลายเป
โม่เหนียงตามพวกเขาลงไปยังแม่น้ำเหลือง พวกเขาต้องดื่มน้ำแกงยายเมิ่งลืมอดีต ถูกตัดสินโทษที่หลบหนีกฎการเกิดตายมาหลายพันปีปิศาจตนหนึ่งต้องไปเกิดเป็นไอมารไร้ตัวตนใต้แม่น้ำ ทุกข์ทรมานกับความโดดเดี่ยวสองร้อยปีปิศาจอีกตนต้องเวียนว่ายตายเกิดในโลกมนุษย์ ชดใช้ชีวิตที่ขโมยมาจากท่านยมทูตสองร้อยกว่าชาติ ต้องทุกข์ทรมานจากการไม่ถูกรัก“เมื่อครบสองร้อยปี พวกเจ้าจึงจะได้พบกัน ข้าเห็นใจในความรักและความพยายามหล่อเลี้ยงเนยตันของอีกฝ่ายหลายพันปี จะให้โอกาสพวกเจ้าได้บำเพ็ญเพียรร่วมกัน จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของพวกเจ้าแล้ว” ท่านยมทูตกล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะส่งพวกเขาลงไปเกิดใหม่โม่เหนียงเห็นชีวิตของปิศาจสองตนแล้วรู้สึกคล้ายจะอาเจียน นางพยายามยืนให้ตรง ไม่ยอมล้มลง แต่สุดท้ายนางก็ล้มลงและตื่นขึ้นในอ้อมกอดของสามี พวกเขานอนกอดกันบนเตียงที่เปียกชุ่ม“โม่เอ๋อร์..เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หนิงเหอเอ่ยถาม เขาเองก็คล้ายว่าเพิ่งลืมตาตื่นก่อนนางไม่กี่อึดใจ“ข้าก็รักเจ้า อยากอยู่กับเจ้า” คำที่นางเอ่ย โม่เหนียงไม่ได้ตอบคำถามว่าอาการของนางเป็นอย่างไร แต่นางกำลังตอบรับรักของปิศาจอายุมากตนนั้น น้ำตาและความเจ็บปวดของเขายังคงช
เสี่ยวอวี้ เสี่ยวหยาง เสี่ยวชิง และเสี่ยวหลันโผเข้ากอดนางแน่น ดวงตาเปียกชุ่มด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ หลังจากที่ต้องทนทุกข์ใจกับข่าวร้ายที่ท่านน้ากระซิบบอกว่าอาจไม่ได้พบมารดาอีกหลายวัน หรือตลอดไป ไป๋อวิ๋นเหยาใช้เวลาปลอบโยนลูกๆ ที่ยังไม่คลายจากความหวาดหวั่น เสียงหัวเราะและรอยยิ้มกลับมาเติมเต็มจวนไป๋อีกครั้ง แต่ลึกลงไปในใจของนาง ความกังวลยังคงรุกล้ำเงียบงัน วันแล้ววันเล่า นางเฝ้ารอการกลับมาของสามีผู้เป็นที่รัก แต่มีเพียงสายลมหนาวยามค่ำคืนเท่านั้นที่ตอบกลับมา องค์หญิงหว่านหนิงถูกประกาศว่าถูกไฟไหม้เสียชีวิต เพราะเมามายเกินไประหว่างคืนเทศกาลโคมไฟ และจวนไป๋ก็ได้รับเงินมากมายจากราชสำนักเพื่อบำรุงซ่อมแซมจวน แต่ไร้เงาของเฉินซูเหยา เวลาล่วงผ่านไปนานนับเดือน แต่สามีของไป๋อวิ๋นเหยาก็ยังไม่กลับมา นางเฝ้ารอด้วยความทุกข์ใจจนแทบทนไม่ไหว ความเงียบงันที่ไม่มีแม้เงาของเขาทำให้นางตัดสินใจลงมือเอง แม้จะเป็นเพียงบุตรีของอดีตบัณฑิต แต่ด้วยแรงแห่งความรักและความหวัง นางจึงพยายามหาหนทางติดต่อองค์รัชทายาท ทุกก้าวของนางเต็มไปด้วยอุปสรรค สายตาดูแคลน และเสียงกระซิบวิจารณ์ แต่ไป๋อวิ๋นเหยาก็ไม่ยอมแพ้ กระทั่งวัน
ความรู้สึกผิดท่วมท้น นางเงยหน้ามองชายผู้เคยเป็นดั่งเงาในชีวิตด้วยน้ำตาที่รินไหล เขาต้องการให้นางเจ็บปวดเพื่อนางจะได้หันหน้าหนี เพื่อนางจะได้ปลอดภัย และนางก็เป็นเช่นนั้น เกลียดเขาจนวันสุดท้ายของชีวิต แม้เขาจะรอนางอย่างเดียวดายที่สะพานไน่เหอ หลายปี แต่นางก็ยังเกลียดเขา “ข้า..ข้ามันเห็นแก่ตัวนัก” เสียงแหบพร่าของไป๋อวิ๋นเหยาสั่นเทา นางสะอื้นน้ำตารื้น “..เหตุใดจึงเป็นเหยาเหยาเห็นแก่ตัวเล่า..ข้าต่างหากที่เห็นแก่ตัว ข้าต่างหากที่ทำให้เจ้าเจ็บปวด ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน” เขากอดรัดภรรยาไว้จนแน่น “เจ้าคิดจะตายลำพัง!” นางก่นด่า หากเมื่อคืนนี้นางไม่เข้าไปในเรือนหลัง เขาก็คงจะตายลำพังอีกแล้ว “ข้าเตรียมทางหนีไว้แล้ว เจ้าไม่เห็นหรือ ทางที่ข้าพาเจ้าหนีมาอย่างไรเล่า” เขาลูบหัวของภรรยาเบาๆ “แต่หากข้าไม่เข้าไป เจ้าก็จะรอจนแม่ทัพหนุ่มที่เผาภูเขาลูกนั้นเข้ามาในจวน แล้วเจ้าค่อยเผาใช่หรือไม่!!” นางเข้าใจความตั้งใจของเขาดี เขาคงคิดจะเสียสละชีวิตเพื่อลากทุกคนไปกับเขา “..เหยาเหยาไม่ต้องกังวล ข้าจะหาทาง” “แล้วเราจะทำเช่นไรต่อไปดี ข้า..ข้าทำให้เจ้า..ข้าทำแผนของเจ้าพัง” “เหยาเหยาไม่ต้องกังวล” เขาเพียงพูดพร
เฉินซูเหยากอดร่างของภรรยาไว้ในอ้อมแขน ร่างของนางที่ยังอ่อนแรงพิงเขาอย่างตกตะลึงในความจริง นางเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม“เจ้ากล้าโกหกข้าหรือ” ไป๋อวิ๋นเหยาท้วงติงไม่พอใจ เขาหัวเราะขบขัน ไม่เห็นการข่มขู่ของภรรยาอยู่ในสายตา เขาเพียงเริ่มเล่าถึงความหลังที่เกิดขึ้นต่อไปพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น มองภรรยาด้วยความรักใคร่ ไป๋เหวินหยาง เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการศึกสงคราม แต่ก็เป็นบัณฑิตมากความสามารถ มีสายตาที่มองทะลุความสามารถของคน แม้จะรู้ว่าเฉินซูเหยาเป็นบุตรนอกสมรสของแม่ทัพหยวนกวน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังยื่นมือมาช่วยเหลือเฉินซูเหยาไว้ ช่วยปกปิดภูมิหลังของเขา ซ่อนเขาจากศัตรูของแม่ทัพ สั่งสอนเขาราวกับศิษย์คนหนึ่ง หลังจากเด็กหนุ่มสอบได้เป็นจอหงวน ชีวิตของเขาก็เริ่มรู้สึกสงบสุข ได้แต่งงาน เขาไม่เคยคิดแก้แค้นให้บิดาเลยแม้แต่น้อย เพราะกำลังของเขาไม่มากพอ และที่สำคัญ เขาแต่งงานกับหญิงสาวตรงหน้าแล้ว เขาไม่อยากให้ภัยอันตรายใดๆ มาถึงจวนไป๋ หรือครอบครัวของนาง เขาจึงเลือกที่จะวางอดีตลง หรืออย่างน้อยก็พยายามวาง แต่ในใต้หล้านี้ ความตั้งใจหรือจะสู้ฟ้าลิขิต หลังจากเฉินซูเหยาได้ร
“อ้า..เหยาเหยา..” เขาครางแหบพร่าไป๋อวิ๋นเหยาแทบอยากจะกรีดร้อง เพราะรู้สึกว่าความร้อนแท่งใหญ่ที่ค่อยๆ ซึมเข้ามา เหมือนเปลวเพลิงกำลังกัดกิน ทุกอณูของร่างเริ่มร้อนจนเหมือนจะระเบิด ความกำหนัดที่เขาเพาะบ่มตลอดการย่างกำลังทวีขึ้น ความรู้สึกถูกเผาผลาญนั้นเหมือนจี้ถูกจุดร่างกายของไป๋อวิ๋นเหยาสั่นระริกโดยไม่อาจควบคุม พวยพุ่งความสุขสมออกมาจนท่วมรอบเอวสามี เขาไม่ได้รังเกียจ อีกทั้งยังกอดนางแน่นยิ่งขึ้น งัดเอวขึ้นเพื่อกดแท่งหยกซ้ำๆ บนจุดแสนหวานในร่องรักของภรรยา “เหยาเหยากล้าพวยพุ่งน้ำพุใส่ข้าแล้วหรือ” เขาล้อเลียน ยิ้ม บางเบาพึงพอใจ ระหว่างที่ยังคงบดสะโพกต่อไป ไป๋อวิ๋นเหยาใบหน้าแดงก่ำอยากร้องไห้ นางสั่นระริกสุขสมไปทั่วร่าง เขายังกล้าล้อเล่นเช่นนี้อีก เมื่อก่อนเขาชอบขอจะดูนางปลดเบา อย่างไรนางก็ไม่ให้ เขาจึงได้แต่ทำใจ วันนี้นางพวยพุ่งใส่เขาเช่นนี้ ไม่ใช่นางกล้าหาญหรือจงใจ แต่เพราะนางควบคุมไม่ได้จริงๆ และนางกล้าสาบานว่านี่ไม่ใช่การปลดเบาเขาต่างหากที่ทำให้นางควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นนี้!“ชู่ว..ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือ เหยาเหยาเย้ายวนยิ่ง” เขาชื่นชม ก้มลงจูบซับน้ำที่เอ่อล้นขอบตาของภรรยา ลิ้มเลียน้ำตาของ
มือของเขาเคลื่อนไปจับมือของนางที่อ่อนปวกเปียกเพราะพิษกำยาน และเริ่มนวดเบาๆ ที่ปลายนิ้ว ไล่ไปจนถึงฝ่ามืออย่างทะนุถนอม แม้มือของเขาเองจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่มันกลับไม่หยุดความพยายามของเขาแม้แต่น้อย ราวกับจะทำทุกวิถีทางให้นางรู้สึกร้อนรุ่มขึ้น นางได้แต่มองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอึดอัดปนความสับสน แม้จะอยากปฏิเสธ แต่ความรู้สึกอ่อนโยนที่เขามอบให้ กลับทำให้นางไม่อาจห้ามหัวใจของตัวเองไม่ให้เต้นระรัว เด็กสารเลวนี่ วางแผนจะรวบนางนานแล้วหรือ! นางคิดว่าท่านพ่อบังคับเขาให้แต่งเสียอีก ที่แท้เขาก็ไม่ได้ใสซื่อมือของเฉินซูเหยาค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมาที่ปลายเท้าของนางเขาเริ่มนวดที่ฝ่าเท้า ไล่ขึ้นไปจนถึงข้อเท้าอย่างแผ่วเบา สัมผัสของเขาช่างอ่อนโยนและตั้งใจ เหมือนพยายามจะบรรเทาความชาและขับพิษให้นางให้ได้มากที่สุด แต่สายตาหื่นกระหายกลับพูดสิ่งอื่น “เลือดลมของเจ้าจะต้องรีบขับออก” เขาพูดเบาๆ พลางจ้องมองใบหน้าของนางที่เริ่มแดงจนคล้ำ แม้ในใจไป๋อวิ๋นเหยาจะยังคงประท้วงอยู่ แต่ร่างกายกลับยอมรับสัมผัสของเขาอย่างเต็มใจ นางหลับตาลงเล็กน้อย ปล่อยให้ความร้อนรุ่มจากพิษสมุนไพรและสัมผัสของเขาไหลเวียนไปทั่วร่าง ท่ามกล
“...” ไป๋อวิ๋นเหยาส่งสายตาขุ่นเคืองไปยังเขา แต่กลับทำให้เขายิ่งหัวเราะชอบใจ “ดื่มเถิด ข้าจะช่วยพยุงเจ้าเอง” เขาประคองนางขึ้นอย่างระมัดระวัง แม้บาดแผลของเขาจะส่งผลให้ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไป ด้วยความเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่แสดงอาการใดๆ เพียงใช้แขนที่มั่นคงรองรับร่างของนางไว้ริมฝีปากของนางสัมผัสกับของเหลวสีเขียวเข้ม กลิ่นของมันไม่ชวนดื่มเอาเสียเลย ทว่าด้วยแรงผลักดันจากแววตาที่มุ่งมั่นน่ารัdของเขา ไป๋อวิ๋นเหยาจึงกล้ำกลืนมันลงคอไปอย่างยากลำบากเมื่อนางยอมดื่มจนหมด เฉินซูเหยาก็โยนถ้วยใบไม้ทิ้ง จากนั้นก็ก้มลงไปจุมพิตนาง เรียวลิ้นกวาดสัมผัสยาสมุนไพรขมๆ ในปากอิ่มของภรรยาอย่างหิวโหย ไป๋อวิ๋นเหยาเบิกตาโพลง ตกใจราวสาวน้อยที่เพิ่งเคยจุมพิตนางรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปพบกับเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดที่ขโมยจุมพิตแรกของนาง ราวเด็กหนุ่มเอาแต่ใจผู้นั้นยังคงอยู่ไม่หายไปไหน “เจ้ายังขยับไม่ได้ แต่เลือดเริ่มไหลเวียนดีขึ้นแล้ว อีกไม่นานเจ้าจะหาย” เขากระซิบบนริมฝีปากของภรรยา เหมือนปลอบเด็กน้อย เขาชอบทำเช่นนี้เสมอ ป้อนยานางและตามด้วยจุมพิตขมปนหวาน เขาทำเช่นนี้ทุกครั้งที่นางป่วย เอาใจใส่นางและกลั่นแกล้งนาง ร่างแน่นิ่งซึ่
เปลวไฟเริ่มลุกลามไปตามต้นไม้แห้งบนเขาอย่างรวดเร็ว ควันดำพวยพุ่งขึ้นปกคลุมท้องฟ้า ความร้อนระอุค่อยๆ แผ่ขยายออกไปขณะที่เสียงสัตว์ป่ากรีดร้องดังขึ้นทั่วภูเขา สัตว์ต่างๆ วิ่งพล่านออกจากป่าด้วยความตื่นตระหนก บ้างสะดุดล้ม บ้างถูกไฟคลอกจนสิ้นใจ พวกมันพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่ไม่มีตัวไหนหลุดรอดจากเงื้อมมือเปลวเพลิง ในขณะที่ไฟกำลังโหมกระหน่ำบนเขา เฉินซูเหยาและไป๋อวิ๋นเหยาหยุดอยู่ปลายแม่น้ำที่ทอดตัวไกลจากเขาลูกนั้น ใบหน้าของชายหนุ่มซีดเซียว แต่แววตายังคงมุ่งมั่น เขามองยอดเขาที่กลายเป็นเปลวเพลิงสีแดงฉาน ลุกไหม้ราวกับต้องการกลืนกินทุกสิ่ง“พวกมันไม่ยอมปล่อยเรา” เขาพึมพำ ขณะสายตายังจับจ้องภาพโหดร้ายตรงหน้า ไป๋อวิ๋นเหยาเงียบงัน ยืนนิ่งอยู่ข้างเขา น้ำใสเย็นจากแม่น้ำไหลเชี่ยวอยู่รอบข้อเท้าทั้งสอง แต่กลับไม่อาจดับความร้อนแรงจากเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ภูเขาอยู่เบื้องหน้าได้ สองเท้าของนางหนาวเย็นจนเริ่มไร้ความรู้สึก สองมือของนางเริ่มเป็นเหน็บชา เฉินซูเหยาไม่ได้เอ่ยคำใดอีก เขาเพียงจับมือภรรยาแน่น และพาก้าวเดินต่อไป มุ่งหน้าสู่ที่ปลอดภัย โดยปล่อยให้ภูเขาที่ลุกโชนคงอยู่เป็นสัญลักษณ์แห่งความอำมหิตของศัตรูที
“อย่าขยับ อยู่ตรงนั้น!” เสียงของเขาเด็ดขาดราวกับคำสั่ง แต่กลับเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ปกปิดไม่มิด เฉินซูเหยาก้าวเข้า ประจันหน้ากับคนชุดดำที่เหลือ ท่าทางของเขาแม้จะดูอ่อนล้าลง เพราะบาดแผล แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นไม่ลดละ เขาจะไม่มี วันยอมให้ผู้ใดแตะต้องไป๋อวิ๋นเหยาได้เฉินซูเหยาตวัดดาบด้วยความแม่นยำ ร่างของคนชุดดำทั้งสองล้มลงในกระบวนท่าเดียว เลือดสาดกระเซ็นเปรอะพื้น แต่ก่อนที่เขาจะได้พักหายใจ เสียงฝีเท้าของนางรำจำนวนมากก็ดังเข้ามาใกล้ เขาขบฟันแน่น สายตาคมกวาดมองไปทางภรรยาที่เขายังต้องปกป้อง เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว สะบัดมือโยนฮว่าเจ๋อจึ[1]ออกไป จุดไฟขึ้นกลางเรือนด้วยมือที่ยังเปื้อนเลือด เปลวไฟลุกโชนกินเนื้อไม้ จนเสียงแตกเปรี๊ยะดังไปทั่ว คล้ายเขาลงน้ำมันไว้แล้วก่อนหน้าเฉินซูเหยาฉวยมือคว้าเอวไป๋อวิ๋นเหยาแน่น แม้ร่างกายเขา จะอ่อนล้าจากบาดแผล แต่ฝีเท้ายังคงเร่งรีบ ลากนางมุ่งไปทางบ่อน้ำ ด้านหลังเรือน ตลอดทางไป๋อวิ๋นเหยาเห็นว่ามีร่างคนล้มตายเกลื่อนกลาด คล้ายการต่อสู้นี้เกิดขึ้นก่อนที่นางจะเข้ามาแล้ว กลิ่นกำยานเจืออยู่ในอากาศ หญิงสาวในชุดรำที่วิ่งตามมา หอบหายใจรุนแรงก่อนจะทรุดลงทีละคน
เมื่อท้องฟ้าสีดำในเมืองหลวงถูกประดับด้วยแสงเรืองรองของโคมไฟ เด็กๆ ต่างส่งเสียงหัวเราะตื่นเต้นรอคอยการเดินทางไปเทศกาล ท่านน้าและสามีของท่านน้าเตรียมรถม้าคันใหญ่สำหรับพาเหล่าลูกหลานออกไปเพลิดเพลิน เหมือนเช่นชาติก่อน ไป๋อวิ๋นเหยามองดูลูกๆ ในชุดใหม่ที่กำลังปีนขึ้นรถม้าอย่างร่าเริง แต่นางกลับอ้างว่าลืมของสำคัญของสตรี และปล่อยให้เด็กๆ ไปเที่ยวกับน้าสาวและน้าชายก่อน นางคิดว่านางจะรีบตามไปหลังจากเตือนสามีและอนุของเขา แล้วค่อยตามไปนอนพักที่บ้านน้องสาวคืนนี้ เหมือนชีวิตในครั้งก่อน เมื่อรถม้าเคลื่อนออกไป ไป๋อวิ๋นเหยามองตามจนสุดสายตา จากนั้นจึงหันหลังกลับ รีบสาวเท้ากลับไปยังจวนไป๋ ความมุ่งมั่นในดวงตาของนางแข็งกร้าวขึ้นทุกย่างก้าว ไป๋อวิ๋นเหยาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เงาของนางทอดยาวไปตามพื้นหินที่เย็นเฉียบ ความเงียบสงบของค่ำคืนคล้ายทำให้นางรู้สึกว่าทุกย่างก้าวของตนหนักอึ้ง หัวใจเต้นระรัวไม่ต่างจากฝีเท้าม้าที่วิ่งลากรถม้าเคลื่อนไปไม่หยุดหย่อน ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อถึงเรือนหลัง นางหยุดหายใจชั่วครู่ก่อนจะก้าวเข้าสู่ความมืดที่ปกคลุมภายใต้เงาไม้ใหญ่ ทุกสิ่งดูเงียบสงัดเกินไป นางมองไปรอบๆ กลับไร้ซึ่งเง