เขาพานางเดินไปที่เตียงแคบๆ วางนางลงและเริ่มถอดเสื้อผ้าให้ภรรยา แม้โม่เหนียงจะรู้สึกเขินอาย แต่อย่างไรพวกเขาก็แต่งให้กันแล้ว เรื่องเช่นนี้ควรปล่อยมันให้เป็นไปตามธรรมชาติ
ไม่นานเขาก็เริ่มถอดเสื้อผ้าของเขาบ้าง รูปร่างของเขาดูภายนอกบอบบาง แต่เมื่อถอดเสื้อแล้วกลับมีมัดกล้ามออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน โม่เหนียงแม้อับอายแต่ก็มองไม่วางตา นางเห็นว่าส่วนล่างเริ่มตั้งตรงเป็นแท่งหยก ทั้งยังใหญ่โต ดูแล้วน่าหวาดกลัวว่าร่างกายของนางอาจกลืนกินไม่ไหว
“ชอบหรือไม่” เขามองสีหน้าภรรยาแล้วถาม
“...ใหญ่เกินไปหรือไม่” นางกลัวว่าจะเจ็บ เมื่อครั้งที่เข้าหอกับคหบดีเฒ่า แม้ของเจ้าชั่วนั่นจะเล็กมาก แต่นางก็ยังเจ็บมาก
“หากโม่เอ๋อร์กลัว เช่นนั้นเท่านี้เป็นอย่างไร” เขาถาม
โม่เหนียงเห็นกับตาว่าเจ้าสิ่งนั้นลดขนาดลงเหลือเท่านิ้วหัวแม่เท้า นางตาโตตกใจอยู่บ้าง ไม่เคยรู้ว่าพวกปิศาจทำเช่นนี้ได้ด้วย นางเงยหน้ามองสามีปิศาจของตนอย่างประหลาดใจ
“เล็กไปหรือ” เขาถามพร้อมกับขึ้นเตียงมาคร่อมนางไว้
“เช่นนั้นลองใช้ดูก่อน แล้วค่อยปรับตามที่เจ้าชอบ” เขากระซิบ
“...” โม่เหนียงได้แต่กลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก จะบอกว่าเป็นเรื่องน่าอับอายนางก็รู้สึกอับอาย จะบอกว่าเป็นเรื่องน่ายินดีนางก็ยินดี นางมีสามีที่รักและเอาใจนาง สามารถปรับขนาดตามที่นางร้องขอ เพียงแต่เรื่องราวชวนประหลาดมากเกินความเข้าใจของนางไปสักนิด
เขาเริ่มจูบไล่ไปมาตามคอระหง ปลายลิ้นอุ่นไล้วนไปรอบๆ เส้นเลือดอย่างเอาอกเอาใจ โม่เหนียงรู้สึกทั้งจั๊กจี้และสบายตัว ไฟในจุดตันเถียนล่างเริ่มลุกไหม้แผดเผา
หญิงสาวหลับตารอรับความสุขสมที่สามีจะมอบให้ แต่ระหว่างที่เขากำลังเลื่อนรอยจูบขึ้นมาที่ริมฝีปาก จู่ๆ โม่เหนียงก็รู้สึกว่าบางสิ่งยังไม่ถูกต้อง นางจึงผลักเขาและจ้องมองปิศาจหนุ่มผู้เป็นสามีของนาง
“มีอะไรหรือ” เขาถาม
“ข้าอยากถามนานแล้ว เจ้าชื่ออะไร?” ...นางยังจำได้ เขาคล้ายจะบอกว่าเขาไม่มีชื่อ แต่ยามนั้นนางกำลังอารมณ์ขุ่นมัวจึงไม่ได้ถามให้ชัดเจน
“ข้าไม่มีชื่อ” เขาตอบเรียบๆ
“เจ้าเป็นปิศาจอะไร” นางจึงเปลี่ยนคำถาม
“ข้าไม่รู้”
“เจ้าไม่รู้?”
“ใช่”
“เช่นนั้นเจ้ามาจากที่ใด” นางสงสัยยิ่งนัก นางอยากรู้เรื่องของเขา แต่เขากลับกล่าวเพียงไม่รู้ ไม่รู้ นี่นางแต่งงานกับตัวอะไรกัน แม้แต่เป็นปิศาจประเภทไหนเขายังไม่รู้ตัวเองเลยหรือ
เขาที่กำลังจะมอบความสุขหอมหวานในคืนแต่งงานให้ภรรยา แต่ในเมื่อภรรยาเอาแต่ซักถาม ไม่ได้อยากร่วมรักกลืนกินเขาอย่างที่เขาต้องการ บุรุษสายน้ำจึงได้แต่จนใจ ทิ้งตัวลงนอนข้างภรรยาและเล่าเรื่องของตนเอง
“ข้าไม่มีชื่อ เพราะตั้งแต่ลืมตาข้าก็ถูกพัดไปมาใต้แม่น้ำลึกและมืดมิด ไม่เคยมีใครตั้งชื่อให้ข้า ไม่มีใครพูดคุยกับข้า แม้แต่ปิศาจปลาตัวเล็กหรือปิศาจก้อนหินใต้น้ำ พวกเขาก็ล้วนพูดคุยกับข้าไม่ได้ ต่อให้ข้าตะโกนก็คล้ายไม่มีผู้ใดได้ยิน ในเมื่อไม่มีใครให้พูดคุย จึงไม่จำเป็นต้องเรียกชื่อ ข้าจึงไม่ได้ตั้งชื่อให้ตัวเอง
ข้าอยู่มานาน ข้าเคยพยายามนับว่าผ่านไปกี่ปีแล้ว แต่มันก็นานจนข้าจำไม่ได้ว่าปีที่แล้วข้านับถึงเลขเท่าไร จำได้เพียงแต่สายน้ำมืดมิด ข้า..ไม่เคยมีตัวตน จนกระทั่ง..มีเด็กสาวมนุษย์คนหนึ่งถูกโยนลงมาใต้ก้นแม่น้ำ
ตอนนั้น ข้าเพียงนึกสนุกว่ามีคนถูกโยนลงมาอีกแล้ว อยากไปมองดูสักครู่เท่านั้น แต่..เมื่อข้าเห็นเจ้า ในใจข้าคล้ายรู้จักเจ้ามานาน จู่ๆ ข้าก็อยากเรียกชื่อเจ้า
ยามนั้นเจ้ากำลังทรมานเพราะหายใจไม่ออก ข้าจึงเรียกชื่อเจ้าออกไป ไม่นึกว่าเจ้าจะได้ยินและตอบข้า ขอร้องให้ข้าช่วย ข้าจึงใช้พลังกายทั้งหมดที่รวบรวมมาหลายร้อยปีขึ้นไปนำอากาศด้านบนมาส่งให้เจ้า..ทางปาก”
โม่เหนียงได้แต่ขมวดคิ้วฟังเรื่องที่เขาเล่า นางคล้ายจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่ตัวเองถูกโยนลงแม่น้ำ แต่พอเขาพูดนางก็รู้สึกราวกับเห็นภาพที่เกิดขึ้นวันนั้น นางได้ยินเสียงทุ้มและไพเราะมากเรียกชื่อของนางจริงๆ
“ฟังดูแล้ว คล้ายคนโง่งมใช่หรือไม่” เขามองหน้าภรรยาแล้วถามยิ้มๆ
“...” โม่เหนียงไม่รู้จะตอบอย่างไรได้แต่มองเขาด้วยตาแดงก่ำ
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงทำเช่นนั้น ยามนั้นข้าดีใจมากที่ในที่สุดก็มีบางอย่างได้ยินข้า รับรู้ถึงการมีอยู่ของข้า ข้าไม่ได้เข้าใจผิดว่าตัวตนของข้าเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ข้าจึงไม่อาจเสียเจ้าไป
ข้ามอบอากาศให้เจ้าทางปาก แต่กลับกลายเป็นพันธะผูกพันที่มัดปิศาจไว้กับเจ้านาย เพราะเจ้าดันตกใจจนเผลอกัดข้า และยัง..กลืนเลือดของข้าลงท้องไปอีก ข้าจึงตกเป็นทาสของเจ้าอย่างช่วยไม่ได้”
“ข้า..ข้า..” ข้าขอโทษ หญิงสาวอยากพูดเช่นนั้น แต่พูดอะไรไม่ออก
“ไม่เป็นไร ข้าออกจะดีใจที่ได้เป็นทาสของเจ้า เพียงแต่ ข้าใช้พลังทั้งหมดเพื่อช่วยเจ้า ดังนั้น กว่าจะรวบรวมพลังปราณจนสามารถออกตามหาเจ้าได้จึงใช้เวลาไปหลายปี เจ้าอย่าถือสาความอ่อนแอของข้าได้หรือไม่”
“ข้า..เจ้าใช้เวลาหลายปีเลยหรือ ขอโทษด้วย เพราะข้าไม่ดีเอง” โม่เหนียงพูดขอโทษได้ในที่สุด
“ไม่ใช่ความผิดเจ้า เมื่อก่อนกว่าจะรวบรวมพลังปราณได้ ข้าใช้เวลาเป็นร้อยๆ ปี แต่เพราะจุมพิต..เอ่อ เพราะได้รับลมปราณจากปากของเจ้า จึงทำให้ข้ามีเรี่ยวแรงรวบรวมพลังปราณได้อย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่ปีก็สามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว
ข้าจึงมาดูแลเจ้า หาอาหารให้เจ้า ให้ความอบอุ่นยามอากาศเย็น ดูแลทำความสะอาดบ้านให้เจ้า ทำสิ่งที่พวกปิศาจทาสทำกัน เพียงแต่ข้ายังไม่อาจมีรูปร่างแน่ชัด จึงทำให้เจ้าเดือดร้อนบ่อยๆ” เขาอธิบาย
ในหัวของโม่เหนียงนึกถึงยามที่ห้องครัว บริเวณบ้าน ห้องนอนและเสื้อผ้ามักจะเปียกอย่างไร้สาเหตุบ่อยๆ วันนี้นางเพิ่งเข้าใจว่าตัวเองมีปิศาจทาสตนหนึ่งกำลังช่วยนางทำงาน แต่กลับกลายเป็นสร้างภาระให้มากกว่า
“ดังนั้น เจ้าจึงแอบขโมยจุมพิตข้า เพื่อเพิ่มพลังหรือ” นางถามถึงครั้งแรกที่เขาจูบนางใต้น้ำตก
“ไม่ใช่นะ วันนั้น ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้ารู้สึกว่าเจ้าตัวเย็นไปหมด ข้าเป็นห่วงว่าเจ้าอาจไม่สบาย ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นมนุษย์ร่างกายอ่อนแอ ข้าเพียงอยากเพิ่มความอบอุ่นให้เจ้าเท่านั้น นึกไม่ถึงว่า..เจ้าจะ..จะ..งดงามและเย้ายวนจนข้าอดทนไม่ไหว ข้าเพียงอยากสัมผัสเล็กน้อยเท่านั้น ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่รู้ว่าข้าอยู่ตรงนั้น แต่..ข้ากลับ..ห้ามใจไม่อยู่ ขอโทษด้วย” เขาพูดอย่างรู้สึกผิด
“เจ้า..ปิศาจเจ้าเล่ห์” โม่เหนียงดุสามี“ได้ ข้าไม่ดีเอง”“เจ้ายังหลบหน้าข้าด้วย” โม่เหนียงเตือนความจำเขา“ก็..จุมพิตวันนั้นทำให้ข้าสามารถเสกน้ำรวมเป็นรูปร่างได้ ทำให้ข้าคิดแต่อยากจะสัมผัสเจ้า ข้าจึงไม่กล้าเข้าใกล้”“ไม่กล้าเข้าใกล้อะไรกัน เจ้า..กัดข้าและข้ารู้ว่าเจ้าต้องทำบางอย่าง ทำให้ข้า..ทำให้ข้า..อยาก...อยากทำเรื่องน่าอายจนไร้สติ” โม่เหนียงนึกถึงความทรมานวันนั้นแล้วรู้สึกอับอาย นางรู้ว่านั่นไม่ใช่ความต้องการทั้งหมดของนางแน่“ก็เจ้าจะทิ้งข้า ข้าจึง..จึง..ข้ายอมให้เจ้าทิ้งข้าไปอยู่กับมนุษย์ทหารผู้นั้นไม่ได้ ข้าไม่ชอบ ข้าไม่ยินยอม ข้า..” เขาหน้างอ ทั้งน้อยใจและเสียใจ“ข้าไม่ได้ต้องการไปกับเขา เจ้าทำอะไรข้ากันแน่” นางคาดคั้นเขารีบกอดภรรยาเข้ามาในอก หวาดกลัวว่านางจะทิ้งเขาหากนางรู้ว่าเขาใช้เล่ห์เหลี่ยมกับนาง โม่เอ๋อร์ของเขาอาจเข้าใจเขาผิด คิดเอาเองว่าเขาทำไปเพราะต้องการสูบพลังจากนาง“ข้าไม่ได้ทำเพราะอยากสูบพลังของเจ้า ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่เคยรู้ว่าทำเช่นนั้นได้ด้วย ข้าเพียงปล่อยกลิ่นหอมเพราะอยากให้ปิศาจตนอื่นๆ รู้ว่าเจ้ามีข้าแล้ว แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลให้เจ้า..เมามาย..หลั่งความหอมหวานออ
บุรุษในร่างงดงามกำลังพรมจูบไปทั่วเนินอก ก่อนจะแลบลิ้นชิมยอดถัน เพียงปลายลิ้นชุ่มฉ่ำอบอุ่นหมุนวนรอบยอดดอกชมพู โม่เหนียงก็สั่นไปทั้งร่าง เขาอ้าปากครอบครองยอดถันไว้และดูดดุนยอดอกเล่นราวกับตรงนั้นเป็นตาน้ำพุบริสุทธิ์ที่อาจมีน้ำหวานให้เขาดื่มคลายกระหายเสียดายที่ยอดชมพูของโม่เหนียงไม่ได้เป็นน้ำพุบริสุทธิ์อย่างที่หนิงเหอต้องการ ต่อให้เขาดูดดุนลิ้มเลียเท่าไหร่ก็ไม่มีอะไรออกมาให้เขาดื่ม แต่สิ่งที่เขากำลังทำส่งผลให้หญิงสาวสั่นสะท้านไปทั่วร่างหลินโม่เหนียงยกสองมือมาจับหัวของสามีไว้ และขยุ้มผมสลวยของเขาอย่างไม่อาจควบคุม เมื่อยอดถันข้างหนึ่งถูกเขาล้อเล่นจนอ่อนไหวเกินจะทน แต่อีกข้างกลับว่างเปล่า นางจึงบังคับให้เขาหันไปกลืนกินยอดถันอีกข้างแทน เผื่อว่าความสุขสมที่เกิดตรงยอดอกจะได้ทั่วถึงทั้งสองข้างเขายินดีทำตามที่ภรรยาต้องการ เปลี่ยนมาลิ้มเลียยอดถันอีกข้าง และใช้มือสองข้างสำรวจไปทั่วร่างเนียนนุ่ม เขาลูบไล้ไปตามไหล่มน แผ่นหลัง เอวคอดและไล่ต่ำลงไปด้านล่างหนิงเหอค้นพบว่าที่แท้ทรวงอกนุ่มมือนุ่มลิ้นนั้นไม่มีตาน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ แต่ด้านล่างเลยจุดตันเถียนลงไป ภรรยาของเขากำลังปล่อยน้ำพุหอมหวานอยู่จนเปียกแ
เพียงแต่การพูดมากมายของเขาครั้งนี้ โม่เหนียงรู้สึกอยากฟังมาก นางก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับเขา คล้ายว่าการสัมผัสร่วมเตียงเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่นางต้องการมานานมากแล้วเช่นกันหนิงเหอพรมจูบนางไปทั่วอยู่สักครู่ จากนั้นก็หยุดและจับนางให้แยกขาเช่นเมื่อครู่อีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้แลบลิ้นยาวออกมา แต่กดจูบปิดปากนางไว้ จากนั้นก็ดุนดันแท่งเนื้อขนาดเท่าหัวแม่มือเข้าไปในร่างของหญิงสาวโม่เหนียงที่ถูกลิ้นยาวของเขากระทำลึกล้ำมาแล้ว ทั้งลูกท้อของนางก็ยังคงเปียกชุ่มจากความกระสันเมื่อครู่อยู่ การที่เขาสอดใส่แท่งหยกเท่านิ้วมือเข้าสู่ร่าง นางจึงไม่รู้สึกอะไรปิศาจหนุ่มเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าขนาดเท่านั้นไม่อาจสร้างความรู้สึกอะไรให้ภรรยาพึงพอใจได้ เขาจึงเสกให้ขนาดแท่งหยกสวรรค์ขยายใหญ่ขึ้น“เท่านี้พอหรือไม่” เขาเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “ใหญ่อีก” โม่เหนียงที่ถูกเขาปล่อยกลิ่นให้มอมเมา ยามนี้นางรับรู้เพียงแรงขับทางกามารมณ์ ความอับอายถูกเขากลืนกินจนหายไปหมดแล้ว นางพูดและขอเรื่องน่าอายได้โดยไม่รู้สึกติดขัด“พอหรือยัง” เขาขยายและถามอีก“ยัง” นางเอ่ยตอบเสียงแหบพร่า“เท่านี้เล่า”“อีกนิด”“เช่นนี้พอหรือไม่” เขาถามพร้อมกับขย
ปิศาจหนุ่มรู้เพียงว่าเขาชอบที่ได้กลืนกินและเสพความสุขสมของภรรยา แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองก็สุขสมเช่นเดียวกันได้ด้วย อาจเพราะก่อนหน้านี้เขาทำทุกอย่างเพื่อหญิงคนรัก จึงไม่ได้ใส่ใจความกำหนัดของตนเอง ยามนี้เมื่อรู้สึกถึงคลื่นความกระสันที่กำลังโหมกระหน่ำจากการกระแทกกระทั้นใส่ร่องรักชมพู เขาทั้งตกใจและยินดี ยิ่งขยับแรงขึ้น “เร็วอีก อา อ๊ะ อะ..อา แรงๆ” หลินโม่เหนียงส่งเสียงสั่นเครือสั่งสามีหนิงเหอที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองก็มีความกำหนัดรุนแรงรออยู่ในท้อง มันเกิดจากการที่เขาได้กระแทกอย่างรุนแรงใส่โม่เอ๋อร์ แต่เขายังคงมีสติห่วงว่าด้วยแรงกายปิศาจของเขาอาจทำให้ภรรยาร่างแหลกสลาย เขาจึงตัดสินใจปลดปล่อยร่างมนุษย์กลับสู่ร่างเดิมโม่เหนียงที่กอดสามีไว้แน่น ปากก็ร้องขอให้สามีกระแทกกระทั้นให้แรงขึ้น นางที่ทำเพียงรอรับความสุขสมอยู่นั้น ช่วงขณะหนึ่งกลับรู้สึกว่าไหล่กว้างที่กอดอยู่กลายเป็นสายน้ำ แต่เป็นสายน้ำที่มีตัวตนและนางกอดสัมผัสได้ หญิงสาวจึงลืมตาดูว่าเกิดอะไรขึ้นโม่เหนียงเห็นร่างของตัวเองถูกสายน้ำรัดทั่วตัวพาลอยขึ้นอยู่กลางห้องนอน ในขณะที่สามีของนางมีเพียงใบหน้าที่ยื่นมาจูบนาง ส่วนร่างของเขากลายเป
โม่เหนียงตามพวกเขาลงไปยังแม่น้ำเหลือง พวกเขาต้องดื่มน้ำแกงยายเมิ่งลืมอดีต ถูกตัดสินโทษที่หลบหนีกฎการเกิดตายมาหลายพันปีปิศาจตนหนึ่งต้องไปเกิดเป็นไอมารไร้ตัวตนใต้แม่น้ำ ทุกข์ทรมานกับความโดดเดี่ยวสองร้อยปีปิศาจอีกตนต้องเวียนว่ายตายเกิดในโลกมนุษย์ ชดใช้ชีวิตที่ขโมยมาจากท่านยมทูตสองร้อยกว่าชาติ ต้องทุกข์ทรมานจากการไม่ถูกรัก“เมื่อครบสองร้อยปี พวกเจ้าจึงจะได้พบกัน ข้าเห็นใจในความรักและความพยายามหล่อเลี้ยงเนยตันของอีกฝ่ายหลายพันปี จะให้โอกาสพวกเจ้าได้บำเพ็ญเพียรร่วมกัน จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของพวกเจ้าแล้ว” ท่านยมทูตกล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะส่งพวกเขาลงไปเกิดใหม่โม่เหนียงเห็นชีวิตของปิศาจสองตนแล้วรู้สึกคล้ายจะอาเจียน นางพยายามยืนให้ตรง ไม่ยอมล้มลง แต่สุดท้ายนางก็ล้มลงและตื่นขึ้นในอ้อมกอดของสามี พวกเขานอนกอดกันบนเตียงที่เปียกชุ่ม“โม่เอ๋อร์..เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หนิงเหอเอ่ยถาม เขาเองก็คล้ายว่าเพิ่งลืมตาตื่นก่อนนางไม่กี่อึดใจ“ข้าก็รักเจ้า อยากอยู่กับเจ้า” คำที่นางเอ่ย โม่เหนียงไม่ได้ตอบคำถามว่าอาการของนางเป็นอย่างไร แต่นางกำลังตอบรับรักของปิศาจอายุมากตนนั้น น้ำตาและความเจ็บปวดของเขายังคงช
เป็นเรื่องสั้นไม่เกินหมื่นคำค่ะ เกี่ยวกับความรักของคนสองสามคน ที่ต่างฝ่ายต่างได้แต่เฝ้าฝันถึง ระหว่าง นางเอก ฮ่องเต้ กับชายหนุ่มที่อาศัยอยู่บนหอเรือนไผ่มีเพื่อนแนะนำให้ติดแท็ก warning ค่ะ เพราะมีฉากความรุนแรง อาชญากรรม เลยมาแก้ไขเพิ่มเติม ใครหลงมาเจอ เรื่องนี้ดราม่านะคะ (ดราม่าหนักมากด้วยสำหรับไรท์) ใครไม่ใช่สายแข็งข้ามได้นะคะ หมิงอัน สาวน้อยอายุสิบแปดผู้ที่ไม่เคยแม้แต่จะจับมือชายหนุ่มอื่น แม้นางจะอยากสัมผัสเขามาเนิ่นนาน แต่พอถูกเขาสัมผัสอย่างเร่าร้อนเช่นนี้ นางได้แต่ตัวสั่นเทานอนรับความสุขสม อ้าปากให้เขากลืนกินได้เท่าที่เขาอยากกิน นางรักเขา ไม่ว่าเขาสัมผัสตรงไหน นางก็ร้อนรุ่มทั้งนั้น ขอเพียงเป็นเขา นางย่อมมีความสุข****เยว่สือแม้สีหน้าจะนิ่งเฉย แต่แววตาเป็นประกาย เขาค่อยๆนั่งลง นั่งหันหลังปล่อยให้นางหาผ้าแห้งมาเช็ดผมของเขา ในความฝันของเขา ในอีกชีวิตหนึ่ง หรือภพอื่น เขาเฝ้าฝันว่าเขาไม่ต้องเป็นตัวประหลาด ไม่ถูกย่ำยี เขาได้เรียนวิชาดาบตัดวายุของสำนักตวนอู่ เขาได้แต่งงานกับอันอันผู้เป็นที่รักของเขา ได้ใช้ชีวิตปกติ ยามค่ำคืนหลังมื้ออาหาร หลังจากอาบน้ำ นางจะเช็ดผมให้เขาเช่นนี้ และเอ่
“ข้ารักเจ้า” เสียงของหญิงสาวผู้ที่ปกติน่ารักอ่อนหวานและขี้อายอยู่เสมอ พูดบอกรักอย่างไม่อายปาก นางโยนทิ้งสิ้นทั้งสามคุณธรรมสี่คล้อยตาม ครั้งนี้นางตัดสินใจเด็ดขาด จะไม่ยอมปล่อยเขาไป“ข้าจะอยู่กับเจ้า ตายพร้อมเจ้า” หมิงอันประกาศกร้าวต่อหน้าเขาคุณชายเยว่สือ มองตอบหญิงสาวตรงหน้าด้วยใบหน้าเงียบขรึม ก่อนจะถอนหายใจและหันหลังเดินต่อไป ไม่สนใจสิ่งที่หมิงอันพึ่งจะใช้ความกล้าทั้งหมดพูด“เจ้าห้ามเดินหนีนะ! ข้าเอาจริงนะ!” หมิงอันพูด ที่จริงแล้ว นางอยากไล่ตามจับมือเขาให้เขาหยุดเดิน แต่นางไหนเลยจะกล้าแตะต้องตัวเขา ได้แต่ใช้สองเท้าเดินให้เร็วขึ้นเพื่อไปขวางทางเดินเขาเอาไว้ น่าเสียดายที่เขาทั้งขายาวทั้งเดินเร็ว ต่อให้นางวิ่งแล้วก็ยังตามไม่ทันฝีเท้าของเขา หมิงอันไล่ตามเท่าไหร่ก็ยังตามไม่ทัน จึงตะโกนออกไปสุดเสียง“เจ้าหยุดนะ!” คุณชายเยว่สือหยุดชะงัก ไม่กล้าก้าวเดิน บางอย่างบีบรัดในอกของเขา ได้ยินเสียงฝีเท้าของหญิงสาวเดินเร็วๆตามมา นางใกล้เข้ามาแล้ว.. เขากำหมัดแน่น วิ่งทะยาน เหินขึ้นไปบนยอดไผ่ แตะปลายเท้าเบาๆและบินหนีไปหมิงอัน ยืนมองเขาหนีไปด้วยความโกรธจัด นางไม่ยอมรับ พื้นที่แถวนี้ นางวิ่งไปมาเป็นร้
เห็นท่าทางที่นางพยายามเก็บความเจ็บปวดแล้ว เขารู้สึกสงสารก็สงสาร แต่โกรธก็ยังคงโกรธ จึงแกล้งบีบมือแรงขึ้นอีกเล็กน้อย ให้นางรู้สึกเจ็บเสียบ้าง ต่อไปจะได้จำได้ว่าถ้าปีนขึ้นมาก็ต้องได้แผลเช่นนี้ และเจ็บเช่นนี้ ถึงแม้ในใจลึกๆ ของเขาจะรู้ดีว่านางไม่มีทางหลาบจำ ก็ในเมื่อนางทำเช่นนี้หลายครั้งแล้ว ทุกครั้งก็ต้องมีแผล ทุกครั้งจะถูกเขาดุด่าเสมอ แต่นางก็ยังทำ และเขาก็ต้องมานั่งกลัวทุกครั้งว่านางอาจพลัดตกลงไปจริงๆ สักวัน“อีกข้าง” เขาบอกหมิงอันยื่นมืออีกข้างให้ แต่ไม่กล้าหันมามองอกเปลือยของเขา จึงพยายามหันหลบ หลับตาแน่น เยว่สือเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ แกล้งดึงแขนนางแรงๆ ให้นางหันมาทางเขาจะได้ใส่ยาได้สะดวก แต่นางกลับทรงตัวไม่อยู่ ถลาเข้าอ้อมสู่อกของเขา นางตกใจลืมตา ใช้สองมือยันหน้าอกเขาไว้!!ไม่ใช่แค่ได้เห็น แต่ยังได้จับสัมผัส! หัวใจของหมิงอันแทบจะหยุดเต้น หน้าแดงยิ่งกว่าผลท้อ มือข้างหนึ่งพันแผลแล้วจึงไม่เป็นอะไรมาก แต่อีกข้างเจ็บแสบจากการสัมผัส หมิงอันจึงรีบยกมือถอยออกมาเล็กน้อย“ข้า...ข้า..ไม่ใช่ข้านะ ..ข้าไม่ได้ตั้งใจ” นางพูดเสียงตะกุกตะกัก แต่สายตายังคงแอบชำเลืองอกเปลือยของเขา เห็นว่ามีคราบเลือดจา
เสี่ยวอวี้ เสี่ยวหยาง เสี่ยวชิง และเสี่ยวหลันโผเข้ากอดนางแน่น ดวงตาเปียกชุ่มด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ หลังจากที่ต้องทนทุกข์ใจกับข่าวร้ายที่ท่านน้ากระซิบบอกว่าอาจไม่ได้พบมารดาอีกหลายวัน หรือตลอดไป ไป๋อวิ๋นเหยาใช้เวลาปลอบโยนลูกๆ ที่ยังไม่คลายจากความหวาดหวั่น เสียงหัวเราะและรอยยิ้มกลับมาเติมเต็มจวนไป๋อีกครั้ง แต่ลึกลงไปในใจของนาง ความกังวลยังคงรุกล้ำเงียบงัน วันแล้ววันเล่า นางเฝ้ารอการกลับมาของสามีผู้เป็นที่รัก แต่มีเพียงสายลมหนาวยามค่ำคืนเท่านั้นที่ตอบกลับมา องค์หญิงหว่านหนิงถูกประกาศว่าถูกไฟไหม้เสียชีวิต เพราะเมามายเกินไประหว่างคืนเทศกาลโคมไฟ และจวนไป๋ก็ได้รับเงินมากมายจากราชสำนักเพื่อบำรุงซ่อมแซมจวน แต่ไร้เงาของเฉินซูเหยา เวลาล่วงผ่านไปนานนับเดือน แต่สามีของไป๋อวิ๋นเหยาก็ยังไม่กลับมา นางเฝ้ารอด้วยความทุกข์ใจจนแทบทนไม่ไหว ความเงียบงันที่ไม่มีแม้เงาของเขาทำให้นางตัดสินใจลงมือเอง แม้จะเป็นเพียงบุตรีของอดีตบัณฑิต แต่ด้วยแรงแห่งความรักและความหวัง นางจึงพยายามหาหนทางติดต่อองค์รัชทายาท ทุกก้าวของนางเต็มไปด้วยอุปสรรค สายตาดูแคลน และเสียงกระซิบวิจารณ์ แต่ไป๋อวิ๋นเหยาก็ไม่ยอมแพ้ กระทั่งวัน
ความรู้สึกผิดท่วมท้น นางเงยหน้ามองชายผู้เคยเป็นดั่งเงาในชีวิตด้วยน้ำตาที่รินไหล เขาต้องการให้นางเจ็บปวดเพื่อนางจะได้หันหน้าหนี เพื่อนางจะได้ปลอดภัย และนางก็เป็นเช่นนั้น เกลียดเขาจนวันสุดท้ายของชีวิต แม้เขาจะรอนางอย่างเดียวดายที่สะพานไน่เหอ หลายปี แต่นางก็ยังเกลียดเขา “ข้า..ข้ามันเห็นแก่ตัวนัก” เสียงแหบพร่าของไป๋อวิ๋นเหยาสั่นเทา นางสะอื้นน้ำตารื้น “..เหตุใดจึงเป็นเหยาเหยาเห็นแก่ตัวเล่า..ข้าต่างหากที่เห็นแก่ตัว ข้าต่างหากที่ทำให้เจ้าเจ็บปวด ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน” เขากอดรัดภรรยาไว้จนแน่น “เจ้าคิดจะตายลำพัง!” นางก่นด่า หากเมื่อคืนนี้นางไม่เข้าไปในเรือนหลัง เขาก็คงจะตายลำพังอีกแล้ว “ข้าเตรียมทางหนีไว้แล้ว เจ้าไม่เห็นหรือ ทางที่ข้าพาเจ้าหนีมาอย่างไรเล่า” เขาลูบหัวของภรรยาเบาๆ “แต่หากข้าไม่เข้าไป เจ้าก็จะรอจนแม่ทัพหนุ่มที่เผาภูเขาลูกนั้นเข้ามาในจวน แล้วเจ้าค่อยเผาใช่หรือไม่!!” นางเข้าใจความตั้งใจของเขาดี เขาคงคิดจะเสียสละชีวิตเพื่อลากทุกคนไปกับเขา “..เหยาเหยาไม่ต้องกังวล ข้าจะหาทาง” “แล้วเราจะทำเช่นไรต่อไปดี ข้า..ข้าทำให้เจ้า..ข้าทำแผนของเจ้าพัง” “เหยาเหยาไม่ต้องกังวล” เขาเพียงพูดพร
เฉินซูเหยากอดร่างของภรรยาไว้ในอ้อมแขน ร่างของนางที่ยังอ่อนแรงพิงเขาอย่างตกตะลึงในความจริง นางเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม“เจ้ากล้าโกหกข้าหรือ” ไป๋อวิ๋นเหยาท้วงติงไม่พอใจ เขาหัวเราะขบขัน ไม่เห็นการข่มขู่ของภรรยาอยู่ในสายตา เขาเพียงเริ่มเล่าถึงความหลังที่เกิดขึ้นต่อไปพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น มองภรรยาด้วยความรักใคร่ ไป๋เหวินหยาง เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการศึกสงคราม แต่ก็เป็นบัณฑิตมากความสามารถ มีสายตาที่มองทะลุความสามารถของคน แม้จะรู้ว่าเฉินซูเหยาเป็นบุตรนอกสมรสของแม่ทัพหยวนกวน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังยื่นมือมาช่วยเหลือเฉินซูเหยาไว้ ช่วยปกปิดภูมิหลังของเขา ซ่อนเขาจากศัตรูของแม่ทัพ สั่งสอนเขาราวกับศิษย์คนหนึ่ง หลังจากเด็กหนุ่มสอบได้เป็นจอหงวน ชีวิตของเขาก็เริ่มรู้สึกสงบสุข ได้แต่งงาน เขาไม่เคยคิดแก้แค้นให้บิดาเลยแม้แต่น้อย เพราะกำลังของเขาไม่มากพอ และที่สำคัญ เขาแต่งงานกับหญิงสาวตรงหน้าแล้ว เขาไม่อยากให้ภัยอันตรายใดๆ มาถึงจวนไป๋ หรือครอบครัวของนาง เขาจึงเลือกที่จะวางอดีตลง หรืออย่างน้อยก็พยายามวาง แต่ในใต้หล้านี้ ความตั้งใจหรือจะสู้ฟ้าลิขิต หลังจากเฉินซูเหยาได้ร
“อ้า..เหยาเหยา..” เขาครางแหบพร่าไป๋อวิ๋นเหยาแทบอยากจะกรีดร้อง เพราะรู้สึกว่าความร้อนแท่งใหญ่ที่ค่อยๆ ซึมเข้ามา เหมือนเปลวเพลิงกำลังกัดกิน ทุกอณูของร่างเริ่มร้อนจนเหมือนจะระเบิด ความกำหนัดที่เขาเพาะบ่มตลอดการย่างกำลังทวีขึ้น ความรู้สึกถูกเผาผลาญนั้นเหมือนจี้ถูกจุดร่างกายของไป๋อวิ๋นเหยาสั่นระริกโดยไม่อาจควบคุม พวยพุ่งความสุขสมออกมาจนท่วมรอบเอวสามี เขาไม่ได้รังเกียจ อีกทั้งยังกอดนางแน่นยิ่งขึ้น งัดเอวขึ้นเพื่อกดแท่งหยกซ้ำๆ บนจุดแสนหวานในร่องรักของภรรยา “เหยาเหยากล้าพวยพุ่งน้ำพุใส่ข้าแล้วหรือ” เขาล้อเลียน ยิ้ม บางเบาพึงพอใจ ระหว่างที่ยังคงบดสะโพกต่อไป ไป๋อวิ๋นเหยาใบหน้าแดงก่ำอยากร้องไห้ นางสั่นระริกสุขสมไปทั่วร่าง เขายังกล้าล้อเล่นเช่นนี้อีก เมื่อก่อนเขาชอบขอจะดูนางปลดเบา อย่างไรนางก็ไม่ให้ เขาจึงได้แต่ทำใจ วันนี้นางพวยพุ่งใส่เขาเช่นนี้ ไม่ใช่นางกล้าหาญหรือจงใจ แต่เพราะนางควบคุมไม่ได้จริงๆ และนางกล้าสาบานว่านี่ไม่ใช่การปลดเบาเขาต่างหากที่ทำให้นางควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นนี้!“ชู่ว..ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือ เหยาเหยาเย้ายวนยิ่ง” เขาชื่นชม ก้มลงจูบซับน้ำที่เอ่อล้นขอบตาของภรรยา ลิ้มเลียน้ำตาของ
มือของเขาเคลื่อนไปจับมือของนางที่อ่อนปวกเปียกเพราะพิษกำยาน และเริ่มนวดเบาๆ ที่ปลายนิ้ว ไล่ไปจนถึงฝ่ามืออย่างทะนุถนอม แม้มือของเขาเองจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่มันกลับไม่หยุดความพยายามของเขาแม้แต่น้อย ราวกับจะทำทุกวิถีทางให้นางรู้สึกร้อนรุ่มขึ้น นางได้แต่มองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอึดอัดปนความสับสน แม้จะอยากปฏิเสธ แต่ความรู้สึกอ่อนโยนที่เขามอบให้ กลับทำให้นางไม่อาจห้ามหัวใจของตัวเองไม่ให้เต้นระรัว เด็กสารเลวนี่ วางแผนจะรวบนางนานแล้วหรือ! นางคิดว่าท่านพ่อบังคับเขาให้แต่งเสียอีก ที่แท้เขาก็ไม่ได้ใสซื่อมือของเฉินซูเหยาค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมาที่ปลายเท้าของนางเขาเริ่มนวดที่ฝ่าเท้า ไล่ขึ้นไปจนถึงข้อเท้าอย่างแผ่วเบา สัมผัสของเขาช่างอ่อนโยนและตั้งใจ เหมือนพยายามจะบรรเทาความชาและขับพิษให้นางให้ได้มากที่สุด แต่สายตาหื่นกระหายกลับพูดสิ่งอื่น “เลือดลมของเจ้าจะต้องรีบขับออก” เขาพูดเบาๆ พลางจ้องมองใบหน้าของนางที่เริ่มแดงจนคล้ำ แม้ในใจไป๋อวิ๋นเหยาจะยังคงประท้วงอยู่ แต่ร่างกายกลับยอมรับสัมผัสของเขาอย่างเต็มใจ นางหลับตาลงเล็กน้อย ปล่อยให้ความร้อนรุ่มจากพิษสมุนไพรและสัมผัสของเขาไหลเวียนไปทั่วร่าง ท่ามกล
“...” ไป๋อวิ๋นเหยาส่งสายตาขุ่นเคืองไปยังเขา แต่กลับทำให้เขายิ่งหัวเราะชอบใจ “ดื่มเถิด ข้าจะช่วยพยุงเจ้าเอง” เขาประคองนางขึ้นอย่างระมัดระวัง แม้บาดแผลของเขาจะส่งผลให้ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไป ด้วยความเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่แสดงอาการใดๆ เพียงใช้แขนที่มั่นคงรองรับร่างของนางไว้ริมฝีปากของนางสัมผัสกับของเหลวสีเขียวเข้ม กลิ่นของมันไม่ชวนดื่มเอาเสียเลย ทว่าด้วยแรงผลักดันจากแววตาที่มุ่งมั่นน่ารัdของเขา ไป๋อวิ๋นเหยาจึงกล้ำกลืนมันลงคอไปอย่างยากลำบากเมื่อนางยอมดื่มจนหมด เฉินซูเหยาก็โยนถ้วยใบไม้ทิ้ง จากนั้นก็ก้มลงไปจุมพิตนาง เรียวลิ้นกวาดสัมผัสยาสมุนไพรขมๆ ในปากอิ่มของภรรยาอย่างหิวโหย ไป๋อวิ๋นเหยาเบิกตาโพลง ตกใจราวสาวน้อยที่เพิ่งเคยจุมพิตนางรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปพบกับเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดที่ขโมยจุมพิตแรกของนาง ราวเด็กหนุ่มเอาแต่ใจผู้นั้นยังคงอยู่ไม่หายไปไหน “เจ้ายังขยับไม่ได้ แต่เลือดเริ่มไหลเวียนดีขึ้นแล้ว อีกไม่นานเจ้าจะหาย” เขากระซิบบนริมฝีปากของภรรยา เหมือนปลอบเด็กน้อย เขาชอบทำเช่นนี้เสมอ ป้อนยานางและตามด้วยจุมพิตขมปนหวาน เขาทำเช่นนี้ทุกครั้งที่นางป่วย เอาใจใส่นางและกลั่นแกล้งนาง ร่างแน่นิ่งซึ่
เปลวไฟเริ่มลุกลามไปตามต้นไม้แห้งบนเขาอย่างรวดเร็ว ควันดำพวยพุ่งขึ้นปกคลุมท้องฟ้า ความร้อนระอุค่อยๆ แผ่ขยายออกไปขณะที่เสียงสัตว์ป่ากรีดร้องดังขึ้นทั่วภูเขา สัตว์ต่างๆ วิ่งพล่านออกจากป่าด้วยความตื่นตระหนก บ้างสะดุดล้ม บ้างถูกไฟคลอกจนสิ้นใจ พวกมันพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่ไม่มีตัวไหนหลุดรอดจากเงื้อมมือเปลวเพลิง ในขณะที่ไฟกำลังโหมกระหน่ำบนเขา เฉินซูเหยาและไป๋อวิ๋นเหยาหยุดอยู่ปลายแม่น้ำที่ทอดตัวไกลจากเขาลูกนั้น ใบหน้าของชายหนุ่มซีดเซียว แต่แววตายังคงมุ่งมั่น เขามองยอดเขาที่กลายเป็นเปลวเพลิงสีแดงฉาน ลุกไหม้ราวกับต้องการกลืนกินทุกสิ่ง“พวกมันไม่ยอมปล่อยเรา” เขาพึมพำ ขณะสายตายังจับจ้องภาพโหดร้ายตรงหน้า ไป๋อวิ๋นเหยาเงียบงัน ยืนนิ่งอยู่ข้างเขา น้ำใสเย็นจากแม่น้ำไหลเชี่ยวอยู่รอบข้อเท้าทั้งสอง แต่กลับไม่อาจดับความร้อนแรงจากเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ภูเขาอยู่เบื้องหน้าได้ สองเท้าของนางหนาวเย็นจนเริ่มไร้ความรู้สึก สองมือของนางเริ่มเป็นเหน็บชา เฉินซูเหยาไม่ได้เอ่ยคำใดอีก เขาเพียงจับมือภรรยาแน่น และพาก้าวเดินต่อไป มุ่งหน้าสู่ที่ปลอดภัย โดยปล่อยให้ภูเขาที่ลุกโชนคงอยู่เป็นสัญลักษณ์แห่งความอำมหิตของศัตรูที
“อย่าขยับ อยู่ตรงนั้น!” เสียงของเขาเด็ดขาดราวกับคำสั่ง แต่กลับเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ปกปิดไม่มิด เฉินซูเหยาก้าวเข้า ประจันหน้ากับคนชุดดำที่เหลือ ท่าทางของเขาแม้จะดูอ่อนล้าลง เพราะบาดแผล แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นไม่ลดละ เขาจะไม่มี วันยอมให้ผู้ใดแตะต้องไป๋อวิ๋นเหยาได้เฉินซูเหยาตวัดดาบด้วยความแม่นยำ ร่างของคนชุดดำทั้งสองล้มลงในกระบวนท่าเดียว เลือดสาดกระเซ็นเปรอะพื้น แต่ก่อนที่เขาจะได้พักหายใจ เสียงฝีเท้าของนางรำจำนวนมากก็ดังเข้ามาใกล้ เขาขบฟันแน่น สายตาคมกวาดมองไปทางภรรยาที่เขายังต้องปกป้อง เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว สะบัดมือโยนฮว่าเจ๋อจึ[1]ออกไป จุดไฟขึ้นกลางเรือนด้วยมือที่ยังเปื้อนเลือด เปลวไฟลุกโชนกินเนื้อไม้ จนเสียงแตกเปรี๊ยะดังไปทั่ว คล้ายเขาลงน้ำมันไว้แล้วก่อนหน้าเฉินซูเหยาฉวยมือคว้าเอวไป๋อวิ๋นเหยาแน่น แม้ร่างกายเขา จะอ่อนล้าจากบาดแผล แต่ฝีเท้ายังคงเร่งรีบ ลากนางมุ่งไปทางบ่อน้ำ ด้านหลังเรือน ตลอดทางไป๋อวิ๋นเหยาเห็นว่ามีร่างคนล้มตายเกลื่อนกลาด คล้ายการต่อสู้นี้เกิดขึ้นก่อนที่นางจะเข้ามาแล้ว กลิ่นกำยานเจืออยู่ในอากาศ หญิงสาวในชุดรำที่วิ่งตามมา หอบหายใจรุนแรงก่อนจะทรุดลงทีละคน
เมื่อท้องฟ้าสีดำในเมืองหลวงถูกประดับด้วยแสงเรืองรองของโคมไฟ เด็กๆ ต่างส่งเสียงหัวเราะตื่นเต้นรอคอยการเดินทางไปเทศกาล ท่านน้าและสามีของท่านน้าเตรียมรถม้าคันใหญ่สำหรับพาเหล่าลูกหลานออกไปเพลิดเพลิน เหมือนเช่นชาติก่อน ไป๋อวิ๋นเหยามองดูลูกๆ ในชุดใหม่ที่กำลังปีนขึ้นรถม้าอย่างร่าเริง แต่นางกลับอ้างว่าลืมของสำคัญของสตรี และปล่อยให้เด็กๆ ไปเที่ยวกับน้าสาวและน้าชายก่อน นางคิดว่านางจะรีบตามไปหลังจากเตือนสามีและอนุของเขา แล้วค่อยตามไปนอนพักที่บ้านน้องสาวคืนนี้ เหมือนชีวิตในครั้งก่อน เมื่อรถม้าเคลื่อนออกไป ไป๋อวิ๋นเหยามองตามจนสุดสายตา จากนั้นจึงหันหลังกลับ รีบสาวเท้ากลับไปยังจวนไป๋ ความมุ่งมั่นในดวงตาของนางแข็งกร้าวขึ้นทุกย่างก้าว ไป๋อวิ๋นเหยาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เงาของนางทอดยาวไปตามพื้นหินที่เย็นเฉียบ ความเงียบสงบของค่ำคืนคล้ายทำให้นางรู้สึกว่าทุกย่างก้าวของตนหนักอึ้ง หัวใจเต้นระรัวไม่ต่างจากฝีเท้าม้าที่วิ่งลากรถม้าเคลื่อนไปไม่หยุดหย่อน ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อถึงเรือนหลัง นางหยุดหายใจชั่วครู่ก่อนจะก้าวเข้าสู่ความมืดที่ปกคลุมภายใต้เงาไม้ใหญ่ ทุกสิ่งดูเงียบสงัดเกินไป นางมองไปรอบๆ กลับไร้ซึ่งเง