“เจ้าคงไม่เห็นท่านอ๋องหรอก ท่านหัวหน้าหน่วยตงฉาง เพราะวันนี้สายตาทั้งหมดจับจ้องอยู่ที่ฮูหยินคนงามเพียงผู้เดียว” คุณชายหลี่เอ่ยพร้อมกับยักคิ้วล้อเลียนสหาย
“หลิวซีซวนมิใช่ฮูหยินของข้า” ชายหนุ่มเอ่ยปฏิเสธทันที
“นั่น ข้ายังไม่ทันได้บอกเลยว่าเขาคือใคร เจ้าพูดออกมาเองเลยนะว่าคนผู้นั้นคือ
ฮูหยิน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าอยู่กับคนงามมาตั้งนานจะไม่รู้สึกหวั่นไหว รู้ตัวบ้างมั้ยว่าเจ้า หลงเกอแซ่หลิวคนงามในชุดสีแดงร้อนแรงจนไม่ชายตาแลผู้ใดแล้ว” หลี่เฉียงฮุยยังไม่วายวกกลับมาล้อเลียนเซวียนจางหย่งอีกครั้ง
“แต่เดิม เขาผู้นั้นมิใช่คนแซ่หลิว เขาแซ่เหอ”
คุณชายหลี่นิ่งคิดไปพักใหญ่ ก่อนจะเบิกตากว้าง
“แซ่เหอ ชื่อซีซวน หา!!! เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าคนผู้นี้คือเหอซีซวน บุตรเกอของคหบดีเหอชาง เกอผู้มีความงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงหรือ ข้าได้ยินว่าเขาเพิ่งถูกถานตงหยางสูบเลือดสูบเนื้อจนหมดตัว แล้วขับไล่ออกมาเพราะคบชู้ เจ้าอย่าบอกนะว่า เจ้าเป็นชู้คนนั้น”
เซวียนจางหย่งนึกเสียดายที่ตนไม่ได้พกกระบี่ข้างกาย ไม่เช่นนั้นคงได้จ้วงแทงสหายให้หลาบจำเสียที
“ข้าดูเหมือนคนต่ำช้าขนาดนั้นเหรอ”
“แต่ท่านเคยชอบคุณชายเหอ”
“ข้าไม่ได้ชอบ” เซวียนจางหย่งเชิดหน้า ปฏิเสธเสียงแข็ง
“แต่ท่านคือคู่หมายของบุตรคหบดีเหอมิใช่หรือ”
เซวียนจางหย่งถอนหายใจยาว ก่อนจะรีบเอ่ยปัด
“เป็นเพียงเรื่องที่ผู้ใหญ่คุยกัน หาได้จริงจัง หากมิได้มีใจให้กัน ข้าก็ไม่ต้องการตบแต่งด้วยให้วุ่นวาย ข้าต้องการทุ่มเทเวลาให้กับหน่วยตงฉาง มากกว่าจะมาสนใจเรื่องความรักไร้สาระ”
หลี่เฉียงฮุยมองคนที่บอกว่าความรักเป็นเรื่องไร้สาระ แต่คอยเดินตามคนงามไม่ห่าง
สหายผู้นี้ปากแข็งเหลือเกิน
“นั่นก็เพราะความโง่ของเจ้านั่นแหละ วันนั้นคุณชายเหอคนงามตกน้ำก็เป็นเจ้ากระโดดตามลงไปช่วยชีวิต แต่เจ้าผละออกมาเพื่อตามหมอ เจ้าถานตงหยางนั่นก็มาสวมรอยรับบทวีรบุรุษช่วยคนงามไว้อย่างหน้าด้านๆ พวกเขาจึงได้สานสัมพันธ์กัน”
วันนั้นเป็นวันในฤดูใบไม้ผลิ อากาศดี ดอกไม้บานสะพรั่งทั้งสองข้างทาง ทว่ากลับไม่มีดอกไม้ดอกใดชูช่องดงามได้เทียบเคียงกับคุณชายเหอ เหอซีซวนเป็นเกอที่ถูกประคบประหงมดูแลอย่างดี นานๆ ครั้งจึงจะออกมาข้างนอกให้ผู้คนได้ยลความงามที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เจอ วันนั้นเขาออกมาทำภารกิจกับหน่วยตงฉางพอดีจึงได้พบหน้ากับคู่หมายเป็นครั้งแรก
ถามว่างามหรือไม่ ย่อมงามเป็นหนึ่ง ไม่เป็นรองผู้ใด
แต่งามแล้วอย่างไร เขานั้นไม่ได้รู้สึกอะไรกับเหอซีซวนคนนั้น รวมถึงไม่ได้ต้องการออกเรือนแต่งงานกับผู้ใด งานของเขานั้นหาใช่งานธรรมดา งานในหน่วยตงฉางที่ตรวจสอบตั้งแต่ขุนนางไปถึงเชื้อพระวงศ์นั้นอันตรายไม่น้อย หากจะมีใครมาอยู่เคียงข้าง เขาก็อยากได้คนที่เก่งกาจมีความสามารถและสามารถเป็นเพื่อนคู่คิดของเขาได้
รู้ตัวอีกที เขาก็ได้ยินเสียงคนตกน้ำจึงรีบวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุ เขาเห็นคนงามจมน้ำตะกุยตะกายร้องขอความช่วยเหลือจนหมดแรง เขาจึงกระโจนลงไปอุ้มคนตัวบางที่มีฐานะเป็นคู่หมายขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เห็นกายเล็กสวมชุดบางเปียกชื้นแนบเนื้อก็ถอดเสื้อคลุมร่างนั้นไว้ ก่อนจะรีบวิ่งไปตามหมอ
ใครจะคิดว่าเมื่อกลับมาเจ้าคนแซ่ถานจะมาสวมรอยโอบประคองคนงามที่ฟื้นคืนสติแล้วพอดี
เซวียนจางหย่งคิดถึงเรื่องในอดีต ก็ส่ายหน้าไปมา
“ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะรื้อฟื้นสิ่งที่ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ ข้าไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นที่โดนแย่งคู่หมาย แค่รู้สึกสงสารคุณชายเหอเล็กน้อยที่แต่งกับบุรุษปลิงไร้ความจริงใจผู้นั้น”
พวกเขาเงียบกันไปพักใหญ่ ก่อนที่คนของหน่วยตงฉางอย่างเลี่ยงชิว จะเอ่ยขึ้นมา
“หัวหน้า เรื่องที่ท่านสั่ง ข้าจัดการให้เรียบร้อยแล้ว”
เซวียนจางหย่งมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นทันทีเมื่อลูกน้องปฏิบัติการตามที่ได้รับคำสั่ง
“ดียิ่ง ข้าฝากเจ้าไปขอโสมพันปีจากฮ่องเต้แล้ว ท่านว่าอย่างไร”
เลี่ยงชิวและเลี่ยงหรงสบตากันไปมาอย่างเลิ่กลั่ก ก่อนจะตัดสินใจรายงานตามตรง
“เอ่อ ฮ่องเต้ฝากท่านมหาขันทีมาบอกว่า อะแฮ่ม ไอ้เจ้าลูกเต่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากังวลเพียงใด ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้วเสียอีก เจ้ายังไม่ตายแต่ไม่ยอมกลับมาหาข้า กลับส่งคนมาปล้นสมบัติข้า หากอยากได้โสมพันปีก็จงมาเอาด้วยตัวเองที่วัง หรือไม่ก็หาสะใภ้กลับมาให้บิดาเจ้าสักคน”
เช้าวันต่อมา ฮูหยินตระกูลกู้ก็แทบเป็นลมเมื่อเห็นสภาพบุตรชายคนเล็กของตนสิ้นสภาพ เหล่าลูกสมุนที่หามกู้หมิงเฉียวเข้ามาในเรือนสภาพก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ ปกติกู้หมิงเฉียวนั้นเกเรชอบหาเรื่องชาวบ้านอยู่บ่อยครั้ง แต่คนในเมืองเหิงเยว่ก็ไม่เคยลุกขึ้นมาต่อกรกับเขาเลยสักครั้ง เพราะเห็นว่าลุงของเขามีตำแหน่งใหญ่โต กู้หมิงเฉียวคอยอวดเบ่งและรังแกชาวบ้านมาตลอด ทว่าครั้งนี้กลับเขียวช้ำไปทั้งตัว แม้แต่ตาทั้งสองข้างยังบวมเป่ง ปิดไม่สนิท“ลูกแม่ เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าจึงเป็นเช่นนี้” นางกู้หลินเอ่ยถามอย่างร้อนใจหลังจากที่ท่านหมอมาดูอาการของบุตรชาย แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะไม่หนักหนาถึงชีวิต แต่ก็ต้องรักษาตัวอยู่นานกว่าบาดแผลตามตัวจะหายสนิทใครมันกล้าลงมือกับบุตรชายที่รักของเธอกัน“ท่านแม่ ท่านต้องช่วยข้า เป็นคนของโรงเตี๊ยมตระกูลหลิวมันทำร้ายลูก ไอ้บ่าวชายของคุณชายหลิว มันไม่ไว้หน้าลูกสักนิด ท่านแม่ต้องทำอะไรสักอย่างนะขอรับ” เธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ในหัวผุดวิธีชั่วช้าเพื่อมากลั่นแกล้งโรงเตี๊ยมคู่แข่งออกมาได้สารพัดวิธี ทว่าจู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง ก่อนที่นายท่านกู้ผู้เป็นบิดาของกู้หมิงเฉียวจะบุกเ
หลังจากทำการแสดงเสร็จ หลิวซีซวนก็แทบจะลมจับ เขาเริ่มมีความคิดอยากจะทำยาดมขายเหลือเกินเพราะเวลานี้ มันเป็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าร่างนี้มีอายุน้อยกว่าร่างเดิมของเขาด้วยซ้ำ แต่กลับอ่อนแอบอบบางยิ่งนัก พอนักแสดงมืออาชีพใช้พลังขั้นสูงในการถ่ายทอดการร่ายรำบนเวที ก็เหนื่อยจนแทบจะหมดลมเฮ้อ เวียนหัวจริงๆคืนนั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากลับมานอนที่ห้องได้อย่างไร คาดว่าคงเป็นบ่าวหน้าหล่อที่ชอบเล่นตัวผู้นั้นพาเขามานั่นแหละจะว่าไป พูดถึงเมื่อคืนก็ชวนให้แช่มชื่น เขาเห็นถุงเงินของโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยตำลึงเงินก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าวัตถุประสงค์หลักในการหาเงินเพื่อยังชีพจะสำเร็จไปด้วยดีถ้าหาเงินได้แบบนี้ทุกวัน ไม่นานตระกูลหลิวคงได้เป็นเศรษฐีอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เขาได้เห็นหนุ่มหล่อมากมายที่ท่านตาส่งมาให้ดูตัว น่าเสียดายที่เขาไม่ได้มีโอกาสสนทนากับใครมากนัก แต่เขาก็พอใจไม่น้อยที่ได้มาเกิดใหม่ยังโลกที่เต็มไปด้วยคนหน้าตาดีแต่จะดีกว่านี้ ถ้าเจ้าบ่าวขี้เก๊กคนนี้จะยอมใจอ่อนให้เขาเสียบ้างหลิวซีซวนตื่นขึ้นมาร่วมรับประทานอาหารเช้าพร้อมหน้าพร้อมตากับทุกคน วันนี้คนในตระกูลหลิวนั้นมีส
วันต่อมา โรงเตี๊ยมตระกูลหลิวก็ยังแน่นไปด้วยผู้คนเช่นเคย ตู้เฉิงยิ้มหน้าบานต้อนรับแขกเหรื่อทั้งเก่าและใหม่อย่างคล่องแคล่ว หลังจากที่คุณชายหลิวได้ทำการแสดงอันน่าทึ่งไปเมื่อวาน คนก็เอาไปโจษจันไปทั่ว ทำให้วันนี้มีทั้งชายหญิงมากมายมุ่งตรงมายังโรงเตี๊ยมเก่าแก่เพื่อจะได้ยลความงามและความสามารถของเกอจากตระกูลดังไม่เพียงแค่ชาวบ้านหรือคหบดีเท่านั้น วันนี้แม้แต่ท่านเจ้าเมืองหลี่ก็ควงคู่ฮูหยินมาด้วย เมื่อผู้มาเยือนเป็นถึงบุคคลสูงศักดิ์ หลิวซีซวนจึงต้องให้เกียรติออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง“คารวะท่านเจ้าเมืองหลี่ ฮูหยิน และคุณชายหลี่ขอรับ” หลิวซีซวนในชุดแดงตรงเข้ามาทำความเคารพเจ้าเมืองอย่างนอบน้อม เรียกสายตาชื่นชมจากผู้คนที่ตั้งใจมาชมคนงามได้ไม่ยากตัวจริงงามถึงเพียงนี้ หากได้ใกล้ชิดด้วยสักครั้ง นับว่าตายไม่เสียชาติเกิด“ไม่ต้องมากพิธี คุณชายหลิว เมื่อสมัยเด็กๆ ข้าก็เคยได้ยินเรื่องราวของตระกูลหลิวมากมาย เคยได้พูดคุยกับท่านผู้เฒ่าหลิวเป็นครั้งคราว นับว่าวันนี้คนกันเองทั้งนั้น” เจ้าเมืองเอ่ยอย่างเป็นกันเอง“คุณชายหลิวผู้นี้ช่างงดงามเสียยิ่งนัก งดงามยิ่งกว่าผู้ใดในเหิงเยว่เลยด้วยซ้ำ ซ้ำยังมีความสามารถจน
จวนรองเจ้ากรมโยธา ณ เมืองหลวงเช้าตรู่ในวันหนึ่ง รองเจ้ากรมโยธาผู้ยังหนุ่มออกไปตรวจงานที่ต่างเมืองหลายวัน เขาจำเป็นต้องเร่งออกไปดูงาน เหตุเพราะอีกไม่นานเขาจะต้องเข้าพิธีสมรสกับบุตรเสนาบดีกรมพิธีการเซี่ย แท้จริงแล้วเขาไม่ได้มีความรู้มากมายเกี่ยวกับงานที่ทำ และเขาก็ไม่ได้คิดจะสนใจสร้างผลงานสักเท่าไหร่ เขามองว่าเรื่องพวกนั้นมันเสียเวลาเกินไป ที่ถานตงหยางไต่เต้าขึ้นมาสู่ตำแหน่งสูงระดับนี้ได้ก็ไม่ใช่ด้วยความสามารถ แต่เป็นเพราะเม็ดเงินของอดีตภรรยาทั้งสิ้น บัดนี้เขากำลังจะได้เป็นบุตรเขยของเสนาบดี เขากำลังจะมีอนาคตที่สดใส ต่อให้ขุนนางคนอื่นจะลอบดูแคลน แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจถานตงหยางออกเดินทางไปยังเมืองข้างเคียงหลายวัน ในจวนนี้จึงมีเพียงแค่มารดาอย่างถานซงอวิ้นที่กำลังนั่งชื่นชมเครื่องประดับและอัญมณีจากสินเดิมของเหอซีซวน ไปพร้อมๆ กับดุด่าบ่าวไพร่อย่างสนุกปาก“โอ๊ย เจ็บนะ เจ้าใช้มือหรือใช้เท้าบีบนวดข้ากันแน่ ทำไมถึงได้แรงขนาดนี้ พวกเจ้านี่มันใช้ไม่ได้จริงๆ แล้วดูสิ ข้าวของของข้าหม่นหมองสกปรกหมดแล้ว ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าสมบัติของข้าทุกชิ้น พวกเจ้าต้องหมั่นทำความสะอาด นี่อะไร ฝุ่นเกาะเต็ม แล้วอีกอย่
หนึ่งเดือนต่อมาตอนนี้ โรงเตี๊ยมตระกูลหลิวก็ยังวุ่นวายไม่เปลี่ยน ตู้ลี่จูนั้นต้องลาหยุดหลังจากคลอดบุตรเพื่อดูแลลูกเล็ก ทว่านั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะพวกเขาวางแผนหาคนมาแทนไว้เรียบร้อยแล้ว โรงเตี๊ยมตระกูลหลิวนั้นกลับมาฟื้นตัวและมีผู้คนแวะเวียนเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง จนยามนี้เริ่มกลับมาทัดเทียมโรงเตี๊ยมหยางน่าของตระกูลกู้แล้ว แม้ว่ากิจการจะดำเนินไปได้ด้วยดี ทว่าคนงามประจำโรงเตี๊ยมนั้นกลับอ่อนแอลงทุกวัน บางวันเขาถึงกับตัวสั่นระริกด้วยความหนาวเหน็บที่แทรกซึมในกาย แม้จะให้หมอมาดูอาการก็ไม่ช่วยอะไร อาการของเขามีแค่ทรงกับทรุด สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่ต้องอดทนเท่านั้นนอกจากผลข้างเคียงจากการถูกวางยาเป็นหมันมานาน เขาก็ยังคงมีอาการบ้านหมุนที่มาพร้อมกับภาพหลอนมากมาย อาการพวกนี้ไม่ได้หายไป มีแต่จะหนักขึ้นจนทำให้เขาใช้ชีวิตลำบากไม่น้อย เขาเก็บงำเรื่องนี้ไว้ผู้เดียว ไม่กล้าบอกใคร เขาไม่อยากถูกหาว่าสติฟั่นเฟือน จนถูกจับไปให้นักบวชนักพรตทำพิธีไล่วิญญาณก่อนเขาจะหาสามีได้ด้วยปัญหาสุขภาพทั้งหมดนี้ สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจพักจากการแสดงแล้วจ้างนักเต้นมาฝึกสอนให้แสดงแทนตน ส่วนเขาก็ทำหน้าที่ดูแลแขกในห้องอาหารแทนตู
ทว่ายังไม่ทันได้ขยับตัว ชายทั้งสองคนที่กำลังตั้งท่าจะเกี้ยวเขาก็ถูกจางหย่งถีบจนกระเด็นออกไปชนผนังโอ๊ะ สุดหล่อ เบาๆ หน่อยสิ เดี๋ยวโรงเตี๊ยมข้าพัง“คุณชายหลิวไม่สะดวกสนทนากับพวกท่าน อย่าได้มาทำตัวรุ่มร่าม แตะเนื้อต้องตัวคุณชาย หรือใช้สายตาสามานย์มองคุณชายของข้าเช่นนั้น” จางหย่งเอ่ยเสียงเข้มอย่างไม่ไว้หน้าผู้ใดก็เป็นเสียอย่างนี้ พอเขาเข้าใกล้บุรุษก็คอยกันท่า วาสนาพญานกนั้นเป็นของข้าโดยแท้จริงคนในโรงเตี๊ยมนั้นเห็นภาพบุรุษถูกบ่าวคนงามเตะก้นออกมาเป็นภาพชินตา แต่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นคือ การที่สตรีบุกเข้ามาที่โรงเตี๊ยมแล้วหาเรื่องเขาต่อหน้าแขกทุกคน“นี่ มาดูนี่ นี่มันนางเกอแพศยา เปิดโรงเตี๊ยมแต่ทำตัวราวกับคณิกา ยั่วยวนสามีข้าให้หลงใหล” สตรีนางหนึ่งตรงมาที่เขาพร้อมกับเอ่ยวาจาเผ็ดร้อน ไร้มูลความจริง“ฮูหยินสงบสติอารมณ์หน่อยเถอะเจ้าค่ะ” บ่าวหญิงที่ติดตามมานั้นรองรับอารมณ์ร้อนของผู้เป็นนายมาตลอดทาง เตือนสติผู้เป็นนาย“หาใช่เรื่องของบ่าวเช่นเจ้า อาหลิน วันนี้ข้าจะกระชากหน้ากากนางจิ้งจอกที่ยั่วยวนบุรุษทั่วเมืองราวกับคณิกา เสียดายที่มีชาติกำเนิดสูงส่ง เป็นถึงทายาทตระกูลหลิวเลื่องชื่อ แต่กลับทำต
เฮือก!!“ฟื้นแล้วเหรอหลานรักของข้า”เสียงของชายชราดังอยู่ข้างหู หลิวซีซวนนั้นลืมตาตื่นด้วยความรู้สึกตื่นตระหนกก่อนจะมองรอบกายนี่เขากลับมาอยู่ที่ตระกูลหลิวแล้ว แต่ไม่ใช่ตระกูลหลิวด้านนอก เขากำลังอยู่ในมิติส่วนตัว“ตาแก่”“เจ้านี่มันอกตัญญูเสียจริง ฟื้นขึ้นมาในมิติส่วนตัว เจอข้าแล้วยังเรียกว่าตาแก่อีก”“ท่านตา เมื่อกี้ข้าถูกผีเข้า ไม่สิ ต้องเป็นปีศาจหรือว่ามารแน่ๆ จางหย่งชอบพูดอยู่บ่อยๆ ว่าข้าถูกปีศาจราคะเข้าสิง ข้ามองเห็นภาพหลอน เห็นชะตาชีวิตของผู้คน ท่านตา หรือว่าข้ากำลังจะเป็นบ้า ท่านช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากเป็นบ้าก่อนมีสามี ข้ายังเกี้ยวจางหย่งไม่ติดเลย” หลิวซีซวนกอดแขนบรรพบุรุษแน่น ตอนนี้เขาขวัญผวาไปหมดแล้วหลังจากที่แสดงอภินิหารแบบไม่ได้ตั้งใจ เขาสาบานเลยว่าเมื่อครู่นั้น เขาปวดหัวจนแทบจะระเบิด แสงสีในภาพหลอนและภาพความเป็นจริงตีกันวุ่นวายไปหมด แต่จู่ๆ ทุกอย่างก็นิ่งเงียบสงบลง ยามนั้นเขาเห็นแสงจันทร์ที่ทอแสงส่องสว่างอยู่ในความมืด เมื่อลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เคยสับสนน่าปวดหัวราวกับภาพหลอน ก็ร้อยเรียงกลายเป็นภาพเดียวกันเขามองเห็นชะตากรรมของผู้คนได้ หากว่าตนต้องการแต่ให้ตายเถอะ เขาไม่ได้อย
“ท่านตา เช่นนี้หมายความว่าร่างกายของข้าจะต้องเจ็บปวดทรมานยามทำนายทายทักเช่นเมื่อครู่ใช่หรือไม่ ท่านรู้มั้ย ที่ผ่านมาข้าต้องทุกข์ทรมานกับอาการวิงเวียนมากเพียงใด ภาพหลอนที่ซ้อนกันสลับไปมา ทำให้ข้าหัวแทบระเบิด ซ้ำเมื่อพยากรณ์ออกไปก็ยังสิ้นเรี่ยวแรง ข้าทนไม่ไหวหรอก”“นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่รู้จักวิธีควบคุมพลังของตระกูลหลิวในกาย” ชายชราเอ่ยก่อนจะหยิบตำราเล่มหนาขึ้นมาหนึ่งเล่ม แล้วยื่นมาตรงหน้าเขาโอ้ว แค่เห็นตำราก็รู้สึกพะอืดพะอม“ข้าต้องอ่านเล่มนี้หรือ”“ใช่ และยังมีอีกหลายเล่มที่เกี่ยวข้อง มันจะทำให้พลังในกายเจ้าสมดุลมากขึ้น เพิ่มความทนทานให้กับพลังงานบริสุทธิ์ในกาย ช่วยให้การพยากรณ์แม่นยำขึ้น”“โธ่ แล้วท่านไม่บอกตั้งแต่ทีแรก ว่าข้าต้องอ่านตำราพวกนี้ ปล่อยให้ข้าทนทุกข์ทรมานตั้งนาน”“ข้ามิอาจแพร่งพรายความลับสวรรค์ ยามนี้พลังวิเศษด้านการพยากรณ์ถูกปลุกขึ้นมาก่อน ข้าจึงสามารถชี้แนะตำราให้เจ้าได้ หากวันหน้าเจ้าจำเป็นต้องมีพลังวิเศษด้านอื่น ข้าก็จะชี้แนะเจ้าเอง เมื่อถึงเวลา”“ ...”คุณชายหลิวหมดคำจะพูด นี่ยังมีพลังอย่างอื่นอีกเหรอ แค่พลังเดียวถูกปลุกยังทำเขามึนหัวเกือบเดือนเขาไม่ได้อยากได้พลั
ห้าปีต่อมาหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองหลวงเมื่อห้าปีก่อน จวนตระกูลหลิวก็ปิดเงียบมาตลอด ฮ่องเต้เฉินเฟยหลงนั้นเหนื่อยใจไม่น้อยที่อุตส่าห์พาตัวทายาทตระกูลหลิวกลับมาอยู่ในเมืองหลวง แต่อีกฝ่ายก็ยังคงมีนิสัยเหมือนกับต้นตระกูล นั่นคือเกลียดความวุ่นวาย สิ่งที่หลิวซีซวนขอพระราชทานเป็นรางวัลจากเขาคือ การที่เขาสามารถอยู่เฉยๆ ได้ และปฏิเสธการเข้าพบคนจากราชสำนักหรือใครหน้าไหนก็ตามเขาจะต้องการอะไรอีกเล่า ในเมื่อยามนี้ได้สามีแล้ว เงินทองก็มีจนไม่รู้จะใช้ยังไงหมด ทรัพย์สมบัติในคลังสมบัติตระกูลหลิวก็ถูกเก็บไว้อย่างดีที่บ้านตระกูลหลิวที่เหิงเยว่โดยมีท่านตาตู้เฉิงเป็นผู้ดูแลด้านตู้เจาและตู้ลี่จูนั้นหลังจากเริ่มกิจการของตัวเอง ยามนี้ก็กลายเป็นร้านค้าชื่อดังที่มีหลายสาขา การงานการเงินมั่นคง ส่วนบุตรชายอย่างอาจ้านก็กำลังเตรียมสอบเข้าโรงเรียนหมอตามที่ตั้งใจไว้ หลิวซีซวนภูมิใจไม่น้อยที่คนข้างกายเขากำลังไปได้ดีกันทุกคน“กรี๊ดดดด อ๊ากกกกกกก”ยามนี้เสียงกรีดร้องกลับดังออกมาจากจวนตระกูลหลิวในเมืองหลวง บ่าวไพร่พากันวิ่งวุ่น ยามนี้สองจวนทุบกำแพงเข้าหากันจนกลายเป็นจวนขนาดใหญ่ ยิ่งเป็นการเสริมบารมีให้หลิวซีซวนแ
“เจ้ารู้ข่าวของถานตงหยางแล้วใช่หรือไม่”“ตอนนั้น ข้าเห็นเขาจากในภาพนิมิตแล้ว สุดท้ายคนผู้นั้นก็ถูกฆ่าตายอย่างไร้ค่ายิ่งนัก”“แล้วเจ้า..ไม่เสียใจหรือ” เซวียนจางหย่งนั้นเป็นบุรุษใจกว้าง เขารู้ดีว่าเขากำลังแต่งให้กับคนงามที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว เขาตระหนักอยู่เสมอว่า แม้หลิวซีซวนจะเลิกรากับอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไร้เยื่อใย อย่างไรก็คนที่เคยอยู่กินกันมาหลายปี“ไม่หรอก เขาสมควรตายจริงๆ คนเช่นนั้นอย่างไรก็คิดไม่ได้ วันข้างหน้าย่อมต้องก่อการเลวร้ายอีกแน่ นับว่าความแค้นระหว่างข้าและเขาได้จบสิ้นในชาตินี้อย่างสมบูรณ์แล้ว” หลิวซีซวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เรียกรอยยิ้มจากบุรุษรูปงามได้ไม่น้อยตัดเวรกันได้แล้วก็ดีชายหนุ่มก้าวเข้ามา ก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมกอดแนบชิดทั้งสองร่างจากทางด้านหลัง แก้มนวลขึ้นสีเล็กน้อยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง ที่ผ่านมาเหอซีซวนนั้นเป็นคนซุกซนชอบเรื่องสนุกสนาน แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็ซึมลงไปถนัดตาจนน่าเป็นห่วง เขานึกไปว่าอีกฝ่ายเสียอกเสียใจเรื่องอดีตสามีเสียอีก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้กำลังมีบางเรื่องรบกวนจิตใจเกอคนงามอยู่“แล้วเมื่อกี้ เจ้ากำลั
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นเมืองหลวง ก็ถึงเวลาแห่งการฟื้นฟู โชคดีที่นอกจากจัตุรัสกลางเมืองแล้ว ไม่มีสิ่งใดพังทลาย ทว่าก็มีชาวบ้านโดนลูกหลงจนบาดเจ็บเป็นจำนวนไม่น้อย จนฮ่องเต้ต้องประกาศเรียกตัวหมอตามเมืองต่างๆ ให้เร่งเข้ามาช่วยรักษาอาการให้ปลอดภัยสิ่งที่ทำให้ผู้คนนึกทึ่งในช่วงเวลาวิกฤตก็คือ องค์ชายห้าจอมเสเพลนั้น แท้จริงแล้วเป็นเจ้าของที่แท้จริงของห้องอาหารส่องดาว พระองค์นำอาหารจากห้องอาหารมาเปิดโรงทานแจกจ่ายให้กับผู้คนอย่างไม่รอช้า เหล่าองค์ชายคนอื่นก็ไม่น้อยหน้า เมื่อได้เวลาแสดงความสามารถก็ต่างพากันช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองกันอย่างเต็มกำลังสถานการณ์ในเมืองจึงกลับมาสู่สภาพปกติดังเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือกลุ่มขุนนางชั่ว งานนี้ความผิดประจักษ์เห็นต่อหน้า จวิ้นอ๋องกำเริบเสิบสาน ตั้งใจชิงบัลลังก์ถึงขั้นกล้าลงมือกับประชาชนโดยมีขุนนางหลายคนหนุนหลัง ฮ่องเต้แต่ไหนแต่ไรประนีประนอม ใจอ่อนให้จวิ้นอ๋องที่มีอำนาจฝั่งมารดาถ่วงดุลอยู่ไม่น้อย แต่เมื่ออีกฝ่ายตายไปแล้ว เขาก็ไม่คิดจะยั้งมือกับพวกขุนนางทั้งหมดที่ร่วมก่อการในครั้งนี้หนึ่งในนั้นก็คือ เสนาบดีเซี่ยโม่โฉว วันนั้นเลี่ยงชิงและเลี่ยงหรงใ
“หลานรัก” เสียงเพรียกดังขึ้นมาแต่ไกล เขาหลับตาลง ก่อนจะพบว่าตนเองมาโผล่อยู่ในมิติส่วนตัวของตนอีกครั้งในที่นี้นั้นสงบเงียบและปลอดโปร่ง ต่างจากโลกแห่งความจริงที่เขากำลังเผชิญ ท่านตาหลิวหงชิงกำลังจิบชาร้อนด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะหันมายิ้มให้เขา“ท่านตา เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“ข้ารู้แล้ว เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหา”“แต่ท่านตา ผู้คนกำลังจะตาย ข้าเองก็จะไม่ไหวแล้ว”“ชู่ หลานรัก ทำใจให้สบาย ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่า วันนี้เจ้าต้องมีสติให้มาก” หลิวหงชิงยกยิ้มอ่อนโยนให้กับหลานคนเดียว ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้“ข้าพยายามเต็มที่แล้ว ท่านตา แต่ข้าจัดการพวกมันไม่ได้ ข้าช่วยใครไม่ได้เลย”“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าทำดีแล้ว เด็กดี ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพื่อให้มีชีวิตที่ดี ได้สร้างครอบครัวดั่งที่ใจปรารถนา ข้าไม่ได้ตั้งใจจะให้เจ้าต้องรับศึกหนักเช่นนี้” ชายชราปลอบหลานชาย ก่อนจะเอ่ยต่อ“เวลาที่ผ่านมา ข้าติดอยู่ในมิติส่วนตัวนี้มานานเกินไปเหลือเกิน ยามนี้เหอซีซวนได้รับการปลดปล่อยแล้ว ตัวข้าที่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยววิญญาณก็ควรถึงเวลาต้องไปแล้วเช่นกัน”“ท่านตา ท่านจะไปไหน ท่านไปแล้ว ข้าจะอยู่กับใคร” “เจ้าก็อยู่กับสามี
เขาจะทำอะไรได้ ยามนี้แค่ทรงตัวยืนอยู่ แล้วตั้งรับดาบที่เข้ามารอบทิศก็ลำบากมากแล้ว และก่อนที่เขาพลาดท่าก็มีใครบางคน ปรี่มาช่วยเขาเสียก่อน“คุณชายหลี่” ใช่แล้ว คือพ่อหนุ่มดวงมหาโชคคนดีคนเดิมนั่นเอง ดูจากฝีไม้ลายมือ เขาก็พอจะดูออกว่าคนผู้นี้นั้นไม่สันทัดเรื่องการใช้กำลังเท่าไหร่นัก ไม่แปลกใจที่ได้ทำงานสายผู้ตรวจการมากกว่าจะไปทางทหาร แบบเซวียนจางหย่ง“หลิวซีซวน เจ้าระวังตัวด้วย”“สามีข้าเป็นอย่างไรบ้าง”หลี่เฉียงฮุยถึงกับหันกลับมามองเขา ด้วยสายตาเหลือเชื่อ“เจ้าห่วงชีวิตสหายข้ามากกว่าชีวิตตนเองอีกหรือ รีบเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ข้าเองก็ไม่รู้จะช่วยเจ้าต้านไว้ได้มากเพียงใด”“คุณชายหลี่ ท่านช่วยหยุดโจวเฟิง มันจะจุดเทียนอีกครั้ง ค่ายกลชิงดวงจะกลับมาทำงานได้ใหม่” หลี่เฉียงฮุยมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที เขาสองคนถูกรุมล้อมรอบด้าน จนแทบจะเอาตัวไม่รอดเช่นนี้ จะทำอะไรได้“งั้นเอาเช่นนี้ก็แล้วกัน” หลี่เฉียงฮุยถือคติว่า อะไรทำได้ก็ให้ทำไปก่อน เขาดึงมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ออกมา ก่อนจะปาไปทางโจวเฟิงหวังปลิดชีพถึงจะปลิดชีพไม่ได้ แต่ทำลายสมาธิมันได้ก็ยังดีแต่ใครจะไปคาดคิดในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมีดสั้นพ
หลิวซีซวนค่อยๆ ลุกขึ้นมาช้าๆ ด้วยแรงแค้นที่แน่นอก หากคนตกใจสามารถยกโอ่งหนีไฟไหม้ได้ คนที่กำลังโกรธก็น่าจะยกภูเขาได้ไม่ต่างกัน โดยที่ไม่มีใครคาดฝัน เกอคนงามร่างบางที่เมื่อครู่ยังซวนเซ กลับเดินไปยกแท่นพิธีที่หักครึ่งแล้วทุ่มไปทางโจวเฟิงอย่างไม่ออมมือตู้ม!!!โจวเฟิงนั้นแม้บาดเจ็บอยู่ แต่ประสาทสัมผัสยังคงเฉียบคม เขาจึงกระโดดหลบแท่นหินขนาดใหญ่ได้อย่างหวุดหวิด“นี่เจ้า”“หมาลอบกัด เจ้าแอบซ่อนอยู่ข้างกายข้าและจางหย่งมาตลอด” หลิวซีซวนตวาดดังลั่น เสียงสั่นด้วยความโมโห“แล้วอย่างไร บุรุษผู้นี้มันโง่เอง มันกล้าบุกเข้ามาสอบสวนข้าเพียงลำพัง ทั้งที่รู้ว่าข้านั้นเป็นหลวงจีนที่มีวิชาอาคม สุดท้ายมันก็ถูกข้าใช้วิชาสับเปลี่ยนวิญญาณ และปล่อยให้มันตายไปกับร่างเดิมของข้าในคุก ฮ่าๆๆ”“เจ้ามันสารเลว เพราะเจ้า ผู้คนถึงได้เดือดร้อน เจ้าไม่ได้ต้องการช่วยจวิ้นอ๋องให้ครองบัลลังก์ เจ้าก็แค่ต้องการละเลงเลือดทาแผ่นดินก็เท่านั้น เจ้ามันปีศาจชัดๆ ไม่ต้องพูดมาก เจ้าจะเป็นใครก็ช่าง ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ารอดไปได้แน่ กล้าทำร้ายคนของข้า เช่นนั้นเจ้าก็จงรับผลกรรม” หลิวซีซวนหยิบดาบขึ้นมาถือไว้พร้อมกับกระชับไว้แน่น พร้อมที่จะโ
ไต้ซือไป๋ในร่างของโจวเฟิงล้วงเข้าไปในปกเสื้อ ดึงเทียนทำพิธีสีแดงแท่งใหม่มาถือไว้อย่างหมายมาด เวลาเหลืออีกไม่มากนัก หากว่าเทียนเล่มเก่าดับ เช่นนั้นเขาก็จะจุดแท่งใหม่ด้วยตัวเองถึงอย่างไร เขาก็ต้องทำภารกิจวันนี้ให้สำเร็จให้ได้เขาควบม้ามุ่งหน้าเข้าไปใจกลางเมือง ถึงแม้เทียนจะดับ แต่หากเขาสามารถจุดเทียนสำรองนี้ได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วยามโดยที่เหยื่อบูชายัญทั้งสี่ทิศยังคงอยู่ที่เดิม ค่ายกลก็ยังกลับมาทำงานได้อีกครั้งไม่แน่ว่าป่านนี้ คนที่บุกไปทำลายพิธีอาจจะโดนทัณฑ์สวรรค์ผ่าร่างจนตายไปแล้วก็ได้โจวเฟิงมองออกไปไกลยังใจกลางเมือง ก็เห็นเมฆก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีอัสนีฟาดลงมาที่กลางเมืองจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนแผ่นดินสะเทือนเปรี้ยง!!สายฟ้าฟาดลงมากลางแท่นพิธีที่จัตุรัสกลางเมืองเก้าครั้งติดกันไม่หยุด วันนี้ที่เมืองหลวงนั้นเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวมืดครึ้มเดี๋ยวสว่าง จู่ๆ ท้องฟ้านั้นกลับส่งสายฟ้าฟาดลงมา ท่ามกลางการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย“แฮ่กๆๆ รอดจริงๆ ด้วย” หลิวซีซวนที่ร่ายรำอยู่นาน สุดท้ายเขาก็สามารถเอาตัวรอดจากทัณฑ์สวรรค์ได้ เขามองไปรอบกายก็พบว่าจัตุรัสกลางเมืองนั้นเละ ไม่เหลือชิ้น
ในขณะพวกเขายังสู้กันต่อ แต่หลิวซีซวนกำลังตัวสั่นอยู่กลางพิธี ดวงตาสีทองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าแตกตื่นนี่เราลืมอะไรไปรึเปล่าอ๋อ เราลืมไปใช่หรือไม่ว่าหลังจากทำลายค่ายกลชิงดวงแล้ว จะได้รับทัณฑ์สวรรค์เป็นสายฟ้าฟาดเวรเอ๊ย กูจะโดนฟ้าผ่าอีกแล้วเหรอวะเนี่ย ครั้งที่แล้วโดนไปยังเกือบตายสักพัก เขากลับได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาจากภายใน เป็นเสียงของท่านตาที่คงอดทนไม่ไหว จึงแอบมาบอกเขา“ค่ายกลเทวาร่ายรำ” เขามองท้องฟ้าที่เริ่มมีเมฆตั้งเค้าอีกรอบด้วยความสยอง เวลานี้จำเป็นต้องงัดวิชาทุกวิชาของตระกูลหลิวออกมาเพื่อปกป้องตนเองเสียก่อน เทวาร่ายรำก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำเพื่อสร้างเกราะกำบังกายให้กับตนเองจะรออะไรล่ะ ร่ายรำไปเลยสิจ๊ะหลิวซีซวนขยับร่างกายไปพร้อมกับบริกรรมคาถาไปด้วย เขาต้องเรียกสติตนเองตลอดเวลาเพราะหาไม่แล้วอาจจะเผลอก่นด่าสวรรค์ไปแล้วหลายรอบ รอบกายของเกอคนงามเปล่งประกายสีทอง ราวกับแผ่ออกมาเพื่อเป็นเกราะกำบังภัย ตัวของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด กล้ามเนื้อถูกเคี่ยวกรำอย่างหนัก จนเริ่มรับพลังมหาศาลที่ไหลเวียนในกายไม่ไหว เขาไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ แต่เขาจะไม่ยอมโดนฟ้าผ่าตายอีกหนแน่ๆที่หน้าประตูเม
เซวียนจางหย่งถึงกับมีสีหน้ามืดครึ้ม ทัพของจวิ้นอ๋องและแม่ทัพหวงจะมีอะไรให้น่ากังวล ต่อให้พวกเขาบุกเข้ามาเวลานี้ ก็ไม่แน่ว่าจะมีชัยเหนือคนที่เหลือสิ่งที่น่ากลัวคือ ทัพของหยวนหลี่เฉียงต่างหาก คนผู้นั้นเด็ดขาดโหดเหี้ยม ไม่เคยแพ้ให้กับผู้ใด ไม่เคยมีใครคิดระแวงว่าเขาจะย้ายฝั่งไปสนับสนุนจวิ้นอ๋อง“ข้านี่โชคดีเหลือเกินที่เลือกออกเดินทางไปศึกษาวิชากับพวกหลวงจีนและนักพรตตามเมืองต่างๆ จึงได้รู้จักหลวงจีนที่เชี่ยวชาญวิชานอกรีตอย่างหาตัวจับได้ยาก เขาเก่งถึงขนาดที่สามารถสับเปลี่ยนดวงวิญญาณของตนเองกับผู้อื่นได้ เช่นนี้ข้าคงไม่เหลืออะไรให้กังวล แม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ยังต้องยอมสยบให้กับข้า หึหึ” จวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับมองสงครามกลางเมืองที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด แม้ว่ายามนี้จะมีกองกำลังน้อยกว่าแต่กลับได้เปรียบกว่าทหารหาญและราชองครักษ์ในที่นี้ เซวียนจางหย่งต้องต่อสู้ไปพร้อมกับเฝ้าสังเกตอาการของคนรักที่อยู่กลางแท่นพิธีเพียงลำพังหลิวซีซวนหวนคิดถึงท่านตา ถึงว่าเมื่อคืนถึงคอยกำชับให้เราตั้งสติ เพราะจะเกิดเรื่องแบบนี้นี่เอง ครั้งก่อนเขาเป็นผู้ที่ทำลายพิธีชิงดวงของหลี่เฉียงฮุยเพียงผู้เดียว ครา