ชาติที่แล้วถูกสามีและอนุทำให้ต้องสิ้นใจอย่างทรมาน เกิดใหม่ชาตินี้จะไม่ยอมให้ถูกใครรังแก โอกาสที่ได้เกิดในร่างใหม่นี้จะขอเป็นคนใหม่ที่เข้มแข็ง ทวงคืนความยุติธรรมจากบุรุษโฉดชั่ว
View Moreเพียงไม่กี่เสี้ยวพริบตาที่หันไปมองสาวใช้สกุลถัง พอหันกลับมาอีกทีฉวนเร่อหลานก็เดินตรงไปยังร้านขายขนมเปี๊ยะที่อยู่ติดกับร้านขายหมั่นโถวมองดูสืออินที่ยืนถือตะกร้าใส่ผักรอหมั่นโถวที่กำลังห่อใส่ถุงกระดาษอยู่ก็หย่อนอะไรบางอย่างลงไปในตอนที่ไม่มีใครสังเกตเห็น“คุณหนู ขนมเปี๊ยะของท่านได้แล้ว” เถ้าแก่ร้านขายขนมเปี๊ยะกล่าวอย่างสุภาพพร้อมทั้งยื่นห่อขนมเปี๊ยะให้ฉวนเร่อหลานกำลังจะหยิบเงินมาจ่ายแล้วทำสีหน้าตกใจ ในตอนนั้นหยางหมิงซานกำลังจะเดินเข้าไปช่วยแต่นางก็ส่งสัญญาณไม่ให้เขายื่นมือเข้ามายุ่งในแผนการของตน“ถุงเงินข้าหาย ไม่รู้อยู่ไหน เมื่อครู่ตอนเดินมาข้ายังถืออยู่เลย” นางแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงที่ตกใจในขณะที่สืออินที่ยืนอยู่ข้างๆ รับห่อหมั่นโถวแล้วหยิบถุงเงินขึ้นมาจะจ่ายจากนั้นพอเห็นถุงเงินสีแดงในตะกร้าก็เงียบทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น คิดว่าคงเป็นเพราะคุณหนูข้างๆ ทำหล่นใส่ตะกร้าของตนสาวใช้ร่างใหญ่จ่ายเงินแล้วจะรีบเดินออกไป ท่าทางมีพิรุธนั้นไม่รอดพ้นสายตาของหยางหมิงซาน“หยุดก่อน ในตะกร้าของเจ้าอาจจะมีถุงเงินของคุณหนูผู้นั้นทำหล่อนเอาไว้” เสียงของรองแม่ทัพหนุ่มทำให้ทุกคนหันมาสนใจ สาวใช้ทั้งสามที่เห็นว่า
ผ้าแพรสีม่วงอ่อนชั้นดีที่ถูกตัดเป็นชุดกระโปรงชั้นนอก ถูกนำมาสวมใส่บนร่างอรชรของฉวนเร่อหลานได้อย่างลงตัวผมยาวสลวยที่ถูกมัดส่วนบนเป็นมวยไว้บนศีรษะถูกปักด้วยปิ่นหยกสีขาวที่เรียบง่ายแต่บ่งบอกได้ถึงฐานะที่ไม่ขัดสน“คุณหนูจะออกไปจริงๆ หรือเจ้าคะ คราวนี้ไปเดินเที่ยวตลาดจริงๆ ใช่ไหมเจ้าคะ”“ทำไม เจ้ากลัวข้าเถลไถลอย่างครั้งก่อนนะหรือ ไม่ต้องกลัวหรอก วันนี้ข้าไปเดินเที่ยวตลาดจริงๆ จะซื้อเครื่องประทินผิวหน้าและชาดสีใหม่ แล้วไปนั่งกินบะหมี่ร้านเถ้าแก่โจวเสียหน่อย เจ้าชอบไม่ใช่หรือ”“บ่าวดีใจที่คุณหนูจำได้ แต่ไม่ออกไปได้หรือไม่”ใบหน้างามที่กำลังยิ้มแย้ม มองสาวใช้คนสนิทที่มีสีหน้ากังวล ครั้งก่อนไม่มีใครรายงานฉวนเซ่าฉือก็จริง แต่ว่านางก็รู้สึกผิดที่ปกปิดความผิดนี้“เชื่อใจข้าเถอะเสี่ยวชิง ข้าไม่ทำให้เจ้ามีอันตรายหรอก” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นและมีเมตตา คิดถึงไจ๋ซิ่วป่านนี้จะไปเกิดใหม่ที่ไหน หรือว่ากลายไปเป็นสาวใช้บนสวรรค์ของเทพธิดาสักองค์แล้วฉวนเร่อหลานพาเสี่ยวชิงและสาวใช้อีกสองคนไปขออนุญาตใช้รถม้ากับบิดาที่นั่งพูดคุยอยู่กับรองแม่ทัพหนุ่มในสวน ฉวนฮูหยินที่เดินนำสาวใช้ยกของว่างและน้ำชามาได
แผนที่ที่วาดด้วยหมึกแห้งดีแล้ว หยางหมิงซานจึงไม่รอช้าที่จะพับเก็บใส่ช่องใต้แขนเสื้อของตน ก่อนที่บุรุษผู้องอาจและแฝงไปด้วยความเย็นชาจะลุกขึ้น ก็ชะงักเพราะคำถามที่โพล่งถามขึ้นมา“รูปเด็กผู้หญิงที่ถือไม้ถังหูลู่ หมายความว่าอะไรหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงทำให้คุณชายตัดสินใจมาช่วยข้าได้” น้ำเสียงนั้นถามอย่างจริงจัง ชาติก่อนก็ไม่รู้ความหมายถึงภาพวาดที่เขาส่งมาให้ ชาตินี้หากเป็นไปได้ก็อยากรู้ให้หายค้างคาใจเสียที“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” ประโยคนั้นเย็นชาและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เรื่องระหว่างตนกับหลิวอี้เจินไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างนางควรรับรู้“นี่ท่าน...” ริมฝีปากบางเม้มสนิทอย่างไม่พอใจ“เจ้าบอกเองว่าจะพูดแค่เรื่องของถังฮ่าวอี้ ไม่กล่าวเรื่องอื่น แล้วจะถามให้มันได้อะไรขึ้นมา” พูดจบก็ก้าวเดินออกจากห้องตำราไปนางได้แต่มองตามแผ่นหลังที่แข็งแกร่งนั้นออกไป ความคิดอีกส่วนก็ชิงชังกับความเย็นชานั้น ความคิดอีกส่วนก็ลุ่มหลงความสุขุมของอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน“หยุดเลยนะ หากยังไม่ชำระแค้น เจ้าจะมาทำให้ตัวเองเสียการไม่ได้” นางกำลังบ่นพึมพำให้ตนเอง จากนั้นก็นั่งคิดอยู่ว่าตอนเด็กๆ ตนเคยถือไม้ถังหูลู่ยื่นให้เขาหรืออย่างไร
ผ้าเช็ดหน้าที่ถูกปักอย่างประณีตในมือของฉวนเร่อหลาน ทำให้หลี่หงค่อนข้างประหลาดใจ ใช่อยู่ว่าฉวนเร่อหลานปักร้อยเป็น แต่ก็ไม่คิดว่าจะพัฒนาฝีมืออย่างก้าวกระโดด ทำออกมาได้งดงามกว่าครั้งก่อนถึงหลายเท่า“พอเจ้าตั้งใจก็ทำออกมาได้งดงาม สมแล้วกับที่แม่เคี่ยวเข็ญสอนให้เจ้าเรียนรู้งานสตรี”“แล้วแต่ก่อนลูกทำไม่สวยหรือเจ้าคะ”“สวย แต่ไม่ประณีตและเรียบร้อยอย่างครั้งนี้” หลี่หงกล่าวแล้วยิ้มมองผลงานตรงหน้าด้วยความชื่นชม พลางยื่นมือไปกุมที่มือของบุตรี“หากมิได้ท่านแม่ช่วยสั่งสอน มีหรือลูกจะทำได้” ฉวนเร่อหลานเอ่ยคำหวานเอาใจมารดา“ตอนนี้เรื่องวุ่นวายก็หมดไปแล้ว เจ้าคงมีสมาธิมากขึ้น เสี้ยนหนามตำใจของเราตอนนี้ก็ได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสม พ่อของเจ้าหูตาสว่างแล้ว จวนนี้ก็สงบสุขเสียที” ฉวนเร่อหลานได้แต่ยิ้มน้อยๆ เมื่อมารดายังคงฝังใจเรื่องนี้และพูดถึงไม่จบสิ้น“วันนี้สอนลูกมาสองชั่วยาม[1] แล้ว ท่านแม่พักผ่อนเถิดเจ้าคะ”“ห่วงแม่ หรือว่ามีนัดกับคุณชายหยาง เมื่อวานนี้แม่เห็นนะว่าเจ้ากับเขาคุยเล่นกันในสวนดอกไม้” ผู้เป็นมารดาพูดอย่างรู้ทันฉวนเร่อหลานยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกเขินอาย แก้มแดงเรื่อ ใบหน้าผ่าวร้อนเมื่อถูกหยอ
ไม้ต้นเดียวยากเป็นป่า ไหมเส้นเดียวยากเป็นด้าย หากคิดจะทำการใหญ่ นางเป็นเพียงดรุณีวัยเยาว์คงไม่มีความสามารถที่จะจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้เพียงลำพังหยางหมิงซานเป็นทั้งรองแม่ทัพฝีมือดี และยังเป็นชายที่มีใจให้แก่หลิวอี้เจิน หากรู้ว่านางเจอกับอะไร เขาย่อมทนไม่ไหวและต้องหาทางทวงความยุติธรรมคืนแก่นางแน่“วันนี้คุณชายหยางไม่มีกิจในเมืองจินโจวหรือเจ้าคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานกล่าวถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามายืนข้างตนที่กำลังยืนชมสวนอยู่หยางหมิงซานกระตุกยิ้มน้อยๆ ธุระที่เขาอ้างกับหยางชิวเมิ่งบิดาของตน คือการเข้ามาสืบหาผู้ค้าอาวุธในเมืองจินโจว และอยากมาสืบข่าวการเสียชีวิตของหลิวอี้เจินไปด้วยแม้นางจะออกเรือนเป็นฮูหยินสกุลถังไปแล้ว แต่หัวใจที่รักใครต่อนางนั้นยากเกินจะลืมเลือน แม้มิได้ครอบครองแต่ก็จะขอรักมั่น ชาตินี้หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากออกเรือนกับสตรีอื่นใด ทว่าติดที่ตนหมั้นหมายแล้ว หากต้องแต่งงานก็คงทำด้วยความจำใจ แต่จะยืดเวลาออกไปให้ได้นานที่สุด“ข้าจะไม่อ้อมค้อม เมื่อคืนนี้เจ้ามั่นใจว่าข้าจะไป เพราะรูปที่เจ้าวาดท้ายจดหมาย ใช่หรือไม่”รอยยิ้มของหญิงสาวเผยออกมา โบกมือให้เสี่ยวชิงและสาวใช้คนอื่นๆ
เหตุการณ์ที่มู่ซือซือชิงลงมือฆ่าโจรที่ตนว่าจ้างมา ทำให้ทุกคนตกตะลึงและไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องน่าอนาถเช่นนี้ขึ้น“เข้าจะทำร้ายข้ากับคุณหนูรองก็สมควรตายแล้ว” นางกล่าวอย่างโกรธแค้น ก่อนจะมือไม้สั่นแล้วทิ้งมีดลงกับพื้น“ไม่..ไม่.. ข้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่... ไม่จริง กรี๊ด!” สิ้นเสียงกรีดร้องนั้น มู่ซือซือก็หมดสติไปฉวนเซ่าฉือร้อนใจไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร จะเชื่อสิ่งที่บุตรีของตนบอก หรือจะเชื่อว่าหญิงงามตรงหน้าเพียงถูกเข้าใจผิดเท่านั้น ยิ่งนางหมดสติไปเพราะพลั้งมือฆ่าโจรชั่วผู้นั้น ก็ทำให้สับสนกับเหตุการณ์นี้มาก“ซือซือ...”“นางทำขนาดนี้ท่านพ่อยังจะห่วงนางอีกหรือ” ฉวนเร่อหลานผละออกจากอ้อมกอดของบิดา มารยาของนางที่ชิงลงมือฆ่าโจรนิรนามผู้นั้น ทำให้บิดาเชื่อว่านางเองก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายด้วยหรือ“ท่านลุงฉวน เหตุการณ์นี้ข้าเห็นมาตั้งแต่ต้น” รองแม่ทัพหนุ่มที่รอดูสถานการณ์อยู่กล่าวออกมา จากนั้นก็พยักหน้าให้เจิ้งจิ้งเหยาเป็นผู้อธิบาย“แม่นางผู้นั้นตั้งใจจะทำร้ายคุณหนูรองจริง มิหนำซ้ำยังกล่าวอีกด้วยว่าคืนนี้นางตั้งใจให้คุณหนูรองจมอยู่ก้นสระ... ไม่ให้พลาดเหมือนอย่างคราวก่อนที่นางผลักคุณหนูตกสระไป”
เสี่ยวชิงนำสิ่งที่เสี่ยวหลิงมากระซิบบอกแก่คุณหนูของตน จากนั้นก็ขยับออกไปยืนที่มุมห้องด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล“พวกเจ้าออกไปก่อน” ฉวนเร่อหลานบอกสาวใช้คนอื่นออกไป ให้เหลือเพียงสาวใช้คนสนิทเท่านั้นเมื่อประตูห้องปิดลง เสี่ยวชิงที่ยืนนิ่งอยู่ก็แสดงอาการร้อนรนขึ้นมาทันที“คุณหนูอย่าไปนะเจ้าคะ แม่นางมู่ต้องมีแผนร้ายเพื่อจะกลั่นแกล้งคุณหนูแน่ อาหลิงบอกว่ามีการติดต่อญาติจากนอกเมืองด้วยจดหมายลับที่ปิดผนึก ไม่รู้ว่าเนื้อหานั้นเป็นอย่างไร บางทีคืนนี้คุณหนูอาจจะถูกปองร้ายก็ได้” ความคาดเดาของเสี่ยวชิงนั้นก็คล้ายกับความคิดของตน ทำให้ฉวนเร่อหลานยิ้มออกมา“หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ดีนะสิ”“คุณหนู” เสี่ยวชิงร้องเสียงหลง เมื่อคุณหนูรองของตนไม่เกรงกลัวภัยใดๆ“ฝนหมึกและเตรียมพู่กันกับกระดาษมา” นางสั่งให้เสี่ยวชิงที่เป็นกังวลอยู่ทำตามที่บอกเมื่อห้ามปรามไม่ได้ก็คงทำได้แค่ช่วยระวังภัยและทำตามคำสั่ง สาวใช้วัยสิบหกรีบเตรียมสิ่งของตามที่คุณหนูรองฉวนบอกอย่างไม่รอช้าเมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาครบแล้ว แขนเรียวเล็กก็ยกขึ้นแล้วถลกชายเสื้อขึ้นมา มือซ้ายจับชายเสื้อเอาไว้แล้วใช้มือขวาเขียนจดหมายด้วยข้อความที่บรรจงหลังจากเข
หน้าจวนเจ้าเมืองฉวน รถม้าสกุลฉวนจอดนิ่ง บันไดไม้ถูกนำมาวางตั้งให้คนที่นั่งในรถม้าเดินลงมาได้อย่างสะดวกอาชาศึกทั้งสามตัวหยุดอยู่ข้างๆ รถม้า รองแม่ทัพหยางหมิงซานกระโดดลงมาแล้วเดินเคียงข้างกับคู่หมั้นของตนเข้าไป ต่างคนต่างก็ทำสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่ฉวนเร่อหลานจะเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน“คุณชายหยาง ท่านจะเดินทางกลับอี้โจวแต่ตั้งใจมาแวะเยี่ยมเยียนข้าก่อน เร่อหลานซาบซึ้งยิ่งนัก” เสียงนั้นฟังดูนุ่มนวลอ่อนหวาน สรรพนามที่ใช้เรียกก็ดูไม่ห่างเหินนัก เพราะตอนอยู่บนรถม้าเสี่ยวชิงได้ทักเรื่องนี้แล้ว ตนจึงต้องรีบเปลี่ยนก่อนที่บุรุษตาเหยี่ยวผู้นี้จะสงสัย“เจ้ารู้จักกับถังฮูหยินได้อย่างไร” เขาไม่สนใจคำพูดก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย มุ่งประเด็นถามถึงแต่เรื่องหลิวอี้เจิน มันน่าน้อยใจนัก“พี่อี้เจินกับข้าเคยเจอกันโดยบังเอิญที่ร้านขายเครื่องประทินโฉมอยู่บ่อยครั้ง จึงเคยพูดคุยกันบ้าง พอหายป่วยจากการตกน้ำข้าจึงรีบไปไหว้สุสานของนาง ข้าตอบคำถามท่านแล้ว แล้วท่านเล่าเจ้าคะ” คนถูกถามย้อนถามกลับ ไม่สนใจท่าทีเย็นชาของอีกฝ่าย“ข้ารู้จักคุณหนูหลิว ตั้งแต่ตอนที่นางอยู่อี้โจว” เขาพูดแค่นั้น จากนั้นเมื่อเดินเข้าสู่ห้องโถงพร้อมกั
เสียงเกือกม้าที่ควบวิ่งอย่างคะนอง และชายที่แต่งกายด้วยชุดสีดำท่าทางองอาจ กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองจินโจวอย่างทระนงเมื่อถึงทางแยกก่อนเข้าสู่ตัวเมือง บังเหียนก็ถูกดึงให้ม้าหยุดวิ่ง สองข้าหน้ายกขึ้นพร้อมเสียงร้องเมื่อถูกผู้เป็นนายกระชากไว้ ผู้ติดตามอีกสองคนที่ควบขี่ม้าตามมาจึงต้องหยุดตาม“นายน้อย มีอะไรหรือไม่” เจิ้งจิ้งเหยา ทหารมือขวาคนสนิทกล่าวถามอย่างประหลาดใจ หากควบม้าตรงเข้าไปก็เป็นประตูเข้าเมืองจินโจวแล้ว“ข้าอยากไปที่ที่หนึ่งก่อน พวกเจ้าล่วงหน้าไปก่อนเถอะ” หยางหมิงซาน รองแม่ทัพผู้องอาจในวัยยี่สิบสามกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูมีความกังวล“นายน้อย ท่านเข้าไปเมืองจินโจวก่อนเถิด ส่วนเรื่องอื่นค่อยทำก็ยังไม่สาย หากผู้อื่นรู้จะครหาเอาได้” เจิ้งจิ้งหยวน ทหารมือซ้าย ฝาแฝดผู้น้องก็กล่าวขึ้นมาพวกตนติดตามรับใช้หยางหมิงซานมาตั้งแต่ยังวัยเยาว์ ทั้งร่วมฝึกปรือการต่อสู้และร่ำเรียนบุ๋นบู๊มาด้วยกัน คอยตามเป็นเงาไม่ห่าง เหตุใดจึงจะไม่รู้เท่าทันความคิดของรองแม่ทัพหนุ่มผู้นี้“ข้าไม่สน” พูดจบ มือที่กำบังเหียนก็จับแน่น เท้าทั้งสองกระทุ้งที่สะโพกของอาชาสีขาวคู่ใจ มุ่งหน้าเลี้ยวไปยังเส้นทางที่มุ่งสู่เน
เมืองจินโจวแห่งแคว้นกู่ที่แสนรุ่งโรจน์และขึ้นชื่อเรื่องเมืองที่มีทัศนียภาพที่งดงามที่สุดในแคว้น ตอนนี้มีหิมะกำลังโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง จนพื้นขาวโพลนไปด้วยเกล็ดหิมะที่พร่างพราวนั้นในเรือนใหญ่ของตระกูลถังที่ห้องนอนเล็กทางหลังเรือน หลิวอี้เจินผู้เป็นภรรยาเอกกำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยอาการที่ทรุดหนักสายตาคู่งามบัดนี้เหม่อลอย มองดูห้องนอนเล็กที่ตนย้ายมาอยู่เพราะความหลงผิดของสามี ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าหลายปีก่อน หลิวอี้เจินยังเป็นเพียงคุณหนูหลิวที่มีคุณชายตระกูลใหญ่หลายตระกูลมาชอบพอและเกี้ยวพาราสี แต่เพราะถังฮ่าวอี้ที่ต่างจากคนอื่น ทำให้นางรู้สึกประทับใจเขามากกว่าผู้ใด และเลือกเป็นคู่ครองของตนเขาเป็นผู้เดียวที่แวะเวียนมาหาแล้วไม่รบเร้าขอพบหน้า ฝากจดหมายเป็นบทกลอนน่าประทับใจส่งให้แก่นาง ต่างจากคนอื่นที่ซื้อข้าวของมีค่ามาให้และมักจะเรียกร้องให้นางออกไปนั่งพูดคุยด้วยบทกลอนทุกบรรทัดในยามนั้นยังจำได้ขึ้นใจ เขาช่างเป็นคุณชายที่แสนอบอุ่น ฉลาดเฉลียว มีน้ำใจ ยึดถือความซื่อสัตย์ และแสดงถึงความรักเดียวใจเดียว มุ่งมั่นที่จะเป็นอย่างบิดาที่มีภรรยาเดียวความตั้งใจนั้นมีหรือว่าหลิวอี้เจ...
Comments