เมืองจินโจวแห่งแคว้นกู่ที่แสนรุ่งโรจน์และขึ้นชื่อเรื่องเมืองที่มีทัศนียภาพที่งดงามที่สุดในแคว้น ตอนนี้มีหิมะกำลังโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง จนพื้นขาวโพลนไปด้วยเกล็ดหิมะที่พร่างพราวนั้น
ในเรือนใหญ่ของตระกูลถังที่ห้องนอนเล็กทางหลังเรือน หลิวอี้เจินผู้เป็นภรรยาเอกกำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยอาการที่ทรุดหนัก
สายตาคู่งามบัดนี้เหม่อลอย มองดูห้องนอนเล็กที่ตนย้ายมาอยู่เพราะความหลงผิดของสามี ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
หลายปีก่อน หลิวอี้เจินยังเป็นเพียงคุณหนูหลิวที่มีคุณชายตระกูลใหญ่หลายตระกูลมาชอบพอและเกี้ยวพาราสี แต่เพราะถังฮ่าวอี้ที่ต่างจากคนอื่น ทำให้นางรู้สึกประทับใจเขามากกว่าผู้ใด และเลือกเป็นคู่ครองของตน
เขาเป็นผู้เดียวที่แวะเวียนมาหาแล้วไม่รบเร้าขอพบหน้า ฝากจดหมายเป็นบทกลอนน่าประทับใจส่งให้แก่นาง ต่างจากคนอื่นที่ซื้อข้าวของมีค่ามาให้และมักจะเรียกร้องให้นางออกไปนั่งพูดคุยด้วย
บทกลอนทุกบรรทัดในยามนั้นยังจำได้ขึ้นใจ เขาช่างเป็นคุณชายที่แสนอบอุ่น ฉลาดเฉลียว มีน้ำใจ ยึดถือความซื่อสัตย์ และแสดงถึงความรักเดียวใจเดียว มุ่งมั่นที่จะเป็นอย่างบิดาที่มีภรรยาเดียว
ความตั้งใจนั้นมีหรือว่าหลิวอี้เจินจะไม่พึงใจ นางหลงในถ้อยคำที่เขียนในจดหมาย จนกระทั่งมอบใจให้แก่เขา แต่งเข้าเป็นสะใภ้สกุลถังเพราะถ้อยคำที่หวานล้ำและความรักเดียวใจเดียวของถังฮ่าวอี้
“ข้าจะไม่มีอนุคนใดให้เจ้าต้องเจ็บช้ำ” คำสัญญาในคืนแรกที่เข้าหอ ตอนนี้กลับไร้ค่า
หลังจากแต่งงานได้ไม่ถึงปี ถังฮ่าวอี้ก็มีข้ออ้างในการพาอนุแต่งเข้าเรือน
“ข้าจำใจต้องรับนางเอาไว้ นางคือบุตรสาวตระกูลไป๋ที่หมั้นหมายแต่เด็ก ข้าจะไม่ให้มาวุ่นวายที่เรือนหลัก เจ้าอย่าได้เสียใจไปอย่างไรข้าก็รักเจ้าเพียงคนเดียว”
“นางผู้นี้คือคุณหนูเซียว ใต้เท้าเซียวยกนางให้แก่ข้าเหตุเพราะนางไม่อยากไปเป็นสนมของอ๋องแคว้นลิ่ว หากไม่รับก็ไม่ได้ อี้เจินอย่าได้ถือโกรธสามีเลย”
สารพัดคำพูดหว่านล้อมที่เขามีภรรยาที่แต่งเข้ามาเป็นอนุ หลิวอี้เจินมีหรือจะปฏิเสธได้ จึงได้แต่ยื่นคำขาดว่าไม่ให้ใครขึ้นมาเทียบเคียงตน และย้ำสัญญาที่เขาเคยให้ไว้ว่าจะไม่ให้ใครมาวุ่นวายที่เรือนหลัก
อนุคนอื่นที่ผ่านมาอยู่เรือนเล็กไม่เคยมาข้องแวะที่เรือนหลัก และเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด
แต่กับลู่หนี่เซียวอนุคนใหม่ เขากลับพามาอยู่ที่เรือนหลัก ทำให้หลิวอี้เจินหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความหนักอก
นอกจากสามีจะมากรักแล้ว ยังผิดคำสัญญาที่ให้ไว้แก่ตน ทั้งรักทั้งหลงอนุดอกบัวขาว[1]อย่างลู่หนี่เซียว หูตามืดบอดจนขับไล่ตนมาอยู่ที่ห้องท้ายเรือนแห่งนี้
นั่นเพราะแต่งงานได้สามปีแล้ว แต่หลิวอี้เจินไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์ ลู่หนี่เซียวที่มาไม่ถึงสามเดือนกลับตั้งครรภ์แล้วเรียกร้องมาอยู่ที่เรือนหลัก อ้างว่าเรือนด้านหลังนั้นทำให้นางหายใจไม่ถนัดเพราะคับแคบ
ถังฮ่าวอี้ก็เลวเหลือทน เมื่ออนุตั้งครรภ์ก็พามาอยู่ที่เรือนหลักหยามหน้าภรรยาอย่างตน จากนั้นก็อ้างว่าฝันร้ายให้ซินแสมาปัดเป่าแล้วใส่ร้ายตน
หลิวอี้เจินกลายเป็นคนที่มีดวงกาลกิณี ทำนายว่าจะทำให้สกุลถังล่มจมไร้ซึ่งทายาท
ถังฮ่าวอี้อยากขอหย่าและจะขับไล่ออกจากเรือน แต่ว่าไม่อยากมีปัญหากับสกุลหลิวที่เป็นตระกูลค้าขายผ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองอี้โจว จึงขับไล่ให้นางมาอยู่ที่ห้องเล็กท้ายเรือนแทน
“กินอะไรบ้างเถิดเจ้าค่ะ ท่านยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้าแล้ว” ไจ๋ซิ่วบอกแก่นายหญิงคนตน ที่บัดนี้อยู่ในสภาพของคนที่ตรอมใจ น้ำตารินไหลอยู่ตลอดเวลา
“ท่านพี่ล่ะ” น้ำเสียงที่อิดโรยถามขึ้นมาด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
“อยู่กับอนุลู่เจ้าค่ะ” คำตอบนั้นทำให้น้ำตาของนางร่วงเผาะ รู้แก่ใจแต่ก็ยังถาม รู้สึกสมเพชตนเองนัก
มือซีดขาวยกขึ้นด้วยความสั่นเทา ชี้ไปยังกล่องไม้ที่วางอยู่บนชั้นวาง “หยิบกล่องไม้นั้นให้ข้า”
เสียงที่อ่อนแรงราวกับดอกไม้ที่ใกล้ร่วงโรยนั้นทำให้ไจ๋ซิ่วสงสารนายหญิงของตนจับใจ เดินไปหยิบกล่องไม้ที่หลิวอี้เจินหวงแหนนักหนาไปให้แก่นาง
มือที่สั่นเทาเปิดกล่องไม้ที่แกะสลักรูปดอกเหมยเล็กๆ อย่างประณีตที่เก็บของสำคัญเอาไว้ หยิบจดหมายจากสามีขึ้นมาอ่านด้วยหัวใจที่แตกสลาย
ข้อความหวานล้ำและมุ่งมั่นที่จะรักเดียวใจเดียว คุณชายถังผู้นั้นหายไปไหนกัน ตอนนี้มีเพียงถังฮ่าวอี้ที่แสนอำมหิต มากรักและไร้สัจจะ เสียแรงที่มอบความรักให้เต็มหัวใจ
“ข้าอยากกลับไปสกุลหลิว”
“ให้พ้นฤดูหนาวนี้ไปก่อน อดทนสักนิด บ่าวจะไม่ยอมให้ฮูหยินต้องอยู่ที่เรือนนี้แน่” สาวใช้คนสนิทบอกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นแทนนายของตน
“อาซิ่ว มีเพียงเจ้าในตอนนี้ที่อยู่เคียงข้างข้า ข้าไม่น่าเลือกเชื่อคารมของฮ่าวอี้ บุรุษผู้ยึดมั่นในความรักและอยากมีภรรยาคนเดียวเช่นนั้นหรือ...น่าขันสิ้นดี”
น้ำเสียงที่ไร้เรี่ยวแรงนั้นกล่าวออกมาแล้วยิ้มที่มุมปาก ราวกับจะสมน้ำหน้าตัวเองที่ไร้เดียงสา เชื่อเพียงถ้อยคำไม่กี่คำแล้วตัดสินใจแต่งงานกับเขาหลังจากรู้จักกันได้ไม่นาน
สักพักประตูห้องก็ถูกเปิดออก คนที่เข้ามาคืออนุดอกบัวขาวลู่หนี่เซียว หลิวอี้เจินมองดูเครื่องประดับที่อยู่บนตัวของนางลู่แล้วก็เจ็บปวดใจเพราะทุกอย่างเคยเป็นของตน
“อี้เจิน ยังอยู่ดีหรือ” รอยยิ้มและน้ำเสียงที่เย้ยหยันนั้นช่างน่ารังเกียจยิ่ง
“ท่านกล้าดีอย่างไรเรียกชื่อฮูหยินตรงๆ เช่นนี้” ไจ๋ซิ่วออกตัวแทนนาย
สืออินสาวใช้ของลู่หนี่เซียวปรี่เข้ามาตบหน้าจนสาวใช้ใจกล้าล้มลงไปกับพื้น แล้วใช้ร่างท้วมของตนทับไจ๋ซิ่วเอาไว้
“ปล่อยคนของข้า...หนี่เซียวคนของเจ้าทำเกินไปแล้ว” แม้ร่างกายจะอ่อนแอและเป็นผู้ถูกกระทำ แต่จิตใจของนางไม่ได้ยอมให้ใครมารังแก ยอมเป็นหยกที่แตกหัก ไม่ยอมเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์[2] อย่างน้อยตนก็ยังคงเป็นภรรยาเอกของถังฮ่าวอี้
“ยังไม่จัดการอีกหรือหนี่เอ๋อร์” สามีโฉดชั่วตามเข้ามาแล้วพูดกับอนุร้ายกาจเสียงนุ่ม
สายตาที่ไร้ซึ่งความรักคล้ายเข็มเหล็กทิ่มแทงหัวใจสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นกาลกิณีตรงหน้า ไม่มีความรักเหลือแม้แต่น้อย ซึ่งยังไม่เจ็บปวดเท่าสิ่งที่เขาคิดจะทำกับนางในตอนนี้
“ท่านคิดจะทำอะไรข้า” นางกล่าวถามเสียงสั่น
ในมือกำจดหมายแน่นด้วยความรู้สึกถึงภัยที่กำลังเกิด
“หากขอหย่ากับเจ้ารังแต่จะทำให้สกุลหลิวกับสกุลถังผิดใจกัน แต่หากเจ้าป่วยตายไปน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า” น้ำเสียงที่เย็นชานั้นพูดขึ้นแล้วพยักหน้าให้แก่สืออิน
สาวใช้ร่างท้วมกระดาษห่อยาพิษจับกรอกปากไจ๋ซิ่ว ท่ามกลางเสียงห้ามที่อิดโรยของหลิวอี้เจิน
“อาซิ่ว” ตอนนี้หัวใจถูกบีบอย่างแรงเมื่อเห็นสาวใช้คนสนิทกำลังทุกข์ทรมาน
ร่างบอบบางกำลังดิ้นรนที่พื้น ฟองน้ำลายผุดที่ริมฝีปาก ดวงตาเบิกโพลงกำลังสิ้นลมไปต่อหน้า
“เจ้านายป่วยตาย สาวใช้จึงกินยาพิษฆ่าตัวตายตาม ช่างเป็นแผนการที่ล้ำลึกนัก” ถังฮ่าวอี้พูดเสียงเย็น มองดูสืออินที่ตอนนี้ตรงเข้าไปจับภรรยาของตนกดลงที่เตียง
จากนั้นลู่หนี่เซียวก็เอาเสื้อผ้าของหลิวอี้เจินมา แล้วอุดปากอุดจมูกให้อีกฝ่ายหายใจไม่ได้
ดวงตาของหลิวอี้เจินเบิกโพลง มองสามีที่ยืนดูอยู่ด้วยความเลือดเย็น จากนั้นก็เริ่มทรมานเพราะหายใจไม่ออก ทว่าร่างกายที่อ่อนแอและตรอมใจในตอนนี้ก็ยิ่งไร้เรี่ยวแรงที่จะขัดขืน
จากนั้นทุกอย่างก็พลันดับลง พร้อมกับความเจ็บปวดและความแค้นในอกต่อสามีที่ไร้หัวใจ
************************
[1] เปรียบเปรยถึงหญิงสาวที่แกล้งทำเป็นใสซื่อ แต่เต็มไปด้วยเล่ห์ร้าย
[2] หมายความว่ายอมตายอย่างมีเกียรติ แต่จะไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี
เปลือกตาของหญิงสาวกำลังขยับ จากนั้นก็เบิกตากว้างพร้อมทั้งสำลักน้ำออกมา“คุณหนูฟื้นแล้ว” เสียงผู้คนที่พูดอยู่รอบกายทำให้หญิงสาวมองไปรอบๆ พบว่าตนนอนอยู่ที่ริมสระน้ำในสวนของบ้านตระกูลไหนสักที่ที่ไม่คุ้นตาสาวใช้คนหนึ่งพยุงให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วนางก็สำลักน้ำออกมาอีกครั้ง“ที่นี่ที่ไหนกัน” น้ำเสียงนั้นกล่าวถามพร้อมกับท่าทางที่ยังคงมึนงงอยู่“ที่ริมสระน้ำในจวน คุณหนูตกน้ำเจ้าค่ะ” สาวใช้แปลกหน้าพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยินดีกับตนที่รอดชีวิต“แล้วเจ้าเป็นใคร สาวใช้ใหม่เช่นนั้นหรือ”ประโยคนั้นทำให้เสี่ยวชิงถึงกับยิ้มไม่ออก หันกลับไปหาพ่อบ้านฉวนที่ยืนอยู่ “คุณหนูแย่แล้ว นางจำข้าไม่ได้”พ่อบ้านสกุลฉวนวิ่งเข้ามาดู หลิวอี้เจินอยู่ในร่างของฉวนเร่อหลานเงยหน้ามองพ่อบ้านด้วยแววตาที่ประหลาดออกไป ราวกับว่าไม่เคยพบหน้าหรือรู้จักกันมาก่อน“แย่แล้ว” พ่อบ้านวัยกลางคนรีบวิ่งเข้าไปในเรือน ในขณะที่สาวใช้ช่วยพาร่างที่อิดโรยของฉวนเร่อหลานเข้าไปยังหอนอนของนางเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มออกดวงตาคู่เรียวปรือตามองด้วยความอ่อนแรง มองบรรดาสาวใช้ช่วยกันพยุงร่างตนโดยไม่ได้ขัดขืน จากนั้นก็รู้สึกอ่อนเพลียแล้วสิ้น
หลายวันผ่านไป หลังจากรักษาอาการเจ็บป่วยจากการตกน้ำดีขึ้นมากแล้วดรุณีน้อยในวัยแรกสาวกำลังนั่งสำรวจเครื่องใบหน้าที่งดงามของตน กระจกทองแดงบานเล็กในมืออีกข้างที่ถืออยู่สะท้อนความงดงามออกมา จนอดชื่นชมตนเองไม่ได้คิ้วโก่งเรียวและริมฝีปากสีลูกท้อตามธรรมชาตินั้นดูเข้ากับใบหน้าที่อ่อนหวาน ดวงตาหงส์ที่เคยดูอ่อนหวานและใสซื่อ บัดนี้ดูต่างจากเดิมรวมไปราวกับคนละคนชุดกระโปรงสีอ่อนใกล้เคียงกับสีของริมฝีปาก ขับให้ผิวขาวเนียนดูเด่นขึ้นมา การแต่งกายในวันนี้นั้นเป็นไปตามปกติ แต่เสี่ยวชิงกลับรู้สึกว่าคุณหนูของตนเปลี่ยนไปและมีความมั่นใจมากขึ้น “วันนี้คุณหนูของบ่าวงามยิ่งนัก”“นั่นสิ งามจริงๆ” ฉวนเร่อหลานชมร่างของตนเอง ในวัยยี่สิบสองที่ตนถูกสามีฆ่าได้กลับมาอยู่ในร่างของสาวน้อยวัยสิบเจ็ดเช่นนี้ก็น่ายินดียิ่งนักย่างเข้าสิบแปดหนาวแต่ยังไม่ออกเรือน ดูไปแล้วก็เหมือนกันตนที่ตอนนั้นไม่ยอมใจอ่อนกับบุรุษหน้าไหน กว่าจะออกเรือนก็อายุสิบเก้าแล้ว“จริงสิเสี่ยวชิง เหตุใดข้ายังไม่ได้ออกเรือน นี่ก็เลยวัยปักปิ่นมานานแล้ว หรือข้าไม่ยอมออกเรือน”คำถามนั้นทำให้เสี่ยวชิงที่กำลังสางผมให้แก่นางหยุดมือลง แล้ววางหวีไม้ที่สลักลวด
เมื่อร่างกายพร้อมแล้วฉวนเร่อหลานก็ไม่รีรอที่จะเอาคืนมู่ซือซือผู้ร้ายกาจเท่าที่ฟังจากเสี่ยวชิงเล่าแล้ว มู่ซือซือผู้นี้เดิมทีเป็นอี้จี[1] ที่บุรุษต่างหมายปอง นางติดตามฉวนเซ่าฉือมาจากต่างเมือง เดิมตกลงกันว่าจะรับไว้เป็นอนุคนที่เจ็ด แต่กลับเป็นที่หลงใหลมากกว่าอนุผู้ใดจนฉวนเซ่าฉือยินยอมจะจัดงานแต่งงานให้นางเข้าตระกูลฉวนได้อย่างออกหน้าตามที่อีกฝ่ายร้องขอ ยอมผิดคำสัญญาแก่ฉวนฮูหยิน มารดาของเจ้าของร่างนี้ เช่นเดียวกับถังฮ่าวอี้ที่ผิดสัญญากับหลิวอี้เจินแบบนี้จะไม่ให้นางเกลียดการออกเรือนได้อย่างไร ในความคิดของฉวนเร่อหลานตอนนี้นางเกลียดชังบุรุษยิ่งนัก พวกเขาเห็นความรักและความไว้ใจของภรรยาเป็นเพียงสิ่งไร้ค่า“คุณหนูจะไปที่ใดเจ้าคะ” เสี่ยวชิงและสาวใช้อีกสองคนเดินตามมาไม่ห่าง“อยากไปนั่งเล่นที่สวนที่เรือนใหญ่เสียหน่อย ไปดูดอกบัวน่ะ” ริมฝีปากบางเปล่งเสียงที่แสดงถึงความสดใส อยากให้สาวใช้คนอื่นๆ ยังเข้าใจว่าตนยังคงเป็นคุณหนูที่แสนดี“แต่เวลานี้แม่นางมู่กำลังนั่งจิบน้ำชากับนายท่านที่สวน ข้าเกรงว่าจะไม่เป็นการดีนัก” เสี่ยวชิงบอกด้วยความกังวล ไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมากับคุณหนูของตนอีก“ในเมื่อนางอ
ร่างอรชรนอนอยู่บนตั่งนอนในห้องนอนของตน ท่ามกลางสายตาที่ห่วงใยจากบิดาและมารดาที่นั่งเฝ้าอยู่ในห้อง“หลานหลานยังไม่หายดีแต่ก็ออกไปเดินแบบนั้นจึงเป็นลมหมดสติไป เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกฮูหยิน” เจ้าเมืองฉวนบอกแก่หลี่หงภรรยาเอกของตนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นร้อนใจกับอาการเจ็บป่วยของบุตรสาว“หมดสติหรือโดนกลั่นแกล้งกันแน่” ฉวนฮูหยินกล่าวเสียงแข็ง ตั้งแต่สามีพาหญิงงามกลับมาที่เรือน ทุกอย่างก็เลวร้ายลงไปทุกวัน“เจ้าอคติกับซือซือมากเกินไปแล้ว ข้าเห็นเองกับตาว่าลูกเราไม่สบาย ซือซือนางมิได้แตะหลานหลานแม้แต่ปลายเล็บ” ฉวนเซ่าฉือกล่าวเสียงแข็งริมฝีปากของผู้เป็นภรรยาเอกเม้มแน่น จะทำหรือไม่นางไม่สนใจ เพราะอย่างไรเสียสามีก็เข้าข้างผู้หญิงแพศยานางนั้นอยู่แล้วเฉินกู้เฉียงหมอที่ถูกเรียกเข้ามา เป็นญาติฝ่ายมารดาของหลี่หง ในห้องนอนของคุณหนูรองฉวน เขาจับชีพจรและตรวจดูก็พบว่าทุกอย่างเป็นปกติดี จึงวินิจฉัยว่าอาจเป็นเพราะร่างกายเพิ่งฟื้นตัวจึงยังคงอ่อนเพลียอยู่ และจัดยาบำรุงเอาไว้ให้“ไม่มีอะไรมากแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน” หลังจากตรวจสอบอาการป่วยเสร็จก็จะกลับไป“เสร็จแล้วเชิญท่านไปทางด้านนั้น ในเรือนยังมีคนป่วยอีกคน” ฉวนเซ
เสียงเกือกม้าที่ควบวิ่งอย่างคะนอง และชายที่แต่งกายด้วยชุดสีดำท่าทางองอาจ กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองจินโจวอย่างทระนงเมื่อถึงทางแยกก่อนเข้าสู่ตัวเมือง บังเหียนก็ถูกดึงให้ม้าหยุดวิ่ง สองข้าหน้ายกขึ้นพร้อมเสียงร้องเมื่อถูกผู้เป็นนายกระชากไว้ ผู้ติดตามอีกสองคนที่ควบขี่ม้าตามมาจึงต้องหยุดตาม“นายน้อย มีอะไรหรือไม่” เจิ้งจิ้งเหยา ทหารมือขวาคนสนิทกล่าวถามอย่างประหลาดใจ หากควบม้าตรงเข้าไปก็เป็นประตูเข้าเมืองจินโจวแล้ว“ข้าอยากไปที่ที่หนึ่งก่อน พวกเจ้าล่วงหน้าไปก่อนเถอะ” หยางหมิงซาน รองแม่ทัพผู้องอาจในวัยยี่สิบสามกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูมีความกังวล“นายน้อย ท่านเข้าไปเมืองจินโจวก่อนเถิด ส่วนเรื่องอื่นค่อยทำก็ยังไม่สาย หากผู้อื่นรู้จะครหาเอาได้” เจิ้งจิ้งหยวน ทหารมือซ้าย ฝาแฝดผู้น้องก็กล่าวขึ้นมาพวกตนติดตามรับใช้หยางหมิงซานมาตั้งแต่ยังวัยเยาว์ ทั้งร่วมฝึกปรือการต่อสู้และร่ำเรียนบุ๋นบู๊มาด้วยกัน คอยตามเป็นเงาไม่ห่าง เหตุใดจึงจะไม่รู้เท่าทันความคิดของรองแม่ทัพหนุ่มผู้นี้“ข้าไม่สน” พูดจบ มือที่กำบังเหียนก็จับแน่น เท้าทั้งสองกระทุ้งที่สะโพกของอาชาสีขาวคู่ใจ มุ่งหน้าเลี้ยวไปยังเส้นทางที่มุ่งสู่เน
หน้าจวนเจ้าเมืองฉวน รถม้าสกุลฉวนจอดนิ่ง บันไดไม้ถูกนำมาวางตั้งให้คนที่นั่งในรถม้าเดินลงมาได้อย่างสะดวกอาชาศึกทั้งสามตัวหยุดอยู่ข้างๆ รถม้า รองแม่ทัพหยางหมิงซานกระโดดลงมาแล้วเดินเคียงข้างกับคู่หมั้นของตนเข้าไป ต่างคนต่างก็ทำสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่ฉวนเร่อหลานจะเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน“คุณชายหยาง ท่านจะเดินทางกลับอี้โจวแต่ตั้งใจมาแวะเยี่ยมเยียนข้าก่อน เร่อหลานซาบซึ้งยิ่งนัก” เสียงนั้นฟังดูนุ่มนวลอ่อนหวาน สรรพนามที่ใช้เรียกก็ดูไม่ห่างเหินนัก เพราะตอนอยู่บนรถม้าเสี่ยวชิงได้ทักเรื่องนี้แล้ว ตนจึงต้องรีบเปลี่ยนก่อนที่บุรุษตาเหยี่ยวผู้นี้จะสงสัย“เจ้ารู้จักกับถังฮูหยินได้อย่างไร” เขาไม่สนใจคำพูดก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย มุ่งประเด็นถามถึงแต่เรื่องหลิวอี้เจิน มันน่าน้อยใจนัก“พี่อี้เจินกับข้าเคยเจอกันโดยบังเอิญที่ร้านขายเครื่องประทินโฉมอยู่บ่อยครั้ง จึงเคยพูดคุยกันบ้าง พอหายป่วยจากการตกน้ำข้าจึงรีบไปไหว้สุสานของนาง ข้าตอบคำถามท่านแล้ว แล้วท่านเล่าเจ้าคะ” คนถูกถามย้อนถามกลับ ไม่สนใจท่าทีเย็นชาของอีกฝ่าย“ข้ารู้จักคุณหนูหลิว ตั้งแต่ตอนที่นางอยู่อี้โจว” เขาพูดแค่นั้น จากนั้นเมื่อเดินเข้าสู่ห้องโถงพร้อมกั
เสี่ยวชิงนำสิ่งที่เสี่ยวหลิงมากระซิบบอกแก่คุณหนูของตน จากนั้นก็ขยับออกไปยืนที่มุมห้องด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล“พวกเจ้าออกไปก่อน” ฉวนเร่อหลานบอกสาวใช้คนอื่นออกไป ให้เหลือเพียงสาวใช้คนสนิทเท่านั้นเมื่อประตูห้องปิดลง เสี่ยวชิงที่ยืนนิ่งอยู่ก็แสดงอาการร้อนรนขึ้นมาทันที“คุณหนูอย่าไปนะเจ้าคะ แม่นางมู่ต้องมีแผนร้ายเพื่อจะกลั่นแกล้งคุณหนูแน่ อาหลิงบอกว่ามีการติดต่อญาติจากนอกเมืองด้วยจดหมายลับที่ปิดผนึก ไม่รู้ว่าเนื้อหานั้นเป็นอย่างไร บางทีคืนนี้คุณหนูอาจจะถูกปองร้ายก็ได้” ความคาดเดาของเสี่ยวชิงนั้นก็คล้ายกับความคิดของตน ทำให้ฉวนเร่อหลานยิ้มออกมา“หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ดีนะสิ”“คุณหนู” เสี่ยวชิงร้องเสียงหลง เมื่อคุณหนูรองของตนไม่เกรงกลัวภัยใดๆ“ฝนหมึกและเตรียมพู่กันกับกระดาษมา” นางสั่งให้เสี่ยวชิงที่เป็นกังวลอยู่ทำตามที่บอกเมื่อห้ามปรามไม่ได้ก็คงทำได้แค่ช่วยระวังภัยและทำตามคำสั่ง สาวใช้วัยสิบหกรีบเตรียมสิ่งของตามที่คุณหนูรองฉวนบอกอย่างไม่รอช้าเมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาครบแล้ว แขนเรียวเล็กก็ยกขึ้นแล้วถลกชายเสื้อขึ้นมา มือซ้ายจับชายเสื้อเอาไว้แล้วใช้มือขวาเขียนจดหมายด้วยข้อความที่บรรจงหลังจากเข
เหตุการณ์ที่มู่ซือซือชิงลงมือฆ่าโจรที่ตนว่าจ้างมา ทำให้ทุกคนตกตะลึงและไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องน่าอนาถเช่นนี้ขึ้น“เข้าจะทำร้ายข้ากับคุณหนูรองก็สมควรตายแล้ว” นางกล่าวอย่างโกรธแค้น ก่อนจะมือไม้สั่นแล้วทิ้งมีดลงกับพื้น“ไม่..ไม่.. ข้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่... ไม่จริง กรี๊ด!” สิ้นเสียงกรีดร้องนั้น มู่ซือซือก็หมดสติไปฉวนเซ่าฉือร้อนใจไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร จะเชื่อสิ่งที่บุตรีของตนบอก หรือจะเชื่อว่าหญิงงามตรงหน้าเพียงถูกเข้าใจผิดเท่านั้น ยิ่งนางหมดสติไปเพราะพลั้งมือฆ่าโจรชั่วผู้นั้น ก็ทำให้สับสนกับเหตุการณ์นี้มาก“ซือซือ...”“นางทำขนาดนี้ท่านพ่อยังจะห่วงนางอีกหรือ” ฉวนเร่อหลานผละออกจากอ้อมกอดของบิดา มารยาของนางที่ชิงลงมือฆ่าโจรนิรนามผู้นั้น ทำให้บิดาเชื่อว่านางเองก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายด้วยหรือ“ท่านลุงฉวน เหตุการณ์นี้ข้าเห็นมาตั้งแต่ต้น” รองแม่ทัพหนุ่มที่รอดูสถานการณ์อยู่กล่าวออกมา จากนั้นก็พยักหน้าให้เจิ้งจิ้งเหยาเป็นผู้อธิบาย“แม่นางผู้นั้นตั้งใจจะทำร้ายคุณหนูรองจริง มิหนำซ้ำยังกล่าวอีกด้วยว่าคืนนี้นางตั้งใจให้คุณหนูรองจมอยู่ก้นสระ... ไม่ให้พลาดเหมือนอย่างคราวก่อนที่นางผลักคุณหนูตกสระไป”
ในตอนเช้าของวันหนึ่ง ฉวนเร่อหลานมีอาการไม่สู้ดีนัก ใบหน้าของนางซีดเซียวและกินอาหารไม่ลง กินสิ่งใดก็อาเจียนและคลื่นไส้ไปหมด ทำให้หยางหมิงซานไม่ได้ออกไปฝึกซ้อมทหารและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ สองเจิ้งในการควบคุมดูแลการฝึกซ้อมแทนตน และอยู่ดูแลภรรยาไม่ห่างหมอเฉินผู้มีศักดิ์เป็นท่านลุงของฉวนเร่อหลาน ถูกเชิญให้มาตรวจดูอาการ ทันทีที่ตรวจชีพจรและสอบถามอาการต่างๆ เบื้องต้น รอยยิ้มก็พลันปรากฏขึ้นที่ใบหน้า ทำให้แม่ทัพหนุ่มอยากรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น“ท่านลุงเฉิน ไม่ทราบว่าข้าเป็นอะไรหรือ”“ยินดีด้วย เจ้าตั้งครรภ์อยู่ร่างกายจึงอ่อนแอ เป็นธรรมดา หลังจากนี้พักผ่อนให้เพียงพอ และอย่าสิ่งใดที่หักโหมให้มาก ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ หลังจากนี้ก็ดูแลตัวเองให้ดี ดื่มยาบำรุง เท่านี้ก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงแล้ว”“ขอบคุณท่านหมอ” หยางหมิงซานกล่าว แล้วขยับไปนั่งกุมมือภรรยาที่นอนอยู่ ในขณะที่หมอเฉินกำลังเขียนใบสั่งยาาเอาไว้ให้ฉวนเร่อหลานเอามือกุมท้องของตน นางกำลังตั้งครรภ์อย่างนั้นหรือ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก ในที่สุดก็จะได้สัมผัสรสชาติของการเป็นแม่ ไม่คิดเลยว่าแต่งงานเพียงไม่กี่เดือน ตนก็จะมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแร
ฉวนเร่อหลานสามารถจัดการเรื่องทุกอย่างในจวนได้อย่างไม่มีที่ติ คนรับใช้ที่ติดตามมาจากสกุลเดิมนั้นมีส่วนหนึ่ง มีคนของหยางหมิงซานส่วนหนึ่ง และได้ซื้อตัวเข้ามาอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งการคัดเลือกนั้นก็เป็นนางที่ทำหน้าที่ด้วยตนเอง เข็ดแล้วกับบ่าวที่คิดคดทรยศ อย่างสืออิน จะต้องหาผู้ที่ซื่อตรงและไว้ใจได้นอกจากนั้นงานบ้านงานเรือนก็เรียบร้อย และเป็นระเบียบ ตั้งกฎของจวนร่วมกันกับหยางหมิงซานผู้เป็นสามี มีความเคร่งครัดเพื่อป้องกันไม่ให้บ่าวในเรือน ทำผิด เพราะโทษที่จะได้รับนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้าง หนักหนา“วันนี้นายหญิงลงมือทำอาหารด้วยตนเองอีกแล้ว เช่นนี้แม่ครัวก็สบายไปเลยนะสิเจ้าคะ” เสี่ยวชิงและเสี่ยวหลิงที่กำลังเป็นลูกมืออยู่ในครัว ต่างก็รู้สึก ว่านายหญิงของตน เอาใจสามีบ่อยไปแล้ว“สบายที่ไหนกันเล่า ข้าทำอาหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แม่ครัวก็ทำอีกตั้งหลายอย่าง”“แต่อย่างเดียวที่นายหญิงทำ ใช้เวลานานมากเลยนะเจ้าคะ กลับเข้าห้องเถิดเจ้าค่ะ ที่เหลือให้บ่าวทำต่อเอง บ่าวรู้ว่าคุณหนูจะใส่สิ่งใดลงไปบ้าง”“ใช่แล้วเจ้าค่ะนายหญิง ให้พวกบ่าวช่วยทำต่อเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลิงเองก็ช่วยเสี่ยวชิงโน้มน้าวให้นายหญิงกลับออกไปพ
หลังจากที่ผลัดการแต่งงานมาหลายครา ในที่สุด งานแต่งงานระหว่างแม่ทัพหยางคนลูกและบุตรีท่านเจ้าเมืองจินโจวก็เกิดขึ้น ตามฤกษ์ยามที่วางเอาไว้เจ้าสาวแสนสวยอยู่ในชุดสีแดงที่ปักด้วยลวดลายที่ประณีต ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ ทำให้ใบหน้าหวานดูสวยงามและโดดเด่น เครื่องประดับหัวที่หนักอึ้งทำให้ต้องนั่งหลังตรงเพื่อไม่ให้ทิ้งน้ำหนักเอนไปทางใดทางหนึ่ง“วันนี้คุณหนูของบ่าวงดงามที่สุด” เสี่ยวชิงพูดเสียงสั่นเครือ น้ำตารื้นปริ่มอยู่เส้นขอบตาด้วยความ ปลื้มปีติ ที่คุณหนูของตนกำลังจะออกเรือน“พอได้แล้ว ข้าจะร้องตามเจ้าแล้ว” ฉวนเร่อหลานอมยิ้ม เกรงว่าน้ำตาจะไหลตามแล้วทำให้ใบหน้าเปรอะเปื้อน ทำให้เสี่ยวชิงรีบกะพริบตาไล่น้ำตาออกไป ไม่ให้ไหลออกมาเมื่อถึงฤกษ์ยามที่เหมาะสม ผ้าคลุมศีรษะของเจ้าสาวก็ถูกวางคลุมบนเครื่องประดับหัว ชายผ้าถูกปิดลงมาจนถึงใบหน้าสวยงามในวันมงคลเจ้าสาวถูกพาไปยังห้องโถงพิธีเพื่อทำตามขั้นตอนตามประเพณีหยางหมิงซานสวมชุดเจ้าบ่าวพิธีการเต็มยศสีแดง เดินทางมารับฉวนเร่อหลานเจ้าสาวของตนถึงที่บ้านเจ้าสาวตามธรรมเนียม จากนั้นจึงไปเคารพศาลบรรพชนของสกุลฉวน พร้อมกับให้หนังสื
การมาถึงของนายอำเภอรูปงามทำให้หยางหมิงซานชักสีหน้าออกมาด้วยความไม่พอใจอย่างเปิดเผย และที่น่าโมโหคือฉวนเร่อหลานไม่สังเกตเห็นด้วยซ้ำ ใบหน้าที่ดีใจที่เห็นบุรุษอื่นอย่างไม่ปิดบัง ยิ่งทำให้หัวใจปวดร้าว“ข้าจะแนะนำท่านให้รู้จักกับพี่ยี่หาน” นางหันมาบอกก่อนที่บุรุษนามว่ายี่หานที่เรียกอย่างสนิทสนมนั้นจะเดินเข้ามาถึง‘พี่ยี่หาน’ นางเรียกบุรุษอื่นอย่างสนิทสนมเช่นนั้นได้อย่างไร“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”“อืม” นายอำเภอหนุ่มตอบ มองไปยังหยางหมิงซานยืดอกขึ้นเล็กน้อยอวดหุ่นกำยำราวกับจะข่มขวัญ“พี่ใหญ่ นี่คือรองแม่ทัพหยางหมิงซาน พี่หมิงซาน ผู้นี้คือพี่ชายของข้า ฉวนยี่หาน”บุรุษทั้งสองโค้งศีรษะให้แก่กัน แล้วเผยรอยยิ้มออกมาทั้งคู่ โดยเฉพาะบุรุษร่างกำยำที่ก่อนหน้านี้ทำหน้าบึ้งตึง เมื่อรู้ว่าบุรุษเจ้าสำอางที่ตนเกือบไม่ชอบหน้าในตอนแรก แท้จริงคือพี่ชายของฉวนเร่อหลาน บุตรชายคนโตของเจ้าเมืองจินโจว จึงยิ้มออกมา“ได้ยินว่านายอำเภอซีเหอ มีผลงานตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่คิดว่าจะเป็นคนกันเอง”“ข้าก็ได้ยินมาว่าท่านเป็นรองแม่ทัพตั้งแต่อายุยังน้อย และกำลังจะเป็นแม่ทัพประจำที่จินโจว ตอนนี้อยู่ระหว่างรอคำสั่งแต่งตั้ง น่านับถือย
แปดเดือนผ่านไปในช่วงเหมันตฤดูที่เริ่มมีลมหนาวพัดผ่านมากระทบร่าง ขบวนรถม้าของนายอำเภอซีเหอ เขตเมืองซีเถาของแคว้นกู่ กำลังมุ่งหน้าเข้าไปยังเมืองจินโจวและตรงไปยังจวนของเจ้าเมืองที่ตั้งอยู่ตรงหน้าภายในรถม้าคือนายอำเภอหนุ่มวัยยี่สิบที่มีรูปร่างสันทัด รูปงาม และมีความฉลาดและเที่ยงธรรมจนเลื่อนขั้นได้ด้วยความสามารถ แต่ยังไม่ได้ออกเรือนเนื่องจากยังไม่พบสตรีที่ถูกใจเมื่อรถม้าไปถึงหน้าจวนสกุลฉวน ก็พบว่ามีรถม้าอีกคันมาจอดเช่นเดียวกับตน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจผู้ที่มาเยือน ลงจากรถม้าแล้วให้บ่าวที่ตามมาขนข้าวของเดินเข้าไปด้วยใบหน้าที่อิ่มเอมหยางหมิงซานลงมาจากรถม้า เห็นบุรุษหนุ่มเจ้าสำอางที่รูปงามเดินเข้าไปด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มพร้อมกับข้าวของที่ดูเหมือนเป็นของกำนัล ก็มองด้วยความสงสัยเจิ้งจิ้งเหยาและเจิ้งจิ้งหยวนถือกล่องที่มัดด้วยผ้าแพรสีน้ำเงินคนละกล่อง เดินตามรองแม่ทัพหยางเข้าไปในจวนแล้วก็ต้องชะงักเท้าเมื่อหยางหมิงซานหยุดเดินแล้วถามทหารที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูวันนี้เป็นวันที่ฉวนเร่อหลานอายุครบสิบแปด ทุกปีจะมีเทียบเชิญส่งไปยังตระกูลใหญ่ไม่กี่ที่ เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างสตรีวัยเดียวกัน เพราะเดิมฉวนเร่อห
เมื่อรอจนถึงยามซวี[1] บุรุษหน้านิ่งที่คิดว่าจะมาหาก็ยังไม่ได้มาเยือนที่หน้าห้องฉวนเร่อหลานตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายเดินไปหาเสียเอง เพราะพรุ่งนี้เขาต้องนำทหารส่วนหนึ่งคุมรถม้าที่จะไปส่งสกุลเซียวออกนอกแคว้นกู่ และจะถือโอกาสกลับไปร่วมรบที่ชายแดนฝั่งตะวันออกเมื่อเดินพ้นจากเขตเรือนใหญ่กำลังจะเข้าสู่ทางเดินเรือนรับรอง ก็พบว่ารองแม่ทัพหนุ่มก็กำลังเดินมาหาตนเช่นกัน“คุณหนูรอง ท่านจะไปที่ใดยามวิกาลเช่นนี้” พูดแล้วก็หันไปรอบๆ เห็นทหารยามเดินผลัดเวรยามอยู่บริเวณนั้นก็ทำหน้าเคร่งขรึมจนพวกนั้นไม่ได้หันมามองยังพวกตน“ข้าจะ...ไปห้องพระ”“ห้องพระไม่ได้อยู่ในเรือนใหญ่หรอกหรือ” น้ำเสียงนั้นกล่าวถามอย่างรู้ทัน“เป็นเช่นนั้น... สงสัยว่าข้าคิดเรื่องอื่นอยู่จึงเดินเลยมาถึงตรงนี้” สิ้นประโยคที่กลบเกลื่อนความเขินอายนั้น ร่างอรชรก็หันหลังรีบเดินกลับไป ตอนแรกใจกล้าจะมาอวยพรให้คู่หมั้นหมายเดินทางอย่างปลอดภัย แต่พอเจอหน้าก็เขินอายจนทำตัวไม่ถูกเสียอย่างนั้น“ให้ข้าเดินไปส่งท่าน” ฝ่ามือขนาดใหญ่ผายเชิญให้นางเดินไปด้วยกัน ขณะที่เดินไปนั้นต่างคนก็ต่างอมยิ้มน้อยๆ จนมุมปากยกขึ้นอย่างเปิดเผย“พี่หมิงซานยังไม่นอนอีกหรือ พร
ณ ลานประหารสตรีโฉดสองนางถูกมัดมือไพล่หลังด้วยเชือกนั่งอยู่คุกเข่าที่พื้น ในขณะที่ถังฮ่าวอี้อยู่ในกรงไม้ขนาดเล็กบนรถลากเข็น มีเพียงส่วนศีรษะที่โผล่พ้นออกมานอกกรง ถังฮ่าวอี้มีใบหน้าราบเรียบ แววตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึก เพราะความผิดหวังเมื่อถูกภรรยาที่ตนรักมากที่สุดทรยศหักหลัง ทำทุกอย่างให้ลุ่มหลงจนหูตามืดบอดร่วมสังหารภรรยาของตน และขับไล่อีกคนออกไปอย่างไร้เมตตาลู่หนี่เซียวร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น หลังหลังจากแท้งลูกไปเพราะถูกสืออินผลักจนล้ม พักผ่อนยังไม่ทันหายดี ก็ถูกเรียกตัวไปฟังคำตัดสินแล้วถูกพามายังลานประหาร พยายามขอความเมตตาจากศาลแต่เพราะสิ่งที่นางทำนั้นเหี้ยมโหดไร้ความปรานี คำตัดสินนั้นจึงตรงไปตรงมาและให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่ตายไปแล้ว จะพักฟื้นหรือไม่ก็ไม่พ้นจากโทษตายอยู่ดีส่วนสืออินพยายามจะดิ้นรนเอาชีวิตรอด ร่างอวบอ้วนนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นของเสียที่เหม็นคาวเพราะกลัวจนควบคุมไม่ได้ ปล่อยของเสียเรี่ยราดจนเป็นที่น่าเวทนาฉวนเร่อหลานปะปนกับผู้คนเพื่อที่จะเข้ามาดูการประหารชีวิตให้เห็นกับตาตัวเอง ในขณะที่ตัดสินโทษตายของทั้งสาม หยางหมิงซานให้คนส่งข่าวมาบอกนางว่าถังฮ่าวอี้สารภาพเรื่องการสั
เนื่องจากมีผู้ที่เกี่ยวข้องมีจำนวนมาก ฉวนเซ่าฉือเจ้าเมืองแห่งจินโจว จึงแต่งตั้งให้ขุนนางท้องถิ่นในเขตจินโจวเข้ามาเพื่อช่วยสอบสวน เรือนสกุลถังถูกปิดตาย ทรัพย์สินทั้งหมดถูกยึด ให้ตกเป็นทรัพย์สินของทางการ บ่าวรับใช้ที่ถูกซื้อตัวมาทุกคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกปล่อยตัวให้ได้รับอิสระและแยกย้ายกลับไปยังบ้านเกิดของตน เหลือเพียงบ่าวคนสนิทเพียงไม่กี่คนที่ยังคงจองจำอยู่ในคุกศาลการสอบสวนได้แยกกับสอบปากคำเพื่อฟังคำให้การว่าตรงกันหรือไม่ ก่อนจะนำตัวมาให้การพร้อมกันต่อหน้าในภายหลังการให้การของลู่หนี่เซียวได้ผ่านไป แม้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เนื่องด้วยนางเป็นภรรยาของถังฮ่าวอี้ และเซียวเหมยฮวาเองเป็นอนุของเขา ซึ่งเป็นหลานสาวของเซียวเยี่ยหลง ทั้งสองจึงยังถูกคุมขังที่คุกใต้ดินของศาลพร้อมกับสาวใช้คนสนิทของพวกนางถังฮ่าวอี้นั่งหันหลังให้แก่ห้องขังของพวกนางทั้งสอง ไม่อยากจะมองหน้าผู้ที่เคยเป็นภรรยาแสนรัก แต่สุดท้ายเมื่อถึงคราวตกอับกลับเผยธาตุแท้ออกมา“นั่นมันอาหารของข้านะ” เสียงของสืออินร้องเสียงดังไม่ยอมให้ลู่หนี่เซียวแย่งอาหารของตน“ข้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงต้องเป็นกินอาหารให้เพียงพอ เจ้าต้องเสียสละ
เรื่องของสกุลถังได้ถูกนำไปปรึกษากับฉวนเซ่าฉือ เมื่อได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเจ้าเมืองฉวนก็ถึงกับโกรธหน้าเขียวคล้ำ ไม่คิดว่าจะถูกสกุลถังเหยียบจมูกทำการต่ำช้าอยู่ในเขตการปกครองของตน“ลักลอบปลูกยาสูบขายและหลบเลี่ยงภาษียาสูบยังไม่พอ ยังลักลอบผลิตอาวุธให้แคว้นที่เป็นศัตรู ช่างชั่วช้ายิ่งนัก พวกขายชาติ ถือเป็นกบฏต่อบ้านเมือง” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยโทสะ แล้วถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้มเพราะยังไม่ได้มีเวลาเตรียมการอันใด ข่าวที่ได้รับรู้นั้นอีกเพียงสองวันก็จะต้องลงมือแล้ว“ท่านลุงฉวนอย่าได้กังวลไป ทุกอย่างข้าได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่ว่าครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับเรื่องกบฏ ข้าจึงมิได้นำเรื่องมาปรึกษาท่านตั้งแต่แรก หากข้าทำผิดไปขอท่านลุงอยากได้ถือโกรธ”ฉวนเซ่าฉือถอนหายใจออกมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องแผนการจับกุมที่กระชั้นชิดนี้ “ข้าหาได้โกรธเคืองไม่ เข้าใจดีและรู้ว่าเจ้าวางแผนเอาไว้อย่างรอบคอบแล้ว ทหารที่เจ้าขอข้าจะให้ไปเสริมกำลังในการจับกุมพร้อมทั้งคนของข้า แต่เวลากระชั้นชิดไป ข้าจึงอดที่จะกังวลไม่ได้”“ท่านลุงอย่าได้กังวล ตามข้อมูลที่สืบมาชาวบ้านที่ลักลอบ