ร่างอรชรนอนอยู่บนตั่งนอนในห้องนอนของตน ท่ามกลางสายตาที่ห่วงใยจากบิดาและมารดาที่นั่งเฝ้าอยู่ในห้อง
“หลานหลานยังไม่หายดีแต่ก็ออกไปเดินแบบนั้นจึงเป็นลมหมดสติไป เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกฮูหยิน” เจ้าเมืองฉวนบอกแก่หลี่หงภรรยาเอกของตนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นร้อนใจกับอาการเจ็บป่วยของบุตรสาว
“หมดสติหรือโดนกลั่นแกล้งกันแน่” ฉวนฮูหยินกล่าวเสียงแข็ง ตั้งแต่สามีพาหญิงงามกลับมาที่เรือน ทุกอย่างก็เลวร้ายลงไปทุกวัน
“เจ้าอคติกับซือซือมากเกินไปแล้ว ข้าเห็นเองกับตาว่าลูกเราไม่สบาย ซือซือนางมิได้แตะหลานหลานแม้แต่ปลายเล็บ” ฉวนเซ่าฉือกล่าวเสียงแข็ง
ริมฝีปากของผู้เป็นภรรยาเอกเม้มแน่น จะทำหรือไม่นางไม่สนใจ เพราะอย่างไรเสียสามีก็เข้าข้างผู้หญิงแพศยานางนั้นอยู่แล้ว
เฉินกู้เฉียงหมอที่ถูกเรียกเข้ามา เป็นญาติฝ่ายมารดาของหลี่หง ในห้องนอนของคุณหนูรองฉวน เขาจับชีพจรและตรวจดูก็พบว่าทุกอย่างเป็นปกติดี จึงวินิจฉัยว่าอาจเป็นเพราะร่างกายเพิ่งฟื้นตัวจึงยังคงอ่อนเพลียอยู่ และจัดยาบำรุงเอาไว้ให้
“ไม่มีอะไรมากแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน” หลังจากตรวจสอบอาการป่วยเสร็จก็จะกลับไป
“เสร็จแล้วเชิญท่านไปทางด้านนั้น ในเรือนยังมีคนป่วยอีกคน” ฉวนเซ่าฉือวางใจกับอาการของบุตรี จากนั้นก็ผายมือเชิญให้หมอวัยกลางคนเดินตามออกไปที่เรือนทางด้านหลัง
“หึ ดูเอาเถิด นี่หรือท่านเจ้าเมืองจินโจวผู้ตงฉิน แค่ให้ความยุติธรรมแก่ลูกเมียยังทำไม่ได้” หลี่หงกล่าวด้วยความเจ็บใจ
ฉวนเร่อหลานที่แกล้งหลับอยู่ได้ยินทุกอย่าง เข้าใจหัวอกของภรรยาเอกที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจากสามี แต่เจ้าเมืองฉวนไม่ได้เลวอย่างเช่นถังฮ่าวอี้ เขาแค่ถูกความงามของมู่ซือซือบังตาเท่านั้น
ที่ห้องนอนของมู่ซือซือที่บัดนี้อยู่ในสถานะแขกที่มาพักที่เรือน พอรู้ว่าฉวนเซ่าฉือพาหมอมารักษาตนก็รีบแสร้งทำเป็นว่าเจ็บป่วยจนทนไม่ไหว
“เป็นอย่างไรบ้างซือซือ” เจ้าเมืองฉวนแทบจะพุ่งเข้าไปหาด้วยความห่วงใย
“ปวดหัวไม่ไหว รู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างรอบกายหมุนไม่หยุด อยากอาเจียนเจ้าค่ะ” น้ำเสียงเบาหวิวราวกับจะขาดใจ กรีดนิ้ววางมือที่ศีรษะเพื่อแสดงให้รู้ว่าตนเจ็บปวดแทบทนไม่ไหว
“ตอนแรกเจ้าปวดท้อง ตอนนี้ลามมาปวดหัวแล้วหรือ” ฉวนเซ่าฉือถามอย่างร้อนใจ
มู่ซือซือเอามือกุมที่ท้องแล้วนิ่วหน้า แอบถลึงตามองเสี่ยวหลิงที่ไม่เตือนว่าตนปวดท้องมิใช่ปวดหัว จนสาวใช้วัยสิบหกหนาวต้องรีบก้มหน้าลงเพราะเกรงจะมีความผิด
“เช่นนั้นท่านเจ้าเมืองถอยออกไปก่อน ข้าขอตรวจชีพจรนางสักครู่” ท่านหมอได้กล่าวขึ้น แล้วเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ที่วางข้างตั่งนอน จับชีพจรดูแล้วพบว่าอีกฝ่ายแข็งแรงดี ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น
“อาการป่วยนี้ยากที่จะบอกว่าเกิดจากสาเหตุใด ชีพจรของนางปกติมาก แต่กลับมีอาการปวดท้องและวิงเวียนศีรษะ เป็นท่าไม่ดีแล้ว” มือของเขายกขึ้นลูบเคราที่ปลายคางอย่างครุ่นคิด
“เช่นนั้นมีทางรักษาหรือไม่” เจ้าเมืองแห่งจินโจวถามด้วยความร้อนใจ
“ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ และต้องฝังเข็มสักเล็กน้อยให้เลือดลมของนางไหลเวียน” แววตานั้นเต็มไปด้วยความหลักแหลมและล้ำลึก อาการป่วยสำออยนี้ตนเห็นมามากแล้ว และนางยังเข้ามาทำร้ายหลานสาวของตนจนตกน้ำ คงต้องสั่งสอนเสียหน่อย
“ฝะ ฝังเข็มอย่างนั้น” คราวนี้มู่ซือซือถามเสียงสั่น แสร้งป่วยจะให้กินยาและฝังเข็ม นางจะเปลืองร่างกายเกินไปแล้ว
“ใช่แล้ว นอนนิ่งๆ ลงไป ข้าจะเริ่มทำการฝังเข็มรักษาให้ รับรองว่าอาการเจ็บป่วยจะหายเป็นปลิดทิ้ง” แววตาของเฉินกู้เฉียงดูเต็มไปด้วยความจริงจังและบ่งบอกว่าเขารู้เท่าทันนาง แม้ตอนนี้อยากบอกว่าตนไม่เป็นอะไร มีหรือจะพูดได้ จึงจำใจต้องนอนนิ่งๆ ให้เขาได้รักษา
เจ้าเมืองฉวนมองดูญาติห่างๆ ของภรรยาทำการรักษาหญิงงามด้วยการฝังเข็ม เฉินกู้เฉียงค่อยๆ หมุนเข็มไปยังจุดต่างๆ เป็นการฝังเข็มเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย แม้อยากจะสั่งสอนแต่ก็ไม่ได้จะทำร้ายใคร
ความเจ็บในจุดที่ฝังเข็มทำเอามู่ซือซือได้แต่อดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ พลางโทษว่าที่ตัวเองเป็นเช่นนี้ก็เพราะฉวนเร่อหลาน คิดหาทางเอาคืนในภายหลัง
************************
“คุณหนู จะออกไปข้างนอกอีกไม่ได้นะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นนายท่านจะลงโทษบ่าวแน่” บ่าวคนสนิทรีบห้ามปราม เมื่อเห็นว่าคุณหนูของตนลุกมาแต่งตัวเตรียมจะออกไปข้างนอก
“เมื่อวานข้าแค่แกล้งเป็นลมเจ้าดูไม่ออกหรือ”
เสี่ยวชิงหันไปรอบๆ เกรงว่าจะมีคนเดินผ่านมาได้ยิน แล้วสาวเท้าเข้าไปจับมือคุณหนูของตนด้วยความเป็นกังวลแล้วกระซิบเสียงเบา
“บ่าวดูออกเจ้าค่ะ แต่อย่าพูดดังไป ไม่เช่นนั้นเรื่องใหญ่แน่”
“ข้ารู้แล้วว่าท่านพ่อรักข้าและเป็นห่วงข้า เพียงแต่ว่ามู่ซือซือนางใช้มารยาตบตาให้ท่านพ่อหลงใหลนางชั่วขณะเท่านั้น รู้แบบนี้แล้วอะไรก็น่าจะง่ายขึ้น”
“คุณหนู... คิดจะทำอะไรเจ้าคะ”
“ในเมื่อนางใช้มารยามา ข้าก็จะใช้มารยากลับไปบ้าง คราวนี้มาวัดกันว่ามารยาของใครจะเหนือกว่า” ดวงตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อย พร้อมกับยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่อ่อนหวานแล้วหันไปยิ้มให้กับเสี่ยวชิงที่ยืนอึ้งอยู่
“เจ้าเคยบอกจะช่วยข้า”
“คุณหนูจะให้บ่าวช่วยอะไรเจ้าคะ”
“เจ้าสนิทกับอาหลิงใช่หรือไม่ สาวใช้คนนั้นของมู่ซือซือน่ะ”
“เจ้าค่ะ นางนอนข้างบ่าวในเรือนพัก เราพูดคุยกันอยู่บ่อยครั้ง เมื่อคืนนี้ก็ระบายเรื่องที่ถูกแม่นางมู่ตบตี แต่ไม่ได้เล่าโดยละเอียด เอาแต่ร้องไห้ คงลำบากใจที่ต้องรับใช้แม่นางมู่”
เล่าไปสีหน้าของเสี่ยวชิงก็บ่งบอกถึงความกังวลกับสิ่งที่เสี่ยวหลิงเล่า
“บอกนางว่าหากไม่อยากรับใช้มู่ซือซือไปตลอด มีอะไรต้องรายงานให้ข้ารู้ ทางนั้นเคลื่อนไหวอะไร เราต้องก้าวนำก่อนเสมอ เหตุการณ์เมื่อวานนี้นางต้องแค้นข้ามากแน่ๆ จึงได้ลงมือกับอาหลิงเช่นนั้น” ฉวนเร่อหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาในตอนท้าย
แม้รู้ว่าคุณหนูเปลี่ยนไปจากเดิม แต่เสี่ยวชิงก็เห็นว่าดีกว่าการอยู่เฉยให้ถูกรังแก จึงให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
“เรื่องนี้บ่าวจะจัดการตามที่คุณหนูสั่ง เสี่ยวหลิงนางต้องยอมให้ความร่วมมืออย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฉวนเร่อหลานพยักหน้ารับ โดยปกติแล้วไม่มีบ่าวที่ไหนทรยศนาย แต่มู่ซือซือไม่ได้เป็นเจ้านายของเสี่ยวหลิงอย่างเป็นทางการ เพียงแค่ฉวนเซ่าฉือยกสาวใช้ในเรือนให้ไปรับใช้เท่านั้น
อีกทั้งมู่ซือซือก็รังแกสาวใช้ มีหรือว่าเสี่ยวหลิงจะกล้าปฏิเสธไม่ร่วมมือ เพราะนับตามอำนาจและสถานะในตอนนี้ ตนต่างหากที่เป็นคุณหนูตระกูลฉวน และเป็นนายของเสี่ยวหลิง เพราะอีกฝ่ายยังเป็นแค่แขกที่อาศัยในเรือนเท่านั้น
************************
เสียงเกือกม้าที่ควบวิ่งอย่างคะนอง และชายที่แต่งกายด้วยชุดสีดำท่าทางองอาจ กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองจินโจวอย่างทระนงเมื่อถึงทางแยกก่อนเข้าสู่ตัวเมือง บังเหียนก็ถูกดึงให้ม้าหยุดวิ่ง สองข้าหน้ายกขึ้นพร้อมเสียงร้องเมื่อถูกผู้เป็นนายกระชากไว้ ผู้ติดตามอีกสองคนที่ควบขี่ม้าตามมาจึงต้องหยุดตาม“นายน้อย มีอะไรหรือไม่” เจิ้งจิ้งเหยา ทหารมือขวาคนสนิทกล่าวถามอย่างประหลาดใจ หากควบม้าตรงเข้าไปก็เป็นประตูเข้าเมืองจินโจวแล้ว“ข้าอยากไปที่ที่หนึ่งก่อน พวกเจ้าล่วงหน้าไปก่อนเถอะ” หยางหมิงซาน รองแม่ทัพผู้องอาจในวัยยี่สิบสามกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูมีความกังวล“นายน้อย ท่านเข้าไปเมืองจินโจวก่อนเถิด ส่วนเรื่องอื่นค่อยทำก็ยังไม่สาย หากผู้อื่นรู้จะครหาเอาได้” เจิ้งจิ้งหยวน ทหารมือซ้าย ฝาแฝดผู้น้องก็กล่าวขึ้นมาพวกตนติดตามรับใช้หยางหมิงซานมาตั้งแต่ยังวัยเยาว์ ทั้งร่วมฝึกปรือการต่อสู้และร่ำเรียนบุ๋นบู๊มาด้วยกัน คอยตามเป็นเงาไม่ห่าง เหตุใดจึงจะไม่รู้เท่าทันความคิดของรองแม่ทัพหนุ่มผู้นี้“ข้าไม่สน” พูดจบ มือที่กำบังเหียนก็จับแน่น เท้าทั้งสองกระทุ้งที่สะโพกของอาชาสีขาวคู่ใจ มุ่งหน้าเลี้ยวไปยังเส้นทางที่มุ่งสู่เน
หน้าจวนเจ้าเมืองฉวน รถม้าสกุลฉวนจอดนิ่ง บันไดไม้ถูกนำมาวางตั้งให้คนที่นั่งในรถม้าเดินลงมาได้อย่างสะดวกอาชาศึกทั้งสามตัวหยุดอยู่ข้างๆ รถม้า รองแม่ทัพหยางหมิงซานกระโดดลงมาแล้วเดินเคียงข้างกับคู่หมั้นของตนเข้าไป ต่างคนต่างก็ทำสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่ฉวนเร่อหลานจะเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน“คุณชายหยาง ท่านจะเดินทางกลับอี้โจวแต่ตั้งใจมาแวะเยี่ยมเยียนข้าก่อน เร่อหลานซาบซึ้งยิ่งนัก” เสียงนั้นฟังดูนุ่มนวลอ่อนหวาน สรรพนามที่ใช้เรียกก็ดูไม่ห่างเหินนัก เพราะตอนอยู่บนรถม้าเสี่ยวชิงได้ทักเรื่องนี้แล้ว ตนจึงต้องรีบเปลี่ยนก่อนที่บุรุษตาเหยี่ยวผู้นี้จะสงสัย“เจ้ารู้จักกับถังฮูหยินได้อย่างไร” เขาไม่สนใจคำพูดก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย มุ่งประเด็นถามถึงแต่เรื่องหลิวอี้เจิน มันน่าน้อยใจนัก“พี่อี้เจินกับข้าเคยเจอกันโดยบังเอิญที่ร้านขายเครื่องประทินโฉมอยู่บ่อยครั้ง จึงเคยพูดคุยกันบ้าง พอหายป่วยจากการตกน้ำข้าจึงรีบไปไหว้สุสานของนาง ข้าตอบคำถามท่านแล้ว แล้วท่านเล่าเจ้าคะ” คนถูกถามย้อนถามกลับ ไม่สนใจท่าทีเย็นชาของอีกฝ่าย“ข้ารู้จักคุณหนูหลิว ตั้งแต่ตอนที่นางอยู่อี้โจว” เขาพูดแค่นั้น จากนั้นเมื่อเดินเข้าสู่ห้องโถงพร้อมกั
เสี่ยวชิงนำสิ่งที่เสี่ยวหลิงมากระซิบบอกแก่คุณหนูของตน จากนั้นก็ขยับออกไปยืนที่มุมห้องด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล“พวกเจ้าออกไปก่อน” ฉวนเร่อหลานบอกสาวใช้คนอื่นออกไป ให้เหลือเพียงสาวใช้คนสนิทเท่านั้นเมื่อประตูห้องปิดลง เสี่ยวชิงที่ยืนนิ่งอยู่ก็แสดงอาการร้อนรนขึ้นมาทันที“คุณหนูอย่าไปนะเจ้าคะ แม่นางมู่ต้องมีแผนร้ายเพื่อจะกลั่นแกล้งคุณหนูแน่ อาหลิงบอกว่ามีการติดต่อญาติจากนอกเมืองด้วยจดหมายลับที่ปิดผนึก ไม่รู้ว่าเนื้อหานั้นเป็นอย่างไร บางทีคืนนี้คุณหนูอาจจะถูกปองร้ายก็ได้” ความคาดเดาของเสี่ยวชิงนั้นก็คล้ายกับความคิดของตน ทำให้ฉวนเร่อหลานยิ้มออกมา“หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ดีนะสิ”“คุณหนู” เสี่ยวชิงร้องเสียงหลง เมื่อคุณหนูรองของตนไม่เกรงกลัวภัยใดๆ“ฝนหมึกและเตรียมพู่กันกับกระดาษมา” นางสั่งให้เสี่ยวชิงที่เป็นกังวลอยู่ทำตามที่บอกเมื่อห้ามปรามไม่ได้ก็คงทำได้แค่ช่วยระวังภัยและทำตามคำสั่ง สาวใช้วัยสิบหกรีบเตรียมสิ่งของตามที่คุณหนูรองฉวนบอกอย่างไม่รอช้าเมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาครบแล้ว แขนเรียวเล็กก็ยกขึ้นแล้วถลกชายเสื้อขึ้นมา มือซ้ายจับชายเสื้อเอาไว้แล้วใช้มือขวาเขียนจดหมายด้วยข้อความที่บรรจงหลังจากเข
เหตุการณ์ที่มู่ซือซือชิงลงมือฆ่าโจรที่ตนว่าจ้างมา ทำให้ทุกคนตกตะลึงและไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องน่าอนาถเช่นนี้ขึ้น“เข้าจะทำร้ายข้ากับคุณหนูรองก็สมควรตายแล้ว” นางกล่าวอย่างโกรธแค้น ก่อนจะมือไม้สั่นแล้วทิ้งมีดลงกับพื้น“ไม่..ไม่.. ข้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่... ไม่จริง กรี๊ด!” สิ้นเสียงกรีดร้องนั้น มู่ซือซือก็หมดสติไปฉวนเซ่าฉือร้อนใจไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร จะเชื่อสิ่งที่บุตรีของตนบอก หรือจะเชื่อว่าหญิงงามตรงหน้าเพียงถูกเข้าใจผิดเท่านั้น ยิ่งนางหมดสติไปเพราะพลั้งมือฆ่าโจรชั่วผู้นั้น ก็ทำให้สับสนกับเหตุการณ์นี้มาก“ซือซือ...”“นางทำขนาดนี้ท่านพ่อยังจะห่วงนางอีกหรือ” ฉวนเร่อหลานผละออกจากอ้อมกอดของบิดา มารยาของนางที่ชิงลงมือฆ่าโจรนิรนามผู้นั้น ทำให้บิดาเชื่อว่านางเองก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายด้วยหรือ“ท่านลุงฉวน เหตุการณ์นี้ข้าเห็นมาตั้งแต่ต้น” รองแม่ทัพหนุ่มที่รอดูสถานการณ์อยู่กล่าวออกมา จากนั้นก็พยักหน้าให้เจิ้งจิ้งเหยาเป็นผู้อธิบาย“แม่นางผู้นั้นตั้งใจจะทำร้ายคุณหนูรองจริง มิหนำซ้ำยังกล่าวอีกด้วยว่าคืนนี้นางตั้งใจให้คุณหนูรองจมอยู่ก้นสระ... ไม่ให้พลาดเหมือนอย่างคราวก่อนที่นางผลักคุณหนูตกสระไป”
ไม้ต้นเดียวยากเป็นป่า ไหมเส้นเดียวยากเป็นด้าย หากคิดจะทำการใหญ่ นางเป็นเพียงดรุณีวัยเยาว์คงไม่มีความสามารถที่จะจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้เพียงลำพังหยางหมิงซานเป็นทั้งรองแม่ทัพฝีมือดี และยังเป็นชายที่มีใจให้แก่หลิวอี้เจิน หากรู้ว่านางเจอกับอะไร เขาย่อมทนไม่ไหวและต้องหาทางทวงความยุติธรรมคืนแก่นางแน่“วันนี้คุณชายหยางไม่มีกิจในเมืองจินโจวหรือเจ้าคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานกล่าวถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามายืนข้างตนที่กำลังยืนชมสวนอยู่หยางหมิงซานกระตุกยิ้มน้อยๆ ธุระที่เขาอ้างกับหยางชิวเมิ่งบิดาของตน คือการเข้ามาสืบหาผู้ค้าอาวุธในเมืองจินโจว และอยากมาสืบข่าวการเสียชีวิตของหลิวอี้เจินไปด้วยแม้นางจะออกเรือนเป็นฮูหยินสกุลถังไปแล้ว แต่หัวใจที่รักใครต่อนางนั้นยากเกินจะลืมเลือน แม้มิได้ครอบครองแต่ก็จะขอรักมั่น ชาตินี้หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากออกเรือนกับสตรีอื่นใด ทว่าติดที่ตนหมั้นหมายแล้ว หากต้องแต่งงานก็คงทำด้วยความจำใจ แต่จะยืดเวลาออกไปให้ได้นานที่สุด“ข้าจะไม่อ้อมค้อม เมื่อคืนนี้เจ้ามั่นใจว่าข้าจะไป เพราะรูปที่เจ้าวาดท้ายจดหมาย ใช่หรือไม่”รอยยิ้มของหญิงสาวเผยออกมา โบกมือให้เสี่ยวชิงและสาวใช้คนอื่นๆ
ผ้าเช็ดหน้าที่ถูกปักอย่างประณีตในมือของฉวนเร่อหลาน ทำให้หลี่หงค่อนข้างประหลาดใจ ใช่อยู่ว่าฉวนเร่อหลานปักร้อยเป็น แต่ก็ไม่คิดว่าจะพัฒนาฝีมืออย่างก้าวกระโดด ทำออกมาได้งดงามกว่าครั้งก่อนถึงหลายเท่า“พอเจ้าตั้งใจก็ทำออกมาได้งดงาม สมแล้วกับที่แม่เคี่ยวเข็ญสอนให้เจ้าเรียนรู้งานสตรี”“แล้วแต่ก่อนลูกทำไม่สวยหรือเจ้าคะ”“สวย แต่ไม่ประณีตและเรียบร้อยอย่างครั้งนี้” หลี่หงกล่าวแล้วยิ้มมองผลงานตรงหน้าด้วยความชื่นชม พลางยื่นมือไปกุมที่มือของบุตรี“หากมิได้ท่านแม่ช่วยสั่งสอน มีหรือลูกจะทำได้” ฉวนเร่อหลานเอ่ยคำหวานเอาใจมารดา“ตอนนี้เรื่องวุ่นวายก็หมดไปแล้ว เจ้าคงมีสมาธิมากขึ้น เสี้ยนหนามตำใจของเราตอนนี้ก็ได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสม พ่อของเจ้าหูตาสว่างแล้ว จวนนี้ก็สงบสุขเสียที” ฉวนเร่อหลานได้แต่ยิ้มน้อยๆ เมื่อมารดายังคงฝังใจเรื่องนี้และพูดถึงไม่จบสิ้น“วันนี้สอนลูกมาสองชั่วยาม[1] แล้ว ท่านแม่พักผ่อนเถิดเจ้าคะ”“ห่วงแม่ หรือว่ามีนัดกับคุณชายหยาง เมื่อวานนี้แม่เห็นนะว่าเจ้ากับเขาคุยเล่นกันในสวนดอกไม้” ผู้เป็นมารดาพูดอย่างรู้ทันฉวนเร่อหลานยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกเขินอาย แก้มแดงเรื่อ ใบหน้าผ่าวร้อนเมื่อถูกหยอ
แผนที่ที่วาดด้วยหมึกแห้งดีแล้ว หยางหมิงซานจึงไม่รอช้าที่จะพับเก็บใส่ช่องใต้แขนเสื้อของตน ก่อนที่บุรุษผู้องอาจและแฝงไปด้วยความเย็นชาจะลุกขึ้น ก็ชะงักเพราะคำถามที่โพล่งถามขึ้นมา“รูปเด็กผู้หญิงที่ถือไม้ถังหูลู่ หมายความว่าอะไรหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงทำให้คุณชายตัดสินใจมาช่วยข้าได้” น้ำเสียงนั้นถามอย่างจริงจัง ชาติก่อนก็ไม่รู้ความหมายถึงภาพวาดที่เขาส่งมาให้ ชาตินี้หากเป็นไปได้ก็อยากรู้ให้หายค้างคาใจเสียที“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” ประโยคนั้นเย็นชาและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เรื่องระหว่างตนกับหลิวอี้เจินไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างนางควรรับรู้“นี่ท่าน...” ริมฝีปากบางเม้มสนิทอย่างไม่พอใจ“เจ้าบอกเองว่าจะพูดแค่เรื่องของถังฮ่าวอี้ ไม่กล่าวเรื่องอื่น แล้วจะถามให้มันได้อะไรขึ้นมา” พูดจบก็ก้าวเดินออกจากห้องตำราไปนางได้แต่มองตามแผ่นหลังที่แข็งแกร่งนั้นออกไป ความคิดอีกส่วนก็ชิงชังกับความเย็นชานั้น ความคิดอีกส่วนก็ลุ่มหลงความสุขุมของอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน“หยุดเลยนะ หากยังไม่ชำระแค้น เจ้าจะมาทำให้ตัวเองเสียการไม่ได้” นางกำลังบ่นพึมพำให้ตนเอง จากนั้นก็นั่งคิดอยู่ว่าตอนเด็กๆ ตนเคยถือไม้ถังหูลู่ยื่นให้เขาหรืออย่างไร
ผ้าแพรสีม่วงอ่อนชั้นดีที่ถูกตัดเป็นชุดกระโปรงชั้นนอก ถูกนำมาสวมใส่บนร่างอรชรของฉวนเร่อหลานได้อย่างลงตัวผมยาวสลวยที่ถูกมัดส่วนบนเป็นมวยไว้บนศีรษะถูกปักด้วยปิ่นหยกสีขาวที่เรียบง่ายแต่บ่งบอกได้ถึงฐานะที่ไม่ขัดสน“คุณหนูจะออกไปจริงๆ หรือเจ้าคะ คราวนี้ไปเดินเที่ยวตลาดจริงๆ ใช่ไหมเจ้าคะ”“ทำไม เจ้ากลัวข้าเถลไถลอย่างครั้งก่อนนะหรือ ไม่ต้องกลัวหรอก วันนี้ข้าไปเดินเที่ยวตลาดจริงๆ จะซื้อเครื่องประทินผิวหน้าและชาดสีใหม่ แล้วไปนั่งกินบะหมี่ร้านเถ้าแก่โจวเสียหน่อย เจ้าชอบไม่ใช่หรือ”“บ่าวดีใจที่คุณหนูจำได้ แต่ไม่ออกไปได้หรือไม่”ใบหน้างามที่กำลังยิ้มแย้ม มองสาวใช้คนสนิทที่มีสีหน้ากังวล ครั้งก่อนไม่มีใครรายงานฉวนเซ่าฉือก็จริง แต่ว่านางก็รู้สึกผิดที่ปกปิดความผิดนี้“เชื่อใจข้าเถอะเสี่ยวชิง ข้าไม่ทำให้เจ้ามีอันตรายหรอก” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นและมีเมตตา คิดถึงไจ๋ซิ่วป่านนี้จะไปเกิดใหม่ที่ไหน หรือว่ากลายไปเป็นสาวใช้บนสวรรค์ของเทพธิดาสักองค์แล้วฉวนเร่อหลานพาเสี่ยวชิงและสาวใช้อีกสองคนไปขออนุญาตใช้รถม้ากับบิดาที่นั่งพูดคุยอยู่กับรองแม่ทัพหนุ่มในสวน ฉวนฮูหยินที่เดินนำสาวใช้ยกของว่างและน้ำชามาได
ในตอนเช้าของวันหนึ่ง ฉวนเร่อหลานมีอาการไม่สู้ดีนัก ใบหน้าของนางซีดเซียวและกินอาหารไม่ลง กินสิ่งใดก็อาเจียนและคลื่นไส้ไปหมด ทำให้หยางหมิงซานไม่ได้ออกไปฝึกซ้อมทหารและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ สองเจิ้งในการควบคุมดูแลการฝึกซ้อมแทนตน และอยู่ดูแลภรรยาไม่ห่างหมอเฉินผู้มีศักดิ์เป็นท่านลุงของฉวนเร่อหลาน ถูกเชิญให้มาตรวจดูอาการ ทันทีที่ตรวจชีพจรและสอบถามอาการต่างๆ เบื้องต้น รอยยิ้มก็พลันปรากฏขึ้นที่ใบหน้า ทำให้แม่ทัพหนุ่มอยากรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น“ท่านลุงเฉิน ไม่ทราบว่าข้าเป็นอะไรหรือ”“ยินดีด้วย เจ้าตั้งครรภ์อยู่ร่างกายจึงอ่อนแอ เป็นธรรมดา หลังจากนี้พักผ่อนให้เพียงพอ และอย่าสิ่งใดที่หักโหมให้มาก ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ หลังจากนี้ก็ดูแลตัวเองให้ดี ดื่มยาบำรุง เท่านี้ก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงแล้ว”“ขอบคุณท่านหมอ” หยางหมิงซานกล่าว แล้วขยับไปนั่งกุมมือภรรยาที่นอนอยู่ ในขณะที่หมอเฉินกำลังเขียนใบสั่งยาาเอาไว้ให้ฉวนเร่อหลานเอามือกุมท้องของตน นางกำลังตั้งครรภ์อย่างนั้นหรือ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก ในที่สุดก็จะได้สัมผัสรสชาติของการเป็นแม่ ไม่คิดเลยว่าแต่งงานเพียงไม่กี่เดือน ตนก็จะมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแร
ฉวนเร่อหลานสามารถจัดการเรื่องทุกอย่างในจวนได้อย่างไม่มีที่ติ คนรับใช้ที่ติดตามมาจากสกุลเดิมนั้นมีส่วนหนึ่ง มีคนของหยางหมิงซานส่วนหนึ่ง และได้ซื้อตัวเข้ามาอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งการคัดเลือกนั้นก็เป็นนางที่ทำหน้าที่ด้วยตนเอง เข็ดแล้วกับบ่าวที่คิดคดทรยศ อย่างสืออิน จะต้องหาผู้ที่ซื่อตรงและไว้ใจได้นอกจากนั้นงานบ้านงานเรือนก็เรียบร้อย และเป็นระเบียบ ตั้งกฎของจวนร่วมกันกับหยางหมิงซานผู้เป็นสามี มีความเคร่งครัดเพื่อป้องกันไม่ให้บ่าวในเรือน ทำผิด เพราะโทษที่จะได้รับนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้าง หนักหนา“วันนี้นายหญิงลงมือทำอาหารด้วยตนเองอีกแล้ว เช่นนี้แม่ครัวก็สบายไปเลยนะสิเจ้าคะ” เสี่ยวชิงและเสี่ยวหลิงที่กำลังเป็นลูกมืออยู่ในครัว ต่างก็รู้สึก ว่านายหญิงของตน เอาใจสามีบ่อยไปแล้ว“สบายที่ไหนกันเล่า ข้าทำอาหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แม่ครัวก็ทำอีกตั้งหลายอย่าง”“แต่อย่างเดียวที่นายหญิงทำ ใช้เวลานานมากเลยนะเจ้าคะ กลับเข้าห้องเถิดเจ้าค่ะ ที่เหลือให้บ่าวทำต่อเอง บ่าวรู้ว่าคุณหนูจะใส่สิ่งใดลงไปบ้าง”“ใช่แล้วเจ้าค่ะนายหญิง ให้พวกบ่าวช่วยทำต่อเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลิงเองก็ช่วยเสี่ยวชิงโน้มน้าวให้นายหญิงกลับออกไปพ
หลังจากที่ผลัดการแต่งงานมาหลายครา ในที่สุด งานแต่งงานระหว่างแม่ทัพหยางคนลูกและบุตรีท่านเจ้าเมืองจินโจวก็เกิดขึ้น ตามฤกษ์ยามที่วางเอาไว้เจ้าสาวแสนสวยอยู่ในชุดสีแดงที่ปักด้วยลวดลายที่ประณีต ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ ทำให้ใบหน้าหวานดูสวยงามและโดดเด่น เครื่องประดับหัวที่หนักอึ้งทำให้ต้องนั่งหลังตรงเพื่อไม่ให้ทิ้งน้ำหนักเอนไปทางใดทางหนึ่ง“วันนี้คุณหนูของบ่าวงดงามที่สุด” เสี่ยวชิงพูดเสียงสั่นเครือ น้ำตารื้นปริ่มอยู่เส้นขอบตาด้วยความ ปลื้มปีติ ที่คุณหนูของตนกำลังจะออกเรือน“พอได้แล้ว ข้าจะร้องตามเจ้าแล้ว” ฉวนเร่อหลานอมยิ้ม เกรงว่าน้ำตาจะไหลตามแล้วทำให้ใบหน้าเปรอะเปื้อน ทำให้เสี่ยวชิงรีบกะพริบตาไล่น้ำตาออกไป ไม่ให้ไหลออกมาเมื่อถึงฤกษ์ยามที่เหมาะสม ผ้าคลุมศีรษะของเจ้าสาวก็ถูกวางคลุมบนเครื่องประดับหัว ชายผ้าถูกปิดลงมาจนถึงใบหน้าสวยงามในวันมงคลเจ้าสาวถูกพาไปยังห้องโถงพิธีเพื่อทำตามขั้นตอนตามประเพณีหยางหมิงซานสวมชุดเจ้าบ่าวพิธีการเต็มยศสีแดง เดินทางมารับฉวนเร่อหลานเจ้าสาวของตนถึงที่บ้านเจ้าสาวตามธรรมเนียม จากนั้นจึงไปเคารพศาลบรรพชนของสกุลฉวน พร้อมกับให้หนังสื
การมาถึงของนายอำเภอรูปงามทำให้หยางหมิงซานชักสีหน้าออกมาด้วยความไม่พอใจอย่างเปิดเผย และที่น่าโมโหคือฉวนเร่อหลานไม่สังเกตเห็นด้วยซ้ำ ใบหน้าที่ดีใจที่เห็นบุรุษอื่นอย่างไม่ปิดบัง ยิ่งทำให้หัวใจปวดร้าว“ข้าจะแนะนำท่านให้รู้จักกับพี่ยี่หาน” นางหันมาบอกก่อนที่บุรุษนามว่ายี่หานที่เรียกอย่างสนิทสนมนั้นจะเดินเข้ามาถึง‘พี่ยี่หาน’ นางเรียกบุรุษอื่นอย่างสนิทสนมเช่นนั้นได้อย่างไร“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”“อืม” นายอำเภอหนุ่มตอบ มองไปยังหยางหมิงซานยืดอกขึ้นเล็กน้อยอวดหุ่นกำยำราวกับจะข่มขวัญ“พี่ใหญ่ นี่คือรองแม่ทัพหยางหมิงซาน พี่หมิงซาน ผู้นี้คือพี่ชายของข้า ฉวนยี่หาน”บุรุษทั้งสองโค้งศีรษะให้แก่กัน แล้วเผยรอยยิ้มออกมาทั้งคู่ โดยเฉพาะบุรุษร่างกำยำที่ก่อนหน้านี้ทำหน้าบึ้งตึง เมื่อรู้ว่าบุรุษเจ้าสำอางที่ตนเกือบไม่ชอบหน้าในตอนแรก แท้จริงคือพี่ชายของฉวนเร่อหลาน บุตรชายคนโตของเจ้าเมืองจินโจว จึงยิ้มออกมา“ได้ยินว่านายอำเภอซีเหอ มีผลงานตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่คิดว่าจะเป็นคนกันเอง”“ข้าก็ได้ยินมาว่าท่านเป็นรองแม่ทัพตั้งแต่อายุยังน้อย และกำลังจะเป็นแม่ทัพประจำที่จินโจว ตอนนี้อยู่ระหว่างรอคำสั่งแต่งตั้ง น่านับถือย
แปดเดือนผ่านไปในช่วงเหมันตฤดูที่เริ่มมีลมหนาวพัดผ่านมากระทบร่าง ขบวนรถม้าของนายอำเภอซีเหอ เขตเมืองซีเถาของแคว้นกู่ กำลังมุ่งหน้าเข้าไปยังเมืองจินโจวและตรงไปยังจวนของเจ้าเมืองที่ตั้งอยู่ตรงหน้าภายในรถม้าคือนายอำเภอหนุ่มวัยยี่สิบที่มีรูปร่างสันทัด รูปงาม และมีความฉลาดและเที่ยงธรรมจนเลื่อนขั้นได้ด้วยความสามารถ แต่ยังไม่ได้ออกเรือนเนื่องจากยังไม่พบสตรีที่ถูกใจเมื่อรถม้าไปถึงหน้าจวนสกุลฉวน ก็พบว่ามีรถม้าอีกคันมาจอดเช่นเดียวกับตน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจผู้ที่มาเยือน ลงจากรถม้าแล้วให้บ่าวที่ตามมาขนข้าวของเดินเข้าไปด้วยใบหน้าที่อิ่มเอมหยางหมิงซานลงมาจากรถม้า เห็นบุรุษหนุ่มเจ้าสำอางที่รูปงามเดินเข้าไปด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มพร้อมกับข้าวของที่ดูเหมือนเป็นของกำนัล ก็มองด้วยความสงสัยเจิ้งจิ้งเหยาและเจิ้งจิ้งหยวนถือกล่องที่มัดด้วยผ้าแพรสีน้ำเงินคนละกล่อง เดินตามรองแม่ทัพหยางเข้าไปในจวนแล้วก็ต้องชะงักเท้าเมื่อหยางหมิงซานหยุดเดินแล้วถามทหารที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูวันนี้เป็นวันที่ฉวนเร่อหลานอายุครบสิบแปด ทุกปีจะมีเทียบเชิญส่งไปยังตระกูลใหญ่ไม่กี่ที่ เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างสตรีวัยเดียวกัน เพราะเดิมฉวนเร่อห
เมื่อรอจนถึงยามซวี[1] บุรุษหน้านิ่งที่คิดว่าจะมาหาก็ยังไม่ได้มาเยือนที่หน้าห้องฉวนเร่อหลานตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายเดินไปหาเสียเอง เพราะพรุ่งนี้เขาต้องนำทหารส่วนหนึ่งคุมรถม้าที่จะไปส่งสกุลเซียวออกนอกแคว้นกู่ และจะถือโอกาสกลับไปร่วมรบที่ชายแดนฝั่งตะวันออกเมื่อเดินพ้นจากเขตเรือนใหญ่กำลังจะเข้าสู่ทางเดินเรือนรับรอง ก็พบว่ารองแม่ทัพหนุ่มก็กำลังเดินมาหาตนเช่นกัน“คุณหนูรอง ท่านจะไปที่ใดยามวิกาลเช่นนี้” พูดแล้วก็หันไปรอบๆ เห็นทหารยามเดินผลัดเวรยามอยู่บริเวณนั้นก็ทำหน้าเคร่งขรึมจนพวกนั้นไม่ได้หันมามองยังพวกตน“ข้าจะ...ไปห้องพระ”“ห้องพระไม่ได้อยู่ในเรือนใหญ่หรอกหรือ” น้ำเสียงนั้นกล่าวถามอย่างรู้ทัน“เป็นเช่นนั้น... สงสัยว่าข้าคิดเรื่องอื่นอยู่จึงเดินเลยมาถึงตรงนี้” สิ้นประโยคที่กลบเกลื่อนความเขินอายนั้น ร่างอรชรก็หันหลังรีบเดินกลับไป ตอนแรกใจกล้าจะมาอวยพรให้คู่หมั้นหมายเดินทางอย่างปลอดภัย แต่พอเจอหน้าก็เขินอายจนทำตัวไม่ถูกเสียอย่างนั้น“ให้ข้าเดินไปส่งท่าน” ฝ่ามือขนาดใหญ่ผายเชิญให้นางเดินไปด้วยกัน ขณะที่เดินไปนั้นต่างคนก็ต่างอมยิ้มน้อยๆ จนมุมปากยกขึ้นอย่างเปิดเผย“พี่หมิงซานยังไม่นอนอีกหรือ พร
ณ ลานประหารสตรีโฉดสองนางถูกมัดมือไพล่หลังด้วยเชือกนั่งอยู่คุกเข่าที่พื้น ในขณะที่ถังฮ่าวอี้อยู่ในกรงไม้ขนาดเล็กบนรถลากเข็น มีเพียงส่วนศีรษะที่โผล่พ้นออกมานอกกรง ถังฮ่าวอี้มีใบหน้าราบเรียบ แววตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึก เพราะความผิดหวังเมื่อถูกภรรยาที่ตนรักมากที่สุดทรยศหักหลัง ทำทุกอย่างให้ลุ่มหลงจนหูตามืดบอดร่วมสังหารภรรยาของตน และขับไล่อีกคนออกไปอย่างไร้เมตตาลู่หนี่เซียวร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น หลังหลังจากแท้งลูกไปเพราะถูกสืออินผลักจนล้ม พักผ่อนยังไม่ทันหายดี ก็ถูกเรียกตัวไปฟังคำตัดสินแล้วถูกพามายังลานประหาร พยายามขอความเมตตาจากศาลแต่เพราะสิ่งที่นางทำนั้นเหี้ยมโหดไร้ความปรานี คำตัดสินนั้นจึงตรงไปตรงมาและให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่ตายไปแล้ว จะพักฟื้นหรือไม่ก็ไม่พ้นจากโทษตายอยู่ดีส่วนสืออินพยายามจะดิ้นรนเอาชีวิตรอด ร่างอวบอ้วนนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นของเสียที่เหม็นคาวเพราะกลัวจนควบคุมไม่ได้ ปล่อยของเสียเรี่ยราดจนเป็นที่น่าเวทนาฉวนเร่อหลานปะปนกับผู้คนเพื่อที่จะเข้ามาดูการประหารชีวิตให้เห็นกับตาตัวเอง ในขณะที่ตัดสินโทษตายของทั้งสาม หยางหมิงซานให้คนส่งข่าวมาบอกนางว่าถังฮ่าวอี้สารภาพเรื่องการสั
เนื่องจากมีผู้ที่เกี่ยวข้องมีจำนวนมาก ฉวนเซ่าฉือเจ้าเมืองแห่งจินโจว จึงแต่งตั้งให้ขุนนางท้องถิ่นในเขตจินโจวเข้ามาเพื่อช่วยสอบสวน เรือนสกุลถังถูกปิดตาย ทรัพย์สินทั้งหมดถูกยึด ให้ตกเป็นทรัพย์สินของทางการ บ่าวรับใช้ที่ถูกซื้อตัวมาทุกคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกปล่อยตัวให้ได้รับอิสระและแยกย้ายกลับไปยังบ้านเกิดของตน เหลือเพียงบ่าวคนสนิทเพียงไม่กี่คนที่ยังคงจองจำอยู่ในคุกศาลการสอบสวนได้แยกกับสอบปากคำเพื่อฟังคำให้การว่าตรงกันหรือไม่ ก่อนจะนำตัวมาให้การพร้อมกันต่อหน้าในภายหลังการให้การของลู่หนี่เซียวได้ผ่านไป แม้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เนื่องด้วยนางเป็นภรรยาของถังฮ่าวอี้ และเซียวเหมยฮวาเองเป็นอนุของเขา ซึ่งเป็นหลานสาวของเซียวเยี่ยหลง ทั้งสองจึงยังถูกคุมขังที่คุกใต้ดินของศาลพร้อมกับสาวใช้คนสนิทของพวกนางถังฮ่าวอี้นั่งหันหลังให้แก่ห้องขังของพวกนางทั้งสอง ไม่อยากจะมองหน้าผู้ที่เคยเป็นภรรยาแสนรัก แต่สุดท้ายเมื่อถึงคราวตกอับกลับเผยธาตุแท้ออกมา“นั่นมันอาหารของข้านะ” เสียงของสืออินร้องเสียงดังไม่ยอมให้ลู่หนี่เซียวแย่งอาหารของตน“ข้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงต้องเป็นกินอาหารให้เพียงพอ เจ้าต้องเสียสละ
เรื่องของสกุลถังได้ถูกนำไปปรึกษากับฉวนเซ่าฉือ เมื่อได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเจ้าเมืองฉวนก็ถึงกับโกรธหน้าเขียวคล้ำ ไม่คิดว่าจะถูกสกุลถังเหยียบจมูกทำการต่ำช้าอยู่ในเขตการปกครองของตน“ลักลอบปลูกยาสูบขายและหลบเลี่ยงภาษียาสูบยังไม่พอ ยังลักลอบผลิตอาวุธให้แคว้นที่เป็นศัตรู ช่างชั่วช้ายิ่งนัก พวกขายชาติ ถือเป็นกบฏต่อบ้านเมือง” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยโทสะ แล้วถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้มเพราะยังไม่ได้มีเวลาเตรียมการอันใด ข่าวที่ได้รับรู้นั้นอีกเพียงสองวันก็จะต้องลงมือแล้ว“ท่านลุงฉวนอย่าได้กังวลไป ทุกอย่างข้าได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่ว่าครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับเรื่องกบฏ ข้าจึงมิได้นำเรื่องมาปรึกษาท่านตั้งแต่แรก หากข้าทำผิดไปขอท่านลุงอยากได้ถือโกรธ”ฉวนเซ่าฉือถอนหายใจออกมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องแผนการจับกุมที่กระชั้นชิดนี้ “ข้าหาได้โกรธเคืองไม่ เข้าใจดีและรู้ว่าเจ้าวางแผนเอาไว้อย่างรอบคอบแล้ว ทหารที่เจ้าขอข้าจะให้ไปเสริมกำลังในการจับกุมพร้อมทั้งคนของข้า แต่เวลากระชั้นชิดไป ข้าจึงอดที่จะกังวลไม่ได้”“ท่านลุงอย่าได้กังวล ตามข้อมูลที่สืบมาชาวบ้านที่ลักลอบ