แผนที่ที่วาดด้วยหมึกแห้งดีแล้ว หยางหมิงซานจึงไม่รอช้าที่จะพับเก็บใส่ช่องใต้แขนเสื้อของตน ก่อนที่บุรุษผู้องอาจและแฝงไปด้วยความเย็นชาจะลุกขึ้น ก็ชะงักเพราะคำถามที่โพล่งถามขึ้นมา“รูปเด็กผู้หญิงที่ถือไม้ถังหูลู่ หมายความว่าอะไรหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงทำให้คุณชายตัดสินใจมาช่วยข้าได้” น้ำเสียงนั้นถามอย่างจริงจัง ชาติก่อนก็ไม่รู้ความหมายถึงภาพวาดที่เขาส่งมาให้ ชาตินี้หากเป็นไปได้ก็อยากรู้ให้หายค้างคาใจเสียที“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” ประโยคนั้นเย็นชาและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เรื่องระหว่างตนกับหลิวอี้เจินไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างนางควรรับรู้“นี่ท่าน...” ริมฝีปากบางเม้มสนิทอย่างไม่พอใจ“เจ้าบอกเองว่าจะพูดแค่เรื่องของถังฮ่าวอี้ ไม่กล่าวเรื่องอื่น แล้วจะถามให้มันได้อะไรขึ้นมา” พูดจบก็ก้าวเดินออกจากห้องตำราไปนางได้แต่มองตามแผ่นหลังที่แข็งแกร่งนั้นออกไป ความคิดอีกส่วนก็ชิงชังกับความเย็นชานั้น ความคิดอีกส่วนก็ลุ่มหลงความสุขุมของอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน“หยุดเลยนะ หากยังไม่ชำระแค้น เจ้าจะมาทำให้ตัวเองเสียการไม่ได้” นางกำลังบ่นพึมพำให้ตนเอง จากนั้นก็นั่งคิดอยู่ว่าตอนเด็กๆ ตนเคยถือไม้ถังหูลู่ยื่นให้เขาหรืออย่างไร
ผ้าแพรสีม่วงอ่อนชั้นดีที่ถูกตัดเป็นชุดกระโปรงชั้นนอก ถูกนำมาสวมใส่บนร่างอรชรของฉวนเร่อหลานได้อย่างลงตัวผมยาวสลวยที่ถูกมัดส่วนบนเป็นมวยไว้บนศีรษะถูกปักด้วยปิ่นหยกสีขาวที่เรียบง่ายแต่บ่งบอกได้ถึงฐานะที่ไม่ขัดสน“คุณหนูจะออกไปจริงๆ หรือเจ้าคะ คราวนี้ไปเดินเที่ยวตลาดจริงๆ ใช่ไหมเจ้าคะ”“ทำไม เจ้ากลัวข้าเถลไถลอย่างครั้งก่อนนะหรือ ไม่ต้องกลัวหรอก วันนี้ข้าไปเดินเที่ยวตลาดจริงๆ จะซื้อเครื่องประทินผิวหน้าและชาดสีใหม่ แล้วไปนั่งกินบะหมี่ร้านเถ้าแก่โจวเสียหน่อย เจ้าชอบไม่ใช่หรือ”“บ่าวดีใจที่คุณหนูจำได้ แต่ไม่ออกไปได้หรือไม่”ใบหน้างามที่กำลังยิ้มแย้ม มองสาวใช้คนสนิทที่มีสีหน้ากังวล ครั้งก่อนไม่มีใครรายงานฉวนเซ่าฉือก็จริง แต่ว่านางก็รู้สึกผิดที่ปกปิดความผิดนี้“เชื่อใจข้าเถอะเสี่ยวชิง ข้าไม่ทำให้เจ้ามีอันตรายหรอก” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นและมีเมตตา คิดถึงไจ๋ซิ่วป่านนี้จะไปเกิดใหม่ที่ไหน หรือว่ากลายไปเป็นสาวใช้บนสวรรค์ของเทพธิดาสักองค์แล้วฉวนเร่อหลานพาเสี่ยวชิงและสาวใช้อีกสองคนไปขออนุญาตใช้รถม้ากับบิดาที่นั่งพูดคุยอยู่กับรองแม่ทัพหนุ่มในสวน ฉวนฮูหยินที่เดินนำสาวใช้ยกของว่างและน้ำชามาได
เพียงไม่กี่เสี้ยวพริบตาที่หันไปมองสาวใช้สกุลถัง พอหันกลับมาอีกทีฉวนเร่อหลานก็เดินตรงไปยังร้านขายขนมเปี๊ยะที่อยู่ติดกับร้านขายหมั่นโถวมองดูสืออินที่ยืนถือตะกร้าใส่ผักรอหมั่นโถวที่กำลังห่อใส่ถุงกระดาษอยู่ก็หย่อนอะไรบางอย่างลงไปในตอนที่ไม่มีใครสังเกตเห็น“คุณหนู ขนมเปี๊ยะของท่านได้แล้ว” เถ้าแก่ร้านขายขนมเปี๊ยะกล่าวอย่างสุภาพพร้อมทั้งยื่นห่อขนมเปี๊ยะให้ฉวนเร่อหลานกำลังจะหยิบเงินมาจ่ายแล้วทำสีหน้าตกใจ ในตอนนั้นหยางหมิงซานกำลังจะเดินเข้าไปช่วยแต่นางก็ส่งสัญญาณไม่ให้เขายื่นมือเข้ามายุ่งในแผนการของตน“ถุงเงินข้าหาย ไม่รู้อยู่ไหน เมื่อครู่ตอนเดินมาข้ายังถืออยู่เลย” นางแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงที่ตกใจในขณะที่สืออินที่ยืนอยู่ข้างๆ รับห่อหมั่นโถวแล้วหยิบถุงเงินขึ้นมาจะจ่ายจากนั้นพอเห็นถุงเงินสีแดงในตะกร้าก็เงียบทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น คิดว่าคงเป็นเพราะคุณหนูข้างๆ ทำหล่นใส่ตะกร้าของตนสาวใช้ร่างใหญ่จ่ายเงินแล้วจะรีบเดินออกไป ท่าทางมีพิรุธนั้นไม่รอดพ้นสายตาของหยางหมิงซาน“หยุดก่อน ในตะกร้าของเจ้าอาจจะมีถุงเงินของคุณหนูผู้นั้นทำหล่อนเอาไว้” เสียงของรองแม่ทัพหนุ่มทำให้ทุกคนหันมาสนใจ สาวใช้ทั้งสามที่เห็นว่า
ที่ศาลาริมสระบัวในยามเซิน ในศาลามีเพียงหนึ่งบุรุษและหนึ่งดรุณีที่นั่งจ้องมองด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังมากกว่าจะเป็นความหวานชื่นตามประสาหนุ่มสาวบรรดาสาวใช้ของฉวนเร่อหลานยืนอยู่ห่างออกไปแต่ไม่ไกลจากสายตานัก ในสวนก็มีคนเดินผ่านไปมา มิได้อยู่ตามลำพังให้ผู้คนนำไปครหา“ข้ามีเวลาไม่มาก ท่านอยากกล่าวสิ่งได้อย่าได้อ้อมค้อม”“ข้าจะเตือนเจ้าว่า อย่าบุ่มบ่ามและทำการสิ่งใดโดยที่ยังไม่ปรึกษาข้า อย่างเช่นวันนี้ สิ่งที่เจ้าทำเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น หากสกุลถังเกิดเรื่องกับบุตรีเจ้าเมืองย่อมต้องระวังตัวมากขึ้น แผนการทุกอย่างที่วางเอาไว้ก็จะต้องพังลงเพราะความใจร้อนของเจ้า”“ครั้งหน้าข้าจะคิดให้รอบคอบกว่านี้”“ยังคิดว่าจะมีครั้งหน้าอีกเช่นนั้นหรือ จนกว่าแผนการของข้าจะสำเร็จ เจ้าห้ามมีเรื่องกับสกุลถัง”“ท่านไม่มีสิทธิ์มาสั่งให้ข้าทำหรือไม่ทำอะไร”“ข้ามีสิทธิ์ ข้าเป็นคู่หมั้นคู่หมายของเจ้า”“แต่ท่านไม่อยากแต่งงานกับข้า” นางพูดเสียงแข็งกลับไป แววตาไม่ยำเกรงแม้แต่น้อย“หากเจ้าขัดคำสั่งข้า ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้าก็แล้วกัน” น้ำเสียงนั้นกดต่ำลง ข่มความโกรธเอาไว้ แล้วพ่นลมหายใจออกมาเมื่อเห็นว่านางหาได้เกรงกลัวต
ในขณะที่ส่งสองเจิ้งออกไปเพื่อสืบเกี่ยวกับหมู่บ้านลบที่ไม่มั่นใจว่าจะมีจริงหรือไม่ หยางหมิงซานได้เดินทางไปที่โรงน้ำชาที่ฉวนเร่อหลานให้เบาะแสแก่ตน แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ และกลับมามือเปล่ารองแม่ทัพหนุ่มคิดถึงเรื่องที่นางให้ตนสืบข่าวจากไป๋เริ่น ซึ่งตนก็ลังเลอยู่มาก แต่ก็คิดอีกแง่หนึ่งว่าหากนางไม่ยอมร่วมมือหรือไหวตัวทันก็คงสูญเปล่าไม่ต่างกัน จึงสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นออกไป โดยไม่รู้เลยว่าคนที่เสนอแผนการนี้กำลังดำเนินการบางอย่างลับหลังตนทั้งๆ ที่ได้สั่งห้ามไปแล้วฉวนเร่อหลานรู้ดีว่าไป๋เริ่นมักจะไปที่วัดนอกเมืองอยู่บ่อยครั้ง วันนี้จึงออกอุบายฉวนหลี่หงผู้เป็นมารดาออกไปขอพรที่วัดนอกเมืองด้วยกัน โดยใช้รถม้าของจวนเจ้าเมืองในการเดินทาง พร้อมกับผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่งอย่างสมฐานะเมื่อไปถึงดรุณีน้อยแสนเจ้าเล่ห์ก็แยกตัวไปอีกด้านหนึ่งเพื่อตามหาไป๋เริ่น และพบว่านางมาที่นี่จริงๆ เพื่อที่จะขอพรเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ แต่ปีแล้วปีเล่าก็ยังไม่มีวี่แววเสียทีฉวนเร่อหลานเข้าไปนั่งในอาราม ทำการสวดมนต์ขอพร และแอบมองหญิงงามที่กำลังสวดวิงวอนอย่างตั้งใจ พอเห็นว่าไป๋เริ่นสวดขอพรเสร็จแล้วจึงรีบลุกตามออกไปแล้วแกล้งหน
สีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นนั้นมิใช่สิ่งที่ฉวนหลานคาดการณ์เอาไว้ แล้วยังผิดขาดไปจากที่คิดเอาไว้จากดำเป็นขาวเลยทีเดียว “แต่พอนางจากไปตำแหน่งฮูหยินที่ว่างลงไม่ใช่ว่าข้าต้องการ แต่มันไม่ควรเป็นของลู่หนี่เซียวอนุที่ร้ายกาจผู้นั้น นางทำให้ถังหลิวซื่อ[1] ต้องตรอมใจ ใช้มารยาสารพัดในการทำให้ท่านพี่ลุ่มหลง และเขาก็โง่ที่จะเชื่อนางจนยอมยกตำแหน่งของพี่หญิงให้แก่นังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่น พี่หญิงต้องตายอย่างทรมาน แต่ทั้งสองกลับมีความสุข ทั้งข้าและอนุเซียวต้องถูกนางกันแกล้งสารพัด แต่ท่านพี่ก็ปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไร” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น แววตาบ่งบอกว่าโกรธผู้ที่ถูกพูดถึงและชิงชังยิ่ง“ท่านพูดราวกับว่าท่าน...” ฉวนหลานไม่กล้าพูดในสิ่งที่ตนคิด เพราะนั่นหมายถึงว่าฮูหยินรองถังกำลังคิดเกลียดชังสามีของตนเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง“เจ้าคิดไม่ผิดหรอก” ไป๋เริ่นไม่ได้พูดความรู้สึกออกมา แต่ก็รู้ดีว่าฉวนเร่อหลานคงไม่โง่พอที่จะเดาความรู้สึกของตนเองไม่ได้ จึงยอมรับออกไปตามตรง“ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังขอพรให้มีลูกกับเถ้าแก่ถังอยู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”“เพราะข้าหวังผลอย่างไรล่ะ หากลู่หนี่เซียวใ
จดหมายถูกส่งถึงแม่ทัพหยางผู้เป็นบิดาเรียบร้อยแล้ว ทหารมากฝีมือจำนวนหนึ่งกำลังเดินทางมาที่จินโจวเพื่อที่รอคำสั่งให้จับกุมผู้ที่ลักลอบผลิตอาวุธเถื่อนขายให้แก่ต่างแคว้นจนถึงตอนนี้หยางหมิงซานยังไม่สามารถหาทางที่จะสืบหาผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังได้ หรือหากไม่มีผู้บงการแล้วทุกอย่างเป็นความคิดของถังฮ่าวอี้แต่เพียงผู้เดียว อย่างน้อยก็ได้กำจัดผู้ที่เป็นกบฏออกไปแต่ในขณะที่บุรุษผู้องอาจกำลังคิดอยู่ว่าจะหาหนทางใดสืบหาตัวคนกลางในการเจรจาซื้ออาวุธ ฉวนเร่อหลานก็เชิญตนให้ไปนั่งดื่มน้ำชาและขนมกุ้ยฮวายังศาลานั่งพักที่สวนดอกไม้หน้าเรือนรับรองที่รองแม่ทัพหนุ่มพักอยู่“วันนี้คุณหนูรองดูอารมณ์ดีมากกว่าทุกวัน ไม่ทราบว่ามีเรื่องดีอันใดที่ข้าควรรู้หรือไม่”“ต้องเป็นเรื่องดีแน่และเกี่ยวกับท่านด้วย ไม่เช่นนั้นข้าไม่กล้ารบกวนเชิญคุณชายหยางออกมานั่งดื่มน้ำชากับข้าหรอกเจ้าค่ะ” น้ำเสียงนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มที่สดใสแววตานั้นเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข“คุณหนูรองมีอะไรก็รีบพูดเถอะ ข้าไม่ได้มีเวลานั่งอยู่กับท่านทั้งวัน” น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความจริงจังและสายตาก็ยืนยันว่าเป็นอย่างที่พูด“ฮูหยินรองถัง นางมิได้เป็นอย่างที
ที่ศาลาท่าน้ำ ไป๋เริ่นออกมาพบฉวนเร่อหลานตามที่อีกฝ่ายส่งจดหมายนัดพบ เมื่อไปถึงสถานที่นัดพบก็เห็นว่าฉวนเร่อหลานกำลังนั่งรออยู่ โดยมีผู้ติดตามคอยดูแลอยู่ไม่ไกลนัก“มีเรื่องด่วนหรือไม่ เจ้าจึงส่งจดหมายเรียกให้ข้าออกมาพบ” ทันทีที่เจอหน้าไป๋เริ่นก็รีบถามออกมาด้วยสีหน้ากังวล โชคดีที่จดหมายนั้นถูกส่งให้แก่สาวใช้ของนางโดยตรงตอนที่เจอกันที่ตลาด ไม่เช่นนั้นคงได้ถูกสงสัยว่าฮูหยินรองสกุลถังไปรู้จักกับคุณหนูบุตรีเจ้าเมืองตั้งแต่เมื่อใดยิ่งสามีลักลอบทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย การที่ติดต่อกับคุณหนูลูกขุนนางย่อมเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และเสี่ยงต่อการถูกเข้าใจผิด “ข้ามีของจะมอบให้ท่าน” พูดจบฉวนเร่อหลานก็นำจดหมายที่อยู่ในช่องแขนเสื้อออกมา แล้วยื่นให้แก่ไป๋เริ่น“นี่คือสิ่งใด” ไป๋เริ่นถามด้วยความสงสัย จากนั้นก็เปิดดูเนื้อหาด้านใน พร้อมกับดวงตาที่เบิกโพลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองฉวนเร่อหลานอย่างไม่เชื่อสายตา“จดหมายนี้เป็นลายมือของพี่หญิง ข้าจำลายมือของนางได้ เจ้าได้มันมาได้อย่างไร”“เพราะต้องการจะช่วยพี่หนิงหนิง ข้าร้อนใจจึงให้คนของข้าไปสืบที่สกุลถัง แต่จะด้วยวิธีการใดนั้นข้าไม่ขอเอ่ยถึง สิ่งที่ข้ารู้มาก็คือ ถังฮูหย
ในตอนเช้าของวันหนึ่ง ฉวนเร่อหลานมีอาการไม่สู้ดีนัก ใบหน้าของนางซีดเซียวและกินอาหารไม่ลง กินสิ่งใดก็อาเจียนและคลื่นไส้ไปหมด ทำให้หยางหมิงซานไม่ได้ออกไปฝึกซ้อมทหารและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ สองเจิ้งในการควบคุมดูแลการฝึกซ้อมแทนตน และอยู่ดูแลภรรยาไม่ห่างหมอเฉินผู้มีศักดิ์เป็นท่านลุงของฉวนเร่อหลาน ถูกเชิญให้มาตรวจดูอาการ ทันทีที่ตรวจชีพจรและสอบถามอาการต่างๆ เบื้องต้น รอยยิ้มก็พลันปรากฏขึ้นที่ใบหน้า ทำให้แม่ทัพหนุ่มอยากรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น“ท่านลุงเฉิน ไม่ทราบว่าข้าเป็นอะไรหรือ”“ยินดีด้วย เจ้าตั้งครรภ์อยู่ร่างกายจึงอ่อนแอ เป็นธรรมดา หลังจากนี้พักผ่อนให้เพียงพอ และอย่าสิ่งใดที่หักโหมให้มาก ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ หลังจากนี้ก็ดูแลตัวเองให้ดี ดื่มยาบำรุง เท่านี้ก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงแล้ว”“ขอบคุณท่านหมอ” หยางหมิงซานกล่าว แล้วขยับไปนั่งกุมมือภรรยาที่นอนอยู่ ในขณะที่หมอเฉินกำลังเขียนใบสั่งยาาเอาไว้ให้ฉวนเร่อหลานเอามือกุมท้องของตน นางกำลังตั้งครรภ์อย่างนั้นหรือ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก ในที่สุดก็จะได้สัมผัสรสชาติของการเป็นแม่ ไม่คิดเลยว่าแต่งงานเพียงไม่กี่เดือน ตนก็จะมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแร
ฉวนเร่อหลานสามารถจัดการเรื่องทุกอย่างในจวนได้อย่างไม่มีที่ติ คนรับใช้ที่ติดตามมาจากสกุลเดิมนั้นมีส่วนหนึ่ง มีคนของหยางหมิงซานส่วนหนึ่ง และได้ซื้อตัวเข้ามาอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งการคัดเลือกนั้นก็เป็นนางที่ทำหน้าที่ด้วยตนเอง เข็ดแล้วกับบ่าวที่คิดคดทรยศ อย่างสืออิน จะต้องหาผู้ที่ซื่อตรงและไว้ใจได้นอกจากนั้นงานบ้านงานเรือนก็เรียบร้อย และเป็นระเบียบ ตั้งกฎของจวนร่วมกันกับหยางหมิงซานผู้เป็นสามี มีความเคร่งครัดเพื่อป้องกันไม่ให้บ่าวในเรือน ทำผิด เพราะโทษที่จะได้รับนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้าง หนักหนา“วันนี้นายหญิงลงมือทำอาหารด้วยตนเองอีกแล้ว เช่นนี้แม่ครัวก็สบายไปเลยนะสิเจ้าคะ” เสี่ยวชิงและเสี่ยวหลิงที่กำลังเป็นลูกมืออยู่ในครัว ต่างก็รู้สึก ว่านายหญิงของตน เอาใจสามีบ่อยไปแล้ว“สบายที่ไหนกันเล่า ข้าทำอาหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แม่ครัวก็ทำอีกตั้งหลายอย่าง”“แต่อย่างเดียวที่นายหญิงทำ ใช้เวลานานมากเลยนะเจ้าคะ กลับเข้าห้องเถิดเจ้าค่ะ ที่เหลือให้บ่าวทำต่อเอง บ่าวรู้ว่าคุณหนูจะใส่สิ่งใดลงไปบ้าง”“ใช่แล้วเจ้าค่ะนายหญิง ให้พวกบ่าวช่วยทำต่อเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลิงเองก็ช่วยเสี่ยวชิงโน้มน้าวให้นายหญิงกลับออกไปพ
หลังจากที่ผลัดการแต่งงานมาหลายครา ในที่สุด งานแต่งงานระหว่างแม่ทัพหยางคนลูกและบุตรีท่านเจ้าเมืองจินโจวก็เกิดขึ้น ตามฤกษ์ยามที่วางเอาไว้เจ้าสาวแสนสวยอยู่ในชุดสีแดงที่ปักด้วยลวดลายที่ประณีต ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ ทำให้ใบหน้าหวานดูสวยงามและโดดเด่น เครื่องประดับหัวที่หนักอึ้งทำให้ต้องนั่งหลังตรงเพื่อไม่ให้ทิ้งน้ำหนักเอนไปทางใดทางหนึ่ง“วันนี้คุณหนูของบ่าวงดงามที่สุด” เสี่ยวชิงพูดเสียงสั่นเครือ น้ำตารื้นปริ่มอยู่เส้นขอบตาด้วยความ ปลื้มปีติ ที่คุณหนูของตนกำลังจะออกเรือน“พอได้แล้ว ข้าจะร้องตามเจ้าแล้ว” ฉวนเร่อหลานอมยิ้ม เกรงว่าน้ำตาจะไหลตามแล้วทำให้ใบหน้าเปรอะเปื้อน ทำให้เสี่ยวชิงรีบกะพริบตาไล่น้ำตาออกไป ไม่ให้ไหลออกมาเมื่อถึงฤกษ์ยามที่เหมาะสม ผ้าคลุมศีรษะของเจ้าสาวก็ถูกวางคลุมบนเครื่องประดับหัว ชายผ้าถูกปิดลงมาจนถึงใบหน้าสวยงามในวันมงคลเจ้าสาวถูกพาไปยังห้องโถงพิธีเพื่อทำตามขั้นตอนตามประเพณีหยางหมิงซานสวมชุดเจ้าบ่าวพิธีการเต็มยศสีแดง เดินทางมารับฉวนเร่อหลานเจ้าสาวของตนถึงที่บ้านเจ้าสาวตามธรรมเนียม จากนั้นจึงไปเคารพศาลบรรพชนของสกุลฉวน พร้อมกับให้หนังสื
การมาถึงของนายอำเภอรูปงามทำให้หยางหมิงซานชักสีหน้าออกมาด้วยความไม่พอใจอย่างเปิดเผย และที่น่าโมโหคือฉวนเร่อหลานไม่สังเกตเห็นด้วยซ้ำ ใบหน้าที่ดีใจที่เห็นบุรุษอื่นอย่างไม่ปิดบัง ยิ่งทำให้หัวใจปวดร้าว“ข้าจะแนะนำท่านให้รู้จักกับพี่ยี่หาน” นางหันมาบอกก่อนที่บุรุษนามว่ายี่หานที่เรียกอย่างสนิทสนมนั้นจะเดินเข้ามาถึง‘พี่ยี่หาน’ นางเรียกบุรุษอื่นอย่างสนิทสนมเช่นนั้นได้อย่างไร“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”“อืม” นายอำเภอหนุ่มตอบ มองไปยังหยางหมิงซานยืดอกขึ้นเล็กน้อยอวดหุ่นกำยำราวกับจะข่มขวัญ“พี่ใหญ่ นี่คือรองแม่ทัพหยางหมิงซาน พี่หมิงซาน ผู้นี้คือพี่ชายของข้า ฉวนยี่หาน”บุรุษทั้งสองโค้งศีรษะให้แก่กัน แล้วเผยรอยยิ้มออกมาทั้งคู่ โดยเฉพาะบุรุษร่างกำยำที่ก่อนหน้านี้ทำหน้าบึ้งตึง เมื่อรู้ว่าบุรุษเจ้าสำอางที่ตนเกือบไม่ชอบหน้าในตอนแรก แท้จริงคือพี่ชายของฉวนเร่อหลาน บุตรชายคนโตของเจ้าเมืองจินโจว จึงยิ้มออกมา“ได้ยินว่านายอำเภอซีเหอ มีผลงานตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่คิดว่าจะเป็นคนกันเอง”“ข้าก็ได้ยินมาว่าท่านเป็นรองแม่ทัพตั้งแต่อายุยังน้อย และกำลังจะเป็นแม่ทัพประจำที่จินโจว ตอนนี้อยู่ระหว่างรอคำสั่งแต่งตั้ง น่านับถือย
แปดเดือนผ่านไปในช่วงเหมันตฤดูที่เริ่มมีลมหนาวพัดผ่านมากระทบร่าง ขบวนรถม้าของนายอำเภอซีเหอ เขตเมืองซีเถาของแคว้นกู่ กำลังมุ่งหน้าเข้าไปยังเมืองจินโจวและตรงไปยังจวนของเจ้าเมืองที่ตั้งอยู่ตรงหน้าภายในรถม้าคือนายอำเภอหนุ่มวัยยี่สิบที่มีรูปร่างสันทัด รูปงาม และมีความฉลาดและเที่ยงธรรมจนเลื่อนขั้นได้ด้วยความสามารถ แต่ยังไม่ได้ออกเรือนเนื่องจากยังไม่พบสตรีที่ถูกใจเมื่อรถม้าไปถึงหน้าจวนสกุลฉวน ก็พบว่ามีรถม้าอีกคันมาจอดเช่นเดียวกับตน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจผู้ที่มาเยือน ลงจากรถม้าแล้วให้บ่าวที่ตามมาขนข้าวของเดินเข้าไปด้วยใบหน้าที่อิ่มเอมหยางหมิงซานลงมาจากรถม้า เห็นบุรุษหนุ่มเจ้าสำอางที่รูปงามเดินเข้าไปด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มพร้อมกับข้าวของที่ดูเหมือนเป็นของกำนัล ก็มองด้วยความสงสัยเจิ้งจิ้งเหยาและเจิ้งจิ้งหยวนถือกล่องที่มัดด้วยผ้าแพรสีน้ำเงินคนละกล่อง เดินตามรองแม่ทัพหยางเข้าไปในจวนแล้วก็ต้องชะงักเท้าเมื่อหยางหมิงซานหยุดเดินแล้วถามทหารที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูวันนี้เป็นวันที่ฉวนเร่อหลานอายุครบสิบแปด ทุกปีจะมีเทียบเชิญส่งไปยังตระกูลใหญ่ไม่กี่ที่ เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างสตรีวัยเดียวกัน เพราะเดิมฉวนเร่อห
เมื่อรอจนถึงยามซวี[1] บุรุษหน้านิ่งที่คิดว่าจะมาหาก็ยังไม่ได้มาเยือนที่หน้าห้องฉวนเร่อหลานตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายเดินไปหาเสียเอง เพราะพรุ่งนี้เขาต้องนำทหารส่วนหนึ่งคุมรถม้าที่จะไปส่งสกุลเซียวออกนอกแคว้นกู่ และจะถือโอกาสกลับไปร่วมรบที่ชายแดนฝั่งตะวันออกเมื่อเดินพ้นจากเขตเรือนใหญ่กำลังจะเข้าสู่ทางเดินเรือนรับรอง ก็พบว่ารองแม่ทัพหนุ่มก็กำลังเดินมาหาตนเช่นกัน“คุณหนูรอง ท่านจะไปที่ใดยามวิกาลเช่นนี้” พูดแล้วก็หันไปรอบๆ เห็นทหารยามเดินผลัดเวรยามอยู่บริเวณนั้นก็ทำหน้าเคร่งขรึมจนพวกนั้นไม่ได้หันมามองยังพวกตน“ข้าจะ...ไปห้องพระ”“ห้องพระไม่ได้อยู่ในเรือนใหญ่หรอกหรือ” น้ำเสียงนั้นกล่าวถามอย่างรู้ทัน“เป็นเช่นนั้น... สงสัยว่าข้าคิดเรื่องอื่นอยู่จึงเดินเลยมาถึงตรงนี้” สิ้นประโยคที่กลบเกลื่อนความเขินอายนั้น ร่างอรชรก็หันหลังรีบเดินกลับไป ตอนแรกใจกล้าจะมาอวยพรให้คู่หมั้นหมายเดินทางอย่างปลอดภัย แต่พอเจอหน้าก็เขินอายจนทำตัวไม่ถูกเสียอย่างนั้น“ให้ข้าเดินไปส่งท่าน” ฝ่ามือขนาดใหญ่ผายเชิญให้นางเดินไปด้วยกัน ขณะที่เดินไปนั้นต่างคนก็ต่างอมยิ้มน้อยๆ จนมุมปากยกขึ้นอย่างเปิดเผย“พี่หมิงซานยังไม่นอนอีกหรือ พร
ณ ลานประหารสตรีโฉดสองนางถูกมัดมือไพล่หลังด้วยเชือกนั่งอยู่คุกเข่าที่พื้น ในขณะที่ถังฮ่าวอี้อยู่ในกรงไม้ขนาดเล็กบนรถลากเข็น มีเพียงส่วนศีรษะที่โผล่พ้นออกมานอกกรง ถังฮ่าวอี้มีใบหน้าราบเรียบ แววตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึก เพราะความผิดหวังเมื่อถูกภรรยาที่ตนรักมากที่สุดทรยศหักหลัง ทำทุกอย่างให้ลุ่มหลงจนหูตามืดบอดร่วมสังหารภรรยาของตน และขับไล่อีกคนออกไปอย่างไร้เมตตาลู่หนี่เซียวร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น หลังหลังจากแท้งลูกไปเพราะถูกสืออินผลักจนล้ม พักผ่อนยังไม่ทันหายดี ก็ถูกเรียกตัวไปฟังคำตัดสินแล้วถูกพามายังลานประหาร พยายามขอความเมตตาจากศาลแต่เพราะสิ่งที่นางทำนั้นเหี้ยมโหดไร้ความปรานี คำตัดสินนั้นจึงตรงไปตรงมาและให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่ตายไปแล้ว จะพักฟื้นหรือไม่ก็ไม่พ้นจากโทษตายอยู่ดีส่วนสืออินพยายามจะดิ้นรนเอาชีวิตรอด ร่างอวบอ้วนนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นของเสียที่เหม็นคาวเพราะกลัวจนควบคุมไม่ได้ ปล่อยของเสียเรี่ยราดจนเป็นที่น่าเวทนาฉวนเร่อหลานปะปนกับผู้คนเพื่อที่จะเข้ามาดูการประหารชีวิตให้เห็นกับตาตัวเอง ในขณะที่ตัดสินโทษตายของทั้งสาม หยางหมิงซานให้คนส่งข่าวมาบอกนางว่าถังฮ่าวอี้สารภาพเรื่องการสั
เนื่องจากมีผู้ที่เกี่ยวข้องมีจำนวนมาก ฉวนเซ่าฉือเจ้าเมืองแห่งจินโจว จึงแต่งตั้งให้ขุนนางท้องถิ่นในเขตจินโจวเข้ามาเพื่อช่วยสอบสวน เรือนสกุลถังถูกปิดตาย ทรัพย์สินทั้งหมดถูกยึด ให้ตกเป็นทรัพย์สินของทางการ บ่าวรับใช้ที่ถูกซื้อตัวมาทุกคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกปล่อยตัวให้ได้รับอิสระและแยกย้ายกลับไปยังบ้านเกิดของตน เหลือเพียงบ่าวคนสนิทเพียงไม่กี่คนที่ยังคงจองจำอยู่ในคุกศาลการสอบสวนได้แยกกับสอบปากคำเพื่อฟังคำให้การว่าตรงกันหรือไม่ ก่อนจะนำตัวมาให้การพร้อมกันต่อหน้าในภายหลังการให้การของลู่หนี่เซียวได้ผ่านไป แม้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เนื่องด้วยนางเป็นภรรยาของถังฮ่าวอี้ และเซียวเหมยฮวาเองเป็นอนุของเขา ซึ่งเป็นหลานสาวของเซียวเยี่ยหลง ทั้งสองจึงยังถูกคุมขังที่คุกใต้ดินของศาลพร้อมกับสาวใช้คนสนิทของพวกนางถังฮ่าวอี้นั่งหันหลังให้แก่ห้องขังของพวกนางทั้งสอง ไม่อยากจะมองหน้าผู้ที่เคยเป็นภรรยาแสนรัก แต่สุดท้ายเมื่อถึงคราวตกอับกลับเผยธาตุแท้ออกมา“นั่นมันอาหารของข้านะ” เสียงของสืออินร้องเสียงดังไม่ยอมให้ลู่หนี่เซียวแย่งอาหารของตน“ข้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงต้องเป็นกินอาหารให้เพียงพอ เจ้าต้องเสียสละ
เรื่องของสกุลถังได้ถูกนำไปปรึกษากับฉวนเซ่าฉือ เมื่อได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเจ้าเมืองฉวนก็ถึงกับโกรธหน้าเขียวคล้ำ ไม่คิดว่าจะถูกสกุลถังเหยียบจมูกทำการต่ำช้าอยู่ในเขตการปกครองของตน“ลักลอบปลูกยาสูบขายและหลบเลี่ยงภาษียาสูบยังไม่พอ ยังลักลอบผลิตอาวุธให้แคว้นที่เป็นศัตรู ช่างชั่วช้ายิ่งนัก พวกขายชาติ ถือเป็นกบฏต่อบ้านเมือง” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยโทสะ แล้วถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้มเพราะยังไม่ได้มีเวลาเตรียมการอันใด ข่าวที่ได้รับรู้นั้นอีกเพียงสองวันก็จะต้องลงมือแล้ว“ท่านลุงฉวนอย่าได้กังวลไป ทุกอย่างข้าได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่ว่าครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับเรื่องกบฏ ข้าจึงมิได้นำเรื่องมาปรึกษาท่านตั้งแต่แรก หากข้าทำผิดไปขอท่านลุงอยากได้ถือโกรธ”ฉวนเซ่าฉือถอนหายใจออกมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องแผนการจับกุมที่กระชั้นชิดนี้ “ข้าหาได้โกรธเคืองไม่ เข้าใจดีและรู้ว่าเจ้าวางแผนเอาไว้อย่างรอบคอบแล้ว ทหารที่เจ้าขอข้าจะให้ไปเสริมกำลังในการจับกุมพร้อมทั้งคนของข้า แต่เวลากระชั้นชิดไป ข้าจึงอดที่จะกังวลไม่ได้”“ท่านลุงอย่าได้กังวล ตามข้อมูลที่สืบมาชาวบ้านที่ลักลอบ