“ท่านพี่เป็นอะไร”
“ข้า...”
น้ำเสียงที่ได้ยินแหบแห้งจนน่าตกใจ
“ท่านพี่ไม่สบายหรือ?”
หรูซื่อขยับตัวทำให้เพิ่งรู้ว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของสามี แก้มเนียนฝาดสีเลือดขึ้นมาทันที เห็นท่าทีของนางกลับมาเป็นเช่นเดิมหัวใจจึงกลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง
“ข้าแค่ตกใจ”
“ตกใจ?”
“เจ้าทำข้ากลัวเหลือเกิน” เขากุมมือที่ยังแนบแก้มของเขาอยู่ “เจ้าฝันร้ายและข้าไม่สามารถช่วยเจ้าได้”
“แค่ฝันร้าย” นางยิ้มเขินอาย นางไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าร้องไห้ “ข้าทำให้ท่านเป็นห่วงอีกแล้ว”
“เจ้าฝันถึงสิ่งใด เหตุใดจึงร้องไห้จนดวงตาเปียกชุ่มเช่นนี้”
หรูซื่อเพิ่งรู้ตัว นางดึงมือกลับมาใช้หลังมือเช็ดที่ใต้ตา รอยเปียกชื้นที่เหลืออยู่ยืนยันได้ว่านางร้องไห้
“ข้าร้องไห้หรือ? แต่ข้าจำไม่ได้เลยว่าร้องไห้เรื่องอันใดกัน”
“จำไม่ได้ก็ดีแล้ว ข้าเห็นเจ้าร้องไห้ก็ปวดใจเหลือเกิน”
“ท่านพี่” หัวใจนางเหมือนจะพองโตคับอก แม้ผู้อื่นเกรงกลัวสามีของนางมาก แต่เขาอ่อนโยนและห่วงใย ใส่ใจทุกเรื่องของนาง แม้นางความจำเสื่อมก็ไม่เคยแสดงน่าทีรังเกียจ นางโชคดีมากที่มีเขาเป็นสามี
“นี่ยามใดแล้ว สองสามวันมานี้กินยาที่ท่านหมอจัดให้ ข้าหลับๆ ตื่นๆ หลงวันคืน ไม่ได้ดูแลปรนนิบัติท่านพี่เลย”
“ยามจื่อแล้ว เจ้านอนต่อเถิด”
“ยามจื่อ? ท่านเพิ่งกลับมาหรือ?” นางอดสำรวจเขาไม่ได้ ถึงจะย้ายมาอยู่เรือนเดียวกันแล้ว แต่งานของเขาทำให้นางยึดครองเตียงเพียงผู้เดียว
“กลับมาได้สักพักแล้ว” เขาประคองนางพิงเสาเตียงแล้วเดินไปรินน้ำให้นางดื่ม
“ทุกคืนท่านนอนที่ใด”
“ห้องหนังสือ” เขารับถ้วยน้ำมาแล้วเดินไปวางที่เดิม “ข้ากลัวจะรบกวนเจ้า”
“รบกวนหรือไม่อยากมาเจอหน้าข้ากันแน่”
นางถามเสียงแผ่วเจือออดอ้อนชวนให้คนฟังคันยุบยิบที่หัวใจ ในห้องมีเพียงแสงจันทร์สาดส่อง แต่กระนั้นซุนหลวนคุนกลับมองนางขบริมฝีปากทั้งเขินอายและน้อยใจ
“เจ้าคิดมากไปแล้ว” เสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอทำให้หรูซื่อยกมือขึ้นทุบแผ่นอกของเขา
“ท่านพี่หัวเราะเยาะข้า” นางแง่งอนทำเป็นไม่สนใจแล้วขยับตัวลงนอนหันหลังให้ “อยากไปนอนห้องหนังสือก็ไปเลย”
“เจ้าไล่ข้า?”
“ข้าหรือจะกล้าไล่ท่านแม่ทัพใหญ่เช่นท่านได้” นางหันมาโต้เถียงทว่าใบหน้ากลับปะทะกับลมหายใจอุ่นร้อน นางไม่รู้เลยว่าเขาเคลื่อนกายมาใกล้ตั้งแต่เมื่อใด แม้อยู่ในความมืด นางกลับเห็นประกายตาดุจเหยี่ยวจ้องจับเหยื่อได้ชัดเจน และแล้วพญาเหยี่ยวก็ฉกจูบนางอีกครั้ง เขาขบริมฝีปากล่างของนางเบา ๆ ให้นางเปิดปากแล้วกระซิบเสียงแหบพร่า
“คราวนี้ยามถูกข้าจูบ เจ้าต้องหายใจทางจมูกนะ”
“จะ...จูบ...”
นี่เรียกจูบหรือ? ครั้งนั้นที่เขาทำนางเกือบขาดใจตายเพราะจูบหรือ?
นางคิดถึงความรู้สึกครั้งก่อนก็ส่ายหน้าไปมา
“ข้าจูบไม่เป็น ท่าน...ท่านพี่ทำข้าเกือบตาย”
“ซื่อเอ๋อร์ ไม่มีผู้ใดตายเพราะจูบหรอก” เขาขยับตัวคร่อมร่างอ่อนนุ่ม “หากแต่จะขาดใจถ้าไม่ได้จูบ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถ้อยคำของเขาผสานลมหายใจร้อนผ่าว หรือร่างกายที่บดเบียดแนบชิด รวมทั้งกลิ่นอายบุรุษเพศ ทำให้สมองของนางคิดสิ่งใดไม่ออก ริมฝีปากของเขาประทับที่เปลือกตา แล้วตามด้วยปลายลิ้นตวัดที่เนียนแก้ม เขากลืนกินหยาดน้ำตาแล้วจึงประทับจูบอีกครั้ง ครั้งนี้นางไม่ได้หายใจทางปาก ทำตัวเป็นลูกศิษย์ที่ดี ทำตามที่เขาสอน จึงทำให้การจุมพิตนี้ยาวนานกว่าครั้งแรก
เรียวลิ้นคล่องแคล่วแทรกเข้าไปหยอกล้อกับลิ้นของนางที่เงอะงะทำอะไรไม่ถูก เขาสอนนางให้ดื่มดำกับรสหวามไหวที่เกิดขึ้น และตัวเขาซึมซับความหวานจากโพรงปากสาว ร่างกายขยับเข้าหา มือใหญ่ค่อยๆ ปลดสายรัดเอวของนางออกด้วยเกรงกระต่ายจะตื่นตกใจ แต่เมื่อฝ่ามือของเขากอบกุมบัวคู่งามก็ทำเอาหญิงสาวสะท้านไหว เปล่งเสียงครางออกมาอย่างไม่รู้ตัว เพียงพริบตาเสื้อผ้าของนางก็หลุดออกออกเหลือร่างกายเปลือยเปล่างดงาม มือเรียวยกขึ้นบิดทรวงอกทันทีที่รู้ตัว
“อย่าปิด...ให้ข้ามองเจ้าเถิด” เสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยความปรารถนา
“ข้า...ข้าอาย...”
“เช่นนั้นข้าเปลือยกายเหมือนเจ้า เจ้าจะได้ไม่ต้องอายเพียงคนเดียว”
ถ้อยคำหยอกล้อนี้ทำให้นางยกมือขึ้นปิดตาตัวเอง ลืมไปว่าทำเช่นนี้แล้ว เขาสามารถมองเห็นดอกบัวตูมที่รอให้เขาเชยชม เขาควรทำเรื่องราวเหล่านี้ตั้งแต่คืนเข้าหอ แต่ครานั้นนางอายุเพียงสิบสอง เขากลัวว่านางจะเกลียดชังเขาจึงได้แต่รอและรอ รอมาตลอดห้าปี เขาไม่เคยคิดว่าจะได้มีช่วงเวลาร่วมอภิรมย์เช่นนี้
หรูซื่อจ้องมองชายเบื้องหน้า ถึงอย่างไรเขาก็คนที่กราบไหว้ฟ้าดิน เป็นสามีของนาง
หญิงสาวบอกกับตัวเองเช่นนั้นเพื่อลดความเขินอายที่มี และยอมรับความรู้สึกแปลกประหลาดที่เขาบรรจงมอบให้อย่างอ่อนโยน ทุกจุดที่เขาสัมผัสก่อเกิดไอร้อนผ่าวแผ่กระจายไปทั่วร่าง โหยหาการเติมเต็มที่นางไม่รู้จัก
“ซื่อเอ๋อร์ ขอข้าเถิดนะ”
หรูซื่อไม่เข้าใจว่าเขา ‘ขอ’ สิ่งใด แล้วนางก็ต้องผวาเฮือกเมื่อริมฝีปากอุ่นร้อนดูดกลืนยอดปทุมถัน พาให้ร่างกายสั่นระริก เขากอบกุมแล้วบีบเคล้นทรวงอกนุ่มนิ่มในอุ้งมือ ใครเลยจะรู้ว่าภายในเสื้อผ้าเรียบง่ายที่นางสวมใส่จะซุกซ่อนเรือนร่างงดงามเย้ายวนถึงเพียงนี้ ปลายลิ้นตวัดเลียยอดอกจนเปียกชุ่ม ดูดดึงและขบกัดสลับกัน ทำให้หญิงสาวได้แต่เปล่งเสียงครางกระเส่าบิดกายเร่าอย่างไม่รู้ตัว
ทุกจุดที่ริมฝีปากของเขาเคลื่อนผ่าน เกิดระลอกความรัญจวนไปทั่วร่าง เขานั่งคุกเข่าเบื้องหน้าแล้วแยกเรียวขาออก ก่อนที่นางดิ้นรนขัดขืนได้ทัน ลิ้นร้ายกาจของเขาก็แทรกเข้าไปในร่องรักที่เปียกชื้น
“อย่า...”
นางร้องห้ามเสียงแผ่ว ส่วนที่น่าอายไม่เคยถูกแตะต้องกำลังเปิดเผยต่อหน้าเขา ร่างกายบิดเร่าตอบสนองกับความเสียวซ่านที่ได้รับ นิ้วกร้านแทรกเข้าไปในร่องหลืบอ่อนนุ่ม กลิ่นกายนางหอมละมุ่น การเคลื่อนไหวของนิ้วแกร่งเร่งเร้าทำให้ดอกไม้สาวคายน้ำหวานออกมามาก แต่ยังไม่มากในความคิดของเขา นิ้วมือจึงเพิ่มอีกนิ้ว ร่องรักที่คับแน่นทำให้เขาต้องพยายามยับยั้งใจไม่ให้เร็วเกินไป หรูซื่อสะบัดหน้าไปมา เส้นผมยาวสยาย นางไม่เคยรู้เลยว่าเสียงที่เปล่งออกมาจะเป็นเสียงของนาง ร่างกายถูกไฟเสน่หาเผาไหม้ ความสุขสมที่ไม่รู้จักแผ่กระจายไปทั่วร่าง ปลายเท้าเกร็ง สะโพกกระตุกรับจังหวะการเคลื่อนไหวที่นิ้วร้ายปรนเปรอให้นาง
นางหลุดเสียงหวีดร้องแล้วหอบหายใจถี่
ซุนหลวนคุนถอนนิ้วทั้งสองนิ้วออกแล้วส่งมันเข้าปากตนเอง ดูดกลืนน้ำหวานจนเกลี้ยงแล้วจึงโน้มหน้าลงจุมพิตนางอีกครั้ง สติของนางกระเจิดกระเจิงไม่อาจต่อต้านสิ่งใดได้ ความเป็นชายอันแข็งแกร่งคลอเคลียกลีบดอกไม้ที่สั่นระริก เรียวขาแยกออกเชื้อเชิญอย่างไม่รู้ตัว มือแกร่งประคองสะโพกของหญิงสาว ดวงตายังคงจับจ้องสีหน้าของนาง เขาดุนดันแท่งหยกเข้าไปในร่องรักที่คับแคบ ค่อยๆ ดันเข้าไปที่ละน้อย
หรูซื่อรับรู้ถึงร่างกายที่สั่นไหวเพราะการเคลื่อนไหวของเขา ริมฝีปากสีชาดเผยอส่งเสียงครางหวานอย่างรัญจวน เขาขยับสะโพกเป็นจังหวะถอยออกแล้วดันกลับเข้าไป ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ความเสียดเสียวทำให้นางยกสะโพกขึ้นรับจังหวะกดลงของเขา แก่นกายอันใหญ่โตจึงผลุบเข้าไปได้สุดลำ
“อ๊า...” ร่างอรชรสั่นเทิ่มพร้อมกับน้ำตาที่คลอเบ้า
ชายหนุ่มแหงนหน้าคำรามในลำคอ มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าการอยู่นิ่งๆ เพื่อให้นางปรับตัวรับกับแก่นกายได้นั้นมันทรมานเพียงใด เขาก้มหน้าลงเห็นดวงตาของฉ่ำวาวด้วยน้ำตา
“เจ็บมากหรือไม่”
นางเจ็บแต่ส่ายหน้าไปมา
“อีกเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว” เขายิ้มร้ายกาจ โน้มหน้าลงดูดกลืนปลายถันที่แดงฉ่ำ ใช้ทั้งปากและลิ้นละเลียดความอ่อนนุ่มปลุกเร้าจนยอดอกชูชันท้าทายสายตา มือเรียวยกขึ้นโอบกอดเขาไว้ ส่งตัวตนของนางให้เขาลิ้มรส ในขณะที่สะโพกสอบยังคงเคลื่อนไหวนำพาความเสียดเสียวไปทั่วร่าง เขาทำเช่นเดียวกับที่ใช้นิ้วและลิ้นแต่ครั้งนี้เป็นแท่งหยกร้อนระอุของเขาที่เคลื่อนไหวเข้าออกในร่องรัก ทุกการเคลื่อนไหวของเขานำพาความเสียวซ่านมาแทนที ความเจ็บปวดจางหายไปเมื่อใดไม่อาจรู้ได้ ร่องรักทั้งอุ่นร้อนและชุ่มฉ่ำ เสียงครางกระเส่าปลุกเร้าให้ชายหนุ่มแทบคลุ้มคลั่ง เหงื่อไหลโทรมกาย นัยต์ตาร้องแรงดุจลูกไฟ และดวงตาของเขาสะกดนางให้นางจ้องมองเพียงเขาเท่านั้น สะโพกสอบขยับโยกดุนดันจนร่างบางสั่นไหวตามแรงกระแทกกระทั้น มันเร็วขึ้น แรงขึ้น ถี่กระชั้นมากขึ้น นางบิดเอวเผลอจิกเล็บกับแผ่นหลังของเขา เสียงครางแหบพร่าทำให้นางได้สติ จ้องมองสีหน้าของเขาอย่างหลงใหล เหงื่อไหลชโลมกาย ผสานกับเสียงครวญหวานของนางเร่งเร้าผลักดันให้เขาขยับกาย “ข้า...ข้าไม่ไหวแล้ว” หรูซื่อพูดเสียงแผ่ว ครั้งนี้มันยิ่งกว่าเมื่อครู
“ซื่อเอ๋อร์...มองข้า” น้ำเสียงเว้าวอนทำให้นางลืมตามองเขา อารมณ์ปรารถนาในดวงตาคู่นี้ทำให้นางไม่อาจหลบสายตาได้เลย เขาต้องการนางเช่นเดียวกับที่นางปรารถนาในตัวเขา สองมือยื่นมือไปโอบล้อมลำคอ เขายกบั้นท้ายงามงอนขึ้นก่อนจะชำแรกเข้าไปในร่องรักที่ฉ่ำแฉะ ฝากฝั่งตัวตนจนหมด เสียงหวานครางออกมาผสานกับเสียงคำรามอย่างพอใจ เพราะความเสียวซ่านทำให้นางรัดเอวเขาแน่น เขายกนางอุ้มทั้งที่สอดประสาน ยกสะโพกนางขึ้นแล้วกดลง “อ๊า...” หรูซื่อกอดรัดเขาแน่น ทรวงอกงามบดเบียดแผงอกกำยำ ทุกการขยับโยกของเขาทำให้นางแทบสำลักความเสียวซ่าน กระแสแห่งความสุขแล่นไปทั่วร่างยันปลายนิ้วเท้า เขาอุ้มนางพร้อมยกสะโพกตอกตรึงลำทวน มันลึกเสียจนนางได้แต่จิกเล็บกับแผ่นหลังของเขา “ชอบหรือไม่”เขายังคงเพียรถามทั้งที่ร่องรักนางขมิบรัดลำทวนแข็งแกร่งจนเขาแทบคลั่ง นางพยักหน้าอย่างสิ้นอาย เขายกสะโพกนางขึ้นลงกระแทกกระทั้นอย่างดุเดือด เหงื่อไหลพราวไปทั่วร่าง ความปรารถนาถาโถมราวพายุหลงฤดู หรูซื่อไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้นอกจากความสุขสมที่เขามอบให้ กระทั่งเขาอุ้มนางมาที่โต๊ะอีกครั้ง วางสะโพกนางไว้หมิ่นเหม่ ตาม
“ข้านะหรือ?” หรูซื่อชี้หน้าตัวเอง เห็นเขาพยักหน้ารับแล้วนางก็คิดตามแล้วพยักหน้าตาม“มิน่าเล่า ข้าเข้าครัวทำอาหารก็เกือบทำไฟไหม้ห้องครัวของท่านแล้ว แต่พอได้จับเข็มจับด้าย ข้ากลับรู้สึกทำได้คล่องแคล่ว เช่นนั้นข้าจะเย็บเสื้อให้ท่านเอง” “ข้าไม่อยากเห็นเจ้าเหนื่อย” เขาจับมือเรียวเล็กขึ้นมาลูบไล้นิ้วงามอย่างทะนุถนอม “ข้าอยากทำให้ท่านพี่” นางยิ้มเขินอาย เพราะตั้งใจหลบสายตาร้อนแรงของเขาจึงเสมองไปทางอื่น ทว่ากลับเห็นแผ่นที่กางอยู่บนโต๊ะ นางหลุบตาลงทันที แต่กระนั้น ทุกกิริยาของนางอยู่ในสายตาของซุนหลวนคุน “ไม่ใช่ความลับอะไร เจ้าดูได้” เขาเชยคางนางขึ้น “หากเจ้าอยากรู้อะไรก็ถาม เพียงแต่เรื่องพวกนี้อาจจะทำให้เจ้าหมดสนุก ข้าจึงไม่ได้ให้เจ้าดู” “ข้าดูได้หรือ?” แววตาวาววับจ้องมองกลับ และเมื่อเขาพยักหน้ายืนยัน นางจึงหันไปมองที่กระดาษแผ่นนั้น “นี่คือแผนที่หรือเจ้าคะ” “ใช่” เขาตอบแล้วจับเอวนางให้นางตัวตรง แผ่นหลังของนางแนบอกแกร่ง วงแขนกว้างโอบร่างเล็กแล้วชี้ให้นางดูตำแหน่งต่างๆ “นี่คือค่ายทหาร ตรงนี้เป็นกำแพงเมือง แนวเขานี้เป็นเสมือ
“อีกสองวันข้าจะไปพบเจ้า” “อย่าลืมฮูหยินของท่านด้วยสิ” ลี่หย่าย้ำ “แน่นอน ข้าต้องไปอยู่แล้ว” หรูซื่อยิ้มกว้าง สีหน้าไร้เดียงสาของนางทำให้ซุนหลวนคุนอ่อนใจ ในจังหวะเดียวกัน เขารับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่จึงวาดแขนโอบไหล่ร่างบางเข้ามาใกล้ “มีอะไรรึ” นางถาม จู่ ๆ เขาก็โอบนางเช่นนี้ “กลัวเจ้าจะร้อน” “หากข้าไม่เห็นด้วยตาตนเอง ย่อมไม่มีวันเชื่อว่าแม่ทัพปีศาจอย่างท่าน จะอ่อนโยนใส่ใจกับสตรีถึงเพียงนี้”ลี่หย่าหัวเราะเสียงใส แต่แววตาที่จ้องมองกลับตรงข้าม ซุนหลวนคุนเหมือนม้าป่างามสง่า ไม่น่าเชื่อว่า ผู้ที่ปราบม้าพยศได้นั้นเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ ท่าทางไร้เดียงสาคนหนึ่งเท่านั้น... หญิงสาวเดินเข้ามาพร้อมจานผลไม้ที่ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ สายตาจับจ้องไปยังบุรุษหนุ่มที่นั่งก้มหน้าอ่านอะไรสักอย่างอย่างตั้งใจ คล้ายไม่รับรู้ว่ามีคนเดินเข้ามา นางเผลอขบริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว ผู้มีวรยุทธ์สูงส่งเช่นเขาจะไม่รู้ว่านางเดินเข้ามา หรูซื่อจึงเปลี่ยนใจหมุนตัวเดินกลับออกมา ทว่าเดินได้เพียงไม่กี่ก้าว คนที่ฝืนทำใจแข็ง
“ท่านพี่...ท่านกอดข้าแน่นเช่นนี้ กระดูกข้าจะแหลกเหลวแล้วนะ” หรูซื่อแสร้งร้องโอดครวญเบา ๆ ทว่าเสียงของนางชวนให้คนฟังใจเตลิดไปเรื่องอื่น“หรือท่านยังคิดเรื่องรับอนุอีก” นางดิ้นขลุกขลักพลางผลักไสมือใหญ่ที่เลื่อนมาเกาะกุมบัวคู่งาม“ข้าสาบานว่าจะมีเจ้าเพียงคนเดียว” เขาฝืนยิ้มออกมา สลัดความขุ่นมัวในใจแล้วสนใจกับเรือนร่างหอมกรุ่นที่ปลุกเร้าแก่นกายบุรุษเพศให้แข็งขัน “ลำบากฮูหยินแล้ว” ยังไม่ทันเอ่ยถามว่าเขาพูดถึงเรื่องใด หรูซื่อก็เข้าใจได้เมื่อรู้สึกถึงบางอย่างที่แข็งขันดุนดันก้นของนางอยู่ ใบหน้าหวานร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีพร้อมกับผ้าคาดเอวที่ถูกปลดออก เสื้อตัวนอกเลื่อนหล่นเผยผิวกายขาวผ่องที่โผล่พ้นเอี๊ยมบังทรงตัวน้อย ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับ“ท่านพี่! เหลวไหลใหญ่แล้วนะ” นางเขินอายจนใบหน้าแดงจัดพยายามดึงเสื้อผ้าของตนเองขึ้นปกปิด แต่ต้องหลุดเสียงครางหวิวเมื่อมือซุกซนบีบเคล้นทรวงอกของนาง ร่างกายอ่อนยวบลงไปไร้แรงขัดขืน นางเอนหลังผิงแผ่นอกกว้างอย่างจำนนต่อความรัญจวนที่เขามอบให้ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยอย่างน่าอับอาย ลิ้นร้อนตวัดไล้เลียใบหู จุดอ่อนไหวที่ถูกค้นพบทำให้หญิงสาวได้แต่ครางเสียงหวา
“ท่าน!” นางหน้าแดงขึ้นมาทันทีแล้วยกมือขึ้นทุบแผ่นอกไปหลายที เรียกเสียงหัวเราะจนแม่ทัพโหดจนดังไปนอกรถม้า นางรู้ว่าทุบไปก็ไร้ประโยชน์ไม่สะเทือนเขาเลยสักนิด จึงฮึดฮัดแสร้งไม่สนใจเขาอีก รถม้าหยุดนิ่งก่อนเข้าหมู่บ้านที่ส่วนมากเป็นกระโจมขนาดใหญ่ ซุนหลวนคุนช่วยจับแต่งเสื้อผ้าของหรูซื่อให้เรียบร้อยก่อนจะก้าวลงจากรถม้าไปก่อนแล้วจึงยื่นมือไปประคองนางลงตามมา ท่าทางเอาใจใส่นี้ทำให้ลี่หย่ากำแส้ม้าในมือแน่นแต่ยังคงฝืนยิ้มออกมา “ดีใจที่เห็นพวกท่านมาเยือนถึงที่นี่” ลี่หย่าเอ่ยออกมาแต่อดกวาดตามองหญิงสาวข้างกายแม่ทัพหนุ่มไม่ได้ ซุนหลวนคุนคิดจะใช้ร่างกายตัวเองบดบังสายตาของลี่หย่า แต่หรูซื่อกลับก้าวเท้าออกมาด้านหน้าพร้อมรอยยิ้มและยื่นถุงผ้าใบน้อยให้ “เดินทางมากะทันหัน ไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรมามอบให้ เมื่อคืนข้าเย็บถุงเงินตั้งใจมอบให้แม่นางลี่หย่า ของเล็กน้อยนี้ หวังว่าแม่นางจะรับไว้” “ถุงเงินหรือ? ข้าชอบ” ลี่หย่ายื่นมือไปรับอย่างไม่เกรงมารยาทและไม่สนใจสายตาดุดันของแม่ทัพซุน นางคว้ามือของหรูซื่อแล้วใช้ร่างแทรกกลางระหว่างสองสามีภรรยา พาหรูซื่
หรูซื่ออยู่ในชุดกระโปรงสีสันสดใสปักลวดลายเป็นเรื่องราวการเลี้ยงสัตว์ของคนในเผ่า แต่รองเท้านั้นเป็นรองเท้าหนังกวางสูงถึงหน้าแข้งเหมาะสำหรับการขี่ม้า บนศีรษะประดับเครื่องประดับผมที่ทำจากลูกปัดหลากสีและขนนก และเพราะนางผิวขาวดุจหิมะต่างจากสตรีในทุ่งหญ้า ยามนี้นางจึงงดงามราวเทพธิดาสะกดสายตาบุรุษที่เผลอมองมา “ท่านพี่” หรูซื่อเห็นเขาตะลึงงันไปก็เรียกเบาๆ ทำให้ชายหนุ่มได้สติแล้วกระแอมไอออกมาแก้เก้อ “ผิวนางเหมาะกับเสื้อผ้าสีแดงมากจริง ๆ” ลี่หย่าอดเย้าไม่ได้ “นี่ๆ เจ้าเคยกินชานมแพะหรือไม่ ลองชิมดูก่อนสิ” ลี่หย่าดึงมือหรูซื่อให้นั่งลงข้างกายนาง แล้วจัดแจงรินชานมแพะส่งให้ “ไม่เหม็นหรอก ลองชิมดู” หรูซื่อรับมาจิบที่ละนิด รสชาติแปลกไม่คุ้นลิ้น แต่พอได้ชิมก็ติดใจ “อร่อย แปลกดี ข้าเพิ่งเคยกินเป็นครั้งแรก” “นมแพะทำได้หลายอย่าง ถ้าเจ้าได้แพะไปก็เลี้ยงมันดี ๆ จะได้เอาน้ำนมมันมากิน” “ต้องได้อยู่แล้ว” หรูซื่อพูดด้วยความมั่นใจแล้วหลิวตามองสามีของตน นางฝากความหวังที่จะได้ลูกแพะกลับไปจวนแม่ทัพ ซุนหลวนคุนอ่อนใจกับภรรยาตัวน้อ
เสียงของลี่หย่าเรียกสติของหรูซื่อ นางพยักหน้ารับ ครู่ต่อมาเสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้นตามด้วยเสียงโฮ่ร้องของคนในเผ่า ม้ากว่าสิบตัวในลานประลองวิ่งห้อทะยานไปด้านหน้าเผื่อไปให้ถึงจุดที่สามารถยิงธนูได้ ทว่าก็มีม้าตัวอื่นเข้ามาเบียดกระแทก หรูซื่อหลุดเสียงร้องตกใจแล้วหันไปทางหวงอี้ “ไม่ใช่แค่การยิงธนูให้เข้าเป้าหรอกหรือ? เหตุใดเหมือนต่อสู้บนหลังม้าเช่นนี้” “เผ่าเปียนเจียงมีการแข่งขันไม่เหมือนผู้ใด นี่ไม่ใช่แค่การยิงธนู แต่ทุกคนต้องต่อสู้บนหลังม้า ถ้าตกจากม้าก่อนก็ถือว่าแพ้เช่นกัน” หรูซื่อถึงกับหน้าซีด นางคิดว่าแข่งยิงธนูก็คือประลองความแม่นยำเท่านั้น ไม่คิดว่าจะเป็นการต่อสู้กันเช่นนี้ ในลานประลองผู้อื่นล้วนเป็นคนในเผ่าเดียวกัน มีเพียงซุนหลวนคุนที่เป็นคนนอก แน่นอนว่าทุกคนบังคับม้าสกัดมิให้เขาสามารถตั้งหลักยิงธนูได้ ปาปังอาศัยจังหวะที่แม่ทัพหนุ่มไม่อาจหลบหลีกผู้อื่นได้ ยกคันธนูขึ้นเล็งยิงทันทีแม้ใช้หางตามองก็ยังรับรู้ทุกอย่าง ซุนหลวนคุนบังคับม้วนตัวหลบผู้อื่นที่พุงเข้ามา ยิงธนูไปสกัดมิให้ธนูของปาปังเข้าเป้าได้สำเร็จ ปาปังตวัดสายตามองอ
“เข้ามาคุยด้านในเถิด” เขาปล่อยมือจากไหล่ของนางแล้วเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน ทว่าสายตาของนางถูกตำรามากมายดึงดูดไว้จนหลงลืมว่ามี ‘สามี’ อยู่ใกล้ๆ “ข้าไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะชอบสะสมหนังสือมากขนาดนี้” ‘ท่านแม่ทัพ’ ภรรยาหมาดๆ สนใจแต่หนังสือมากมายเหล่านั้น จึงไม่ได้เห็นแววตาไม่พอใจของสามีหมาดๆ อย่างเขา ซุนหลวนคุน ลอบถอนหายใจ นางเพิ่งย่างเท้าเข้าบ้านมาเป็นคนสกุลซุน คงไม่คุ้นชินกับการเรียกขานนัก “อีกห้าวันข้าต้องออกเดินทางแล้ว” “เดินทาง? ท่านแม่ทัพจะไปไหนรึ” หลิวหรูซื่อหันมามองหน้า ‘สามี’ นางทำหน้างุนงงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องขบกรามเน้นเช่นนั้น“ได้ ข้าจะเตรียมตัว” “เจ้าไม่ต้องไป” น้ำเสียงของเขากระด้างขึ้นเล็กน้อย บอกตนเองว่าต้องให้ ‘เวลา’ นางมากกว่านี้ เขาจะโมโหนางไม่ได้เด็ดขาด “เหตุใดไม่ให้ข้าไป” นางเอียงคอถาม ท่าทางไร้เดียงสา “เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนมารดาข้าเถิด” เขากดน้ำเสียงไม่ให้หงุดหงิดจนเกินไป “นับจากนี้เจ้าเป็นนายหญิงของจวน ต้องรับภาระดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านร่วมกับมารดาข้าแล
“แต่งงาน! น้องเล็กอายุแค่สิบเอ็ดจะให้แต่งงานแล้วหรือ?” “อีกสองเดือนน้องเล็กคนนี้ก็สิบสองแล้วเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสดังขึ้นก่อนที่เจ้าของร่างเล็กเดินเร็วๆ ยื่นมือมาหยิบขนมดอกกุ้ยฮวาที่วางบนโต๊ะเข้าปากกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าแอบฟังพ่อกับพี่ๆ คุยกันอีกแล้วนะ”ราชครูหลิวถอนหายใจเบาๆ แต่กลับยิ้มเอ็นดูลูกสาวคนเดียวของสกุลหลิวไม่ได้ แม้นางเป็นหญิงแต่เฉลียวฉลาดแต่เด็ก หากไม่นับเรื่องวรยุทธแล้ว นางก็ไม่ด้อยกว่าบุรุษเลย “ซื่อเอ๋อร์ไม่ได้แอบฟังเสียหน่อย แต่เสียงพี่ๆกับท่านพ่อดังไปนอกห้องเอง” เด็กหญิงตัวน้อยไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ได้ยิน “แล้วเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร” บิดาเอ่ยถามพลางรินน้ำให้ลูกสาวอย่างเอาใจ “คนแซ่ซุนอยากแต่งข้าเป็นภรรยา ก็แต่งสิ ไม่เห็นต้องกังวลเลย” นางรับน้ำมาดื่มเล็กน้อยแล้วกินขนมต่อ มุมปากเลอะคราบขนมทำให้พี่ใหญ่หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้นาง “คนแซ่ซุนไม่มีอะไรเหมาะสมกับเจ้าเลยสักนิด” พี่ชายคนรองเอ่ยอย่างหงุดหงิด “แค่ทหารปลายแถวที่ถีบตนเองขึ้นมาจากดินโคลน” “ข้าเชื่อว่าคนแซ่ซุน
ความรู้สึกเจ็บปวดนี่มันคืออะไรกัน เป็นอีกเช้าที่ซุนหลวนคุนลืมตาตื่นแล้วพบว่า ดวงตาของตนมีน้ำตาเอ่อคลอ น่าอายเหลือเกิน เขาอายุสิบแปดแล้ว แต่ยังนอนละเมอร้องไห้อยู่อีก ที่สำคัญ เขาไม่เคยจำได้เลยว่าฝันถึงเรื่องใด ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นจะเหลือเพียงความเจ็บปวดบีบรัดหัวใจ ชายหนุ่มยันกายขึ้นนั่งบนเตียง เขาตื่นแต่เช้ามืดเพราะต้องฝึกเพลงยุทธ เขาเป็นทหารมาหลายปีไต่เต้าด้วยความสามารถ มือสองข้างเปื้อนเลือดคล้ายตัวเขามีกลิ่นอายของความตายโอบกอดอยู่ เขาถอนหายใจ จะทำอย่างไรได้ เขาเลือกเส้นทางนี้เอง แต่ก่อนนั้นครอบครัวของเขาเป็นเพียงชาวนายากจน เขาเป็นพี่ชายคนโตที่หนีออกจากบ้านเพื่อไปเป็นทหาร เขาฝึกหนักกว่าผู้อื่น ทำในสิ่งที่หลายคนไม่คิดว่าเขากล้าทำ เมื่อฐานะของตนเองมั่นคงจึงได้เชิญบิดามารดารวมทั้งน้อง ๆ มาอยู่ด้วยกัน แต่บิดาอ่อนแอเจ็บป่วยเรื้อรังมานาน ย้ายมาอยู่กับเขาได้ไม่ปีเศษก็ตายจาก เขาไม่ได้สนใจลาภยศใด เขาเพียงหวังให้ครอบครัวของเขาหลุดพ้นความยากจน ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อหรือไม่มีเสื้อผ้าอบอุ่นใส่ในยามหนาวเหน็บ แต่กระนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้
“แต่ท่านก็ยังส่งข้าไป ท่านเขียนหนังสือหย่าข้า” นางยื่นมือไปโอบกอดร่างแกร่งที่ยามนี้เต็มไปด้วยผ้าพันแผล แม้เลือดจะหยุดแล้วแต่บนผ้าพันแผลยังมีรอยเลือดให้เห็นอยู่ “เพราะข้ารักเจ้า” เขากอดนาง กดปลายจมูกกับเรือนผมอ่อนนุ่ม สูดดมกลิ่นอายที่คุ้นเคย “ข้าก็รักท่าน” นางเอ่ยที่ออกมา “แม้ข้าจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่คนที่จะทำร้ายข้า ท่านพยายามปิดบังบางอย่างเพื่อปกป้องข้า ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาท่านเตรียมแผนการสำหรับครั้งนี้ไว้หมดแล้ว ท่านไม่ได้ไปเอ้อหยีร์ในนามของแม่ทัพพิทักษ์ประจิม ท่านไม่ต้องให้ผู้อื่นติดร่างแหไปด้วย ท่านเตรียมตัวไปตาย แต่ท่านลืมไปว่า ข้าคือหลิวหรูซื่อ คนที่ทำอาหารไม่เป็น แต่คัดลอกตำราพิชัยยุทธส่งให้ท่าน คนที่ตระเตรียมเสื้อผ้าให้ท่าน และเป็นสตรีใจแคบที่ไม่ยอมให้ท่านรับอนุ ซ้ำยังเอาแต่ใจตัวเอง แต่ข้าสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้ โดยที่ท่านไม่ต้องรับผิดใด ๆ และยังสามารถกลับเมืองหลวงไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวได้” “เจ้ามีแผนใด” แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าตัวเองจะรอดชีวิตกลับมา จึงทุ่มเทสุดเรี่ยวแรงเพื่อให้ครั้งนี้ทำสำเร็จ “
ม้าพุ่งทะยานฝ่าสายลมอันหนาวเหน็บพ้นเขตเอ้อหยีร์ ม้าของแม่ทัพหนุ่มรั้งท้าย แม้มีหยาดเลือดไหลเปื้อนใบหน้า ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นเช็ดมันทิ้งราวกับปาดเหงื่อ แต่หัวใจเขาพุ่งกลับไปที่ถึงค่ายทหารก่อนแล้วด้วยการเตรียมการของหรูซื่อ นางสั่งการผ่านรองแม่ทัพ เมื่อทหารห้าสิบนายกลับมาถึงค่ายทหารให้ทำเป็นไม่รับรู้เรื่องใด การะจายคนทั้งห้าสิบพักตามกระโจมต่าง ๆ แม้จะตื่นเต้นยินดี แต่ต้องเก็บอาการไว้แต่กระนั้น หรูซื่อที่ห่อตัวเองด้วยเสื้อคลุมของสามียืนรอเขากลับมาที่หน้ากระโจมหลักเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกังวล สายตาของนางนับคนที่กลับมา แม้พวกเขาจะบาดเจ็บแต่ยังรักษาชีวิตมาได้ นางหวงฝูเห็นบุตรชายกลับมาปลอดภัยก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นางรีบเข้าไปดูอาการบุตรชายทันที ม้าสองตัวควบขนาบคู่กันมา ดวงตาของหญิงสาวเพ่งมอง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมหัวใจไม่ให้เต้นเร็วเกินไปนัก แต่ก็บังคับได้ยากเย็น เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ที่เฝ้ารอเข้ามาใกล้น้ำตาที่กลั้นไว้ก็เอ่อคลอ ทว่าสองเท้ากลับเหมือนถูกตอกตรึงไม่สามารถขยับได้ ได้แต่ยืนมองเขาลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงมาทางนาง “หรูซื่อ...” มีคำถามมากหมาย
‘อ่า...นี่คงเพราะซุนหลวนคุนบอกจางหยินเซ่อว่าความจำเสื่อมสินิ คนแซ่จางเลยแต่งเรื่องว่านางมอบผ้าเช็ดหน้าให้ และสามีของนางก็อยากได้บ้าง อันที่จริงนั้นเป็นผ้าปักฝีมือนางก็จริง แต่ที่มอบให้เพราะเขาสัญญาว่าจะพานางไปพบซุนหลวนคุนต่างหาก’หรูซื่อหยิบเสื้อคลุมตัวนั้นออกมาแล้วคลุมร่างของตน วูบหนึ่งนางรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวงแขนของเขา กลิ่นอายที่คุ้นเคยดั่งวงแขนโอบกอดนางแนบแน่น ภาพความทรงจำต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาดุจสายฝนสาดซัดจนกายหนาวสั่น แม้ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ปะติปะต่อกันนัก แต่สิ่งนี้ยืนยันได้ว่า นางไม่เคยคิดปันใจไปจากเขา แม้เขาจะละเลยไม่ใส่ใจนางเท่าที่ควร นางต้องได้ยินเขาสารภาพความจริงจากปากของเขาเอง. เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว กลางคืนคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว อากาศในหุบเขาเย็นเยียบ กระนั้นทหารกลับมีเหงื่อไหลโทรมกาย แต่พวกเขาก็ไม่อาจหยุดได้ ต้องรีบถอยกลับไปถึงเขตแดนของตน “หวงอี้ เจ้านำทหารที่เหลือล่วงหน้าไปก่อน” “ไม่ได้นะขอรับ ท่านแม่ทัพนำหน้าไปก่อน พวกข้าจะอยู่รั้งท้ายเอง” “พวกเจ้านั้นแหละเป็นตัวถ่วงข้า จึงรีบรุดหน้าไปให้เร็วที่สุด”
‘ไม่เอา ข้าไม่ชอบ’ท่าทางแสนงอนของนางในวัยเยาว์เรียกเสียงหัวเราะขบขันจากบรรดาพี่ชายทั้งสามรวมทั้งบิดาของนางด้วย มารดาเดินเข้ามาพร้อมขนมของว่าง นางวางถาดขนมลงแล้วกวักมือเรียกลูกสาวตัวน้อยมานั่งตัก‘เจ้ารู้หรือไม่ งานเย็บปักนี่ก็เหมือนกลศึกที่เจ้าชอบศึกษา’‘เหมือนกันได้อย่างไรเจ้าคะท่านแม่’‘เจ้าดูแขนเสื้อของพี่ชายเจ้า มันขาดเป็นรูเช่นนั้น เจ้าจะปกปิดอย่างไรไม่ให้ผู้อื่นรู้ การทำศึกมีช่องโหว่เจ้าก็ต้องหาทางปิดจุดบอดนั้นเช่นกัน’‘จริงหรือเจ้าคะท่านพ่อ’‘เจ้าเชื่อฟังคำพูดของแม่เจ้าเถิด’‘แล้วทำไมพวกพี่ๆ ไม่เห็นต้องฝึกงานเย็บปักเลยนี่’‘ซื่อเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนใจร้อน เจ้าต้องฝึกใจเย็น มีสมาธิกว่านี้ เอาอย่างนี้ ถ้าเจ้าปักผ้ารูปไก่ได้ แม่จะยอมให้เจ้าฝึกขี่ม้า เจ้าอยากขี่ม้าใช่ไหม?’‘ได้! ข้าจะฝึกเย็บปักกับท่านแม่’มุมปากของหญิงสาวยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ภาพวันวานหวนคืนกลับมาที่ละเล็กละน้อย นางเคยฝึกขี่ม้ากับพวกพี่ๆ นี่เอง และที่คราวนั้นซุนหลวนคุนบอกว่านางขี่ม้าไม่เป็น คงเพราะกลัวนางจะขี่ม้าหนีไปเที่ยวเล่นคนเดียวเป็นแน่คนแซ่ซุนบังอาจเขียนหนังสือหย่าให้ข้า กลับมาจะจัดการให้ร้องเรียกมารดาเลย ค่อยดูสิ
“มิใช่บุกไปท้าตีท้าต่อยกับพวกเอ้อหยีร์อยู่หรอกเรอะ” ลี่หย่ายกมือขึ้นเท้าเอว “ท้าตีต่อยอะไรของเจ้า แม่ทัพของเราไปทำศึกต่างหาก อุ๊บ!” นายกองผู้หนึ่งหลุดปากพูดออกมา รองแม่ทัพยกมือขึ้นตบศีรษะลูกน้องทันที “อยู่กับพวกเอ้อหยีร์จริง ๆ สินะ” นางเค้นเสียงพูดรอดไรฟัน “แม่ทัพเดินทางไปตั้งแต่เมื่อใด” “สะ...สองวันแล้วขอรับฮูหยิน” “นำกำลังคนไปเท่าไหร่” นางถามแล้วก้าวผ่านรองแม่ทัพไปที่โต๊ะทราย กวาดตามองตำแหน่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว “ห้า...” “ห้าหมื่น?” นางถาม แต่ไม่ได้ยินคำตอบรับจึงเงยหน้าขึ้น “ห้าพัน?” “ห้าสิบนายขอรับ” นางโมโหจนตัวสั่น แต่ลี่หย่าเข้าใจไปว่าหรูซื่อสั่นเพราะความกลัวจึงเข้าไปลูบไหล่ แต่หรูซื่อตวาดออกมาเสียก่อน “ทหารห้าสิบนาย! ต่อให้เป็นแม่ทัพปีศาจจริงจะต่อสู้กับพวกกระหายเลือดอย่างเอ้อหยีร์ได้เรอะ!” แม้เป็นทหารร่างใหญ่กำยำ แต่ถูกหญิงสาวตัวเล็กตวาดก็เล่นเอาทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว “ใจเย็นก่อนหรูซื่อ แม่ทัพซุนคงมีแผนการในใจที่เราไม่รู้”
“เรา? หมายถึงข้ากับท่านนะหรือ?” นางสายหน้าไปมา “ข้าไม่ไปไหนกับท่านทั้งนั้น” “หรูซื่อ ข้ารู้เรื่องที่เจ้าความจำเลอะเลือนหมดแล้ว” จางหยินเซ่อมองหญิงสาวอย่างสงสาร “ความจำเลอะเลือนอันใดกัน” นางขึงตาใส่ นางแค่จำไม่ได้ชั่วคราวต่างหาก “ท่านรู้ได้อย่างไร” “แม่ทัพซุนบอกข้า” “อะไรนะ” นางส่ายหน้าไปมา “เขาจะบอกท่านทำไมกัน” “บอกเพื่อให้ข้าดูแลเจ้า” จางหยินเซ่อพูดแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้ยื่นมือไปหมายจะจับมือนางแต่นางกลับกระถดกายหนีจนแผ่นหลังชิดผนังรถม้า ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง “เขาต้องการให้เจ้าไปจากที่นี่ เขาต้องการตัดขาดกับเจ้า” “ไม่จริง” นางส่ายหน้าไปมา “เขาบอกว่า ถ้าเจ้าฟื้นแล้วให้อ่านจดหมายที่อยู่ในอกเสื้อของเจ้า” หรูซื่อยกมือขึ้นตบสาบเสื้อของตนเอง มีจดหมายอยู่จริง นางหยิบออกมาดู ในซองจดหมายมีหนังสือหย่าและมีดสั้นอันนั้นที่ได้รับจากชาว เปียนเจียงเท่ากับว่านี่เป็นเรื่องจริง “หรูซื่อ” จางหมินเซ่อเอ่ยเรียก “คนแซ่ซุนต้องการเพียงอำนาจไม่ได้รักใคร่เจ้าอย่างจริงใจ เจ้าเป็นคนฉลา