“ฉันยอมลงให้ทุกอย่าง เธออยากได้อะไร ไม่ชอบสิ่งไหน ต้องการให้ฉันทำอะไร ฉันก็ทำให้หมดแล้ว วันนี้เธอจะตามใจฉันบ้างไม่ได้เหรอ”
“ทำไมต้องวันนี้ ตอนนี้ล่ะคะ ปกติหมอก็ไม่ได้หิวจัดขนาดจะขาดใจถ้าไม่ได้กินนี่คะ ถ้าวันนี้พราวไม่พร้อม หมอจะรอต่ออีกไม่ได้เลยเหรอ”
“เอาเปรียบกันเกินไปแล้วนะพราวชมพู”
“หมอต่างหากที่กำลังเอาเปรียบพราว หมอเก็บกดเรื่องอะไรมาถึงได้จะมาลงที่พราว เห็นพราวเป็นที่ระบายอารมณ์หรือไงคะ”
“พราวชมพู” เปลวตะวันครางชื่อนั้นแผ่วเบา
คำพูดง่ายๆแต่กระแทกใจเต็มๆทำเอาเขาหมดอารมณ์ สองมือแกร่งร่วงหล่นลงข้างกายปล่อยให้เธอเป็นอิสระ
“พักผ่อนเถอะ ฉันก็จะไปนอนเหมือนกัน”
“เดี๋ยวค่ะ” พราวชมพูเป็นฝ่ายเรียกรั้งเอาไว้
แล้วจู่ๆเธอก็ทำในสิ่งที่เปลวตะวันไม่คาดคิด เธอดึงเขาเข้าไปกอดแล้วก็เขย่งเท้าขึ้นจูบริมฝีปากหยักดั่งคันศรของเขาหนักๆ
“พราวรู้ว่าพราวเอาเปรียบหมอหลายเรื่อง ทั้งเรื่องกีดกันไม่ให้หมอออกไปหากินนอกบ้าน ทั้งเรื่องให้หมอนอนห้องรับแขกไม่ยอมให้นอนห้องเดียวกับพราว แต่พราวก็อยากหมอเข้าใจ ระหว่างเรามันไม่ใช่ความรัก มันยากนะคะที่จะอยู่ด้วยกันทุกคืนเพียงแค่เรื่องเซ็กส์แล้วก็เรื่องหน้าที่พ่อแม่ของลูก”
เปลวตะวันนิ่งฟัง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม แต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมา พราวชมพูพอจะเดาออกแต่ก็เลือกจะปิดปากไม่พูดเช่นกัน
“ฉันเคยได้ยินคำโบราณว่าคนเราอยู่ๆไปเดี๋ยวก็รักกันเอง เธอไม่คิดบ้างเหรอว่าระหว่างเราอาจจะมีวันนั้น”
“ความรักไม่มีอยู่จริงหรอกค่ะ ถึงมีมันก็ไม่จีรัง”
“เธอพูดอย่างกับว่าเคยมีความรักอย่างนั้นแหละ”
“เปล่าค่ะ พราวแค่พูดจากที่เห็นๆคนรอบข้าง แรกๆรักกันอยู่ๆไปก็เลิกรักกันซะอย่างนั้น พราวเลยไม่ค่อยเชื่อว่าความรักชายหญิงมันมีอยู่จริง”
“แล้วยังไงล่ะทีนี้ ฉันตามความคิดเธอไม่ทันแล้วจริงๆ”
“พราวก็ไม่รู้”
“ไม่รู้ก็ช่างมันเถอะนะ อย่าไปคิดให้มันปวดหัวเลย ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติน่าจะดีกว่า เหมือนคืนนั้นไง เธอกับฉันต่างก็ไม่ได้คิดอะไรไม่ใช่เหรอพราว”
เขาว่าแล้วก็บดจูบริมฝีปากอิ่มนุ่มนิ่มคลึงเคล้าหยอกเย้าเบาๆแล้วเริ่มหนักหน่วงขึ้นเมื่อคนถูกจูบไม่มีทีท่าจะต่อต้าน
ถึงตอนนี้เปลวตะวันถึงกับครางฮืออย่างสุขสม นานเหลือเกินแล้ว เขารอคอยรสจูบแสนเสน่หานี้มาเนิ่นนาน เขาคลั่งไคล้มันหน่วงหนักจวนจะเป็นบ้า
“หมอขาอย่า...”
“อย่าฝืนอีกเลยพราว เราต่างก็รู้ว่าเราต้องการมัน”
พราวชมพูพยายามเบี่ยงหน้าหลบ สองมือพยายามผลักไส แต่ก็พ่ายแพ้แก่ความรู้สึกพุ่งพล่านอัดแน่นในกาย
ใช่! ร่างกายเธอต้องการเขา เรียกร้องร่ำหา และพร้อมสนองตอบความเร่าร้อนชวนลุ่มหลงนั้นอย่างเต็มใจ
แต่นั่นต้องไม่ใช่วันนี้! ไม่ใช่ในวันที่ระหว่างเขาและเธอพันผูกกันเพียงแค่บทบาทหน้าที่แต่ไร้ซึ่งความรัก
“ไม่!” พราวชมพูฝืนรั้งตัวเองเอาไว้สุดใจ เธอปฏิเสธเสียงแข็งแล้วดันเขาออกห่าง
เปลวตะวันยอมปล่อยแต่โดยดี ถึงแม้จะไม่ได้อยากทำอย่างนั้นก็ตาม
“พราวขอโทษ พราวรู้ว่ามันอาจจะดูเห็นแก่ตัวมากไปสักหน่อย แต่พราวต้องการให้ตัวเองรู้สึกว่าพร้อมจริงๆ ไม่ใช่จำใจให้หมอลากขึ้นเตียง”
เปลวตะวันได้แต่ยืนเยาะหยันตัวเองอยู่ตรงนั้น เพราะพอพูดจบพราวชมพูก็เดินหนีเข้าห้องไป
เขาไม่รู้ว่ายืนอยู่นานแค่ไหน รู้แต่ว่าวันนี้เขายอมให้เธอหมดแล้ว ทุกสิ่งอย่าง ยอมทั้งที่ไม่รู้เหตุผลเลยสักนิดว่าทำไมถึงยอมให้ได้มากขนาดนี้
ในเช้าวันใหม่เปลวตะวันและพราวชมพูเหมือนจะรวมพลังสามัคคีเป็นทีมเดียวกันครั้งแรกในชีวิต เพราะพอตื่นขึ้นมาทั้งสองก็ต้องต้อนรับแขกคนสำคัญที่ยามนี้นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดมองคนทั้งสองด้วยความประหลาดใจ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน หมอไม่อยากจะเชื่อว่าคุณพราวคือผู้หญิงที่เขาลือกันว่าท้องกับเปลว”
“คุณหมอป่านตกใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกค่ะ พราวเองก็ยังงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เคยคิดว่าโลกจะกลมแบบนี้”
“สรุปแล้วเปลวก็คือพ่อของลูกคุณพราวคือผู้ชายคนนั้น”
พราวชมพูยิ้มแหย ส่วนเปลวตะวันทำคิ้วย่นถามพี่สาวด้วยความสงสัย
“นี่พี่รู้ทุกอย่างเลยเหรอครับ”
“ก็เท่าที่คุณพราววางใจเล่าให้ฟังนั่นแหละ”
เปลวตะวันหันไปเลิกคิ้วแทนคำถามจ้องมองพราวชมพู เห็นเธอไหวไหล่ทำไม่รู้ไม่ชี้ก็กลอกตาบน
“แล้วที่เขาลือกันว่าเปลวกับคุณพราวตกลงจะใช้ชีวิตด้วยกันก็จริงสินะ”
“คุณหมอป่านเรียกพราวเฉยๆเถอะค่ะ อย่าเรียกคุณเลยพราว ไม่ค่อยชิน”
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นพราวก็เรียกหมอว่าพี่เถอะ ไหนๆเราก็ดองเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
“คุณหมอไม่รังเกียจพราวเหรอคะ รับได้จริงๆใช่ไหมที่พราวมีนิสัยความคิดห่ามๆแบบนั้น”
ปาลิดาจ้องมองคนถามแล้วผ่อนลมหายใจยาวก่อนตอบ
“พี่ไม่เคยตัดสินใครจากมาตรฐานของตัวเองหรอกนะ คนเราไม่ได้มีใครขาวสะอาดร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกคนก็มีส่วนดีส่วนเสียทั้งนั้น แล้วพี่เองต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม พราวยอมรับในตัวตนของเปลวได้ใช่ไหม”
คราวนี้พราวชมพูเป็นฝ่ายถอนหายใจ เธอปรายตามองเปลวตะวันที่นิ่งฟังแวบหนึ่งก่อนหันมาตอบแบบไม่ต้องคิด
“พราวรับไม่ได้กับหลายเรื่องอยู่ค่ะ แต่อย่างที่พี่ป่านบอกแหละค่ะไม่มีใครดีเลวร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วพราวกับหมอเปลวก็เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว การเดินต่อไปด้วยกันคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับลูก”
“พราวมั่นใจนะว่าตัดสินใจดีแล้ว” ปาลิดาถามอีกครั้ง พราวชมพูพยักหน้าพร้อมกับตอบ
“เมื่อก่อนพราวอาจปฏิเสธแข็งขันแล้วยึดในความคิดตัวเองเป็นหลัก แต่ระยะหลังมานี้พราวยอมรับว่าคิดทำอะไรพราวคำนึงถึงลูกก่อนเสมอค่ะ หมอเปลวไม่อยากให้ลูกเกิดมามีปม พราวก็เช่นกัน”
“ใช่ครับพี่ป่าน เราสองคนตกลงสร้างครอบครัวด้วยกันก็เพื่อลูก” คนนิ่งฟังมาสักพักเอ่ยขึ้นในที่สุด
ปาลิดาฟังเหตุผลของคนทั้งคู่แล้วก็เห็นด้วย แต่เธอก็อดหนักใจไม่ได้
“แล้วความรักล่ะ ความรักของพวกเธออยู่ที่ไหน”
ฟังคนเป็นพี่ถามแล้วเปลวตะวันก็ไหวไหล่ เข้าใจในความรู้สึกเป็นห่วงนั้น
“อยู่ไปก็รักกันเองเหมือนคนโบราณไงล่ะพี่ แต่งงานคลุมถุงชนมีลูกหัวปีท้ายปี”
เขาว่าแล้วหัวเราะร่วนพร้อมเอื้อมมือไปโอบเอวคอดของพราวชมพูแล้วหันไปทำท่าจะหอมแก้มนิ่มๆอย่างไม่คิดอายคนเป็นพี่
“อย่ามาทำห่ามๆนะ ต่อหน้าพี่ป่านให้รู้จักอายบ้างค่ะ”
พราวชมพูติงและผลักหน้าเขาออกห่าง เปลวตะวันหัวเราะเบาๆแล้วพูดอย่างอารมณ์ดี
“พราวจะอายทำไมครับ คนกันเองทั้งนั้น อีกหน่อยพี่ป่านก็ชินไปเองเชื่อสิ”
“หมอชินแต่พราวกับพี่ป่านคงไม่ชินหรอกค่ะ แล้วเรื่องลูกพราวไม่เอาหัวปีท้ายปีอย่างหมอว่าหรอกนะคะ พราวจะมีแค่ลูกพราวคนนี้คนเดียวแล้วพราวก็ทำใจไม่ได้ถ้าจะต้องมีกิจกรรมอะไรกับหมอนอกจากการเป็นพ่อแม่ของลูก”
“อย่าลืมข้อตกลงของเราสิพราว มันไม่แฟร์นะเข้าใจไหม”
ปาลิดานั่งฟังคนทั้งสองต่อปากต่อคำกันถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยังไม่ทันไรพ่อแม่ของหลานก็เดินขัดขากันแล้ว แบบนี้ครอบครัวจะสมบูรณ์ได้อย่างไรกัน ต่อให้พูดเป็นเสียงเดียวกันยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าจะทำเพื่อลูก และค่อยๆปรับตัวเข้าหากัน แต่เธอก็เห็นเค้าความวุ่นวายลอยมาแต่ไกล
วันนี้เป็นวันแรกที่เปลวตะวันยอมปล่อยให้พราวชมพูออกนอกบ้านได้แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องมีนิศาชลไปด้วยแม้ว่าพราวชมพูจะรู้สึกอึดอัดที่เขาทำเหมือนกับว่าส่งคนคอยควบคุมดูแลเธอตลอดเวลาแต่ก็พอทำความเข้าใจกับเหตุผลของเขาได้ว่าที่ทำไปก็เพราะห่วงความปลอดภัยของเธอและลูกดังนั้นเธอจึงกลับไปบ้านของตัวเอง ไปดูความเรียบร้อยและเอา ของใช้ที่ต้องการเสร็จแล้วก็ชวนนิศาชลไปหาอะไรกินและช้อปปิ้งก่อนจบลงที่ไปหาเปลวตะวันที่คลินิกเพราะวันนี้เขาไปออกตรวจที่นั่นแทนพี่สาว“คุณนิกลับเลยก็ได้นะคะ เดี๋ยวพราวรอกลับพร้อมหมอเปลวได้”“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นนิกลับเลยเดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันนะคะ”“ขอบคุณมากนะคะที่ยอมตามใจพราว ไปโน่นนี่กับพราวทั้งวันเลย”“ยินดีค่ะ อีกอย่างหมอเปลวก็จ้างนิมาดูแลคุณพราว ถ้านิทำหน้าที่บกพร่องล่ะก็หมอเปลวต้องดุนิแน่ๆ”“พราวอยู่ทั้งคน คุณนิไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ”“คุณพราวพูดแบบนี้พรุ่งนี้อยากทำอะไรอยากไปไหนบอกเลยค่ะเดี๋ยวนิจัดให้เต็มที่”นิศาชลบอกแล้วทั้งสองก็พากันหัวเราะประสานเสียงร่าเริงอย่าง คนรู้ใจกันพราวชมพูเห
ใช่! พราวชมพูพูดถูกแล้วเขาโกรธเธอ โกรธมากแต่นั่นแหละ! พอเธอออดอ้อนเว้าวอนอย่างสำนึกผิดเขาก็ใจอ่อนเขาพอจะเข้าใจความแปรปรวนทางอารมณ์ แต่ที่เขานิ่งเงียบก็เพราะอยากดัดนิสัยสักหน่อยไม่อยากให้ได้ใจทำอะไรแผลงๆไม่คิดแบบวันนี้อีกด้านพราวชมพูตอนนี้เธอเริ่มจะงอนเขาขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะว่าเขานิ่งเงียบหน้าตึงจนเธอทำตัวไม่ถูกง้อก็แล้วขอโทษก็แล้วอ้อนก็แล้วเปลวตะวันยังตีหน้านิ่งไม่พูดอะไรสักคำ เอาเถอะ! เล่นตัวนักเธอก็จะไม่ง้อแล้ว คอยดูก็แล้วกันเธอจะเชิดใส่เสียให้เข็ดคิดแล้วก็เอาแต่นั่งคอแข็งมองออกไปนอกกระจกด้านข้างไม่ชวนเขาพูดคุยอีกพอถึงบ้านรถจอดสนิท เจ้าหล่อนก็เปิดประตูรถแล้วเข้าบ้านไปทันทีไม่สนใจเขาจริงๆเปลวตะวันส่ายหน้า ดูทำเข้า! สรุปกลายเป็นว่าเขาต้องเป็นฝ่ายง้อเธอใช่ไหม?“เอ๊ะ! หลีกไปนะคะ หมอจะมาขวางพราวทำไม” พราวชมพูแหวใส่เมื่อเปลวตะวันก้าวตามมาติดๆแล้วตรงเข้าขวางเธอไว้ก่อนที่เธอจะทันได้เข้าห้องนอนแล้วเขาก็ทำในสิ่งที่เธอไม่คาดคิด ความไม่ทันตั้งตัวทำเอาถูกเขาคว้าตัวไปกอดแล้วบดจูบหนักหน่วงดุดัน
เปลวตะวันนิ่งงันไปอึดใจเมื่อพบว่าคนที่มาคือเกวลินไม่ใช่พี่สาวของเขาตามที่เข้าใจพอเห็นแขกสาวแล้วเจ้าของบ้านก็รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก เขาลอบมองขึ้นไปชั้นบนของบ้านอย่างนึกกังวลถึงความรู้สึกของพราวชมพู รายนั้นหากรู้ว่าใครมาเยือนกลางดึกเช่นนี้คงฟาดงวงฟาดงาอีกแน่“เกลมารบกวนเวลาพักผ่อนของเปลวหรือเปล่าดูเปลวทำหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากต้อนรับเกลสักเท่าไร”“มาเสียค่ำเชียวมีเรื่องด่วนเหรอ ความจริงโทรมาก็ได้นะ”เกวลินนิ่วหน้าเล็กน้อยรู้สึกตะหงิดๆในคำพูดของคนได้ชื่อว่าเพื่อน ปกติเขาไม่เคยพูดเหมือนไม่อยากต้อนรับเธอแบบนี้“ความจริงก็ไม่ได้มีเรื่องด่วนอะไรหรอก ผ่านมาทางนี้ก็เลยแวะเอาของบำรุงมาฝากคนท้องน่ะ”เกวลินว่าแล้วก็หันไปหยิบกระเช้าในรถมาส่งให้ แล้วก็แปลกอีกเช่นกันที่เปลวตะวันเพียงแค่รับไปแล้วขอบคุณเธอไม่มีคำเอื้อนเอ่ยเชื้อเชิญเข้าไปในบ้าน“เกลขอเข้าไปนั่งพักสักครู่ได้ไหมวันนี้ขับรถไปมาหลายที่เมื่อยขาพอตัวเลย”เปลวตะวันแค่ยิ้มมุมปากแล้วมองหน้าเกวลินอย่างใช้ความคิดและก่อนที่เขาจะทันได้ตอบอะไรเสียงเจื้อยแจ้วของพราวชมพูก็ดังมาจากประตูบ้าน
เช้าวันนี้พราวชมพูตื่นมาด้วยความสดชื่น เมื่อคืนหลังจากเปลวตะวันอุ้มพาเธอขึ้นห้องไปแล้วเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอยากจะสานต่ออะไรที่มันค้างคา แม้จะแปลกใจอยู่บ้างที่เขาปล่อยให้เธอนอนหลับพักผ่อนโดยง่ายขณะที่เขาเพียงแค่สวมกอดเธอไว้แนบอกแต่นั่นก็ทำให้เธออิ่มอุ่น หัวใจฟูฟ่องกับความอ่อนโยนและใส่ใจของเขายิ่งลงมาเห็นกระเช้าของฝากที่แม่เพื่อนสนิทของเขาหอบหิ้วมาถูกหย่อนทิ้งไว้ในถังขยะพราวชมพูก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นอีกหลายเท่าตัว แต่พอเดินมาถึงโถงนั่งเล่น รอยยิ้มก็เลือนหายเมื่อเห็นใครบางคนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาตัวยาว“สวัสดียามเช้าค่ะ วันนี้ดูอารมณ์ดีขึ้นนะ ดูท่าของบำรุงที่ซื้อมาฝากจะได้ผลดี”“เมื่อก่อนนี่เช้าถึงมืดถึงแบบนี้ทุกวันเลยหรือเปล่าคะ” พราวชมพู ไม่อารมณ์ดีด้วย เธอถามเสียงฉุนแล้วมองคนมาเยือนด้วยสายตาขุ่น“เอาตามจริงดีไหมนะ พูดไปแล้วเธอจะคิดมากหรือเปล่า แย่จัง! ไม่พูดดีกว่าเดี๋ยวเธอได้ไปเหวี่ยงใส่เปลวให้เขาอึดอัดใจอีก”พราวชมพูยิ้มเยาะ ทีคราวนี้ทำท้าทายต่อปากต่อคำกับเธอฉอดๆ เวลาอยู่ต่อหน้าอีตาหมอหื่นนั่นแสร้งทำเป็นน
“พี่บอกให้รอข้างนอกไง เข้ามาทำไมครับ หรือว่าพราวหิวจนรอไม่ไหว”เปลวตะวันถามเมื่อเห็นพราวชมพูเดินเข้ามาในครัวพร้อมส่งยิ้มหวานมาแต่ไกล รอยยิ้มนั้นชวนให้รู้สึกแปลกไม่น้อยแต่เขาก็ไม่อยากเก็บมาคิด“หิวค่ะก็เลยเดินมาตาม”พราวชมพูบอกพร้อมกับเดินเข้าไปสวมกอดเขาจากด้านหลังแล้วลอดศีรษะเข้าใต้รักแร้ของเขายื่นหน้าไปดูว่าเขากำลังทำอะไร“ทำอะไรแบบนี้ครับ เดี๋ยวพี่พลั้งมือทำนมหกกระเด็นถูกพราวหรอก”เขาว่าแล้วหมุนกายหันกลับมาสวมกอดเธอพร้อมโน้มใบหน้าลงจูบอย่างรวดเร็ว โอกาสดีๆแบบนี้ใช่จะหาได้ง่ายๆจูบแล้วก็อยากอุ้มขึ้นห้องเสียเดี๋ยวนั้น ถ้าไม่ติดว่าตั้งใจพาเธอไปไหว้พระเขาจะไม่ปล่อยโอกาสดีๆแบบนี้ให้หลุดลอยไปแน่นอน“เกลกลับไปแล้วเหรอ”เขาถามหลังจากถอนจูบแต่ยังคงวนเวียนคลอเคลียหอมแก้มซ้ายขวาไม่หยุดถามไปแล้วก็อยากตบปากตัวเอง บรรยากาศกำลังดีดันปากเปราะพูดถึงคนที่ไม่ควรพูดถึงพราวชมพูไม่ตอบและไม่ได้ผลักไสเขาอย่างเคย วันนี้เธอเอียงแก้มให้เขาจูบตามใจแล้วก็เป็นฝ่ายโน้มต้นคอเขาและเขย่งเท้าขึ้นจูบเขาบ้างคนถูก
เปลวตะวันนิ่งงันไปชั่วขณะเมื่อมาถึงร้านอาหารตามนัดหมายแล้วพบว่ายอดนักรบร่วมขบวนมาด้วย คนขี้หึงหน้าตึงขณะที่คนขี้เล่นยิ้มเผล่อารมณ์ดี“สวัสดีครับพี่หมอเปลว คุณพราว มากันเร็วเหมือนกันนะครับนี่ ผมกับรุ่นพี่ไปรับอาจารย์แม่มาถึงได้ไม่ถึงห้านาทีเอง”พราวชมพูยิ้มน้อยๆส่วนเปลวตะวันหันไปทักทายอาจารย์ที่ปรึกษาที่เคารพรัก“สวัสดีครับอาจารย์ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้ไปรับที่สนามบิน”“ไม่เป็นไรหรอกเปลวแค่เห็นหน้าพวกเราพากันมากินข้าวกับครูพร้อมหน้า ครูก็ดีใจแล้ว”“อาจารย์แม่มาทั้งทีพวกเราจะพลาดได้ยังไงล่ะครับ” ยอดนักรบเป็นฝ่ายเอ่ยแทรกขึ้นเปลวตะวันเขม่นในความขี้ประจบนั้นเหลือใจส่วนเกวลินลอบยิ้มน้อยๆอย่างหมายมาด“นี่เหรอเมียเราที่เขาเล่าลือกันไปทั่วกรุงเทพฯน่ะ”เปลวตะวันฟังแล้วรู้สึกขัดหูไม่น้อย ไม่ใช่เพราะถูกอาจารย์อรวีซักถามแต่เพราะไม่พอใจคนคาบข่าวไปฟ้องต่างหาก“ครับ ผมขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ทันได้แนะนำให้รู้จักต้องรออาจารย์แม่ต้องทักถามเสียก่อน”“ไม่เป็นไรหรอก ครูไม่ถือ แล้วนี่ชื่อเสียงเรียงนามอะไ
“พวกเธอนี่นะ ต้องให้พราวชมพูสอน ทำตัวเป็นเด็กๆไม่รู้จักโตกันไปได้”อาจารย์อรวีพูดขึ้นในที่สุด นางนึกชื่นชมพราวชมพูไม่น้อยขณะที่เอือมระอากับบรรดาลูกศิษย์พอถูกอาจารย์แม่ดุหมอทั้งสามก็รีบเอ่ยอย่างสำนึกผิด“ผมขอโทษครับ / เกลขอโทษค่ะ” สามเสียงประสานกันพร้อมเพรียง อาจารย์แม่กวาดสายตาดุกำราบไปยังทุกคนแล้วมาหยุดที่พราวชมพูซึ่งนั่งยิ้มจืดเจื่อน“หมอยอดนักรบขอโทษพราวชมพูกับหมอเปลวซะ คำพูดทะลึ่งตึงตังของเรามันทำให้พราวชมพูเสื่อมเสียเกียรติลูกผู้หญิงมากเข้าใจไหม”“ครับอาจารย์แม่ ผมผิดไปแล้ว คุณพราวครับ ผมขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณพราวเสื่อมเสียแล้วก็รู้สึกไม่ดี”“ฉันไม่รับคำขอโทษเป็นคำพูดถ้านายสำนึกจริงก็ก้มกราบเท้าฉันนี่” เปลวตะวันยังไม่ยอมลงง่ายๆคำพูดนั้นทำเอายอดนักรบกัดกรามกรอด เปลวตะวันเลิกคิ้วจ้องมองอย่างท้าทายและชิงชัง“เปลว...เกลว่ามันออกจะแรงไปหน่อยไหม” เกวลินท้วงเพราะรู้สึกว่าเปลวตะวันจะเล่นแรงไปจริงๆ ขณะที่พราวชมพูปิดปากลอบสังเกตเงียบๆอาจารย์อรวีเห็นท่าว่าจะขัดเคืองใจกันไปใหญ่ก็ห้ามทัพ“หมอเปลวตะวันครูว
“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไงครับ” เปลวตะวันถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นพราวชมพูทำหน้าปุเลี่ยนคนถูกถามยิ้มน้อยๆขืนพูดความจริงออกไปเธอกลัวเขาจะเสียใจและรับไม่ได้กับสิ่งที่เธอคิด“ดึกแล้วพราวว่าเราไปอาบน้ำนอนพักดีกว่านะคะ”พราวชมพูบอกแล้วก็เดินไปคว้าเสื้อคลุมและผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ นึกแปลกใจไม่น้อยที่วันนี้เขายอมฟังแต่โดยดีไม่มีตามมาวอแวแต่ช่างเถอะ! เขาจะอะไรก็ช่าง ขอแค่เธออยู่ดีมีสุขไม่ทุกข์ร้อนก็พอแล้ว นาทีนี้คิดถึงความสะดวกสบายของลูกน้อยไว้ก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากันพออาบน้ำเสร็จแล้วกลับออกมาอีกครั้งพราวชมพูก็ต้องประหลาดใจที่ในห้องไร้เงาของเปลวตะวัน สมองแสนฉลาดของเธอประมวลผลอย่างรีบด่วน! อีตาหมอหื่นนั่นทำท่าแปลกๆตั้งแต่ตอนเธอหาเรื่องชิ่งไปอาบน้ำแล้ว ปกติจะออดอ้อนปลุกปั่นเธอให้หวั่นไหวไปกับเรื่องอย่างว่า แต่วันนี้ผิดปกติจริงๆ เขาจะมาไม้ไหนอีกเธอไม่แน่ใจ“ว้าย!”เสียงพราวชมพูหวีดลั่นด้วยความตกใจเพราะจู่ๆก็ถูกรวบตัวเข้าไปสวมกอดจากด้านหลังแม้จะรู้ว่าเป็นเขาแต่อาการถูกจู่โจมเงียบๆขณะที่คิดอะไรเพลินๆก็ทำเอาตกใจได้ไม่น้อย“โอ๋
แอ๊ดดดด...เสียงประตูห้องพักเปิดออกพร้อมกับฝีเท้าหลายคู่ก้าวเข้ามาในห้องดังขึ้น พราวชมพูกับเปลวตะวันหันไปมองตามเสียงนั้นพอเห็นหมอปาลิดาอุ้มลูกน้อยเข้ามาก็ยิ้มกว้างพร้อมกับสบตากันโดยไม่ได้นัดหมายก่อนที่จะมองไปยังร่างน้อยๆในอ้อมแขนของพี่สาวพร้อมๆกัน“ปาป๊ามามี้ขาเจ้าหญิงมาแล้วค่ะ” เสียงปาลิดาเอ่ยนำมาพร้อมกับเดินมาหยุดข้างเตียงและส่งหนูน้อยในอ้อมแขนให้กับเปลวตะวันที่ยื่นมือไปรับลูกน้อยเข้าสู่อ้อมอก พราวชมพูมองดูภาพนั้นด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในหัวใจ เธอซึมซับเก็บความรักท่วมท้นนี้ไว้ทุกอณูความรู้สึก“ลูกสาวของปาป๊าสวยน่ารักเหลือเกิน”“สวยน่ารักเหมือนแม่แต่ดูๆไปพี่ว่าเหมือนเปลวมากๆเลยนะ”“นั่นสิครับพี่ป่าน ผมว่าเจ้าหญิงเหมือนผมเอามากๆเลยนะครับ” เปลวตะวันยิ้มกว้างอย่างเห็นด้วย ดวงตาคมพริบพราวด้วยความตื่นเต้น“ดูสิพราวเจ้าหญิงหน้าตาเหมือนพี่อย่างกับแกะพิมพ์ออกมาเลยนะ” คนเห่อลูกหันมาทางเมียรักพร้อมกับบรรจงวางลูกน้อยลงสู่อ้อมแขนคนเป็นแม่อย่างทะนุถนอม“ถ้าพี่ไม่ตั้งใจพราวจะได้ลูกสมใจเหรอครับ”พราวชมพูค้อนวงเล็กแล้วหันมาสนใจลูกน้อยในอ้อมอก เ
“ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าพราวไม่เชื่อใจพี่” เปลวตะวันแสร้งทำเสียงงอนๆ ทอดสายตาออดอ้อนยามมองเมียรัก พราวชมพูทำหน้ายู่แล้วตอบอย่างเสียไม่ได้“ก็บอกแล้วว่าพราวเชื่อใจพี่แต่ไม่ไว้ใจคนอื่น”เปลวตะวันถอนหายใจเบาๆก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน“ถ้าเชื่อใจก็ต้องวางใจว่าพี่จะไม่มีวันทำให้พราวเสียใจ”“พราวรักพี่หมอนี่คะ รักแล้วก็หวงมาก พราวไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้พี่หมอ”ได้ฟังแบบนี้เปลวตะวันก็หัวใจฟูฟ่อง เขาบีบปลายจมูกพราวชมพูเบาๆก่อนทำท่าขบคิดแล้วพูดต่อ“ถ้าอย่างนั้นพี่จะดึงเอานักศึกษาชายมาคั่นกลางไม่ให้สาวๆเข้าใกล้ดีไหมครับ”“ชายแท้นะคะ ชายเทียมก็ห้ามพราวหวง”คราวนี้เปลวตะวันถึงกับหัวเราะลั่นห้อง ก็พอรู้หรอกว่าเมียขี้หึงและหวงหนักมากแต่นี่เล่นหวงไปถึงเพศที่สามทำเอาเขาถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้“อย่าหัวเราะสิคะ”“ไม่หัวเราะก็ได้แต่ขอจูบพราวแทนก็แล้วกัน” เปลวตะวันว่าแล้วก็โน้มใบหน้าเข้าหาบรรจงจูบเมียรักตามปากว่าทันทีพราวชมพูที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับครางท้วงเบาๆ แต่ถึงจะท้วงก็ไม่ได้ผลักไสพอเขาบดจูบเว้าวอนเธอก็ตอบรับจูบหวาม
กริ๊งงงงง...กริ๊งงงงง...“หมอเปลวค่ะ หมอเปลวโทรมาแสดงว่าน่าจะถึงแล้ว” นิศาชลรับร้องบอกเมื่อเห็นสายเรียกเข้า พราวชมพูยิ้มกว้างด้วยความดีใจแต่ยิ้มได้ไม่เท่าไรก็ต้องร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดเมื่อมดลูกเริ่มหดรัดตัวอีกระลอกและอาการปวดท้องก็หนักหน่วงขึ้นจับหัวใจ“โอ๊ยยยย...ปวดอีกแล้ว ลูกจ๋า...ใจเย็นๆนะลูก โอ๊ย....พี่ป่านขา ปวดมากคราวนี้ปวดมากจริงๆ”“นิบอกพยาบาลเตรียมห้องคลอดให้พร้อมแล้วย้ายพราวไปที่เตียงได้แล้ว”“ค่ะๆหมอป่าน ฮัลโหล หมอเปลวคะมาที่ห้องคลอดได้เลยนะคะตอนนี้คุณพราวกำลังจะย้ายขึ้นเตียงรอคลอดแล้วค่ะ” นิศาชลรับบอกกับปลายสายทันทีที่กดรับสายแล้วรีบกดอินเตอร์คอมพ์บอกกับพยาบาลเวรในวันนี้ให้เตรียมความพร้อมตามคำสั่งของหมอปาลิดาหลังจากนั้นไม่นานพราวชมพูก็ถูกย้ายขึ้นเตียงรอคลอด และพอคุณแม่มือใหม่ขึ้นขาหยั่งเตรียมพร้อม สายตาของเธอก็สบเข้ากับร่างสูงของสามีที่รักเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน“พี่หมอมาแล้ว”“พี่อยู่นี่แล้วพราว ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาให้พี่มาทันเวลา”&ldq
“พราวปวดมากไหม”“พอไหวค่ะพี่ป่าน มันไม่ได้ปวดตลอด ปวดเป็นพักๆตอนนี้ดีขึ้นบ้างแล้วค่ะ”“โอเค ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเปลี่ยนเสื้อผ้านะ เราต้องไปโรงพยาบาลกัน”“พราวกำลังจะคลอดใช่ไหมคะพี่ป่าน”“เดี๋ยวต้องตรวจดูให้ละเอียดอีกทีว่าจะยืดการคลอดออกไปได้ไหม ปวดท้องแล้วก็มีน้ำเดินแบบนี้บางทีอาจต้องคลอดเลย”“ถ้าพราวคลอดก่อนกำหนดแบบนี้ยัยหนูจะเป็นอะไรหรือเปล่าคะพี่ป่าน” พราวชมพูถามอย่างกังวล ความไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้วยังต้องมาคลอดก่อนกำหนดแบบนี้ทำเอาเธอรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี แถมยังมาปวดท้องคลอดตอนที่เปลวตะวันไม่อยู่เธอยิ่งรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก“ทำใจให้สบายนะพราว ถ้าหากต้องคลอดจริงๆยัยหนูก็ไม่เป็นไรหรอก อายุครรภ์ของพราวกับน้ำหนักยัยหนูถ้าคลอดก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยแล้วล่ะ”“ถึงจะอย่างนั้นแต่พราวก็อดใจเสียไม่ได้ค่ะ พี่หมอก็ไม่อยู่ด้วยพราวเลยกังวลไปหมด”“เรื่องปกติจ้ะพราวไม่ว่าใครก็กังวลทั้งนั้นแหละ แต่พราวมีพี่ทำใจให้สบายนะ มาเถอะพี่จ
เขาพูดอีกก็ถูกอีกเขาไม่ได้เอาตามแต่ใจเขาแต่เขาเอาตามแต่ใจเธอด้วยเช่นกันและเธอเองก็สุขหฤหรรษ์ไปพร้อมกันกับเขาเสียทุกครา“หายเหนื่อยแล้วมาต่อกันเถอะ”“พอก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวพราวจะคลอดก่อนกำหนดหรือไม่ก็แท้งเสียก่อน”“ไม่หรอกน่า พี่เป็นหมอนะรู้ดีว่าท่าไหนถึงจะปลอดภัย”พราวชมพูค้อนรอบที่เท่าไรเธอนับไม่ถ้วน เปลวตะวันเห็นแล้วก็กระเซ้าอารมณ์ดี“สายตาแบบนี้ไม่เชื่อสินะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่จะทำให้ดู ทำมันทุกท่าที่ว่าเด็ดแต่ปลอดภัยนั่นแหละ พราวจะได้รู้ว่าพี่รู้จริงไม่ได้ขี้โม้” เขาบอกแล้วก็เริ่มต้นกระบวนท่าแรกทันทีพราวชมพูไม่ทันตั้งหลักถึงกับหวีดเบาๆด้วยความเสียดเสียวยิ่งเห็นเธอถูกปลุกอารมณ์ง่ายดายแบบนี้เปลวตะวันยิ่งฮึกเหิมจากที่คิดว่าจะเริ่มวันละท่าสองท่าเห็นแล้วค่ำคืนอันยาวนานคืนนี้น่าจะได้หลายกระบวนท่ากว่าจะหมดเรี่ยวแรงไม่เป็นไร! ไม่เป็นไร! จะวันละท่าสองท่าหรือหลายท่า ไม่ว่าวันพรุ่งนี้ หรือวันต่อๆไปเขาก็พร้อมเสมอ***************************เวลาผ่านมาหลายเดือนแล้วหลังจากที่เธอกับหมอห
พราวชมพูค่อยๆปิดเปลือกตาลงด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย เธอนอนตะแคงน้อยๆหันหลังให้เขาขณะที่ฝ่ามือร้อนผ่าวของเขาคลึงเบาๆไปตามเรือนร่าง สัมผัสนั้นช่างนุ่มนวลชวนให้ผ่อนคลายจนแทบจะดำดิ่งลงสู่ห้วงนิทราแต่ยังไม่ทันหลับ พราวชมพูก็ต้องสะดุ้งเมื่อเขานาบริมฝีปากร้อนชื้นลงบนต้นคอนวลเนียนของเธอ ดูดกลืนนวลเนื้อตรงนั้น หากเดาไม่ผิดตอนนี้คงเป็นรอยคิสมาร์กที่เขาจงใจฝากฝังเอาไว้แสดงความเป็นเจ้าของเท่านั้นไม่พอฝ่ามือร้อนที่โลมลูบไปตามเอวคอดเลื่อนลากไปยังส่วนโค้งของสะโพกกลมกลึงก็ค่อยๆสอดผ่านรอยแยกของสาบเสื้อคลุมเข้าไปทักทายส่วนนั้นตรงกลางกาย“อย่าซนสิคะ พราวให้นวดไม่ได้ให้มาซุกซนแบบนี้”“เซ็กส์คือการนวดที่ดีที่สุด เชื่อพี่สิพี่เรียนมา” เขากระซิบเสียงสั่นแล้วปลุกปั่นเธออย่างเอาแต่ใจพราวชมพูเผลอไผลหลุดครางออกมาเบาๆเมื่อปลายนิ้วร้ายของเขาลากไล้ถูไถจุดกลางกายของเธอหน่วงหนักแต่แฝงด้วยความนุ่มนวลยั่วยวนให้เธอคลั่งไคล้คล้อยตาม“ปล่อยตัวตามสบายนะครับ พราวจะรู้สึกผ่อนคลายแล้วก็สุขจนเคลิ้มเลยเชียวแหละ”“อย่ามาอ้อล้อ พราวเจ็บหนักเพิ่งหายออกมาแบบนี้พี่หมอยังมีอารมณ์มาป
พราวชมพูรับรู้เรื่องราวด้วยอาการสงบนิ่งผิดจากเปลวตะวันที่แสดงอาการเคืองแค้นชัดเจน พราวชมพูเห็นแล้วก็ปลอบประโลมผ่อนปรนความเครียดขึงของเขาด้วยรอยยิ้มน้อยๆพร้อมลูบท่อนแขนแกร่งอย่างเอาอกเอาใจ“เรื่องมันผ่านไปแล้วพี่หมออย่าใส่ใจเลยนะคะ ตอนนี้พราวกับลูกก็ปลอดภัยแล้ว อะไรที่ให้อภัยได้ ก็ให้อภัยเถอะค่ะ โกรธแค้นไปก็เท่ากับเราร้อนอยู่ในใจเรา หาความสุขสงบไม่ได้หรอกนะคะ”“พี่รู้ว่าโกรธเขาเท่ากับจุดไฟเผาตัวเอง แต่พี่ก็ยังตัดใจอภัยให้ง่ายๆไม่ได้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกลทำผิด แต่มันครั้งแล้วครั้งเล่าและเกลก็ไม่เคยสำนึก”“พราวเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมค่ะ ใครทำอย่างไรย่อมได้อย่างนั้น พราวคนหนึ่งแหละที่จะไม่เอาขาตัวเองไปเกี่ยวไว้กับวิบากกรรมของใคร”“เพิ่งรู้ว่าเมียพี่จิตใจเป็นแม่พระเหลือเกิน พราวคนที่ฟาดใครไม่ยั้งหายไปไหนกันนะ”“ก็ยังอยู่ตรงนี้ยังเป็นคนเดิมนี่แหละค่ะแค่พราวรู้จักปล่อยวางและให้อภัยเป็น”เปลวตะวันฟังแล้วก็นิ่งไปสักพัก พราวชมพูพูดถูกหากปล่อยวางและให้อภัยได้ใจเราก็สงบสุข“จบเรื่องร้ายๆเสียทีออกจากโรงพยาบาลครั้งนี้เราไปจดท
“พี่ไม่เข้าใจ พี่ไม่รู้ พูดได้หน้าตายไปไหมพี่”“กูไปแย่งแฟนมึงตอนไหน เกิดมากูก็คบของกูอยู่คนเดียวแล้วกูก็ไม่ได้ไปแย่งใครมา มึงต่างหากมาแย่งเขาไปจากกู”“เรื่องพี่แย่งผมไปตอนไหนเอาไว้มีเวลาพี่ลองไปคิดเอาเองจะดีกว่า ผมขี้เกียจเล่า คนฉลาดๆทันคนแบบพี่น่าจะคิดออกได้ไม่ยาก ส่วนเรื่องแฟนพี่นั่นผมไม่ได้แย่งหรอกว่ะพี่ แต่ที่เขาตีตัวออกห่างหันมาซบอกผมวันนั้นก็เพราะพี่ดูแลรักษาเขาไว้ไม่ได้ต่างหาก เหมือนวันนี้ไงพี่เองก็รักษาคุณ พราวชมพูไว้ไม่ได้ ถ้าไม่มีผมอยู่ตรงนั้นพี่ลองคิดสิว่าจะเป็นยังไง เธอกับลูกจะรอดชีวิตมาได้ไหมวะพี่”“มึงไม่ต้องมาแดกดันมายกยอตัวเองข่มกู”“เปล่าพี่ ผมไม่ได้ข่มพี่ แต่ผมพูดจริง ปล่อยพราวชมพูให้ผมดูแลต่อเถอะพี่ เพราะอะไรๆมันพิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่าพี่ดูแลใครไม่ได้จริงๆ”“อย่าคิดว่ากูจะปล่อยให้มึงมายุ่งกับเมียกูเหมือนปล่อยให้มึงมาแย่งคนรักกูไป”“ว้าว! คำก็แฟน สองคำก็คนรัก ถ้าคุณพราวลุกขึ้นมาได้ยินแบบนี้เธอจะภูมิใจไหมนะที่พ่อของลูกเอาแต่พูดถึงผู้หญิงอื่นแบบนี้”“มึงกลับไปซะไอ้หมอยอด เรื่องที่มึงกวนตีนกูวันนี้กูจะถือ
อีกด้านของท้องถนนรถกระบะโฟร์วีลรุ่นล่าสุดของค่ายยักษ์ใหญ่จอดแบบกะทันหันเพราะเจ้าของรถทันได้เห็นเหตุการณ์เข้าแบบพอดิบพอดีอุบัติเหตุเป็นสิ่งไม่คาดคิดเสมอ และเขาเองก็ไม่อาจปล่อยผ่านเลยไปได้ จึงรีบจอดรถและเปิดประตูก้าวลงจากรถวิ่งข้ามถนนมาช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุเพียงแค่มาถึงคิ้วดกสวยของเขาก็ต้องขมวดมุ่นเพราะรถที่อัดติดอยู่กับต้นไม้นั้นช่างคุ้นตาเสียเหลือเกินสองตามองสองเท้าก้าวเข้าไปส่วนมือก็รีบโทรออกเรียกรถกู้ภัยทันทีพอบอกพิกัดเสร็จก็มาถึงตัวรถพอดี แล้วเขาก็ต้องตกใจจนทำสมาร์ตโฟนในมือร่วงหล่นเพราะเห็นคนเจ็บที่ติดอยู่ในรถเต็มสองตา“คุณพราว” ยอดนักรบรีบหาทางเปิดประตูรถหวังช่วยคนเจ็บ เห็นเธออยู่ในรถของเปลวตะวันเพียงลำพังก็ยิ่งเครียดขึงคนกำลังท้องแบบนี้ปล่อยให้มาขับรถเพียงลำพังในที่ไกลห่างผู้คนแบบนี้ได้อย่างไรโชคดีหรือเปล่าที่เขาผ่านมาเห็นเข้าถ้าหากโชคดีของเธอ เขาก็ขอให้โชคดีตลอดไป ให้เขาช่วยเธอได้ทันเวลาก่อนที่จะสายไป“คุณพราว! คุณได้ยินผมไหม” เขาทุบกระจกตะโกนเรียกเธอสุดเสียง ภาวนาให้รถกู้ภัยมาถึงโดยเร็