มู่อิงเถา นักศึกษาแพทย์ผู้มีรูปร่างอวบอ้วนและถูกล้อเลียนอยู่บ่อยครั้ง เธอแสนเบื่อหน่ายกับชีวิตอันเส็งเคร็งแต่แล้ววันหนึ่งชีวิตของเธอกลับพลิกผัน อยู่ๆ ก็ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในนิยายเล่มโปรดที่เธอชอบอ่านอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าเธอต้องมาอยู่ในฐานะภรรยาของตัวร้ายเสียอย่างนั้น! ในเมื่อตามเนื้อเรื่องคนที่เป็นภรรยาของเขาต้องตายและยังไม่แน่นอนว่าตัวร้ายเลือกใครเป็นคู่ชีวิตเพราะยังมีเล่ม 2 ที่นักเขียนยังเขียนไม่จบ! แต่เธอจะจบชีวิตตามนิยายไปก่อนหรือไม่! ดังนั้นเธอจะไม่มีวันยอมตายเป็นอันขาด! ปฎิบัติการเปลี่ยนตัวภรรยาของตัวร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น "อยากได้ตัวของซ่งอวี่ถงมากนักหรือ ข้านี่ล่ะจะเป็นคนประเคนเขาให้เจ้าด้วยมือของข้าเอง" - - - - - - - - - - - - “มีอะไรงั้นหรือ” “ท่านสนใจท่านพี่ซ่งของข้างั้นหรือ” “เอ่อคือว่า” “ท่านลองทำขนมกุ้ยฮวาให้เขาดูสิ” “ขนมกุ้ยฮวางั้นหรือ” “ใช่แล้วเขาชอบกินมากเลยล่ะท่านรู้หรือไม่” “ไว้ข้าจะลองทำดู ขอบใจเจ้ามากนะ” ซูม่านอวี้หน้าแดงระเรื่อดูๆ ไปแล้วก็น่ารักตามแบบฉบับลูกคุณหนูทั่วๆ ไปเสียจริง “ข้าไม่ชอบกินขนมกุ้ยฮวา” มู่อิงเถาที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ของความสุขอยู่นั้นเป็นต้องตกใจทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยนั้น เมื่อนางเอี้ยวคอไปมองที่ด้านหลังแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง เป็นซ่งอวี่ถงที่กำลังยืนกอดอกพิงขอบเสาประตูรั้วพรางจ้องมองนางอยู่อย่างไม่วางตา “แต่น้องสาวของท่านบอกว่าท่านชอบกินขนมกุ้ยฮวานี่เจ้าคะ” “แม่นางซูข้าไม่ได้ชอบกินขนมพวกนั้นเพียงแต่ท่านพ่อที่เวลาปกติต้องทำงาน แต่ต้องเสียสละเวลาอันมีค่าของเขามาทำให้ข้ากินทุกครั้งที่ข้ากลับไปเยี่ยมบ้านจะให้ท่านเสียน้ำใจได้อย่างไร อีกอย่าง...." “หืม” “นางไม่ใช่น้องสาวของข้า” “เอ๋?” “นางเป็นภรรยาของข้า” “อะไรนะ!” ...มีแต่คำว่าฉิบหาย....
View Moreเรื่องทุกอย่างดูจะคลี่คลายลงไปแล้วแต่เช้าวันนี้ที่หน้าประตูจวนกลับมีทหารรักษาประตูที่วิ่งมารายงานนางว่า เวลานี้มีสตรีสองคนกำลังยืนถกเถียงกันอย่างไม่ยอมกันมู่อิงเถาเดินไปที่หน้าประตูจวนก็พบกับซูม่านอวี้และเซี่ยเย่อิง ทั้งคู่ดูจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างเพราะเวลานี้เอาแต่เถียงกันไม่หยุดนั่นเอง“เซี่ยเย่อิงเจ้าเป็นอะไรกับข้านักหนากันนะถึงได้ตามติดข้าเช่นนี้”“เฮ้อ…ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วข้าก็ไม่อยากปิดบังความรู้สึกอีกต่อไป”“พูดเรื่องอะไรของเจ้า”“ข้าชอบเจ้านะ”“อะ อะไรนะ!”“ทีแรกข้าชอบแม่นางมู่ แต่ว่าตอนนี้นางเป็นถึงพระชายาของเจิ้นอ๋องเช่นนี้แล้วข้าคงไม่อาจเอื้อมอีกต่อไป ดังนั้นข้าจึงคิดว่าจะหันมาชอบเจ้าแทนดีกว่า”“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร”“ทำไมล่ะ ในแคว้นต้าฮั่นต่างก็เป็นเสรีแล้วฮ่องเต้ไม่ได้กำหนดบทลงโทษของคนที่ชอบเพศเดียวกันไว้เสียหน่อย ดังนั้นตอนนี้ข้าชอบเจ้าพวกเรามาทำความรู้จักกันดีหรือไม่”“กรี๊ด! เจ้าไปไกลๆ ข้าเลยนะ”“โธ่…แม่นางซูท่านน่ารักถึงเพียงนี้หากท่านอ๋องไม่ชอบ เจ้าก็หันมาหาข้าก็ได้นี่นา”“ไม่! พวกเจ้าสองคนยืนทำอะไรมาเอานางออกไปจากข้าเสียทีสิ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เซี่ยเย่อิงยิ้มหัวเราะช
เพราะเมื่อคืนวานมู่อิงเถามัวแต่สนทนากับพระชายารัชทายาทที่เป็นสหายคนสนิทของนางไปหลายชั่วยาม กว่าจะกลับถึงจวนก็เป็นเวลาเกือบยามสาม[1] แล้วเช้านี้จึงเป็นอีกวันที่นางนอนตื่นสาย เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนข้างกายนั้นได้ตื่นก่อนนางเป็นที่เรียบร้อย“น่าอายจัง นอนตื่นสายจนได้”มู่อิงเถารีบจัดการตนเองก่อนจะออกไปนั่งเล่นที่ศาลาหน้าตำหนัก นางกำลังจ้องมองฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมาด้วยความเบิกบานใจยิ่งนักโดยมีสาวใช้ข้างกายที่คอยปรนนิบัติดูแลอยู่ไม่ห่างที่หน้าเรือนใหญ่ซ่งอวี่ถงกำลังยืนจับจ้องนางอยู่อย่างไม่วางตา ก่อนที่มู่เฉินจะมารายงานเขาว่าใต้เท้าโจวมาถึงแล้ว“ใต้เท้าโจวท่านมาแต่เช้าเลยนะขอรับ”“พระชายานางเป็นอย่างไรบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะท่านอ่อง”
-เจ็ดวันผ่านไป-เมื่องานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นบรรดาเหล่าขุนนางและฮูหยินของพวกเขาต่างก็ทยอยเดินเข้ามาในงานเรื่อยๆ ขณะที่มู่อิงเถาเดินอยู่เคียงข้างกับเซ่งอวี่ถงอยู่นั้นก็ได้ยินขุนนางที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่นั้นกำลังซุบซิบนินทานางอยู่ แม้จะพูดคุยกันด้วยเสียงอันเบาแต่กับคนที่มีวรยุทธ์แล้วนั้นย่อมได้ยินชัดทุกถ้อยคำ“ท่านอ๋องผู้นี้ช่างเก่งกาจและมีบุญบารมีมากเหลือเกินแต่น่าเสียดายที่ชายาของเขานั้นกลับเป็นหน้าเป็นตาให้เขาไม่ได้”“จริงดังที่ใต้เท้ากล่าว สตรีผู้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดาไหนเลยจะส่งเสริมท่านอ๋องได้กัน”“บุตรสาวของใต้เท้าซู ซูม่านอวี้ผู้นั้นท่านว่าเป็นอย่างไรนางพึ่งผ่านวัยปิ่นปักไปได้ไม่นานทั้งยังไม่มีคู่ครองอีกด้วย ดูเหมือนว่า….”ซ่งอวี่ถงที่หยุดเดินไปนั้นก็ทำให้มู่อิงเถางุนงงไปไม่น้อย“มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเหตุใดข้าถึงไม่เห็นเจ้าอยู่ที่จวนของท่านอ๋องล่ะ เจ้ารู้อะไรหรือไม่ข้านั้นตกใจแทบสิ้นสติเลยนะ”“ทำไมหรือ”“ก็ครั้งที่อยู่เมืองเป่ยเย่ข้าด่าสามีของเจ้าไปมากเลยทีเดียว”ประโยคหลังนางกระซิบกับมู่อิงเถาแทนด้วยกลัวว่าจะมีใครได้ยินคำพูดของนาง ซ่งอวี่ถงเวลานี้เป็นถึงท่านอ๋องย่อมมีคนเป็นหูเป็นตาให้เขามากมายจะพูดอะไรคงต้องระวังให้มากขึ้นเสียแล้ว“ฮ่าๆๆ เรื่องนั้นเจ้าอย่าใส่ใจไปเลย”“ไม่ใส่ใจคงไม่ได้ หากเขาไล่เอาทีละคนข้าไม่แย่หรือ”“ไม่หรอกน่า”“เย่เอ๋อกลับจวนกันได้แล้ว หากช้าไปกว่านี้ท่านพ่อจะดุเจ้าเอาได้นะ”“โธ่ท่านพี่ ให้ข้าได้สนทนากับสหายเสียหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร”
การเดินทางเข้าเมืองหลวงกินเวลาไปถึงสิบวันแม้ความเป็นจริงคนทั่วๆ ไปนั้นจะใช้เวลาเดินทางแค่เพียงห้าวันเท่านั้น เพราะทั้งสองเอาแต่งอนง้อกันตลอดทั้งเส้นทางทำให้ใช้เวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้นถึงสองเท่ามู่เฉินปาดเหงื่อทุกครั้งที่ท่านอ๋องของเขาเริ่มบทรักร้อนแรงกับพระชายา เขาทำเป็นไม่ได้ยินเสียงใดๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากรถม้าในยามกลางวันนั้นจนเมื่อระยะทางสุดท้ายก่อนเข้าเมืองหลวงก็มาถึง มู่เฉินถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกมู่อิงเถาเลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อมองดูบรรยากาศข้างนอกสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดจากที่มีเพียงป่าเขา เวลานี้เริ่มมีบ้านเรือนของผู้คนมากขึ้นทุกทีแล้วที่นางยอมสงบลงไม่ใช่เพราะติดใจในรสสัมผัสของเขาแต่เพราะว่าอยากฟังเรื่องราวระหว่างที่นางหนีเขาไปต่างหากเล่า‘ถ้าไม่อยากรู้เรื่องชาวบ้านข้าไม่ยอมคุยกับเขาดีๆ แน่’‘หนะ
“นั่นเจ้าจะทำอะไรไปฉุดลูกสาวใครเขามา”“นางเป็นเมียข้า”“เมีย? บังเอิญอะไรเช่นนี้แล้วเหตุใดนางถึงมาอยู่ที่เมืองเดียวกันกับชายาของข้าได้ล่ะ”“ข้าจะไปรู้หรือ สตรีที่อยู่ในห้องอีกคนนั้นน่าจะเป็นมารดาของเด็กคนนั้น พวกนางสองคนรู้จักกันที่เหลือท่านจัดการเองก็แล้วกันข้าคงต้องขอตัวไปจัดการเรื่องในบ้านของข้าก่อน”‘หากปล่อยให้พวกนางอยู่ด้วยกันชาตินี้พวกเขาอย่าหวังที่จะได้เมียคืนเลย’“เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่หรือไม่”“ขอรับท่านอ๋อง”ซ่งอวี่ถงพูดจบก็อุ้มนางขึ้นไปนั่งในรถม้าด้วยความรวดเร็ว มู่เฉินผู้รับหน้าที่เป็นสารถีก็รีบออกรถม้าทันทีด้วยกลัวว่าสตรีที่อยู่ข้างในจะกระโดดออกมาเสียก่อน“ท่านจับข้ามา
ยามพลบค่ำ ณ ตรอกแห่งหนึ่งในเมืองฉางอันบุรุษหนุ่มสองคนกำลังพิงหลังกับกำแพงจ้องมองไปยังโรงเตี๊ยมที่ตอนนี้ดูจะครึกครื้นเป็นพิเศษ แสงไฟที่ส่องประกายระยิบระยับออกมาจากหน้าต่างแต่ละบานนั้นทำให้ความมืดมิดด้านนอกส่องสว่างไปทั่วท้องถนน“เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นนาง”“คือว่านางใช้ผ้าปิดบังใบหน้าไปครึ่งซีก ข้าน้อยจึง…”“เหลวไหลเสียจริง แล้วยังกล้ายืนยันกับข้าได้อย่างไร”“ท่านจะโมโหไปทำไมก็เพียงแค่ลองไปดูด้วยตาของตนเองก็ได้นี่นา ไม่เสียเวลามากนักหรอก”ซ่งอวี่ถงพูดไปอย่างตัดรำคานเขาหันไปยังทิศทางของห้องพักที่คาดว่าคนผู้นั้นน่าจะอยู่ในนั้น ทั้งคู่ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนหลังคาร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียงกับโรงเตี๊ยมแห่งนั้นก่อนจะนั่งท้าวคางมองไปยังหน้าต่างห้องที่ยังคงปิดสนิทอยู่
จวนใต้เท้าโจว ชายแดนใต้“ใต้เท้าขอรับ”“เป็นอย่างไรบ้างได้ความว่าอย่างไร”“ข้าน้อยไปที่เมืองเป่ยเย่มาแล้ว เฒ่าแก่ร้านขายเครื่องประดับบอกว่านางมาจำนำแหวนวงนี้เอาไว้จริงๆ ขอรับ”“จริงหรือแล้วนางเป็นใครตอนนี้อยู่ที่ไหน”“คือว่าเฒ่าแก่ไม่ได้ถามชื่อแซ่เอาไว้เขารู้เพียงว่าเป็นหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาคล้ายรูปวาดของฮูหยินเลยขอรับ”“แล้วแหวนนั่นยังอยู่หรือไม่ หรือว่าขายไปแล้ว”“มีคนมาขอซื้อคืนขอรับเมื่อไม่นานมานี้เองเป็นบุรุษผู้หนึ่งดูจากการแต่งกายแล้วคาดว่าน่าจะเป็นคนที่มีฐานะอาจจะเป็นคนที่มาจากเมืองหลวงขอรับ”“ทำไมถึงขายไปง่ายๆ กันเล่า”“คนผู้นั้นมีใบรับจำนำจึงจำเป็นต้อง
เมืองฉางอันซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้นต้าฮั่น แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่กลับมีความสะดวกสบายทั้งการเดินทางและการค้าขายต่างก็มั่งคั่งยิ่งไปกว่าเมืองอื่นๆ หลายเท่านักฟ้าหลังฝนช่างงดงามดังคำที่คนโบราณกล่าวเอาไว้จริงๆ เช้าวันนี้ทั้งสามคนเดินถือตระกร้ามาที่ตลาดหวังจะซื้อยาสมุนไพรเพื่อทำการทดลองยาบางอย่างเพิ่มเมื่อมาถึงก็เห็นแผงขายของมากมายตั้งเรียงรายตามถนนหลักของชุมชนเมืองมีกลิ่นหอมจากซาลาเปาร้อนๆ และผลไม้สด เสียงเรียกขายของจากพ่อค้าแม่ค้าดังก้องไปทั่วท้องถนนมู่อิงเถามองบรรยากาศโดยรอบด้วยความรู้สึกเบิกบานใจ นางระบายยิ้มออกมาก่อนจะเดินเข้าไปนั่งในร้านน้ำชาเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ ตั้งแต่ที่นางย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยออกมาข้างนอกบ้านเท่าใดนักเพราะการเก็บตัวอยู่แต่ในห้องปรุงยาจึงทำให้ผิวของนางนั้นขาวผ่องเหมือนหิมะที่ละเอียดอ่อนสะท้อนความงามที่บริสุทธิ์และไร้ที่ติ ผมที่ยาวสล
หมู่บ้านต้าไห่ เมืองเป่ยเย่“ท่านอาอวี่ถงขอรับอาสะใภ้สามตายแล้ว ท่านย่าเฆี่ยนตีนางจนตายไปแล้ว”ซ่งหงอี้บุตรชายของพี่รองของเขาเป็นคนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ“เจ้าพูดอะไร! กล้าใส่ความข้าได้อย่างไรนางป่วยออดๆ แอดๆ รอวันตายเช่นนี้เหตุใดเจ้าถึงกล้ามากล่าวหาข้า”ฮูหยินซ่งผู้ที่รังเกียจลูกสะใภ้มาตั้งแต่นางตบแต่งเข้ามาในบ้าน โบ้ยความผิดให้คนที่นอนหายใจอ่อนรวยรินที่แคร่หน้าบ้านของตระกูลซ่งบ้านตระกูลซ่งนั้นถือว่ามีฐานะที่ดีพอสมควรก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ที่รุนแรงเกิดขึ้นในครอบครัวเลยสักครั้ง แต่เพราะไม่นานมานี้นายท่านซ่งนั้นได้สิ้นใจไปจึงทำให้ฮูหยินซ่งขึ้นเป็นหัวหน้าครอบครัวแทน ลูกหลานทุกคนจึงต้องเชื่อฟังนางนั่นเองฮูหยินซ่งนั้นมีลูกชายสามคน คนโตยังอยู่ที่บ้านใหญ่ ลูกชายคนรองเมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งสิ้นใจตายไปพร้อมภรรยารักของเขา ส่วนลูกชายคนที่สามก็คือซ่งอวี่ถงสามีของมู่อิงเถาสตรีที่นอนอยู่บนแคร่หน้าบ้านตระกูลซ่งนั่นเองแต่ก่อนพี่ชายคนรองของซ่งอวี่ถงนั้นต้องตรากตรำทำงานหนักในไร่ในนาเพียงลำพัง ส่วนซ่งอวี่ถงนั้นเพราะเขาอ่านหนังสือออกมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว นายท่านซ่งจึงส่งเขาไปเรียนที่ส...
Comments