ซ่งอวี่ถงรีบออกจากบ้านเพื่อเดินทางเข้าไปตามท่านหมอในตัวเมืองแต่ยังไม่ทันได้ก้าวข้ามผ่านประตูรั้วเขาก็หันกลับมามองมู่อิงเถาอีกครั้ง แววตาของเขามีความกังวลบางอย่างซ่อนเอาไว้
“เจ้าอยู่คนเดียวได้แน่นะ”
“ท่านพี่ข้าอยู่คนเดียวเสียที่ไหนกันยังมีหงเอ๋ออยู่ด้วยนะ”
“ท่านอาสามข้าดูแลอาสะใภ้ได้ขอรับ”
ซ่งอวี่ถงส่ายหน้าให้พวกเขาเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปที่โรงหมอ
เดิมทีเขาคิดจะพาซ่งหงอี้ไปด้วยแต่เพราะร่างกายที่บอบช้ำจากการโดนทุบตีอีกทั้งยังมีมู่อิงเถาอีกคนการเดินทางเข้าเมืองอาจจะทำให้ล่าช้าขึ้น เขาจึงเลือกที่จะทิ้งทั้งคู่เอาไว้ที่บ้านแล้วเดินทางไปเพียงลำพังในใจก็หวั่นเกรงทั้งคู่จะเป็นอันตราย ได้แต่คิดแล้วก็รีบเดินทางไปด้วยความรวดเร็ว
“หงเอ๋อเจ้าเป็นลูกผู้ชายต้องอดทนเอาไว้นะเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับท่านอาสะใภ้”
“เลิกเรียกข้าว่าอาสะใภ้เสียทีเถอะข้ากับท่านอาสามของเจ้าแม้จะแต่งงานกันแล้วแต่ก็ไม่เคยร่วมหอกันเลยสักครั้งนะ อีกอย่างเจ้าดูรูปร่างของข้าสิเหมาะสมกับท่านอาของเจ้างั้นหรือต่อไปนี้เรียกข้าว่าพี่สาวก็พอแล้ว”
“ไม่เอาหรอกขอรับถึงอย่างไรท่านก็เป็นภรรยาของท่านอาสาม ข้าเรียกอาสะใภ้น่ะถูกแล้ว”
“เฮ้อ…ตามใจเจ้าเถอะ เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยกัดผ้าผืนนี้เอาไว้ทีข้าจะตรวจดูบาดแผลเจ้าเสียหน่อย”
“ขอรับ”
มู่อิงเถาหาเศษผ้าที่สะอาดที่สุดเท่าที่จะหามาได้ให้ซ่งหงอี้กัดเอาไว้ นางตั้งใจจะใช้ไม้มาดามกระดูกที่หักไว้ชั่วคราวเมื่อท่านหมอมาถึงค่อยให้เขารักษาอีกที แม้นางจะมีทักษะทางการแพทย์อยู่บ้างแต่ในยุคที่ไม่มีเครื่องมือสำหรับการรักษาเช่นนี้นางจึงทำได้เพียงแค่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น
“นังเด็กโง่”
“เอ๋ อะไรนะ”
“หืม อะไรหรือขอรับอาสะใภ้”
“เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ได้พูดอะไรงั้นหรือ”
“ไม่เลยขอรับก็ท่านบอกให้ข้ากัดผ้าไว้ไม่ใช่หรือ จะพูดอะไรได้กัน”
“จริงด้วย แล้วเสียงใครกันเล่า”
'ก็ข้าอย่างไรเล่านังเด็กโง่ เมื่อวานตอนหัวค่ำก็เพิ่งพูดคุยกันเจ้าลืมข้าไปแล้วหรือ'
‘เจ้าลิงฮุยงั้นหรือ’ มู่อิงเถาที่เพิ่งจะนึกถึงเรื่องมิติวิเศษขึ้นได้นางจึงได้แต่อุทานในใจเงียบๆ เพราะกลัวว่าซ่งหงอี้จะสงสัยเอาได้
‘ใช่ แต่เอ๊ะ! ลิงงั้นหรือ? นี่เจ้าหลอกด่าข้าอยู่หรืออย่างไร’
‘ใช่ที่ไหนกันเล่าข้าอาจจะออกเสียงผิดไปนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง แล้วเหตุใดซ่งหงอี้ถึงไม่ได้ยินเจ้าเหมือนที่ข้าได้ยินล่ะ’
‘มีเพียงเจ้าที่ได้ยินข้าพูด ในมิติวิเศษมีผลไม้ที่ใช้สมานแผลและเชื่อมกระดูกได้ เจ้าไปเอามันมาให้เจ้าเด็กน้อยคนนั้นกินเสียสิ’
‘จริงหรือนี่!’
‘แต่อย่าลืมว่าเอาอะไรออกไปย่อมต้องตอบแทนทุกครั้ง’
‘ข้ารู้แล้วน่าจะไปไถนาพรวนดินให้ทั้งวันเลย ขอบใจนะ’
มู่อิงเถาเอ่ยออกมาด้วยความดีใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ แม้ว่าซ่งหงอี้จะไม่ใช่หลานแท้ๆ ของนางแต่เพราะได้มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันแล้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายบาดเจ็บทั้งยังเป็นเด็กอีกด้วยก็อดไม่ได้ที่จะสงสาร เมื่อรู้ว่ามีหนทางรักษานางดีใจเช่นนี้ก็ไม่น่าแปลกอะไร
“หงเอ๋อเจ้านั่งรอข้าอยู่ตรงนี้ข้าจะไปหาสมุนไพรมาประคบแขนให้เจ้า เดี๋ยวข้ามานะเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับ”
“อย่าหลับเชียวล่ะเจ้าต้องรอท่านอาของเจ้ากลับมาก่อน”
“ข้ารู้แล้ว”
มู่อิงเถารีบเดินออกจากห้องนอนก่อนจะแอบไปยังหลังบ้าน หลับตาภาวนาในใจเพื่อเข้าไปในมิติวิเศษเมื่อเข้าไปได้แล้วนางก็ตรงไปยังต้นไม้ที่มีผลอิงเถาอยู่เต็มต้น
"คงจะเป็นต้นนี้กระมัง"
นางยืนพะวักพะวงอยู่นานสองนานด้วยขนาดร่างกายของนางแล้วนั้นคงไม่สามารถปีนขึ้นไปได้อย่างแน่นอน
'แล้วจะเก็บมันลงมาอย่างไรดีเล่า'
"โง่เสียจริง"
"นี่เจ้าด่าข้าอีกแล้วนะ"
"ก็โง่จริงหรือไม่เล่าอยากได้อะไรก็เพียงแค่ขอ ลองดูสิ"
'อยากได้อะไรก็เพียงแค่ของั้นหรือ'
"ท่านต้นไม้เจ้าคะ ข้าขอผลไม้จากต้นของท่านเพื่อไปช่วยหลานชายของข้าได้หรือไม่"
เมื่อนางพูดจบในใจก็ยังไม่หายกังวลพลางสงสัยว่าเจ้าลิงฮุยเจ้าของมิติวิเศษแห่งนี้กำลังหลอกนางอยู่หรือไม่ ทันใดนั้นผลอิงเถาที่กำลังสุกได้ที่ก็หล่นลงมาบนพื้นท่ามกลางความตื่นตะลึงของนาง
"มะ ไม่ได้หลอกกันนี่นา"
"ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง! รีบเก็บแล้วรีบออกไปได้แล้วรบกวนเวลาพักผ่อนของข้า"
"เจ้าค่ะท่านหลิงฮุยผู้เก่งกาจ ข้าจะรีบเก็บแล้วก็รีบออกไปไม่รบกวนท่านแน่นอนเลยเจ้าค่ะ"
"ให้มันจริงเถอะ"
มู่อิงเถาคร้านจะต่อความกับเขานางรีบเก็บผลไม้ที่หล่นอยู่บนพื้นหญ้าติดมือไปสี่ห้าลูก
ขณะที่กำลังจะออกจากมิติวิเศษนางก็เหลือบไปเห็นบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากต้นไม้ใหญ่นั้น พื้นที่บริเวณโดยรอบมีต้นหญ้าเขียวขจีงดงามต่างจากบ่อน้ำที่แห้งเหือดนั้นอย่างมาก
“น่าแปลกเสียจริง”
“บ่อน้ำพุแห่งกาลเวลา”
“อะไรนะ”
“บ่อนั่นคือน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ว่าจะเจ็บป่วยด้วยโรคอันใดก็รักษาหายได้ทั้งนั้น”
“จริงหรือ”
“แต่น่าเสียดาย มันแห้งเหือดแบบนี้มานานแล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเลิกถามข้าได้แล้ว นี่เจ้าน่ะเอาไปแล้วอย่าลืมมาทำหน้าที่ของตนเองล่ะ”
“รู้แล้วน่าเหตุใดเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้นะ”
“ชิ”
มู่อิงเถาบ่นร่ายยาวให้เจ้าของมิติวิเศษก่อนจะออกไปหาซ่งหงอี้ด้วยความรวดเร็ว นางเดินกลับมาที่ห้องนอนก็เห็นว่าเด็กน้อยผู้นั้นหลับไปแล้ว
“คงจะเจ็บมากสินะน่าสงสารเสียจริง”
เฮ้ย! ไม่สิในนิยายหลานชายของซ่งอวี่ถงเองก็ร้ายไม่ใช่เล่น หาวิธีกลั่นแกล้งนางไม่น้อยเหมือนกันนี่นา หน้าตาธรรมดาดูไม่มีพิษสงทั้งคู่ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะเป็นตัวร้ายไปได้
มู่อิงเถาส่ายหน้าให้เด็กชายตัวน้อยก่อนจะนำผลไม้วิเศษไปจัดการผ่าเป็นชิ้นเล็กๆ เก็บเอาไว้ให้เขากินหลังตื่นขึ้นมา นางไม่ลืมที่จะนำสมุนไพรที่เก็บติดมือมาจากมิติวิเศษมาตำจนละเอียดแล้วห่อด้วยผ้าบางๆ ค่อยๆ ประคบที่แขนของเขา
เป็นเวลากว่าสองชั่วยามในที่สุดซ่งอวี่ถงก็เดินทางกลับมาแต่ด้านหลังของเขากลับพบเพียงความว่างเปล่า สีหน้าที่ดูไม่สู้ดีนั้นบ่งบอกว่าต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ท่านพี่ ท่านหมอไม่มากับท่านด้วยหรือ”
เขาส่ายหน้าให้นางเบาๆ ก่อนจะชำเลืองมองไปที่ซ่งหงอี้ผู้เป็นหลานชาย
“ค่ารักษามากเกินไปเงินที่เรามีไม่พอข้าจึงทำได้เพียงแค่ซื้อยากลับมาให้เขากินเท่านั้น”
“งั้นหรือ”
“หลับไปแล้วหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“แล้วนั่นอะไร”
“คือว่า ตอนข้ายังเด็กท่านแม่เคยสอนข้าเรื่องการใช้สมุนไพรรักษาคนน่ะเจ้าค่ะ เมื่อวานตอนทำความสะอาดที่สวนหลังบ้านข้าเห็นว่ามีสมุนไพรนั่นพอดีจึงนำมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาประคบให้เขา”
“ไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าก็รู้เรื่องพวกนี้ด้วย”
“ข้าก็แค่โง่เขลาในบางเรื่อง”
ซ่งอวี่ถงยิ้มให้นาง ช่างเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่่นางเคยได้รับจากเขา
'คนอะไรหล่อเสียจริง'
‘ไม่ได้ๆ อย่าให้ภาพมันลวงตาเป็นอันขาดเขาคนนี้คือคนที่จะสังหารเจ้าเชียวนะมู่อิงเถา’
มู่อิงเถาสะบัดศรีษะไปมาจนซ่งอวี่ถงถึงกับขมวดคิ้วแน่นแล้วเอ่ยปากถามนางไปว่า
“เจ้าเป็นอะไรไม่สบายงั้นหรือ”
“ห๊ะ ไม่นะข้าสบายดี”
“ก็เมื่อครู่”
“อ้อ แมลงวันมันมาตอมหน้าข้าน่ะข้าว่านะท่านมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำเถอะ วันนี้ข้าจะเป็นคนทำอาหารเอง”
“อืม เช่นนั้นข้าจะดูแลหงเอ๋อเอง”
"เจ้าค่ะ”
‘ใจสั่นอะไรเช่นนี้สงสารจนหวั่นไหวไม่ได้นะมู่อิงเถา ให้ตายสิ’
มู่อิงเถาเข้าครัวทำอาหารง่ายๆ ให้ซ่งอวี่ถงสองสามอย่างเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยนางจึงเดินเข้าไปในห้องนอนตั้งใจจะไปดูอาการของเด็กชายเสียหน่อย แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องประตูก็ถูกแง้มออกมาเล็กน้อยแล้วที่ข้างเตียงนอนของเด็กชายตัวน้อยนั้นมีซ่งอวี่ถงที่คอยเช็ดเนื้อตัวให้เขาอย่างเบามือด้วยความอ่อนโยน“ดูเหมือนหงเอ๋อจะไม่ทรมานมากเท่าใดแล้วนะเจ้าคะ”“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น อีกสองวันข้าจะเข้าเมืองไปสำนักบัณฑิตขอลาหยุดสักเจ็ดวันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้า”“ไม่ต้องหรอก พวกข้าอยู่ได้”“แต่หงเอ๋อบาดเจ็บเพียงนี้หากว่าบ้านนั้นมาระรานพวกเจ้าอีกจะทำอย่างไร ไม่ได้หรอกข้าไม่ไว้ใจ”“ทำมาก็ทำกลับสิ”แม้ซ่งอวี่ถงจะเห็นวีรกรรมของนางแล้วแต่เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดีจะทิ้งพวกนางไว้ที่นี่เพียงลำพังได้อย่างไร แต่ก่อนก็ยังมีพี่รองและพี่สะใภ้รองอยู่ด้วยแต่วันนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวแล้วที่เป็นที่พึ่งสำหรับนางและหลานชายคนนี้“ข้าอยู่ได้น่า”ซ่งอวี่ถงส่ายหน้าให้นางเบาๆ “วันที่ข้าเข้าเมืองข้าจะลองไปถามเช่าบ้านดูด้วย”“เช่าบ้าน? ในเมืองนั้นน่ะหรือ”“ใช่แล้ว ให้พวกเจ้าไปอยู่ที่นั่นด้วยข้าจะได้หายห่วง”“ไม่เอาน่าท่านพี่
ซ่งอวี่ถงพานางเดินลัดเลาะมายังท้ายหมู่บ้านและเดินต่อไปเพียงไม่ถึงหกลี้[1] ก็มาถึงตีนเขาแล้ว แม้ระยะทางจะดูไม่ได้ไกลเกินไปแต่รูปร่างที่อวบอ้วนของนางนั้นกลับทำให้นางรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าคนปกติถึงสามเท่าเมื่อมองขึ้นไปบนหุบเขาบรรยากาศตรงหน้าช่างดูน่ากลัวเป็นอย่างมากแต่เมื่อหันไปมองใบหน้าของซ่งอวี่ถงกลับนิ่งเฉยเสียอย่างนั้น หรือว่าเป็นเรื่องปกติของเขาไปแล้วนะถึงไม่ได้ดูหวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย“ท่านพี่ พวกเราต้องเดินเข้าไปอีกไกลหรือไม่เจ้าคะ”“ไม่หรอกอีกไม่ถึงหนึ่งลี้[2] ก็ถึงแล้วล่ะเมื่อวานข้าทำลอบดักสัตว์เอาไว้ มาครั้งนี้ก็เพียงแค่เข้าไปตรวจดูเผื่อโชคดีอาจจะได้หมูป่าหรือกระต่ายป่ามาสักตัว”“งั้นหรือ”มู่อิงเถาไม่ได้คิดเช่นนั้นนางอยากได้สมุนไพรบางอย่างเพราะเมื่อวานที่คลองท้ายหมู่บ้าน นางได้ยินสะใภ้หยวนที่อยู่บ้านถัดไปจากนางสามหลังบอกว่าบนหุบเขานั้นนอกจากจะมีสัตว์ป่าแล้วยังมีสมุนไพรล้ำค่าอีกนับไม่ถ้วนด้วยนิสัยที่ชื่นชอบสมุนไพรมาก่อนเช่นนี้นางย่อมอยากได้มาไว้ในครอบครองอย่างแน่นอนซ่งอวี่ถงไม่ได้สนใจนางอีกเขาเดินขึ้นไปบนหุบเขาอย่างคล่องแคล่ว จนขาสั้นๆ ของมู่อิงเถาเดินตามแทบไม่ทัน‘นี่ลิงฮุย’‘.
ทั้งคู่เดินแบกหมูป่าคนละตัวกลับไปที่บ้านด้วยความรวดเร็ว เมื่อมาถึงบ้านซ่งอวี่ถงก็ถึงกับปาดเหงื่อไปไม่น้อยแต่เมื่อหันไปมองมู่อิงเถานางกลับไม่มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเลยแม้เพียงนิด'เป็นไปได้อย่างไรกันล่ะเนี่ย'“ท่านมองข้าทำไมหรือ”“อะ เอ่อไม่มีอะไรหรอก เจ้าเหนื่อยหรือไม่”“ไม่เลยเจ้าค่ะข้าทำงานหนักมามากร่างกายจึงแข็งแรงกว่าคนปกตินัก ท่านรีบไปแล่เนื้อของมันเถอะจะได้รีบเอาไปขาย”“ข้ารู้แล้ว”“ท่านอาสามกลับมาแล้วหรือ”“หงเอ๋ออย่าวิ่งสิเดี๋ยวก็หกล้มหรอก แล้วนี่เจ้าวิ่งได้แล้วหรือ”“ข้าเจ็บที่แขนนะขอรับไม่ใช่ขาแม้จะถูกฟาดไปหลายหนก็เถอะแต่ก็ไม่ปวดมากเท่าแขนหรอกนะขอรับ แต่น่าแปลกที่ข้ารู้สึกว่ามันปวดน้อยลง”“เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้วล่ะ”“ว้าว! นั่นหมูป่าหรือขอรับ”“ใช่ เอาล่ะข้าจะแล่เนื้อหมูป่าไปขายพวกเจ้ามีอะไรทำก็ไปทำก่อนเถอะ”“เจ้าค่ะ/ขอรับ”มู่อิงเถาเดินหายเข้าไปในบ้านท่ามกลางสายตาของบุรุษต่างวัยทั้งสองที่มองตามแผ่นหลังกลมแน่นที่เต็มไปด้วยเนื้อไขมันล้วนๆ นั้นอย่างไม่วางตามู่อิงเถาเข้าไปนั่งแช่น้ำอุ่นในถังอาบน้ำอยู่เป็นเวลานานเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไปกลับที่หุบเขาทั้งยังต้องแบกหมูป่าที่หน
-เมืองเป่ยเย่-‘ว้าวเมืองเล็กๆ ยังน่าตื่นตาตื่นใจถึงเพียงนี้ถ้าเป็นเมืองหลวงเล่าจะใหญ่โตแค่ไหนกันนะ’“เป็นอะไรไม่เคยเข้ามาในเมืองเลยงั้นหรือ ข้าจำได้ว่าพี่สะใภ้รองเคยพาเจ้ามาซื้อของในเมืองอยู่นะจำไม่ได้แล้วหรือ”“ข้าเคยมาแล้วงั้นหรือ อาจจะเพราะตั้งแต่โดนตีเกือบตายวันนั้นข้าก็เลอะเลือนจนลืมไปเสียสนิทเลยน่ะเจ้าคะ”“งั้นหรือ”ซ่งอวี่ถงยังคงจับจ้องนางไม่หยุด มู่อิงเถาได้แต่ยิ้มให้เขาเท่านั้นเกวียนวัวมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง บ้านที่ดูไม่ได้หลังใหญ่โตมากนักแต่เมื่อมองไปรอบๆ กลับมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยเลยทีเดียว“ลงไปกันเถอะ”“ท่านพี่นี่บ้านใครหรือเจ้าคะ”“บ้านใหม่ของเราอย่างไรล่ะ”“อะไรนะ! ท่านแน่ใจนะเจ้าคะว่ามาถูกที่”“ทำไมหรือ”“ก็มันช่าง…ดูดีอะไรถึงเพียงนี้ท่านไปหามาได้อย่างไรแพงมากหรือไม่”“ก็…”“ท่านพี่ซ่ง”ซ่งอวี่ถงกำลังจะตอบคำถามของนางก็ได้ยินเสียงหวานใสของสตรีนางหนึ่งเอ่ยเรียกเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดีใจ?‘เสียงใครกันนะ’มู่อิงเถาหันหลังไปดูก็เห็นว่าเป็นสตรีคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของเสียงหวานใสผู้นั้นนั่นเอง ใบหน้าสวยหวานรูปร่างอรชรนี้ช่างงดงามเหมือนกับนางฟ้าเ
“มู่อิงเถา”“งื้อ ข้าจะนอนขอนอนตื่นสายสักวันสิ”“มู่อิงเถาเจ้าตื่นเดี๋ยวนี้นะ!”“โอ๊ย! ใครกันเรียกอยู่ได้ หืม....ลิงฮุยงั้นหรือ”“ข้าบอกว่าหากเรียกชื่อข้าผิดอีก ต่อไปนี้ข้าจะไม่ช่วยเจ้าอีกแล้วนะ”“ขอโทษทีข้ายังมึนๆ อยู่น่ะ สองสามวันมานี้เจ้าหายไปไหนมา”“ข้าไม่ได้หายไปไหนทั้งนั้นเจ้าลุกขึ้นมาได้แล้วน้ำพุแห่งกาลเวลาจะล้นออกมาแล้วเนี่ย”“อะไรนะ”มู่อิงเถาได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้นมาทันที เมื่อมองไปรอบๆ ที่แห่งนี้กลับไม่ใช่ห้องนอนที่นางนอนเมื่อคืนนี้เสียอย่างนั้น‘มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไรกันนะ’“ไหนเจ้าบอกว่าน้ำพุแห่งกาลเวลาแห้งเหือดไปแล้วอย่างไรเล่า”“ข้าจะไปรู้หรือ อยู่ดีๆ เมื่อเช้ามันก็พุ่งออกมาอย่างที่เจ้าเห็นนั่นล่ะ”“แล้วมันดีหรือไม่ดีล่ะ”“ไม่รู้ เจ้าช่วยนำไปรดน้ำผักตรงนั้นทีสิ”“อะไรนะ นี่ปลุกข้ามาเพื่อทำงานงั้นหรือ”“ก็ข้าเสียดายนี่นานานๆ น้ำพุจะเอ่อร้นออกมาเช่นนี้ช่างหาดูได้ยากยิ่งนัก แปลกเสียจริงมาได้อย่างไรกัน”“เจ้าเป็นเจ้าของมิติแห่งนี้ยังไม่รู้ แล้วข้าจะไปรู้หรือ”“ก็เคยได้ยินมาบ้าง”“ได้ยินเรื่องอะไร”‘น้ำพุแห่งกาลเวลาจะกลับมาหลั่งไหลอีกครั้ง เมื่อเจ้าของวิติวิเศษตัวจริงกลับมา
“โอ๊ย! นี่เจ้ากล้าทำร้ายข้างั้นหรือ”“ท่านแม่เจ็บมากหรือไม่ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำร้ายแม่ของข้า”ไม่ทันที่เด็กสาวผู้นั้นจะได้เดินเข้ามาใกล้ มู่อิงเถาก็ใช้ฝ่ามือซัดไปที่จมูกของนางเต็มแรง“กรี๊ด! ท่านแม่นางตบข้า”“ข้าต่อยเจ้าต่างหากเล่านังเด็กไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า”“เจ้าน่ะสิไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า แม่นางซูท่านดูสินางนิสัยแย่ถึงเพียงนี้ท่านยังจะปล่อยให้อวี่ถงของเราถูกนางสูบเลือดสูบเนื้ออยู่ฝ่ายเดียวงั้นหรือ”เมื่อซูม่านอวี้ได้ยินดังนั้นก็หันไปมองมู่อิงเถาทันที นางยังไม่ยอมปริปากสิ่งใดออกมาแต่เป็นมู่อิงเถาเองที่อดรนทนไม่ไหว“เจ้าจะบอกว่าข้าเป็นปลิงคอยสูบเลือดสูบเนื้อซ่งอวี่ถงแล้วพวกเจ้าล่ะไม่ยิ่งกว่าปลิงหรอกหรือ ไม่ว่าบ้านสามจะได้เงินมามากเท่าไหร่พวกเจ้าก็ยึดไปหมดตรงไหนกันที่ว่าข้าทำร้ายเขา ไม่ใช่พวกเจ้าหรือ”“จะ เจ้า”“หุบปาก! ข้าให้เจ้าพูดแล้วอย่างนั้นหรือ พี่รองกับท่านพี่ซ่งลำบากลำบนทำงานในไร่ในนามามากตั้งเท่าใดส่วนพี่สะใภ้รองและตัวข้าเองก็ยังต้องทำงานในบ้านแทนพวกเจ้าอีก เสื้อผ้าของใช้ดีๆ ยังไม่มีใส่เหมือนพวกเจ้าเลยแบบนี้แล้วเจ้ายังจะกล้ามาใส่ความข้าอีก ถุย!”มู่อิงเถาถุยน้ำลายใส่หน้
‘จะไม่ยอมปล่อยข้าไปจริงๆ งั้นหรือ’“คือ ความจริงการแต่งงานมันก็เป็นเรื่อง….”“แม่นางซู ที่สำนักบัณฑิตหยุดเรียนสามวันไว้หลังจากนั้นข้าจะไปสอนหนังสือให้เจ้าอีกครั้ง”“ข้าเข้าใจแล้ว เชิญพวกท่านตามสบายเถอะเจ้าคะ”“อืม ขอบใจเจ้ามากนะ”ซูม่านอวี้หันหลังเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองพวกนางอีก มู่อิงเถาอยู่ๆ ก็รู้สึกแข้งขาอ่อนขึ้นมาทันใด นางหันไปมองใบหน้าของผู้เป็นสามีก็เห็นว่าเขาอมยิ้มอยู่ก่อนแล้วมู่อิงเถาสะบัดหน้าให้เขาก่อนจะเดินไปนั่งกินข้าวต่อกับซ่งหงอี้ที่เวลานี้เอาแต่อมยิ้มไม่หยุดครั้งนี้ซ่งอวี่ถงไม่ได้กลับบ้านนานเกินครึ่งเดือน กลับมาครั้งนี้เขาเองก็ตกตะลึงที่ได้เห็นมู่อิงเถาอีกครั้งนางดูเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากเลยทีเดียว แต่เพราะคำพูดเมื่อครู่ของเขาอาจจะทำให้นางไม่พอใจไปบ้าง ดังนั้นจึงไม่อาจเอ่ยถามอะไรออกไปได้ในเวลานี้“ข้ากลับมาเหนื่อยๆ หิวข้าวเสียจริง”“ได้ เชิญท่านนั่งสิ”มู่อิงเถาวางตะเกียบลงก่อนจะเดินเข้าไปในครัวแล้วหยิบเอาถ้วยที่ตักข้าวจนเต็มมาให้เขา“อาหารพื้นๆ ท่านทนกินไปเถอะนะเผื่อสักวันท่านอาจจะได้กินอาหารที่ดีกว่านี้ก็เป็นได้”“ข้าก็กินแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ดูเหมือนครั้งนี้จะดีกว
ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นพร้อมกับเสียงนกร้องเซ็งแซ่ดังก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้าปลุกให้คนบนเตียงที่กำลังนอนหลับอยู่นั้นงัวเงียขึ้นมาพร้อมกับการฝืนตาให้ตื่นขึ้นมู่อิงเถาไม่ได้นอนหลับสบายเช่นนี้มาร่วมเดือนแล้ว ครั้งสุดท้ายก็คือวันที่ซ่งอวี่ถงเดินทางกลับไปเรียนที่สำนักบัณฑิตนั่นเองนางค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้นก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อยเพราะความเคยชินที่ต้องนอนคนเดียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดแปลกไปจึงทำให้นางรู้สึกว่าบนเตียงนอนหลังนี้ไม่ได้มีแค่นางคนเดียว!เมื่อหันไปมองด้านข้างของตนเองก็พบว่าซ่งอวี่ถงยังคงนอนหลับอยู่ ความรู้สึกง่วงงันเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้งทันที‘ฉิบหาย! นี่ข้าขึ้นมานอนบนเตียงได้อย่างไรกันนะ’มู่อิงเถาลนลานลงจากเตียงจนแทบจะสะดุดกับผ้าห่มแล้ว นางค่อยๆ สวมรองเท้าแล้วถอยหลังออกไปสามก้าวเพื่อตั้งหลักด้วยความรวดเร็วตั้งแต่ทะลุมิติมาคืนนี้น่าจะเป็นคืนแรกเลยกระมังที่ได้นอนร่วมเตียงเดียวกันกับเขา เป็นไปได้อย่างไรคงไม่ใช่ว่านางละเมอขึ้นไปนอนเบียดกับเขาเองหรอกนะ‘ไม่นะข้าก็ระวังตัวสุดๆ แล้วนี่นา บ้าจริง!’ขณะที่กำลังยืนสับสนกับตนเองอยู่นั้น ชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่บนเตียงก
เรื่องทุกอย่างดูจะคลี่คลายลงไปแล้วแต่เช้าวันนี้ที่หน้าประตูจวนกลับมีทหารรักษาประตูที่วิ่งมารายงานนางว่า เวลานี้มีสตรีสองคนกำลังยืนถกเถียงกันอย่างไม่ยอมกันมู่อิงเถาเดินไปที่หน้าประตูจวนก็พบกับซูม่านอวี้และเซี่ยเย่อิง ทั้งคู่ดูจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างเพราะเวลานี้เอาแต่เถียงกันไม่หยุดนั่นเอง“เซี่ยเย่อิงเจ้าเป็นอะไรกับข้านักหนากันนะถึงได้ตามติดข้าเช่นนี้”“เฮ้อ…ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วข้าก็ไม่อยากปิดบังความรู้สึกอีกต่อไป”“พูดเรื่องอะไรของเจ้า”“ข้าชอบเจ้านะ”“อะ อะไรนะ!”“ทีแรกข้าชอบแม่นางมู่ แต่ว่าตอนนี้นางเป็นถึงพระชายาของเจิ้นอ๋องเช่นนี้แล้วข้าคงไม่อาจเอื้อมอีกต่อไป ดังนั้นข้าจึงคิดว่าจะหันมาชอบเจ้าแทนดีกว่า”“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร”“ทำไมล่ะ ในแคว้นต้าฮั่นต่างก็เป็นเสรีแล้วฮ่องเต้ไม่ได้กำหนดบทลงโทษของคนที่ชอบเพศเดียวกันไว้เสียหน่อย ดังนั้นตอนนี้ข้าชอบเจ้าพวกเรามาทำความรู้จักกันดีหรือไม่”“กรี๊ด! เจ้าไปไกลๆ ข้าเลยนะ”“โธ่…แม่นางซูท่านน่ารักถึงเพียงนี้หากท่านอ๋องไม่ชอบ เจ้าก็หันมาหาข้าก็ได้นี่นา”“ไม่! พวกเจ้าสองคนยืนทำอะไรมาเอานางออกไปจากข้าเสียทีสิ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เซี่ยเย่อิงยิ้มหัวเราะช
เพราะเมื่อคืนวานมู่อิงเถามัวแต่สนทนากับพระชายารัชทายาทที่เป็นสหายคนสนิทของนางไปหลายชั่วยาม กว่าจะกลับถึงจวนก็เป็นเวลาเกือบยามสาม[1] แล้วเช้านี้จึงเป็นอีกวันที่นางนอนตื่นสาย เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนข้างกายนั้นได้ตื่นก่อนนางเป็นที่เรียบร้อย“น่าอายจัง นอนตื่นสายจนได้”มู่อิงเถารีบจัดการตนเองก่อนจะออกไปนั่งเล่นที่ศาลาหน้าตำหนัก นางกำลังจ้องมองฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมาด้วยความเบิกบานใจยิ่งนักโดยมีสาวใช้ข้างกายที่คอยปรนนิบัติดูแลอยู่ไม่ห่างที่หน้าเรือนใหญ่ซ่งอวี่ถงกำลังยืนจับจ้องนางอยู่อย่างไม่วางตา ก่อนที่มู่เฉินจะมารายงานเขาว่าใต้เท้าโจวมาถึงแล้ว“ใต้เท้าโจวท่านมาแต่เช้าเลยนะขอรับ”“พระชายานางเป็นอย่างไรบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะท่านอ่อง”
-เจ็ดวันผ่านไป-เมื่องานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นบรรดาเหล่าขุนนางและฮูหยินของพวกเขาต่างก็ทยอยเดินเข้ามาในงานเรื่อยๆ ขณะที่มู่อิงเถาเดินอยู่เคียงข้างกับเซ่งอวี่ถงอยู่นั้นก็ได้ยินขุนนางที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่นั้นกำลังซุบซิบนินทานางอยู่ แม้จะพูดคุยกันด้วยเสียงอันเบาแต่กับคนที่มีวรยุทธ์แล้วนั้นย่อมได้ยินชัดทุกถ้อยคำ“ท่านอ๋องผู้นี้ช่างเก่งกาจและมีบุญบารมีมากเหลือเกินแต่น่าเสียดายที่ชายาของเขานั้นกลับเป็นหน้าเป็นตาให้เขาไม่ได้”“จริงดังที่ใต้เท้ากล่าว สตรีผู้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดาไหนเลยจะส่งเสริมท่านอ๋องได้กัน”“บุตรสาวของใต้เท้าซู ซูม่านอวี้ผู้นั้นท่านว่าเป็นอย่างไรนางพึ่งผ่านวัยปิ่นปักไปได้ไม่นานทั้งยังไม่มีคู่ครองอีกด้วย ดูเหมือนว่า….”ซ่งอวี่ถงที่หยุดเดินไปนั้นก็ทำให้มู่อิงเถางุนงงไปไม่น้อย“มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเหตุใดข้าถึงไม่เห็นเจ้าอยู่ที่จวนของท่านอ๋องล่ะ เจ้ารู้อะไรหรือไม่ข้านั้นตกใจแทบสิ้นสติเลยนะ”“ทำไมหรือ”“ก็ครั้งที่อยู่เมืองเป่ยเย่ข้าด่าสามีของเจ้าไปมากเลยทีเดียว”ประโยคหลังนางกระซิบกับมู่อิงเถาแทนด้วยกลัวว่าจะมีใครได้ยินคำพูดของนาง ซ่งอวี่ถงเวลานี้เป็นถึงท่านอ๋องย่อมมีคนเป็นหูเป็นตาให้เขามากมายจะพูดอะไรคงต้องระวังให้มากขึ้นเสียแล้ว“ฮ่าๆๆ เรื่องนั้นเจ้าอย่าใส่ใจไปเลย”“ไม่ใส่ใจคงไม่ได้ หากเขาไล่เอาทีละคนข้าไม่แย่หรือ”“ไม่หรอกน่า”“เย่เอ๋อกลับจวนกันได้แล้ว หากช้าไปกว่านี้ท่านพ่อจะดุเจ้าเอาได้นะ”“โธ่ท่านพี่ ให้ข้าได้สนทนากับสหายเสียหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร”
การเดินทางเข้าเมืองหลวงกินเวลาไปถึงสิบวันแม้ความเป็นจริงคนทั่วๆ ไปนั้นจะใช้เวลาเดินทางแค่เพียงห้าวันเท่านั้น เพราะทั้งสองเอาแต่งอนง้อกันตลอดทั้งเส้นทางทำให้ใช้เวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้นถึงสองเท่ามู่เฉินปาดเหงื่อทุกครั้งที่ท่านอ๋องของเขาเริ่มบทรักร้อนแรงกับพระชายา เขาทำเป็นไม่ได้ยินเสียงใดๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากรถม้าในยามกลางวันนั้นจนเมื่อระยะทางสุดท้ายก่อนเข้าเมืองหลวงก็มาถึง มู่เฉินถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกมู่อิงเถาเลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อมองดูบรรยากาศข้างนอกสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดจากที่มีเพียงป่าเขา เวลานี้เริ่มมีบ้านเรือนของผู้คนมากขึ้นทุกทีแล้วที่นางยอมสงบลงไม่ใช่เพราะติดใจในรสสัมผัสของเขาแต่เพราะว่าอยากฟังเรื่องราวระหว่างที่นางหนีเขาไปต่างหากเล่า‘ถ้าไม่อยากรู้เรื่องชาวบ้านข้าไม่ยอมคุยกับเขาดีๆ แน่’‘หนะ
“นั่นเจ้าจะทำอะไรไปฉุดลูกสาวใครเขามา”“นางเป็นเมียข้า”“เมีย? บังเอิญอะไรเช่นนี้แล้วเหตุใดนางถึงมาอยู่ที่เมืองเดียวกันกับชายาของข้าได้ล่ะ”“ข้าจะไปรู้หรือ สตรีที่อยู่ในห้องอีกคนนั้นน่าจะเป็นมารดาของเด็กคนนั้น พวกนางสองคนรู้จักกันที่เหลือท่านจัดการเองก็แล้วกันข้าคงต้องขอตัวไปจัดการเรื่องในบ้านของข้าก่อน”‘หากปล่อยให้พวกนางอยู่ด้วยกันชาตินี้พวกเขาอย่าหวังที่จะได้เมียคืนเลย’“เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่หรือไม่”“ขอรับท่านอ๋อง”ซ่งอวี่ถงพูดจบก็อุ้มนางขึ้นไปนั่งในรถม้าด้วยความรวดเร็ว มู่เฉินผู้รับหน้าที่เป็นสารถีก็รีบออกรถม้าทันทีด้วยกลัวว่าสตรีที่อยู่ข้างในจะกระโดดออกมาเสียก่อน“ท่านจับข้ามา
ยามพลบค่ำ ณ ตรอกแห่งหนึ่งในเมืองฉางอันบุรุษหนุ่มสองคนกำลังพิงหลังกับกำแพงจ้องมองไปยังโรงเตี๊ยมที่ตอนนี้ดูจะครึกครื้นเป็นพิเศษ แสงไฟที่ส่องประกายระยิบระยับออกมาจากหน้าต่างแต่ละบานนั้นทำให้ความมืดมิดด้านนอกส่องสว่างไปทั่วท้องถนน“เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นนาง”“คือว่านางใช้ผ้าปิดบังใบหน้าไปครึ่งซีก ข้าน้อยจึง…”“เหลวไหลเสียจริง แล้วยังกล้ายืนยันกับข้าได้อย่างไร”“ท่านจะโมโหไปทำไมก็เพียงแค่ลองไปดูด้วยตาของตนเองก็ได้นี่นา ไม่เสียเวลามากนักหรอก”ซ่งอวี่ถงพูดไปอย่างตัดรำคานเขาหันไปยังทิศทางของห้องพักที่คาดว่าคนผู้นั้นน่าจะอยู่ในนั้น ทั้งคู่ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนหลังคาร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียงกับโรงเตี๊ยมแห่งนั้นก่อนจะนั่งท้าวคางมองไปยังหน้าต่างห้องที่ยังคงปิดสนิทอยู่
จวนใต้เท้าโจว ชายแดนใต้“ใต้เท้าขอรับ”“เป็นอย่างไรบ้างได้ความว่าอย่างไร”“ข้าน้อยไปที่เมืองเป่ยเย่มาแล้ว เฒ่าแก่ร้านขายเครื่องประดับบอกว่านางมาจำนำแหวนวงนี้เอาไว้จริงๆ ขอรับ”“จริงหรือแล้วนางเป็นใครตอนนี้อยู่ที่ไหน”“คือว่าเฒ่าแก่ไม่ได้ถามชื่อแซ่เอาไว้เขารู้เพียงว่าเป็นหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาคล้ายรูปวาดของฮูหยินเลยขอรับ”“แล้วแหวนนั่นยังอยู่หรือไม่ หรือว่าขายไปแล้ว”“มีคนมาขอซื้อคืนขอรับเมื่อไม่นานมานี้เองเป็นบุรุษผู้หนึ่งดูจากการแต่งกายแล้วคาดว่าน่าจะเป็นคนที่มีฐานะอาจจะเป็นคนที่มาจากเมืองหลวงขอรับ”“ทำไมถึงขายไปง่ายๆ กันเล่า”“คนผู้นั้นมีใบรับจำนำจึงจำเป็นต้อง
เมืองฉางอันซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้นต้าฮั่น แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่กลับมีความสะดวกสบายทั้งการเดินทางและการค้าขายต่างก็มั่งคั่งยิ่งไปกว่าเมืองอื่นๆ หลายเท่านักฟ้าหลังฝนช่างงดงามดังคำที่คนโบราณกล่าวเอาไว้จริงๆ เช้าวันนี้ทั้งสามคนเดินถือตระกร้ามาที่ตลาดหวังจะซื้อยาสมุนไพรเพื่อทำการทดลองยาบางอย่างเพิ่มเมื่อมาถึงก็เห็นแผงขายของมากมายตั้งเรียงรายตามถนนหลักของชุมชนเมืองมีกลิ่นหอมจากซาลาเปาร้อนๆ และผลไม้สด เสียงเรียกขายของจากพ่อค้าแม่ค้าดังก้องไปทั่วท้องถนนมู่อิงเถามองบรรยากาศโดยรอบด้วยความรู้สึกเบิกบานใจ นางระบายยิ้มออกมาก่อนจะเดินเข้าไปนั่งในร้านน้ำชาเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ ตั้งแต่ที่นางย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยออกมาข้างนอกบ้านเท่าใดนักเพราะการเก็บตัวอยู่แต่ในห้องปรุงยาจึงทำให้ผิวของนางนั้นขาวผ่องเหมือนหิมะที่ละเอียดอ่อนสะท้อนความงามที่บริสุทธิ์และไร้ที่ติ ผมที่ยาวสล