“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”
“!”
“พวกท่านดูสินางอัปลักษณ์คนนี้มันทำร้ายข้าดูสิเลือดข้าไหลอาบเต็มหน้าไปหมดแล้ว”
‘อยากรับบทเป็นเหยื่อสินะ ข้าจะสอนพวกเจ้าเองว่าเหยื่อที่ดีต้องทำอย่างไร’
“หากพวกท่านมีตาก็คงเห็นว่านางเข้ามาทำลายข้าวของในบ้านข้าแล้วยังจะมาทุบตีหงเอ๋ออีก กล้าดีอย่างไรถึงมาทำตัวน่าสงสารใส่ความว่าข้าทำร้ายเจ้ากัน”
“นั่นนะสิ”
เสียงของชาวบ้านต่างก็เห็นด้วยกับมู่อิงเถา คิดไปในทิศทางเดียวกันกับนาง ไม่มีใครเห็นด้วยกับสะใภ้ใหญ่ซ่งเลยสักคน
“จะ เจ้า เจ้ากล้าใส่ความข้างั้นหรือ”
“หรือไม่จริงล่ะคนบ้าที่ไหนจะทำลายข้าวของๆตนเองกัน แล้วข้าเองก็เพิ่งจะกลับมาจากคลองท้ายหมู่บ้านแล้วจะไปมีเวลามาทำเรื่องระยำพวกนี้ได้อย่างไร”
มู่อิงเถาชี้ไปที่ถังใส่ผ้าห่มที่เพิ่งถูกซักมาใหม่ๆ ทุกคนต่างก็เห็นว่านางพูดความจริง สะใภ้ใหญ่ซ่งที่เห็นท่าไม่ดีกำลังจะเดินหนีไปประจวบเหมาะกับที่ฮูหยินซ่งเดินเข้ามาได้เวลาพอดี
“ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าคะช่วยข้าด้วย นางอัปลักษณ์นี้ตีข้าๆ ก็เพียงแค่มาทวงเอาของที่นางแอบเอาออกมาด้วยก็เท่านั้น ของชิ้นนั้นเป็นของๆ เราเลยนะเจ้าคะ”
“เจ้าแอบเอาของในบ้านของข้ามาด้วยงั้นหรือ”
“ของอะไร”
“ยังจะทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก”
“ของสกปรกในบ้านของพวกท่านข้าไม่มีทางหยิบมันออกมาให้แปดเปื้อนมือข้าหรอก”
“ปากดีนักนะนักอัปลักษณ์นี่ เจอข้าหน่อยเป็นอย่างไร”
ฮูหยินซ่งกำลังจะใช้ไม้เท้าหวดไปที่ตัวของมู่อิงเถาแต่ในขณะนั้นก็มีใครบางคนจับไปที่ไม้เท้าได้ทันเวลาพอดี
ซ่งอวี่ถงจับไม้เท้านั้นไว้แน่นก่อนจะดึงมันออกมาจากมือของฮูหยินซ่ง นางตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยวาจาหยาบคายออกมาทันที
“เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครถึงกล้ามาขวางทางข้า ถอยออกไปข้าจะสั่งสอนนักอัปลักษณ์ผู้นี้”
“ท่านต่างหากที่ต้องถอยออกไป”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“เมื่อวานไม่ใช่ว่าท่านหรือที่ออกปากไล่พวกข้าบ้านสามออกจากบ้านใหญ่ เป็นตายก็ไม่เกี่ยวข้องกันผู้ใหญ่บ้านก็ลงบันทึกไว้เรียบร้อยและเอารายชื่อพวกข้าออกจากตระกูลซ่งแล้ว ในเวลานี้แม้จะมีแซ่ซ่งแต่ก็ไม่ใช่ซ่งที่มาจากตระกูลของท่าน”
“นี่เจ้า”
“ออกไปจากบ้านของข้าไปได้แล้วหากว่าพวกท่านยังกล้ามาทำลายของๆ พวกข้าและทำร้ายคนของข้าอีกก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
ซ่งอวี่ถงมีแววตาดุดันและดูดุร้ายมากในสายตาของฮูหยินซ่ง นางเองก็นึกหวาดกลัวบุรุษตรงหน้าไม่น้อยแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมลดราวาศอกเพราะกลัวตนเองจะเสียหน้าจึงเอ่ยออกไปเพียงว่า
“ข้าก็ไม่ได้อยากมาเหยียบที่นี่นักหรอกสกปรกถึงเพียงนี้ หากไม่ใช่ว่ามาเอาของๆ ข้าคืนมีหรือที่ข้าจะเสียเวลามา”
“สิ่งนี้หรือที่ท่านอยากได้”
มู่อิงเถาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของหญิงสูงวัยผู้นั้นก่อนจะชูมือขึ้นแล้วยิ้มอย่างเยือกเย็น
“เจ้ามาเอาไปสิ”
ฮูหยินซ่งสั่งสะใภ้ใหญ่ซ่งให้รีบเข้าไปเอาของในมือของมู่อิงเถา นางยิ้มกรีดกรายก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าของมู่อิเถา ขณะที่กำลังจะยื่นมือไปหยิบเอาของสิ่งนั้นแต่มู่อิงเถากลับปล่อยมือลงจนถ้วยกระเบื้องเคลือบที่ดูจะมีราคาสูงลิบลิ่วตกลงบนพื้นจนแตกกระจายไปทันที
“กรี๊ด! นังบ้ากล้าดีอย่างไรถึงทำของๆ พวกข้าแตกเช่นนี้ เจ้าต้องชดใช้”
“ใครบอกว่านี่เป็นของๆ เจ้ากัน กระเบื้องเคลือบนี้เป็นของที่ท่านแม่ของข้ามอบมันให้กับข้าก่อนจะออกเรือน เป็นพวกเจ้าต่างหากเล่าที่ขโมยมันไปจากข้า ของมีราคาเช่นนี้ข้าเองก็นึกเสียดายแต่หากต้องตกไปอยู่ในมือของคนเช่นพวกเจ้า สู้ให้มันแตกไปแบบนี้ข้าสะใจกว่า”
“นังอัปลักษณ์!”
“หุบปาก! ออกไปจากบ้านข้าเดี๋ยวนี้”
“นังเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า เจ้ากล้าดีอย่างไรมาไล่พวกข้า”
“หากนางไล่ท่านไม่ได้เช่นนั้นข้านี่ล่ะที่จะเป็นคนไล่ท่านเอง”
“ฮูหยินซ่งข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าท่านจะเป็นคนใจหยาบถือสาแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ อะไรที่ไม่ใช่ของตนเองท่านก็ยังจะเอามาเป็นของตนเองช่างน่าแปลกใจเสียจริงที่ท่านพ่อชื่นชมท่านนักหนา”
“นี่เจ้า!”
“ท่านแม่กลับกันเถอะเจ้าค่ะคนมามุงดูกันใหญ่แล้ว”
“เมื่อครู่ไม่เห็นอาย”
ฮูหยินซ่งเอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว นางเสียดายกระเบื้องเคลือบชิ้นนั้นจริงๆ เนื่องจากเป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนและน่าจะมีราคาที่สูงลพอตัวน่าแปลกที่ครอบครัวตระกูลมู่ของนางที่ถือว่าไม่ได้ร่ำรวยมากแต่กลับได้ครอบครองของล้ำค่าเช่นนั้น
‘ไปได้มาจากไหนกันนะ’
แต่ในเมื่อมันแตกไปแล้วเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมายืนต่อล้อต่อเถียงกับคนถ่อยๆ พวกนี้ นางเหลือบไปมองมู่อิงเถาเล็กน้อยก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกจากบ้านซ่อมซ่อหลังนั้นด้วยความรวดเร็ว
“เฮ้อ..ไปได้เสียที หงเอ๋อเจ้าเจ็บมากหรือไม่”
“ท่านอาสะใภ้แผลเล็กแค่นี้ข้าไม่เป็นไร โอ๊ย!”
“อะไรกันข้าก็แค่จับเบาๆ เองนะ”
ซ่งอวี่ถงหันไปมองหลานชายของตนเองก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วจับดูที่แขนของเขาเบาๆ ดูแล้วเหมือนโดนของแข็งทุบตีจนช้ำไปหมดไม่แน่อาจจะกระดูกหักไปแล้ว
มู่อิงเถาชำเลืองมองไปที่ซ่งอวี่ถงเล็กน้อย นางรู้อยู่เต็มอกว่าตอนนี้ซ่งหงอี้นั้นกระดูกแขนหักเป็นที่เรียบร้อย สงสารก็สงสารแต่ใจก็อยากจะรู้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของนางนี้จะจัดการเช่นไรต่อไป
“เจ้าช่วยอยู่เป็นเพื่อนเขาทีข้าจะไปตามท่านหมอมาดูอาการเสียหน่อย”
“ท่านมีเงินงั้นหรือ”
“มีเพียงเล็กน้อยในตอนที่ข้าไปขายของป่าในเมืองได้หาเวลาว่างไปรับจ้างทำงานอยู่บ้าง เก็บเงินไว้ใช้ในบ้านน่ะ”
‘เป็นคนดีอะไรเช่นนี้นี่เป็นตัวร้ายแน่นะ’
“จะว่าไปแล้วเหตุใดท่านถึงกลับมาเร็วนักล่ะหรือว่าลืมของ”
มู่อิงเถาเอ่ยปากถามซ่งอวี่ถงเมื่อเห็นว่าเขากลับมาเร็วเกินไป แม้หุบเขาจะอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านก็จริงแต่ก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วยามในการเดินทางไปกลับแต่นี่เขากลับใช้เวลาเพียงสองชั่วยามเท่านั้น
'ไปทำอะไรกันแน่นะ'
“ข้าเพียงแค่นำลอบดักสัตว์ไปวางไว้ก็เท่านั้นแล้วก็รีบกลับมา สังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าที่บ้านอาจมีเรื่องแล้วก็ใช่มีจริงๆ”
“ท่านอย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะหงเอ๋อก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว อีกอย่างบ้านใหญ่ก็คงไม่มาละลานพวกเราอีกนานเลย นี่ก็ใกล้ยามซื่อแล้ว (09.00-11.00 น.) ท่านรีบไปเถอะกว่าจะเดินทางกลับเดี๋ยวจะมืดค่ำไปเสียก่อน”
“อืม”
ซ่งอวี่ถงรีบออกจากบ้านเพื่อเดินทางเข้าไปตามท่านหมอในตัวเมืองแต่ยังไม่ทันได้ก้าวข้ามผ่านประตูรั้วเขาก็หันกลับมามองมู่อิงเถาอีกครั้ง แววตาของเขามีความกังวลบางอย่างซ่อนเอาไว้“เจ้าอยู่คนเดียวได้แน่นะ”“ท่านพี่ข้าอยู่คนเดียวเสียที่ไหนกันยังมีหงเอ๋ออยู่ด้วยนะ”“ท่านอาสามข้าดูแลอาสะใภ้ได้ขอรับ”ซ่งอวี่ถงส่ายหน้าให้พวกเขาเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปที่โรงหมอเดิมทีเขาคิดจะพาซ่งหงอี้ไปด้วยแต่เพราะร่างกายที่บอบช้ำจากการโดนทุบตีอีกทั้งยังมีมู่อิงเถาอีกคนการเดินทางเข้าเมืองอาจจะทำให้ล่าช้าขึ้น เขาจึงเลือกที่จะทิ้งทั้งคู่เอาไว้ที่บ้านแล้วเดินทางไปเพียงลำพังในใจก็หวั่นเกรงทั้งคู่จะเป็นอันตราย ได้แต่คิดแล้วก็รีบเดินทางไปด้วยความรวดเร็ว“หงเอ๋อเจ้าเป็นลูกผู้ชายต้องอดทนเอาไว้นะเข้าใจหรือไม่”“เข้าใจขอรับท่านอาสะใภ้”“เลิกเรียกข้าว่าอาสะใภ้เสียทีเถอะข้ากับท่านอาสามของเจ้าแม้จะแต่งงานกันแล้วแต่ก็ไม่เคยร่วมหอกันเลยสักครั้งนะ อีกอย่างเจ้าดูรูปร่างของข้าสิเหมาะสมกับท่านอาของเจ้างั้นหรือต่อไปนี้เรียกข้าว่าพี่สาวก็พอแล้ว”“ไม่เอาหรอกขอรับถึงอย่างไรท่านก็เป็นภรรยาของท่านอาสาม ข้าเรียกอาสะใภ้น่ะถูก
มู่อิงเถาเข้าครัวทำอาหารง่ายๆ ให้ซ่งอวี่ถงสองสามอย่างเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยนางจึงเดินเข้าไปในห้องนอนตั้งใจจะไปดูอาการของเด็กชายเสียหน่อย แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องประตูก็ถูกแง้มออกมาเล็กน้อยแล้วที่ข้างเตียงนอนของเด็กชายตัวน้อยนั้นมีซ่งอวี่ถงที่คอยเช็ดเนื้อตัวให้เขาอย่างเบามือด้วยความอ่อนโยน“ดูเหมือนหงเอ๋อจะไม่ทรมานมากเท่าใดแล้วนะเจ้าคะ”“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น อีกสองวันข้าจะเข้าเมืองไปสำนักบัณฑิตขอลาหยุดสักเจ็ดวันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้า”“ไม่ต้องหรอก พวกข้าอยู่ได้”“แต่หงเอ๋อบาดเจ็บเพียงนี้หากว่าบ้านนั้นมาระรานพวกเจ้าอีกจะทำอย่างไร ไม่ได้หรอกข้าไม่ไว้ใจ”“ทำมาก็ทำกลับสิ”แม้ซ่งอวี่ถงจะเห็นวีรกรรมของนางแล้วแต่เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดีจะทิ้งพวกนางไว้ที่นี่เพียงลำพังได้อย่างไร แต่ก่อนก็ยังมีพี่รองและพี่สะใภ้รองอยู่ด้วยแต่วันนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวแล้วที่เป็นที่พึ่งสำหรับนางและหลานชายคนนี้“ข้าอยู่ได้น่า”ซ่งอวี่ถงส่ายหน้าให้นางเบาๆ “วันที่ข้าเข้าเมืองข้าจะลองไปถามเช่าบ้านดูด้วย”“เช่าบ้าน? ในเมืองนั้นน่ะหรือ”“ใช่แล้ว ให้พวกเจ้าไปอยู่ที่นั่นด้วยข้าจะได้หายห่วง”“ไม่เอาน่าท่านพี่
ซ่งอวี่ถงพานางเดินลัดเลาะมายังท้ายหมู่บ้านและเดินต่อไปเพียงไม่ถึงหกลี้[1] ก็มาถึงตีนเขาแล้ว แม้ระยะทางจะดูไม่ได้ไกลเกินไปแต่รูปร่างที่อวบอ้วนของนางนั้นกลับทำให้นางรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าคนปกติถึงสามเท่าเมื่อมองขึ้นไปบนหุบเขาบรรยากาศตรงหน้าช่างดูน่ากลัวเป็นอย่างมากแต่เมื่อหันไปมองใบหน้าของซ่งอวี่ถงกลับนิ่งเฉยเสียอย่างนั้น หรือว่าเป็นเรื่องปกติของเขาไปแล้วนะถึงไม่ได้ดูหวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย“ท่านพี่ พวกเราต้องเดินเข้าไปอีกไกลหรือไม่เจ้าคะ”“ไม่หรอกอีกไม่ถึงหนึ่งลี้[2] ก็ถึงแล้วล่ะเมื่อวานข้าทำลอบดักสัตว์เอาไว้ มาครั้งนี้ก็เพียงแค่เข้าไปตรวจดูเผื่อโชคดีอาจจะได้หมูป่าหรือกระต่ายป่ามาสักตัว”“งั้นหรือ”มู่อิงเถาไม่ได้คิดเช่นนั้นนางอยากได้สมุนไพรบางอย่างเพราะเมื่อวานที่คลองท้ายหมู่บ้าน นางได้ยินสะใภ้หยวนที่อยู่บ้านถัดไปจากนางสามหลังบอกว่าบนหุบเขานั้นนอกจากจะมีสัตว์ป่าแล้วยังมีสมุนไพรล้ำค่าอีกนับไม่ถ้วนด้วยนิสัยที่ชื่นชอบสมุนไพรมาก่อนเช่นนี้นางย่อมอยากได้มาไว้ในครอบครองอย่างแน่นอนซ่งอวี่ถงไม่ได้สนใจนางอีกเขาเดินขึ้นไปบนหุบเขาอย่างคล่องแคล่ว จนขาสั้นๆ ของมู่อิงเถาเดินตามแทบไม่ทัน‘นี่ลิงฮุย’‘.
ทั้งคู่เดินแบกหมูป่าคนละตัวกลับไปที่บ้านด้วยความรวดเร็ว เมื่อมาถึงบ้านซ่งอวี่ถงก็ถึงกับปาดเหงื่อไปไม่น้อยแต่เมื่อหันไปมองมู่อิงเถานางกลับไม่มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเลยแม้เพียงนิด'เป็นไปได้อย่างไรกันล่ะเนี่ย'“ท่านมองข้าทำไมหรือ”“อะ เอ่อไม่มีอะไรหรอก เจ้าเหนื่อยหรือไม่”“ไม่เลยเจ้าค่ะข้าทำงานหนักมามากร่างกายจึงแข็งแรงกว่าคนปกตินัก ท่านรีบไปแล่เนื้อของมันเถอะจะได้รีบเอาไปขาย”“ข้ารู้แล้ว”“ท่านอาสามกลับมาแล้วหรือ”“หงเอ๋ออย่าวิ่งสิเดี๋ยวก็หกล้มหรอก แล้วนี่เจ้าวิ่งได้แล้วหรือ”“ข้าเจ็บที่แขนนะขอรับไม่ใช่ขาแม้จะถูกฟาดไปหลายหนก็เถอะแต่ก็ไม่ปวดมากเท่าแขนหรอกนะขอรับ แต่น่าแปลกที่ข้ารู้สึกว่ามันปวดน้อยลง”“เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้วล่ะ”“ว้าว! นั่นหมูป่าหรือขอรับ”“ใช่ เอาล่ะข้าจะแล่เนื้อหมูป่าไปขายพวกเจ้ามีอะไรทำก็ไปทำก่อนเถอะ”“เจ้าค่ะ/ขอรับ”มู่อิงเถาเดินหายเข้าไปในบ้านท่ามกลางสายตาของบุรุษต่างวัยทั้งสองที่มองตามแผ่นหลังกลมแน่นที่เต็มไปด้วยเนื้อไขมันล้วนๆ นั้นอย่างไม่วางตามู่อิงเถาเข้าไปนั่งแช่น้ำอุ่นในถังอาบน้ำอยู่เป็นเวลานานเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไปกลับที่หุบเขาทั้งยังต้องแบกหมูป่าที่หน
-เมืองเป่ยเย่-‘ว้าวเมืองเล็กๆ ยังน่าตื่นตาตื่นใจถึงเพียงนี้ถ้าเป็นเมืองหลวงเล่าจะใหญ่โตแค่ไหนกันนะ’“เป็นอะไรไม่เคยเข้ามาในเมืองเลยงั้นหรือ ข้าจำได้ว่าพี่สะใภ้รองเคยพาเจ้ามาซื้อของในเมืองอยู่นะจำไม่ได้แล้วหรือ”“ข้าเคยมาแล้วงั้นหรือ อาจจะเพราะตั้งแต่โดนตีเกือบตายวันนั้นข้าก็เลอะเลือนจนลืมไปเสียสนิทเลยน่ะเจ้าคะ”“งั้นหรือ”ซ่งอวี่ถงยังคงจับจ้องนางไม่หยุด มู่อิงเถาได้แต่ยิ้มให้เขาเท่านั้นเกวียนวัวมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง บ้านที่ดูไม่ได้หลังใหญ่โตมากนักแต่เมื่อมองไปรอบๆ กลับมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยเลยทีเดียว“ลงไปกันเถอะ”“ท่านพี่นี่บ้านใครหรือเจ้าคะ”“บ้านใหม่ของเราอย่างไรล่ะ”“อะไรนะ! ท่านแน่ใจนะเจ้าคะว่ามาถูกที่”“ทำไมหรือ”“ก็มันช่าง…ดูดีอะไรถึงเพียงนี้ท่านไปหามาได้อย่างไรแพงมากหรือไม่”“ก็…”“ท่านพี่ซ่ง”ซ่งอวี่ถงกำลังจะตอบคำถามของนางก็ได้ยินเสียงหวานใสของสตรีนางหนึ่งเอ่ยเรียกเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดีใจ?‘เสียงใครกันนะ’มู่อิงเถาหันหลังไปดูก็เห็นว่าเป็นสตรีคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของเสียงหวานใสผู้นั้นนั่นเอง ใบหน้าสวยหวานรูปร่างอรชรนี้ช่างงดงามเหมือนกับนางฟ้าเ
“มู่อิงเถา”“งื้อ ข้าจะนอนขอนอนตื่นสายสักวันสิ”“มู่อิงเถาเจ้าตื่นเดี๋ยวนี้นะ!”“โอ๊ย! ใครกันเรียกอยู่ได้ หืม....ลิงฮุยงั้นหรือ”“ข้าบอกว่าหากเรียกชื่อข้าผิดอีก ต่อไปนี้ข้าจะไม่ช่วยเจ้าอีกแล้วนะ”“ขอโทษทีข้ายังมึนๆ อยู่น่ะ สองสามวันมานี้เจ้าหายไปไหนมา”“ข้าไม่ได้หายไปไหนทั้งนั้นเจ้าลุกขึ้นมาได้แล้วน้ำพุแห่งกาลเวลาจะล้นออกมาแล้วเนี่ย”“อะไรนะ”มู่อิงเถาได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้นมาทันที เมื่อมองไปรอบๆ ที่แห่งนี้กลับไม่ใช่ห้องนอนที่นางนอนเมื่อคืนนี้เสียอย่างนั้น‘มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไรกันนะ’“ไหนเจ้าบอกว่าน้ำพุแห่งกาลเวลาแห้งเหือดไปแล้วอย่างไรเล่า”“ข้าจะไปรู้หรือ อยู่ดีๆ เมื่อเช้ามันก็พุ่งออกมาอย่างที่เจ้าเห็นนั่นล่ะ”“แล้วมันดีหรือไม่ดีล่ะ”“ไม่รู้ เจ้าช่วยนำไปรดน้ำผักตรงนั้นทีสิ”“อะไรนะ นี่ปลุกข้ามาเพื่อทำงานงั้นหรือ”“ก็ข้าเสียดายนี่นานานๆ น้ำพุจะเอ่อร้นออกมาเช่นนี้ช่างหาดูได้ยากยิ่งนัก แปลกเสียจริงมาได้อย่างไรกัน”“เจ้าเป็นเจ้าของมิติแห่งนี้ยังไม่รู้ แล้วข้าจะไปรู้หรือ”“ก็เคยได้ยินมาบ้าง”“ได้ยินเรื่องอะไร”‘น้ำพุแห่งกาลเวลาจะกลับมาหลั่งไหลอีกครั้ง เมื่อเจ้าของวิติวิเศษตัวจริงกลับมา
“โอ๊ย! นี่เจ้ากล้าทำร้ายข้างั้นหรือ”“ท่านแม่เจ็บมากหรือไม่ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำร้ายแม่ของข้า”ไม่ทันที่เด็กสาวผู้นั้นจะได้เดินเข้ามาใกล้ มู่อิงเถาก็ใช้ฝ่ามือซัดไปที่จมูกของนางเต็มแรง“กรี๊ด! ท่านแม่นางตบข้า”“ข้าต่อยเจ้าต่างหากเล่านังเด็กไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า”“เจ้าน่ะสิไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า แม่นางซูท่านดูสินางนิสัยแย่ถึงเพียงนี้ท่านยังจะปล่อยให้อวี่ถงของเราถูกนางสูบเลือดสูบเนื้ออยู่ฝ่ายเดียวงั้นหรือ”เมื่อซูม่านอวี้ได้ยินดังนั้นก็หันไปมองมู่อิงเถาทันที นางยังไม่ยอมปริปากสิ่งใดออกมาแต่เป็นมู่อิงเถาเองที่อดรนทนไม่ไหว“เจ้าจะบอกว่าข้าเป็นปลิงคอยสูบเลือดสูบเนื้อซ่งอวี่ถงแล้วพวกเจ้าล่ะไม่ยิ่งกว่าปลิงหรอกหรือ ไม่ว่าบ้านสามจะได้เงินมามากเท่าไหร่พวกเจ้าก็ยึดไปหมดตรงไหนกันที่ว่าข้าทำร้ายเขา ไม่ใช่พวกเจ้าหรือ”“จะ เจ้า”“หุบปาก! ข้าให้เจ้าพูดแล้วอย่างนั้นหรือ พี่รองกับท่านพี่ซ่งลำบากลำบนทำงานในไร่ในนามามากตั้งเท่าใดส่วนพี่สะใภ้รองและตัวข้าเองก็ยังต้องทำงานในบ้านแทนพวกเจ้าอีก เสื้อผ้าของใช้ดีๆ ยังไม่มีใส่เหมือนพวกเจ้าเลยแบบนี้แล้วเจ้ายังจะกล้ามาใส่ความข้าอีก ถุย!”มู่อิงเถาถุยน้ำลายใส่หน้
‘จะไม่ยอมปล่อยข้าไปจริงๆ งั้นหรือ’“คือ ความจริงการแต่งงานมันก็เป็นเรื่อง….”“แม่นางซู ที่สำนักบัณฑิตหยุดเรียนสามวันไว้หลังจากนั้นข้าจะไปสอนหนังสือให้เจ้าอีกครั้ง”“ข้าเข้าใจแล้ว เชิญพวกท่านตามสบายเถอะเจ้าคะ”“อืม ขอบใจเจ้ามากนะ”ซูม่านอวี้หันหลังเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองพวกนางอีก มู่อิงเถาอยู่ๆ ก็รู้สึกแข้งขาอ่อนขึ้นมาทันใด นางหันไปมองใบหน้าของผู้เป็นสามีก็เห็นว่าเขาอมยิ้มอยู่ก่อนแล้วมู่อิงเถาสะบัดหน้าให้เขาก่อนจะเดินไปนั่งกินข้าวต่อกับซ่งหงอี้ที่เวลานี้เอาแต่อมยิ้มไม่หยุดครั้งนี้ซ่งอวี่ถงไม่ได้กลับบ้านนานเกินครึ่งเดือน กลับมาครั้งนี้เขาเองก็ตกตะลึงที่ได้เห็นมู่อิงเถาอีกครั้งนางดูเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากเลยทีเดียว แต่เพราะคำพูดเมื่อครู่ของเขาอาจจะทำให้นางไม่พอใจไปบ้าง ดังนั้นจึงไม่อาจเอ่ยถามอะไรออกไปได้ในเวลานี้“ข้ากลับมาเหนื่อยๆ หิวข้าวเสียจริง”“ได้ เชิญท่านนั่งสิ”มู่อิงเถาวางตะเกียบลงก่อนจะเดินเข้าไปในครัวแล้วหยิบเอาถ้วยที่ตักข้าวจนเต็มมาให้เขา“อาหารพื้นๆ ท่านทนกินไปเถอะนะเผื่อสักวันท่านอาจจะได้กินอาหารที่ดีกว่านี้ก็เป็นได้”“ข้าก็กินแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ดูเหมือนครั้งนี้จะดีกว
เรื่องทุกอย่างดูจะคลี่คลายลงไปแล้วแต่เช้าวันนี้ที่หน้าประตูจวนกลับมีทหารรักษาประตูที่วิ่งมารายงานนางว่า เวลานี้มีสตรีสองคนกำลังยืนถกเถียงกันอย่างไม่ยอมกันมู่อิงเถาเดินไปที่หน้าประตูจวนก็พบกับซูม่านอวี้และเซี่ยเย่อิง ทั้งคู่ดูจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างเพราะเวลานี้เอาแต่เถียงกันไม่หยุดนั่นเอง“เซี่ยเย่อิงเจ้าเป็นอะไรกับข้านักหนากันนะถึงได้ตามติดข้าเช่นนี้”“เฮ้อ…ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วข้าก็ไม่อยากปิดบังความรู้สึกอีกต่อไป”“พูดเรื่องอะไรของเจ้า”“ข้าชอบเจ้านะ”“อะ อะไรนะ!”“ทีแรกข้าชอบแม่นางมู่ แต่ว่าตอนนี้นางเป็นถึงพระชายาของเจิ้นอ๋องเช่นนี้แล้วข้าคงไม่อาจเอื้อมอีกต่อไป ดังนั้นข้าจึงคิดว่าจะหันมาชอบเจ้าแทนดีกว่า”“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร”“ทำไมล่ะ ในแคว้นต้าฮั่นต่างก็เป็นเสรีแล้วฮ่องเต้ไม่ได้กำหนดบทลงโทษของคนที่ชอบเพศเดียวกันไว้เสียหน่อย ดังนั้นตอนนี้ข้าชอบเจ้าพวกเรามาทำความรู้จักกันดีหรือไม่”“กรี๊ด! เจ้าไปไกลๆ ข้าเลยนะ”“โธ่…แม่นางซูท่านน่ารักถึงเพียงนี้หากท่านอ๋องไม่ชอบ เจ้าก็หันมาหาข้าก็ได้นี่นา”“ไม่! พวกเจ้าสองคนยืนทำอะไรมาเอานางออกไปจากข้าเสียทีสิ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เซี่ยเย่อิงยิ้มหัวเราะช
เพราะเมื่อคืนวานมู่อิงเถามัวแต่สนทนากับพระชายารัชทายาทที่เป็นสหายคนสนิทของนางไปหลายชั่วยาม กว่าจะกลับถึงจวนก็เป็นเวลาเกือบยามสาม[1] แล้วเช้านี้จึงเป็นอีกวันที่นางนอนตื่นสาย เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนข้างกายนั้นได้ตื่นก่อนนางเป็นที่เรียบร้อย“น่าอายจัง นอนตื่นสายจนได้”มู่อิงเถารีบจัดการตนเองก่อนจะออกไปนั่งเล่นที่ศาลาหน้าตำหนัก นางกำลังจ้องมองฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมาด้วยความเบิกบานใจยิ่งนักโดยมีสาวใช้ข้างกายที่คอยปรนนิบัติดูแลอยู่ไม่ห่างที่หน้าเรือนใหญ่ซ่งอวี่ถงกำลังยืนจับจ้องนางอยู่อย่างไม่วางตา ก่อนที่มู่เฉินจะมารายงานเขาว่าใต้เท้าโจวมาถึงแล้ว“ใต้เท้าโจวท่านมาแต่เช้าเลยนะขอรับ”“พระชายานางเป็นอย่างไรบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะท่านอ่อง”
-เจ็ดวันผ่านไป-เมื่องานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นบรรดาเหล่าขุนนางและฮูหยินของพวกเขาต่างก็ทยอยเดินเข้ามาในงานเรื่อยๆ ขณะที่มู่อิงเถาเดินอยู่เคียงข้างกับเซ่งอวี่ถงอยู่นั้นก็ได้ยินขุนนางที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่นั้นกำลังซุบซิบนินทานางอยู่ แม้จะพูดคุยกันด้วยเสียงอันเบาแต่กับคนที่มีวรยุทธ์แล้วนั้นย่อมได้ยินชัดทุกถ้อยคำ“ท่านอ๋องผู้นี้ช่างเก่งกาจและมีบุญบารมีมากเหลือเกินแต่น่าเสียดายที่ชายาของเขานั้นกลับเป็นหน้าเป็นตาให้เขาไม่ได้”“จริงดังที่ใต้เท้ากล่าว สตรีผู้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดาไหนเลยจะส่งเสริมท่านอ๋องได้กัน”“บุตรสาวของใต้เท้าซู ซูม่านอวี้ผู้นั้นท่านว่าเป็นอย่างไรนางพึ่งผ่านวัยปิ่นปักไปได้ไม่นานทั้งยังไม่มีคู่ครองอีกด้วย ดูเหมือนว่า….”ซ่งอวี่ถงที่หยุดเดินไปนั้นก็ทำให้มู่อิงเถางุนงงไปไม่น้อย“มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเหตุใดข้าถึงไม่เห็นเจ้าอยู่ที่จวนของท่านอ๋องล่ะ เจ้ารู้อะไรหรือไม่ข้านั้นตกใจแทบสิ้นสติเลยนะ”“ทำไมหรือ”“ก็ครั้งที่อยู่เมืองเป่ยเย่ข้าด่าสามีของเจ้าไปมากเลยทีเดียว”ประโยคหลังนางกระซิบกับมู่อิงเถาแทนด้วยกลัวว่าจะมีใครได้ยินคำพูดของนาง ซ่งอวี่ถงเวลานี้เป็นถึงท่านอ๋องย่อมมีคนเป็นหูเป็นตาให้เขามากมายจะพูดอะไรคงต้องระวังให้มากขึ้นเสียแล้ว“ฮ่าๆๆ เรื่องนั้นเจ้าอย่าใส่ใจไปเลย”“ไม่ใส่ใจคงไม่ได้ หากเขาไล่เอาทีละคนข้าไม่แย่หรือ”“ไม่หรอกน่า”“เย่เอ๋อกลับจวนกันได้แล้ว หากช้าไปกว่านี้ท่านพ่อจะดุเจ้าเอาได้นะ”“โธ่ท่านพี่ ให้ข้าได้สนทนากับสหายเสียหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร”
การเดินทางเข้าเมืองหลวงกินเวลาไปถึงสิบวันแม้ความเป็นจริงคนทั่วๆ ไปนั้นจะใช้เวลาเดินทางแค่เพียงห้าวันเท่านั้น เพราะทั้งสองเอาแต่งอนง้อกันตลอดทั้งเส้นทางทำให้ใช้เวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้นถึงสองเท่ามู่เฉินปาดเหงื่อทุกครั้งที่ท่านอ๋องของเขาเริ่มบทรักร้อนแรงกับพระชายา เขาทำเป็นไม่ได้ยินเสียงใดๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากรถม้าในยามกลางวันนั้นจนเมื่อระยะทางสุดท้ายก่อนเข้าเมืองหลวงก็มาถึง มู่เฉินถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกมู่อิงเถาเลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อมองดูบรรยากาศข้างนอกสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดจากที่มีเพียงป่าเขา เวลานี้เริ่มมีบ้านเรือนของผู้คนมากขึ้นทุกทีแล้วที่นางยอมสงบลงไม่ใช่เพราะติดใจในรสสัมผัสของเขาแต่เพราะว่าอยากฟังเรื่องราวระหว่างที่นางหนีเขาไปต่างหากเล่า‘ถ้าไม่อยากรู้เรื่องชาวบ้านข้าไม่ยอมคุยกับเขาดีๆ แน่’‘หนะ
“นั่นเจ้าจะทำอะไรไปฉุดลูกสาวใครเขามา”“นางเป็นเมียข้า”“เมีย? บังเอิญอะไรเช่นนี้แล้วเหตุใดนางถึงมาอยู่ที่เมืองเดียวกันกับชายาของข้าได้ล่ะ”“ข้าจะไปรู้หรือ สตรีที่อยู่ในห้องอีกคนนั้นน่าจะเป็นมารดาของเด็กคนนั้น พวกนางสองคนรู้จักกันที่เหลือท่านจัดการเองก็แล้วกันข้าคงต้องขอตัวไปจัดการเรื่องในบ้านของข้าก่อน”‘หากปล่อยให้พวกนางอยู่ด้วยกันชาตินี้พวกเขาอย่าหวังที่จะได้เมียคืนเลย’“เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่หรือไม่”“ขอรับท่านอ๋อง”ซ่งอวี่ถงพูดจบก็อุ้มนางขึ้นไปนั่งในรถม้าด้วยความรวดเร็ว มู่เฉินผู้รับหน้าที่เป็นสารถีก็รีบออกรถม้าทันทีด้วยกลัวว่าสตรีที่อยู่ข้างในจะกระโดดออกมาเสียก่อน“ท่านจับข้ามา
ยามพลบค่ำ ณ ตรอกแห่งหนึ่งในเมืองฉางอันบุรุษหนุ่มสองคนกำลังพิงหลังกับกำแพงจ้องมองไปยังโรงเตี๊ยมที่ตอนนี้ดูจะครึกครื้นเป็นพิเศษ แสงไฟที่ส่องประกายระยิบระยับออกมาจากหน้าต่างแต่ละบานนั้นทำให้ความมืดมิดด้านนอกส่องสว่างไปทั่วท้องถนน“เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นนาง”“คือว่านางใช้ผ้าปิดบังใบหน้าไปครึ่งซีก ข้าน้อยจึง…”“เหลวไหลเสียจริง แล้วยังกล้ายืนยันกับข้าได้อย่างไร”“ท่านจะโมโหไปทำไมก็เพียงแค่ลองไปดูด้วยตาของตนเองก็ได้นี่นา ไม่เสียเวลามากนักหรอก”ซ่งอวี่ถงพูดไปอย่างตัดรำคานเขาหันไปยังทิศทางของห้องพักที่คาดว่าคนผู้นั้นน่าจะอยู่ในนั้น ทั้งคู่ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนหลังคาร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียงกับโรงเตี๊ยมแห่งนั้นก่อนจะนั่งท้าวคางมองไปยังหน้าต่างห้องที่ยังคงปิดสนิทอยู่
จวนใต้เท้าโจว ชายแดนใต้“ใต้เท้าขอรับ”“เป็นอย่างไรบ้างได้ความว่าอย่างไร”“ข้าน้อยไปที่เมืองเป่ยเย่มาแล้ว เฒ่าแก่ร้านขายเครื่องประดับบอกว่านางมาจำนำแหวนวงนี้เอาไว้จริงๆ ขอรับ”“จริงหรือแล้วนางเป็นใครตอนนี้อยู่ที่ไหน”“คือว่าเฒ่าแก่ไม่ได้ถามชื่อแซ่เอาไว้เขารู้เพียงว่าเป็นหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาคล้ายรูปวาดของฮูหยินเลยขอรับ”“แล้วแหวนนั่นยังอยู่หรือไม่ หรือว่าขายไปแล้ว”“มีคนมาขอซื้อคืนขอรับเมื่อไม่นานมานี้เองเป็นบุรุษผู้หนึ่งดูจากการแต่งกายแล้วคาดว่าน่าจะเป็นคนที่มีฐานะอาจจะเป็นคนที่มาจากเมืองหลวงขอรับ”“ทำไมถึงขายไปง่ายๆ กันเล่า”“คนผู้นั้นมีใบรับจำนำจึงจำเป็นต้อง
เมืองฉางอันซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้นต้าฮั่น แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่กลับมีความสะดวกสบายทั้งการเดินทางและการค้าขายต่างก็มั่งคั่งยิ่งไปกว่าเมืองอื่นๆ หลายเท่านักฟ้าหลังฝนช่างงดงามดังคำที่คนโบราณกล่าวเอาไว้จริงๆ เช้าวันนี้ทั้งสามคนเดินถือตระกร้ามาที่ตลาดหวังจะซื้อยาสมุนไพรเพื่อทำการทดลองยาบางอย่างเพิ่มเมื่อมาถึงก็เห็นแผงขายของมากมายตั้งเรียงรายตามถนนหลักของชุมชนเมืองมีกลิ่นหอมจากซาลาเปาร้อนๆ และผลไม้สด เสียงเรียกขายของจากพ่อค้าแม่ค้าดังก้องไปทั่วท้องถนนมู่อิงเถามองบรรยากาศโดยรอบด้วยความรู้สึกเบิกบานใจ นางระบายยิ้มออกมาก่อนจะเดินเข้าไปนั่งในร้านน้ำชาเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ ตั้งแต่ที่นางย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยออกมาข้างนอกบ้านเท่าใดนักเพราะการเก็บตัวอยู่แต่ในห้องปรุงยาจึงทำให้ผิวของนางนั้นขาวผ่องเหมือนหิมะที่ละเอียดอ่อนสะท้อนความงามที่บริสุทธิ์และไร้ที่ติ ผมที่ยาวสล