-เมืองเป่ยเย่-‘ว้าวเมืองเล็กๆ ยังน่าตื่นตาตื่นใจถึงเพียงนี้ถ้าเป็นเมืองหลวงเล่าจะใหญ่โตแค่ไหนกันนะ’“เป็นอะไรไม่เคยเข้ามาในเมืองเลยงั้นหรือ ข้าจำได้ว่าพี่สะใภ้รองเคยพาเจ้ามาซื้อของในเมืองอยู่นะจำไม่ได้แล้วหรือ”“ข้าเคยมาแล้วงั้นหรือ อาจจะเพราะตั้งแต่โดนตีเกือบตายวันนั้นข้าก็เลอะเลือนจนลืมไปเสียสนิทเลยน่ะเจ้าคะ”“งั้นหรือ”ซ่งอวี่ถงยังคงจับจ้องนางไม่หยุด มู่อิงเถาได้แต่ยิ้มให้เขาเท่านั้นเกวียนวัวมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง บ้านที่ดูไม่ได้หลังใหญ่โตมากนักแต่เมื่อมองไปรอบๆ กลับมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยเลยทีเดียว“ลงไปกันเถอะ”“ท่านพี่นี่บ้านใครหรือเจ้าคะ”“บ้านใหม่ของเราอย่างไรล่ะ”“อะไรนะ! ท่านแน่ใจนะเจ้าคะว่ามาถูกที่”“ทำไมหรือ”“ก็มันช่าง…ดูดีอะไรถึงเพียงนี้ท่านไปหามาได้อย่างไรแพงมากหรือไม่”“ก็…”“ท่านพี่ซ่ง”ซ่งอวี่ถงกำลังจะตอบคำถามของนางก็ได้ยินเสียงหวานใสของสตรีนางหนึ่งเอ่ยเรียกเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดีใจ?‘เสียงใครกันนะ’มู่อิงเถาหันหลังไปดูก็เห็นว่าเป็นสตรีคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของเสียงหวานใสผู้นั้นนั่นเอง ใบหน้าสวยหวานรูปร่างอรชรนี้ช่างงดงามเหมือนกับนางฟ้าเ
“มู่อิงเถา”“งื้อ ข้าจะนอนขอนอนตื่นสายสักวันสิ”“มู่อิงเถาเจ้าตื่นเดี๋ยวนี้นะ!”“โอ๊ย! ใครกันเรียกอยู่ได้ หืม....ลิงฮุยงั้นหรือ”“ข้าบอกว่าหากเรียกชื่อข้าผิดอีก ต่อไปนี้ข้าจะไม่ช่วยเจ้าอีกแล้วนะ”“ขอโทษทีข้ายังมึนๆ อยู่น่ะ สองสามวันมานี้เจ้าหายไปไหนมา”“ข้าไม่ได้หายไปไหนทั้งนั้นเจ้าลุกขึ้นมาได้แล้วน้ำพุแห่งกาลเวลาจะล้นออกมาแล้วเนี่ย”“อะไรนะ”มู่อิงเถาได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้นมาทันที เมื่อมองไปรอบๆ ที่แห่งนี้กลับไม่ใช่ห้องนอนที่นางนอนเมื่อคืนนี้เสียอย่างนั้น‘มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไรกันนะ’“ไหนเจ้าบอกว่าน้ำพุแห่งกาลเวลาแห้งเหือดไปแล้วอย่างไรเล่า”“ข้าจะไปรู้หรือ อยู่ดีๆ เมื่อเช้ามันก็พุ่งออกมาอย่างที่เจ้าเห็นนั่นล่ะ”“แล้วมันดีหรือไม่ดีล่ะ”“ไม่รู้ เจ้าช่วยนำไปรดน้ำผักตรงนั้นทีสิ”“อะไรนะ นี่ปลุกข้ามาเพื่อทำงานงั้นหรือ”“ก็ข้าเสียดายนี่นานานๆ น้ำพุจะเอ่อร้นออกมาเช่นนี้ช่างหาดูได้ยากยิ่งนัก แปลกเสียจริงมาได้อย่างไรกัน”“เจ้าเป็นเจ้าของมิติแห่งนี้ยังไม่รู้ แล้วข้าจะไปรู้หรือ”“ก็เคยได้ยินมาบ้าง”“ได้ยินเรื่องอะไร”‘น้ำพุแห่งกาลเวลาจะกลับมาหลั่งไหลอีกครั้ง เมื่อเจ้าของวิติวิเศษตัวจริงกลับมา
“โอ๊ย! นี่เจ้ากล้าทำร้ายข้างั้นหรือ”“ท่านแม่เจ็บมากหรือไม่ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำร้ายแม่ของข้า”ไม่ทันที่เด็กสาวผู้นั้นจะได้เดินเข้ามาใกล้ มู่อิงเถาก็ใช้ฝ่ามือซัดไปที่จมูกของนางเต็มแรง“กรี๊ด! ท่านแม่นางตบข้า”“ข้าต่อยเจ้าต่างหากเล่านังเด็กไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า”“เจ้าน่ะสิไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า แม่นางซูท่านดูสินางนิสัยแย่ถึงเพียงนี้ท่านยังจะปล่อยให้อวี่ถงของเราถูกนางสูบเลือดสูบเนื้ออยู่ฝ่ายเดียวงั้นหรือ”เมื่อซูม่านอวี้ได้ยินดังนั้นก็หันไปมองมู่อิงเถาทันที นางยังไม่ยอมปริปากสิ่งใดออกมาแต่เป็นมู่อิงเถาเองที่อดรนทนไม่ไหว“เจ้าจะบอกว่าข้าเป็นปลิงคอยสูบเลือดสูบเนื้อซ่งอวี่ถงแล้วพวกเจ้าล่ะไม่ยิ่งกว่าปลิงหรอกหรือ ไม่ว่าบ้านสามจะได้เงินมามากเท่าไหร่พวกเจ้าก็ยึดไปหมดตรงไหนกันที่ว่าข้าทำร้ายเขา ไม่ใช่พวกเจ้าหรือ”“จะ เจ้า”“หุบปาก! ข้าให้เจ้าพูดแล้วอย่างนั้นหรือ พี่รองกับท่านพี่ซ่งลำบากลำบนทำงานในไร่ในนามามากตั้งเท่าใดส่วนพี่สะใภ้รองและตัวข้าเองก็ยังต้องทำงานในบ้านแทนพวกเจ้าอีก เสื้อผ้าของใช้ดีๆ ยังไม่มีใส่เหมือนพวกเจ้าเลยแบบนี้แล้วเจ้ายังจะกล้ามาใส่ความข้าอีก ถุย!”มู่อิงเถาถุยน้ำลายใส่หน้
‘จะไม่ยอมปล่อยข้าไปจริงๆ งั้นหรือ’“คือ ความจริงการแต่งงานมันก็เป็นเรื่อง….”“แม่นางซู ที่สำนักบัณฑิตหยุดเรียนสามวันไว้หลังจากนั้นข้าจะไปสอนหนังสือให้เจ้าอีกครั้ง”“ข้าเข้าใจแล้ว เชิญพวกท่านตามสบายเถอะเจ้าคะ”“อืม ขอบใจเจ้ามากนะ”ซูม่านอวี้หันหลังเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองพวกนางอีก มู่อิงเถาอยู่ๆ ก็รู้สึกแข้งขาอ่อนขึ้นมาทันใด นางหันไปมองใบหน้าของผู้เป็นสามีก็เห็นว่าเขาอมยิ้มอยู่ก่อนแล้วมู่อิงเถาสะบัดหน้าให้เขาก่อนจะเดินไปนั่งกินข้าวต่อกับซ่งหงอี้ที่เวลานี้เอาแต่อมยิ้มไม่หยุดครั้งนี้ซ่งอวี่ถงไม่ได้กลับบ้านนานเกินครึ่งเดือน กลับมาครั้งนี้เขาเองก็ตกตะลึงที่ได้เห็นมู่อิงเถาอีกครั้งนางดูเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากเลยทีเดียว แต่เพราะคำพูดเมื่อครู่ของเขาอาจจะทำให้นางไม่พอใจไปบ้าง ดังนั้นจึงไม่อาจเอ่ยถามอะไรออกไปได้ในเวลานี้“ข้ากลับมาเหนื่อยๆ หิวข้าวเสียจริง”“ได้ เชิญท่านนั่งสิ”มู่อิงเถาวางตะเกียบลงก่อนจะเดินเข้าไปในครัวแล้วหยิบเอาถ้วยที่ตักข้าวจนเต็มมาให้เขา“อาหารพื้นๆ ท่านทนกินไปเถอะนะเผื่อสักวันท่านอาจจะได้กินอาหารที่ดีกว่านี้ก็เป็นได้”“ข้าก็กินแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ดูเหมือนครั้งนี้จะดีกว
ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นพร้อมกับเสียงนกร้องเซ็งแซ่ดังก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้าปลุกให้คนบนเตียงที่กำลังนอนหลับอยู่นั้นงัวเงียขึ้นมาพร้อมกับการฝืนตาให้ตื่นขึ้นมู่อิงเถาไม่ได้นอนหลับสบายเช่นนี้มาร่วมเดือนแล้ว ครั้งสุดท้ายก็คือวันที่ซ่งอวี่ถงเดินทางกลับไปเรียนที่สำนักบัณฑิตนั่นเองนางค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้นก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อยเพราะความเคยชินที่ต้องนอนคนเดียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดแปลกไปจึงทำให้นางรู้สึกว่าบนเตียงนอนหลังนี้ไม่ได้มีแค่นางคนเดียว!เมื่อหันไปมองด้านข้างของตนเองก็พบว่าซ่งอวี่ถงยังคงนอนหลับอยู่ ความรู้สึกง่วงงันเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้งทันที‘ฉิบหาย! นี่ข้าขึ้นมานอนบนเตียงได้อย่างไรกันนะ’มู่อิงเถาลนลานลงจากเตียงจนแทบจะสะดุดกับผ้าห่มแล้ว นางค่อยๆ สวมรองเท้าแล้วถอยหลังออกไปสามก้าวเพื่อตั้งหลักด้วยความรวดเร็วตั้งแต่ทะลุมิติมาคืนนี้น่าจะเป็นคืนแรกเลยกระมังที่ได้นอนร่วมเตียงเดียวกันกับเขา เป็นไปได้อย่างไรคงไม่ใช่ว่านางละเมอขึ้นไปนอนเบียดกับเขาเองหรอกนะ‘ไม่นะข้าก็ระวังตัวสุดๆ แล้วนี่นา บ้าจริง!’ขณะที่กำลังยืนสับสนกับตนเองอยู่นั้น ชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่บนเตียงก
“ท่านเป็นอะไรหรือ”ซ่งอวี่ถงเอาแต่จับจ้องตะกร้าใบนั้นอยู่อย่างไม่วางตาจนมู่อิงเถาอดที่จะแปลกใจไม่ได้“ผ้าไหมพวกนี้ไม่ใช่แค่ราคาสูงแต่ส่วนใหญ่แล้วใช้กันเพียงในตระกูลสูงศักดิ์”“จริงหรือ ไม่ใช่แค่ซื้อขายกันทั่วไปหรอกหรือเจ้าคะ”ซ่งอวี่ถงส่ายหน้าเบาๆ เขาไม่ได้ตอบคำถามนางแต่เลือกที่จะปิดปากเงียบเอาไว้แทน‘ผ้าพวกนี้ไม่ใช่แค่คนที่มีฐานะหรือกลุ่มชนชั้นสูงที่ใช้กันเท่านั้นแต่รวมไปถึงฮ่องเต้และคนในราชวงศ์เสียด้วยซ้ำไป คนพวกนั้นเป็นใครกันแน่นะ’“ช่างเถอะเจ้าค่ะอย่าใส่ใจไปเลยก็แค่ผ้าเท่านั้น ข้าจะออกไปตลาดเสียหน่อยท่านช่วยดูหงเอ๋อแทนข้าทีนะเจ้าคะ”“ไปทำไม”“ข้าจะไปซื้อของใช้ในบ้านจะรีบไปรีบกลับไว้ข้าจะแวะซื้ออาหารมาด้วย เช้านี้ตื่นสายไปหน่อยไม่ทันได้เข้าครัวเลย”“ข้าจะไปกับเจ้า”“แล้วหงเอ๋อเล่าเจ้าคะ”“ก็ไปด้วยกันนั่นแหล่ะไหนๆ ก็สายมากแล้วออกไปกินข้าวข้างนอกเลยก็แล้วกัน”“เอาอย่างนั้นก็ได้”“เจ้าเตรียมตัวรอเถอะ ข้าจะไปตามหงเอ๋อ”“เจ้าค่ะ”ตลาดชุมชนเมืองเป่ยเย่“ท่านอาข้าขอไปดูของเล่นร้านนั้นนะขอรับ”“อย่าไปไกลล่ะ”“ข้ารู้แล้ว”ซ่งหงอี้ยิ้มกว้างให้พวกเขาก่อนจะรีบวิ่งไปยังร้านขายของเล่นที่อยู่ถัดไป
มู่อิงเถานั่งนวดแป้งสำหรับทำซาลาเปาอยู่ตรงระเบียงหน้าบ้านพลางจ้องมองสองอาหลานที่กำลังพูดคุยกันอย่างถูกคอ เสียงหัวเราะของพวกเขาดังก้องไปทั่วบริเวณบ้าน นางหันไปมองแล้วส่ายหน้าให้พวกเขาเบาๆเพราะไม่ได้พบกันนานร่วมเดือนด้วยความคิดถึงพวกเขาจึงนั่งสนทนากันตั้งแต่กลับจากตลาดจนกินเวลาไปหลายชั่วยามกว่าทั้งคู่จะผละออกจากกันได้ก็เป็นเวลาเกือบยามโหย่ว[1] แล้วซ่งหงอี้ทำตัวติดผู้เป็นอาทั้งวันจนซ่งอวี่ถงถึงกับต้องออกปากไล่หลานชายของเขาให้ไปนอนเสียทีเพราะทั้งวันเอาแต่พูดคุยและวิ่งเล่นรอบๆ ตัวซ่งอวี่ถงไม่หยุดเมื่อหัวถึงหมอนเด็กชายตัวน้อยก็หลับไปอย่างง่ายดายจนลืมหยิบเอากระโถนสำหรับปัสสาวะติดมือเข้าไปในห้องนอนด้วยกลางดึกซ่งหงอี้จึงจำต้องงัวเงียลุกขึ้นมาจากเตียงนอนก่อนจะเดินโซเซเพื่อออกจากห้องไปทำธุระส่วนตัวด้วยอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นยังไม่เต็มตาดีนักเขาเดินพ้นจากประตูหน้าเพื่อออกไปลานหน้าบ้านท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรีบรรยากาศที่เงียบงันในเวลากลางดึกเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกขนลุกอยู่ไม่น้อย จึงรีบจัดการตนเองแล้วรีบเดินหันหลังกลับเข้าบ้านด้วยความรวดเร็วแต่ขณะที่กำลังจะเดินผ่านประตูเข้าไปนั้น สายตาของเข
มู่อิงเถารู้สึกโล่งใจไม่น้อยที่เขาไม่สนใจนาง ก่อนจะเอนหลังลงกับเตียงนอนหนานุ่มนั้นเตียงนอนอุ่นๆ ช่างต่างจากอากาศรอบข้างที่หนาวเย็นจับใจอาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้ซ่งอวี่ถงนั่งอยู่บริเวณนี้ถึงยังมีไออุ่นหลงเหลืออยู่ มู่อิงเถาขดตัวกับผ้าห่มหนานุ่มเพียงไม่นานก็หลับตาลงลมหายใจที่สม่ำเสมอบ่งบอกว่านางนอนหลับไปแล้วซ่งอวี่ถงหันไปมองคนด้านข้างก่อนจะปิดตำราแล้ววางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง เขาขยับร่างกายเข้าใกล้นางเล็กน้อยก่อนจะจับจ้องใบหน้าขาวนวลนั้นอย่างไม่วางตาไล่สายตาตั้งแต่ผมยาวดกดำไปจนถึงริมฝีปากสีแดงระเรื่อนั้นก่อนจะก้มหน้าลงบรรจงจูบไปที่ปากนุ่มนิ่มของนางเบาๆ ความหวานของนางละลายเชื่อมเข้ากับริมฝีปากหนารสจูบที่นุ่มนวลค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นมู่อิงเถาครึ่งหลับครึ่งตื่นรู้สึกคล้ายหายใจไม่ออกแต่เพราะอาการเหนื่อยล้าที่สะสมมานานทำให้นางไม่สามารถลืมตาตื่นขึ้นมาได้ในเวลานี้ ทำได้เพียงแค่ใช้สองแขนนั้นผลักบางสิ่งบางอย่างที่อยู่บนตัวนางออกไปเท่านั้นซ่งอวี่ถงรวบข้อมือของนางเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวก่อนจะตักตวงความหอมหวานอย่างไม่คิดจะปล่อยโอกาสเช่นนี้ให้หลุดลอยไป อาการที่คล้ายจะขาดอากาศหายใจของน
เรื่องทุกอย่างดูจะคลี่คลายลงไปแล้วแต่เช้าวันนี้ที่หน้าประตูจวนกลับมีทหารรักษาประตูที่วิ่งมารายงานนางว่า เวลานี้มีสตรีสองคนกำลังยืนถกเถียงกันอย่างไม่ยอมกันมู่อิงเถาเดินไปที่หน้าประตูจวนก็พบกับซูม่านอวี้และเซี่ยเย่อิง ทั้งคู่ดูจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างเพราะเวลานี้เอาแต่เถียงกันไม่หยุดนั่นเอง“เซี่ยเย่อิงเจ้าเป็นอะไรกับข้านักหนากันนะถึงได้ตามติดข้าเช่นนี้”“เฮ้อ…ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วข้าก็ไม่อยากปิดบังความรู้สึกอีกต่อไป”“พูดเรื่องอะไรของเจ้า”“ข้าชอบเจ้านะ”“อะ อะไรนะ!”“ทีแรกข้าชอบแม่นางมู่ แต่ว่าตอนนี้นางเป็นถึงพระชายาของเจิ้นอ๋องเช่นนี้แล้วข้าคงไม่อาจเอื้อมอีกต่อไป ดังนั้นข้าจึงคิดว่าจะหันมาชอบเจ้าแทนดีกว่า”“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร”“ทำไมล่ะ ในแคว้นต้าฮั่นต่างก็เป็นเสรีแล้วฮ่องเต้ไม่ได้กำหนดบทลงโทษของคนที่ชอบเพศเดียวกันไว้เสียหน่อย ดังนั้นตอนนี้ข้าชอบเจ้าพวกเรามาทำความรู้จักกันดีหรือไม่”“กรี๊ด! เจ้าไปไกลๆ ข้าเลยนะ”“โธ่…แม่นางซูท่านน่ารักถึงเพียงนี้หากท่านอ๋องไม่ชอบ เจ้าก็หันมาหาข้าก็ได้นี่นา”“ไม่! พวกเจ้าสองคนยืนทำอะไรมาเอานางออกไปจากข้าเสียทีสิ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เซี่ยเย่อิงยิ้มหัวเราะช
เพราะเมื่อคืนวานมู่อิงเถามัวแต่สนทนากับพระชายารัชทายาทที่เป็นสหายคนสนิทของนางไปหลายชั่วยาม กว่าจะกลับถึงจวนก็เป็นเวลาเกือบยามสาม[1] แล้วเช้านี้จึงเป็นอีกวันที่นางนอนตื่นสาย เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนข้างกายนั้นได้ตื่นก่อนนางเป็นที่เรียบร้อย“น่าอายจัง นอนตื่นสายจนได้”มู่อิงเถารีบจัดการตนเองก่อนจะออกไปนั่งเล่นที่ศาลาหน้าตำหนัก นางกำลังจ้องมองฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมาด้วยความเบิกบานใจยิ่งนักโดยมีสาวใช้ข้างกายที่คอยปรนนิบัติดูแลอยู่ไม่ห่างที่หน้าเรือนใหญ่ซ่งอวี่ถงกำลังยืนจับจ้องนางอยู่อย่างไม่วางตา ก่อนที่มู่เฉินจะมารายงานเขาว่าใต้เท้าโจวมาถึงแล้ว“ใต้เท้าโจวท่านมาแต่เช้าเลยนะขอรับ”“พระชายานางเป็นอย่างไรบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะท่านอ่อง”
-เจ็ดวันผ่านไป-เมื่องานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นบรรดาเหล่าขุนนางและฮูหยินของพวกเขาต่างก็ทยอยเดินเข้ามาในงานเรื่อยๆ ขณะที่มู่อิงเถาเดินอยู่เคียงข้างกับเซ่งอวี่ถงอยู่นั้นก็ได้ยินขุนนางที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่นั้นกำลังซุบซิบนินทานางอยู่ แม้จะพูดคุยกันด้วยเสียงอันเบาแต่กับคนที่มีวรยุทธ์แล้วนั้นย่อมได้ยินชัดทุกถ้อยคำ“ท่านอ๋องผู้นี้ช่างเก่งกาจและมีบุญบารมีมากเหลือเกินแต่น่าเสียดายที่ชายาของเขานั้นกลับเป็นหน้าเป็นตาให้เขาไม่ได้”“จริงดังที่ใต้เท้ากล่าว สตรีผู้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดาไหนเลยจะส่งเสริมท่านอ๋องได้กัน”“บุตรสาวของใต้เท้าซู ซูม่านอวี้ผู้นั้นท่านว่าเป็นอย่างไรนางพึ่งผ่านวัยปิ่นปักไปได้ไม่นานทั้งยังไม่มีคู่ครองอีกด้วย ดูเหมือนว่า….”ซ่งอวี่ถงที่หยุดเดินไปนั้นก็ทำให้มู่อิงเถางุนงงไปไม่น้อย“มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเหตุใดข้าถึงไม่เห็นเจ้าอยู่ที่จวนของท่านอ๋องล่ะ เจ้ารู้อะไรหรือไม่ข้านั้นตกใจแทบสิ้นสติเลยนะ”“ทำไมหรือ”“ก็ครั้งที่อยู่เมืองเป่ยเย่ข้าด่าสามีของเจ้าไปมากเลยทีเดียว”ประโยคหลังนางกระซิบกับมู่อิงเถาแทนด้วยกลัวว่าจะมีใครได้ยินคำพูดของนาง ซ่งอวี่ถงเวลานี้เป็นถึงท่านอ๋องย่อมมีคนเป็นหูเป็นตาให้เขามากมายจะพูดอะไรคงต้องระวังให้มากขึ้นเสียแล้ว“ฮ่าๆๆ เรื่องนั้นเจ้าอย่าใส่ใจไปเลย”“ไม่ใส่ใจคงไม่ได้ หากเขาไล่เอาทีละคนข้าไม่แย่หรือ”“ไม่หรอกน่า”“เย่เอ๋อกลับจวนกันได้แล้ว หากช้าไปกว่านี้ท่านพ่อจะดุเจ้าเอาได้นะ”“โธ่ท่านพี่ ให้ข้าได้สนทนากับสหายเสียหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร”
การเดินทางเข้าเมืองหลวงกินเวลาไปถึงสิบวันแม้ความเป็นจริงคนทั่วๆ ไปนั้นจะใช้เวลาเดินทางแค่เพียงห้าวันเท่านั้น เพราะทั้งสองเอาแต่งอนง้อกันตลอดทั้งเส้นทางทำให้ใช้เวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้นถึงสองเท่ามู่เฉินปาดเหงื่อทุกครั้งที่ท่านอ๋องของเขาเริ่มบทรักร้อนแรงกับพระชายา เขาทำเป็นไม่ได้ยินเสียงใดๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากรถม้าในยามกลางวันนั้นจนเมื่อระยะทางสุดท้ายก่อนเข้าเมืองหลวงก็มาถึง มู่เฉินถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกมู่อิงเถาเลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อมองดูบรรยากาศข้างนอกสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดจากที่มีเพียงป่าเขา เวลานี้เริ่มมีบ้านเรือนของผู้คนมากขึ้นทุกทีแล้วที่นางยอมสงบลงไม่ใช่เพราะติดใจในรสสัมผัสของเขาแต่เพราะว่าอยากฟังเรื่องราวระหว่างที่นางหนีเขาไปต่างหากเล่า‘ถ้าไม่อยากรู้เรื่องชาวบ้านข้าไม่ยอมคุยกับเขาดีๆ แน่’‘หนะ
“นั่นเจ้าจะทำอะไรไปฉุดลูกสาวใครเขามา”“นางเป็นเมียข้า”“เมีย? บังเอิญอะไรเช่นนี้แล้วเหตุใดนางถึงมาอยู่ที่เมืองเดียวกันกับชายาของข้าได้ล่ะ”“ข้าจะไปรู้หรือ สตรีที่อยู่ในห้องอีกคนนั้นน่าจะเป็นมารดาของเด็กคนนั้น พวกนางสองคนรู้จักกันที่เหลือท่านจัดการเองก็แล้วกันข้าคงต้องขอตัวไปจัดการเรื่องในบ้านของข้าก่อน”‘หากปล่อยให้พวกนางอยู่ด้วยกันชาตินี้พวกเขาอย่าหวังที่จะได้เมียคืนเลย’“เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่หรือไม่”“ขอรับท่านอ๋อง”ซ่งอวี่ถงพูดจบก็อุ้มนางขึ้นไปนั่งในรถม้าด้วยความรวดเร็ว มู่เฉินผู้รับหน้าที่เป็นสารถีก็รีบออกรถม้าทันทีด้วยกลัวว่าสตรีที่อยู่ข้างในจะกระโดดออกมาเสียก่อน“ท่านจับข้ามา
ยามพลบค่ำ ณ ตรอกแห่งหนึ่งในเมืองฉางอันบุรุษหนุ่มสองคนกำลังพิงหลังกับกำแพงจ้องมองไปยังโรงเตี๊ยมที่ตอนนี้ดูจะครึกครื้นเป็นพิเศษ แสงไฟที่ส่องประกายระยิบระยับออกมาจากหน้าต่างแต่ละบานนั้นทำให้ความมืดมิดด้านนอกส่องสว่างไปทั่วท้องถนน“เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นนาง”“คือว่านางใช้ผ้าปิดบังใบหน้าไปครึ่งซีก ข้าน้อยจึง…”“เหลวไหลเสียจริง แล้วยังกล้ายืนยันกับข้าได้อย่างไร”“ท่านจะโมโหไปทำไมก็เพียงแค่ลองไปดูด้วยตาของตนเองก็ได้นี่นา ไม่เสียเวลามากนักหรอก”ซ่งอวี่ถงพูดไปอย่างตัดรำคานเขาหันไปยังทิศทางของห้องพักที่คาดว่าคนผู้นั้นน่าจะอยู่ในนั้น ทั้งคู่ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนหลังคาร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียงกับโรงเตี๊ยมแห่งนั้นก่อนจะนั่งท้าวคางมองไปยังหน้าต่างห้องที่ยังคงปิดสนิทอยู่
จวนใต้เท้าโจว ชายแดนใต้“ใต้เท้าขอรับ”“เป็นอย่างไรบ้างได้ความว่าอย่างไร”“ข้าน้อยไปที่เมืองเป่ยเย่มาแล้ว เฒ่าแก่ร้านขายเครื่องประดับบอกว่านางมาจำนำแหวนวงนี้เอาไว้จริงๆ ขอรับ”“จริงหรือแล้วนางเป็นใครตอนนี้อยู่ที่ไหน”“คือว่าเฒ่าแก่ไม่ได้ถามชื่อแซ่เอาไว้เขารู้เพียงว่าเป็นหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาคล้ายรูปวาดของฮูหยินเลยขอรับ”“แล้วแหวนนั่นยังอยู่หรือไม่ หรือว่าขายไปแล้ว”“มีคนมาขอซื้อคืนขอรับเมื่อไม่นานมานี้เองเป็นบุรุษผู้หนึ่งดูจากการแต่งกายแล้วคาดว่าน่าจะเป็นคนที่มีฐานะอาจจะเป็นคนที่มาจากเมืองหลวงขอรับ”“ทำไมถึงขายไปง่ายๆ กันเล่า”“คนผู้นั้นมีใบรับจำนำจึงจำเป็นต้อง
เมืองฉางอันซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้นต้าฮั่น แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่กลับมีความสะดวกสบายทั้งการเดินทางและการค้าขายต่างก็มั่งคั่งยิ่งไปกว่าเมืองอื่นๆ หลายเท่านักฟ้าหลังฝนช่างงดงามดังคำที่คนโบราณกล่าวเอาไว้จริงๆ เช้าวันนี้ทั้งสามคนเดินถือตระกร้ามาที่ตลาดหวังจะซื้อยาสมุนไพรเพื่อทำการทดลองยาบางอย่างเพิ่มเมื่อมาถึงก็เห็นแผงขายของมากมายตั้งเรียงรายตามถนนหลักของชุมชนเมืองมีกลิ่นหอมจากซาลาเปาร้อนๆ และผลไม้สด เสียงเรียกขายของจากพ่อค้าแม่ค้าดังก้องไปทั่วท้องถนนมู่อิงเถามองบรรยากาศโดยรอบด้วยความรู้สึกเบิกบานใจ นางระบายยิ้มออกมาก่อนจะเดินเข้าไปนั่งในร้านน้ำชาเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ ตั้งแต่ที่นางย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยออกมาข้างนอกบ้านเท่าใดนักเพราะการเก็บตัวอยู่แต่ในห้องปรุงยาจึงทำให้ผิวของนางนั้นขาวผ่องเหมือนหิมะที่ละเอียดอ่อนสะท้อนความงามที่บริสุทธิ์และไร้ที่ติ ผมที่ยาวสล