“มู่อิงเถา”
“งื้อ ข้าจะนอนขอนอนตื่นสายสักวันสิ”
“มู่อิงเถาเจ้าตื่นเดี๋ยวนี้นะ!”
“โอ๊ย! ใครกันเรียกอยู่ได้ หืม....ลิงฮุยงั้นหรือ”
“ข้าบอกว่าหากเรียกชื่อข้าผิดอีก ต่อไปนี้ข้าจะไม่ช่วยเจ้าอีกแล้วนะ”
“ขอโทษทีข้ายังมึนๆ อยู่น่ะ สองสามวันมานี้เจ้าหายไปไหนมา”
“ข้าไม่ได้หายไปไหนทั้งนั้นเจ้าลุกขึ้นมาได้แล้วน้ำพุแห่งกาลเวลาจะล้นออกมาแล้วเนี่ย”
“อะไรนะ”
มู่อิงเถาได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้นมาทันที เมื่อมองไปรอบๆ ที่แห่งนี้กลับไม่ใช่ห้องนอนที่นางนอนเมื่อคืนนี้เสียอย่างนั้น
‘มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไรกันนะ’
“ไหนเจ้าบอกว่าน้ำพุแห่งกาลเวลาแห้งเหือดไปแล้วอย่างไรเล่า”
“ข้าจะไปรู้หรือ อยู่ดีๆ เมื่อเช้ามันก็พุ่งออกมาอย่างที่เจ้าเห็นนั่นล่ะ”
“แล้วมันดีหรือไม่ดีล่ะ”
“ไม่รู้ เจ้าช่วยนำไปรดน้ำผักตรงนั้นทีสิ”
“อะไรนะ นี่ปลุกข้ามาเพื่อทำงานงั้นหรือ”
“ก็ข้าเสียดายนี่นานานๆ น้ำพุจะเอ่อร้นออกมาเช่นนี้ช่างหาดูได้ยากยิ่งนัก แปลกเสียจริงมาได้อย่างไรกัน”
“เจ้าเป็นเจ้าของมิติแห่งนี้ยังไม่รู้ แล้วข้าจะไปรู้หรือ”
“ก็เคยได้ยินมาบ้าง”
“ได้ยินเรื่องอะไร”
‘น้ำพุแห่งกาลเวลาจะกลับมาหลั่งไหลอีกครั้ง เมื่อเจ้าของวิติวิเศษตัวจริงกลับมา’
‘ผู้เฒ่าคนก่อนผู้รักษามิติแห่งนี้ได้เคยบอกกับเขาเอาไว้ แต่จะเป็นนางแน่หรือที่เป็นเจ้าของมิติวิเศษแห่งนี้ บ้าน่าไม่จริงหรอก!’
“เอาน่าเจ้าก็ใช้ประโยชน์จากมิติแห่งนี้ไปมากพอสมควรแล้ว ช่วยข้าดูแลมันทีอยากได้อะไรไปขายก็เอาไปเลย”
“จริงนะ”
“ข้าไม่เคยพูดปดตัวข้าเองก็ใช่ว่าจะได้ใช้ของอะไรพวกนี้เสียหน่อย เก็บๆไปขายเถอะหากมันเน่าเสียไปก็เสียดายแย่เลย”
“เยี่ยม”
มู่อิงเถารู้สึกกระปี้กระเปร่าขึ้นมาทันทีนางเองก็อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อซ่งอวี่ถงบ้าง อย่างเช่นช่วยเขาหาเงินในระหว่างที่เขาไปร่ำเรียนก็ยังดี
เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้วที่ซ่งอวี่ถงกลับไปเรียนที่สำนักบัณฑิตและหงเอ๋อเองร่างกายก็เริ่มกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมแล้ว แขนที่หักก็เริ่มใช้งานได้บ้างแล้วอาจจะเพราะเขาออกกำลังกายทุกวันอีกทั้งได้กินผลไม้วิเศษอีกจึงหายวันหายคืนเร็วยิ่งขึ้น
เพราะพวกเขาทั้งหมดย้ายบ้านมาอยู่ในเมืองหลวงทำให้อยู่ไกลเกินไปที่จะขึ้นเขาไปหาของป่าอีก มู่อิงเถาจึงคิดวิธีหาเงินจากทางอื่นนอกจากเก็บผักหลังบ้านและในมิติวิเศษไปขาย
“อาสะใภ้ท่านทำอะไรอยู่หรือกลิ่มหอมไปถึงหน้าบ้านเลย”
“ข้าจะเปิดร้านขายซาลาเปา เอานี่เจ้าลองกินดูสิรสชาติพอใช้ได้หรือไม่”
ซาลาเปาก้อนใหญ่ถูกยื่นไปตรงหน้าของเด็กชาย กลิ่นหอมของมันทำให้ซ่งหงอี้เก็บน้ำลายไม่อยู่แทบจะไหลออกมาอยู่แล้วด้วยความหิวจึงรีบรับไปทันที
“ระวังสิมันยังร้อนอยู่นะ ค่อยๆ กิน”
“ขอรับ”
“เป็นอย่างไรอร่อยหรือไม่”
“อร่อยมากเลยขอรับอาสะใภ้ ข้าไม่ได้กินของอร่อยแบบนี้มานานมากแล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าเอาไปให้ท่านป้าข้างบ้านสักสามสี่ลูกทีนะ”
“เหตุใดต้องเอาไปให้นางล่ะ”
“หงเอ๋อการมีมิตรดีกว่ามีศัตรูนะเจ้ารู้หรือไม่ การให้ไม่ใช่ว่าต้องอยากได้ของตอบแทนเสมอไปแต่สิ่งเหล่านี้อาจจะส่งผลดีต่อตัวของเจ้าเองไม่วันใดก็วันหนึ่ง เจ้าจำเอาไว้นะ”
“ขอรับ”
ซ่งหงอี้รับเอาตะกร้าที่ภายในบรรจุไปด้วยซาลาเปาลูกใหญ่ใส้หมูสองลูกและใส้ผักอีกสองลูกบนตะกร้าถูกปิดคลุมด้วยผ้าสะอาดก่อนที่เขาจะรีบเดินออกไปจากบ้านด้วยความรวดเร็ว
-เจ็ดวันผ่านไป-
มู่อิงเถาทำงานทั้งในมิติวิเศษและทำซาลาเปาไปขายที่ตลาดจนแทบไม่มีเวลาพัก แต่เพราะได้ดื่มน้ำพุจากกาลเวลาทำให้ร่างกายของนางไม่เหนื่อยล้าเกินไปอีกทั้งยังส่งผลให้น้ำหนักของนางลดลงอีกด้วย
มู่อิงเถาเพราะในยุคที่จากมานั้นเป็นนักศึกษาแพทย์และเคยทำการวิจัยผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาก่อนจึงเชี่ยวชาญพิเศษเรื่องการทำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มาจากส่วนผสมหลากหลายชนิดแต่ในยุคนี้นั้นส่วนผสมที่เคยใช้ดูท่าจะหาได้ยากกว่ายุคที่จากมาเสียแล้ว ดังนั้นนางจึงเลือกใช้สมุนไพรในการทำครีมบำรุงผิวแทนนั่นเอง
เพราะการดูแลที่ต่อเนื่องทำให้ผิวพรรณของนางดูขาวใสและเนียนนุ่มขึ้นมาไม่น้อยแม้กระทั่งซ่งหงอี้เองก็ยังตกตะลึงไม่หาย
เมื่อทำงานในไร่มิติวิเศษไปได้ครั้งค่อนวันแล้วมู่อิงเถาก็หยิบเอาไข่ไก่และผักสองสามอย่างติดมือออกมาด้วย นางตั้งใจว่าจะเอาไก่ในมิติวิเศษออกมาเลี้ยงที่สวนหลังบ้านสักสองสามตัวแต่คงต้องรอให้ซ่งอวี่ถงกลับมาเสียก่อนเพราะอะไรน่ะหรือ?
‘นางทำเล้าไก่เป็นเสียที่ไหนกันเล่า’
พื้นที่ด้านหลังบ้านหลังนี้มีกว้างขวางมากนางใช้ปลูกผักผลไม้ไปไม่น้อยเลย น่าแปลกที่ไม่ปล่อยให้คนเช่าแต่กลับเก็บเอาไว้ทั้งแบบนี้แม่นางผู้นั้นน่าจะมีฐานะที่ร่ำรวยมากเป็นแน่
“ท่านอาสะใภ้”
“หงเอ๋อเป็นอย่างไรบ้างทำไมไม่นอนพักเล่า”
“ข้านอนจนเบื่อแล้วอยากออกมาช่วยงานอาสะใภ้บ้าง”
“งานบ้านเล็กน้อยพวกนี้ไม่ต้องช่วยหรอกน่าข้าทำเองได้ หิวหรือยังข้าเข้าครัวครู่เดียวนะ”
“ขอรับ”
มู่อิงเถาเข้าครัวทำอาหารเพียงครู่เดียวก็ออกมาพร้อมกับโจ๊กร้อนๆ ผัดผักอีกสองอย่างและยังมีไข่ต้มไว้ให้หงเอ๋ออีกด้วย
“ว้าว! น่ากินเหลือเกินขอรับอาสะใภ้”
“น่ากินก็กินเยอะๆ ล่ะ”
“ขอรับ นี่ถ้าท่านอากลับมาคงดีใจไม่น้อยเลยนะขอรับ”
“เรื่องอะไรหรือ”
“ก็อาสะใภ้งดงามขึ้นอย่างไรเล่า”
“แค่กๆ”
เพราะคำพูดของซ่งหงอี้เมื่อครู่ทำให้มู่อิงเถาถึงกลับสำลักน้ำแกงไปทันที
“มะ ไม่หรอกน่าสตรีในเมืองนี้งดงามกว่าข้าก็มีไม่น้อย ท่านอาของเจ้าก็เห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็แค่ข้าผอมลงนิดเดียวเองคงไม่ทำให้เขาสนใจข้าขึ้นมาหรอก”
“ไม่แน่นะขอรับ”
“เจ้านี่น้าเลิกสนใจเรื่องนี้ได้แล้ว กินข้าวต่อเถอะ”
“ก็ได้ขอรับ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังกินอาหารกันอยู่นั้นก็มีเสียงของใครบางคนร้องเรียกอยู่ที่หน้าประตูบ้าน
มู่อิงเถาเปิดประตูออกไปก็พบว่าเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซ่งนั่นเอง
“เจ้าเป็นใคร ไปเรียกนังเด็กมู่อิงเถานั่นออกมาให้ข้าที”
“แล้วเจ้ามาทำอะไร”
“เอ๊ะ! เจ้านี่อย่างไรนะพูดจากับผู้ใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร ไปเรียกนางออกมาให้ข้า”
“มีอะไรจะคุยกับข้าก็พูดมา”
“ข้าบอกว่าข้าจะพบ…เอ๋?”
สะใภ้ใหญ่ซ่งอ้าปากค้างก่อนจะมองมู่อิงเถาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่วางตา สตรีตรงหน้าของนางในเวลานี้นั้นดูผอมลงจากแต่ก่อนลงไปบ้างแล้วอีกทั้งผิวพรรณของนางก็ดูสะอาดสะอ้านขึ้น แม้สภาพของนางในเวลานี้จะดูเหมือนคนเพิ่งทำงานในไร่มาก็เถอะ แต่เหตุใดถึงยังดูงดงาม! เป็นไปได้อย่างไรว่านางคือมู่อิงเถาหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้น
“นี่เจ้า”
“ท่านแม่นั่นนางจริงๆหรือ”
บุตรสาวของสะใภ้ใหญ่ซ่งที่ติดสอยห้อยตามมารดาของนางมาด้วยนั้น เวลานี้กำลังยืนกระซิบถามนางทั้งสายตาที่มองมายังมู่อิงเถาก็ดูจะงุนงงปนอิจฉาอยู่ไม่น้อย
“ข้านี่ล่ะมู่อิงเถา พวกเจ้ามาที่นี่ทำไม”
“เฮอะ ข้าจะมาทำไมก็เรื่องของข้าถอยออกไปข้าเดินทางมาเหนื่อยๆนะไปหาน้ำมาให้ข้ากินเสียสิ”
“ข้าถามว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่เหตุใดถึงไม่ตอบเสียที”
“เอ๊ะ! นังเด็กคนนี้นี่ข้าพูดเมื่อครู่ไม่ได้เข้าหัวเจ้าเลยหรืออย่างไร ถอยไป!”
“พวกท่านตัดขาดซ่งอวี่ถงจากบ้านใหญ่แล้วยังมีหน้ามาที่นี่อีกงั้นหรือ”
“แม่นางซูเจ้าเห็นหรือยังว่านังเด็กอะ….”
‘ไม่สิตอนนี้นางไม่อัปลักษณ์แล้ว ไปทำอะไรมากันแน่นะดูเหมือนจะงดงามกว่าแม่นางที่ยืนข้างๆ ข้าเสียอีก’
“แม่นางซูท่านเห็นหรือยังว่านังเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้เป็นอย่างไร ท่านคิดเหมือนข้าใช่หรือไม่ว่า…”
มู่อิงเถาคร้านจะฟังพวกนางพูดจึงปิดปากเงียบก่อนจะจ้องมองสะใภ้ใหญ่ซ่งนิ่ง แววตาที่มืดมนของมู่อิงเถาทำให้หัวใจของสะใภ้ใหญ่ซ่งผู้นั้นสั่นไหวไม่น้อยแต่ไม่ทันที่จะเอ่ยปากสิ่งใดออกมาอีกก็ถูกมู่อิงเถาใช้เท้าถีบไปที่กลางท้องของนางอย่างเต็มแรง
“โอ๊ย! นี่เจ้ากล้าทำร้ายข้างั้นหรือ”
หมู่บ้านต้าไห่ เมืองเป่ยเย่“ท่านอาอวี่ถงขอรับอาสะใภ้สามตายแล้ว ท่านย่าเฆี่ยนตีนางจนตายไปแล้ว”ซ่งหงอี้บุตรชายของพี่รองของเขาเป็นคนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ“เจ้าพูดอะไร! กล้าใส่ความข้าได้อย่างไรนางป่วยออดๆ แอดๆ รอวันตายเช่นนี้เหตุใดเจ้าถึงกล้ามากล่าวหาข้า”ฮูหยินซ่งผู้ที่รังเกียจลูกสะใภ้มาตั้งแต่นางตบแต่งเข้ามาในบ้าน โบ้ยความผิดให้คนที่นอนหายใจอ่อนรวยรินที่แคร่หน้าบ้านของตระกูลซ่งบ้านตระกูลซ่งนั้นถือว่ามีฐานะที่ดีพอสมควรก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ที่รุนแรงเกิดขึ้นในครอบครัวเลยสักครั้ง แต่เพราะไม่นานมานี้นายท่านซ่งนั้นได้สิ้นใจไปจึงทำให้ฮูหยินซ่งขึ้นเป็นหัวหน้าครอบครัวแทน ลูกหลานทุกคนจึงต้องเชื่อฟังนางนั่นเองฮูหยินซ่งนั้นมีลูกชายสามคน คนโตยังอยู่ที่บ้านใหญ่ ลูกชายคนรองเมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งสิ้นใจตายไปพร้อมภรรยารักของเขา ส่วนลูกชายคนที่สามก็คือซ่งอวี่ถงสามีของมู่อิงเถาสตรีที่นอนอยู่บนแคร่หน้าบ้านตระกูลซ่งนั่นเองแต่ก่อนพี่ชายคนรองของซ่งอวี่ถงนั้นต้องตรากตรำทำงานหนักในไร่ในนาเพียงลำพัง ส่วนซ่งอวี่ถงนั้นเพราะเขาอ่านหนังสือออกมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว นายท่านซ่งจึงส่งเขาไปเรียนที่
“ผะ ผีหลอก! ช่วยด้วยผีหลอก”มู่อิงเถาค่อยๆขยับร่างกายขึ้นมาก่อนจะเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งของนางขึ้นทีละนิดความจริงนางนั้นตื่นมาได้สักพักแล้ว นานพอที่จะได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดและที่น่าปวดใจก็คือนางข้ามเวลามาอยู่ในร่างของสตรีผู้ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อผลักดันให้ผู้เป็นสามีเช่น ซ่งอวี่ถงสอบเข้าราชการจนได้ดิบได้ดีและสุดท้ายก็ต้องตายเพราะน้ำมือของเขานั่นเองเรื่องราวเหล่านี้อยู่ในนิยายเล่มโปรดที่เธอชอบอ่านจนจบไปหลายครั้งทว่าในส่วนท้ายของนิยายเล่มนั้นกลับไม่ได้กล่าวเอาไว้ถึงการดำเนินเรื่องของตัวร้ายว่าไปในทิศทางใดเพราะยังมีเล่ม 2 ที่นักเขียนยังเขียนไม่จบนั่นเองแม้จะไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตนเองจนได้แต่ในเมื่อเธอเข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้วก็คงทำได้แค่ทำใจอย่างเดียวเธอจำไม่ได้เลยสักเพียงนิดว่าเจ้าของร่างนี้รู้สึกอย่างไรกับคนในครอบครัวนี้ เพราะความทรงจำอันน้อยนิดที่พอจะนึกขึ้นได้ทำให้เธอไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับใครเลยแต่ที่น่าอนาจใจนั้นคือสตรีผู้ที่เธอเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างนี้ต่างหากเล่า ถูกทุบตีจนตายเช่นนี้นางทนไปได้อย่างไรกัน“มะ มู่อิงเถาเจ้าตายไปแล้วนี่นา ข้าเป
“พวกเจ้าอย่าได้คิดเอาอะไรในบ้านของข้าไปแม้แต่ชิ้นเดียว ของทุกชิ้นในบ้านนี้เป็นของตระกูลซ่งทั้งหมด!”ซ่งอวี่ถงและซ่งหงอี้ถึงกับส่ายหน้าอย่างจนใจพวกเขาเข้าไปในบ้านโทรมๆ ที่ถูกแยกออกมาจากตัวบ้านใหญ่ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าของใช้เล็กน้อยใส่หีบใบเล็กอย่างรวดเร็ว ซ่งหงอี้รนรานรีบเก็บเสื้อผ้าที่มีน้อยชิ้นของตนเองยัดลงไปในหีบเดียวกันกับผู้เป็นอาด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ออกจากบ้านหลังนี้“เจ้าก็มาเก็บของของเจ้าสิ”เป็นซ่งอวี่ถงที่เอ่ยออกมาเพราะเมื่อหันไปมองด้านหลังก็เห็นว่ามู่อิงเถาเอาแต่ยืนนิ่งจ้องมองมาที่พวกเขาตาปริบๆ ไม่คิดที่จะขยับตัวเลยสักเพียงนิด“อ่อ เอ่อได้ๆ”ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่มามุงดูสองบุรุษต่างวัยและหนึ่งสตรีอวบอ้วนต่างก็หอบเอาหีบเสื้อผ้าของตนเองออกมาที่ลานหน้าบ้าน และเป็นซ่งอวี่ถงที่เอ่ยปากออกมาในที่สุด“ท่านพูดเองว่าต่อไปนี้พวกข้ากับบ้านใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกันเป็นตายไม่รับรู้กัน เช่นนั้นพวกท่านเองก็อย่ามารบกวนพวกข้าอีกก็เป็นพอ”“คิดว่าพวกเจ้ามีดีตรงไหนพวกข้าถึงต้องร้องขอเจ้างั้นหรือ”“เป็นเช่นนั้นก็ดี”ซ่งอวี่ถงเอ่ยออกมาเพียงสั้นๆก่อนจะจ้องมองฮูหยินซ่งอีกครั้งแล้วรีบพาทั้งสองคนเดินออ
“นั่นเจ้าจะทำอะไร”“!” เสียงชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นขณะที่มู่อิงเถากำลังถือเสื้อผ้าของเขาเอาไว้ในมือ นางหันหลังกลับไปดูก็พบว่าเป็นซ่งอวี่ถงที่กำลังยืนถือถังใส่ปลาเอาไว้ในมือ ใบหน้าของเขามีความไม่พอใจแผ่ซ่านออกมาแต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นแล้วก็กลับมาเป็นปกติดังเดิมมู่อิงเถายืนนิ่งพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่เพราะคิดไม่ถึงว่าซ่งอวี่ถงจะกลับมาเร็วเช่นนี้ นางรนรานลุกขึ้นเดินไปยืนอยู่ข้างเตียงนอนที่จัดเตรียมเอาไว้ก่อนจะเอ่ยปากบอกผู้เป็นสามีว่า“ขอโทษที่ข้าเข้าไปรื้อของๆท่าน ข้าแค่เพียงจะจัดเตรียมที่นอนเอาไว้ให้ท่านก็เท่านั้นเอง”“เป็นเช่นนั้นหรือ เจ้าหยุดมือก่อนเถอะไปล้างเนื้อล้างตัวได้แล้ววันนี้ข้าจะทำอาหารเย็นเอง”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าทำเอง”“เจ้าถูกท่านแม่ทุบตีมาเช่นนี้เนื้อตัวคงระบมแย่เลย ไปแช่น้ำอุ่นๆ ก่อนเถอะทางนี้ข้าจัดการเอง”“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”มู่อิงเถาช้อนสายตามองผู้เป็นสามีในนามที่กำลังเดินไปที่เพิงครัวที่เพิ่งทำขึ้นมาใหม่ๆ “แล้วหงเอ๋อเล่า”“อยู่หน้าบ้านกระมังเจ้าคะ”“งั้นหรือ”“ข้าไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน”“อืม”'คิดอะไรอยู่กันแน่นะ ดูแปลกคนเสียจริง’แม้จะแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้วแต่
“อิงเอ๋อ อิงเอ๋อ!”“จะ เจ้าคะ”“ไปยืนทำอะไรตรงนั้นเข้ามานั่งได้แล้วหากอาหารเย็นชืดหมดจะเสียรสชาติเอา”“เจ้าค่ะ”“ท่านอาสะใภ้กินนี่สิ ข้าคีบให้”ซ่งหงอี้คีบเนื้อปลาให้นางอย่างทุลักทุเล ซ่งอวี่ถงเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเขาเอาแต่คีบข้าวเปล่ากินอยู่อย่างนั้นจนนางนึกสงสัย‘ปลามีตั้งหลายตัวเหตุใดถึงกินแต่ข้าวเปล่าๆเช่นนั้นกัน’“ท่านกินแต่ข้าวเปล่าไม่แตะอาหารสักคำ เป็นอะไรอาหารไม่ถูกปากหรือ”“ข้ากลัวเจ้าไม่อิ่ม”“ห๋า”“เจ้ากินไปเถอะตอนออกไปจับปลาข้าก็ย่างกินไปหลายตัวแล้ว ในท้องก็อิ่มพอตัวก็เพียงแค่นั่งกินเป็นเพื่อนเจ้ากับหงเอ๋อก็เท่านั้น”“อ่อ อย่างนี้เองหรือ”“นี่ท่านอาสะใภ้”“หืม”“พวกท่านนอนเตียงเดียวกันใช่ไหม เช่นนั้นข้าขอนอนเตียงเล็กนะขอรับ”“แค่กๆ”“อะไรกันข้าถามแค่นี้เองต้องตกใจด้วยงั้นหรือ”“คือว่าหงเอ๋อข้านอนกับเจ้าก็ได้นะ”“ไม่เอาตัวพวกท่านใหญ่ออกปานนั้นข้าได้ตกเตียงตายหรอก ข้าขอนอนคนเดียวดีกว่า”“อะ เอ่อ”มู่อิงเถาหันไปมองใบหน้าของชายหนุ่ม เดิมทีนึกว่าเขาจะต่อต้านหรือปฎิเสธอะไรออกไปบ้างแต่เขากลับเอาแต่นิ่งเงียบแล้วก็กินข้าวต่อเหมือนไม่ได้ยินที่ซ่งหงอี้พูดเมื่อครู่นี้เลย‘อะไรกัน
“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”“!”“พวกท่านดูสินางอัปลักษณ์คนนี้มันทำร้ายข้าดูสิเลือดข้าไหลอาบเต็มหน้าไปหมดแล้ว”‘อยากรับบทเป็นเหยื่อสินะ ข้าจะสอนพวกเจ้าเองว่าเหยื่อที่ดีต้องทำอย่างไร’“หากพวกท่านมีตาก็คงเห็นว่านางเข้ามาทำลายข้าวของในบ้านข้าแล้วยังจะมาทุบตีหงเอ๋ออีก กล้าดีอย่างไรถึงมาทำตัวน่าสงสารใส่ความว่าข้าทำร้ายเจ้ากัน”“นั่นนะสิ”เสียงของชาวบ้านต่างก็เห็นด้วยกับมู่อิงเถา คิดไปในทิศทางเดียวกันกับนาง ไม่มีใครเห็นด้วยกับสะใภ้ใหญ่ซ่งเลยสักคน“จะ เจ้า เจ้ากล้าใส่ความข้างั้นหรือ”“หรือไม่จริงล่ะคนบ
ซ่งอวี่ถงรีบออกจากบ้านเพื่อเดินทางเข้าไปตามท่านหมอในตัวเมืองแต่ยังไม่ทันได้ก้าวข้ามผ่านประตูรั้วเขาก็หันกลับมามองมู่อิงเถาอีกครั้ง แววตาของเขามีความกังวลบางอย่างซ่อนเอาไว้“เจ้าอยู่คนเดียวได้แน่นะ”“ท่านพี่ข้าอยู่คนเดียวเสียที่ไหนกันยังมีหงเอ๋ออยู่ด้วยนะ”“ท่านอาสามข้าดูแลอาสะใภ้ได้ขอรับ”ซ่งอวี่ถงส่ายหน้าให้พวกเขาเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปที่โรงหมอเดิมทีเขาคิดจะพาซ่งหงอี้ไปด้วยแต่เพราะร่างกายที่บอบช้ำจากการโดนทุบตีอีกทั้งยังมีมู่อิงเถาอีกคนการเดินทางเข้าเมืองอาจจะทำให้ล่าช้าขึ้น เขาจึงเลือกที่จะทิ้งทั้งคู่เอาไว้ที่บ้านแล้วเดินทางไปเพียงลำพังในใจก็หวั่นเกรงทั้งคู่จะเป็นอันตราย ได้แต่คิดแล้วก็รีบเดินทางไปด้วยความรวดเร็ว“หงเอ๋อเจ้าเป็นลูกผู้ชายต้องอดทนเอาไว้นะเข้าใจหรือไม่”“เข้าใจขอรับท่านอาสะใภ้”“เลิกเรียกข้าว่าอาสะใภ้เสียทีเถอะข้ากับท่านอาสามของเจ้าแม้จะแต่งงานกันแล้วแต่ก็ไม่เคยร่วมหอกันเลยสักครั้งนะ อีกอย่างเจ้าดูรูปร่างของข้าสิเหมาะสมกับท่านอา
มู่อิงเถาเข้าครัวทำอาหารง่ายๆ ให้ซ่งอวี่ถงสองสามอย่างเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยนางจึงเดินเข้าไปในห้องนอนตั้งใจจะไปดูอาการของเด็กชายเสียหน่อย แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องประตูก็ถูกแง้มออกมาเล็กน้อยแล้วที่ข้างเตียงนอนของเด็กชายตัวน้อยนั้นมีซ่งอวี่ถงที่คอยเช็ดเนื้อตัวให้เขาอย่างเบามือด้วยความอ่อนโยน“ดูเหมือนหงเอ๋อจะไม่ทรมานมากเท่าใดแล้วนะเจ้าคะ”“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น อีกสองวันข้าจะเข้าเมืองไปสำนักบัณฑิตขอลาหยุดสักเจ็ดวันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้า”“ไม่ต้องหรอก พวกข้าอยู่ได้”“แต่หงเอ๋อบาดเจ็บเพียงนี้หากว่าบ้านนั้นมาระรานพวกเจ้าอีกจะทำอย่างไร ไม่ได้หรอกข้าไม่ไว้ใจ”“ทำมาก็ทำกลับสิ”
“มู่อิงเถา”“งื้อ ข้าจะนอนขอนอนตื่นสายสักวันสิ”“มู่อิงเถาเจ้าตื่นเดี๋ยวนี้นะ!”“โอ๊ย! ใครกันเรียกอยู่ได้ หืม....ลิงฮุยงั้นหรือ”“ข้าบอกว่าหากเรียกชื่อข้าผิดอีก ต่อไปนี้ข้าจะไม่ช่วยเจ้าอีกแล้วนะ”“ขอโทษทีข้ายังมึนๆ อยู่น่ะ สองสามวันมานี้เจ้าหายไปไหนมา”“ข้าไม่ได้หายไปไหนทั้งนั้นเจ้าลุกขึ้นมาได้แล้วน้ำพุแห่งกาลเวลาจะล้นออกมาแล้วเนี่ย”“อะไรนะ”มู่อิงเถาได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้นมาทันที เมื่อมองไปรอบๆ ที่แห่งนี้กลับไม่ใช่ห้องนอนที่นางนอนเมื่อคืนนี้เสียอย่างนั้น
-เมืองเป่ยเย่-‘ว้าวเมืองเล็กๆ ยังน่าตื่นตาตื่นใจถึงเพียงนี้ถ้าเป็นเมืองหลวงเล่าจะใหญ่โตแค่ไหนกันนะ’“เป็นอะไรไม่เคยเข้ามาในเมืองเลยงั้นหรือ ข้าจำได้ว่าพี่สะใภ้รองเคยพาเจ้ามาซื้อของในเมืองอยู่นะจำไม่ได้แล้วหรือ”“ข้าเคยมาแล้วงั้นหรือ อาจจะเพราะตั้งแต่โดนตีเกือบตายวันนั้นข้าก็เลอะเลือนจนลืมไปเสียสนิทเลยน่ะเจ้าคะ”“งั้นหรือ”ซ่งอวี่ถงยังคงจับจ้องนางไม่หยุด มู่อิงเถาได้แต่ยิ้มให้เขาเท่านั้นเกวียนวัวมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง บ้านที่ดูไม่ได้หลังใหญ่โตมากนักแต่เมื่อมองไปรอบๆ กลับมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยเลยทีเดียว“ลงไปกันเถอะ”“ท่านพี่นี่บ้
ทั้งคู่เดินแบกหมูป่าคนละตัวกลับไปที่บ้านด้วยความรวดเร็ว เมื่อมาถึงบ้านซ่งอวี่ถงก็ถึงกับปาดเหงื่อไปไม่น้อยแต่เมื่อหันไปมองมู่อิงเถานางกลับไม่มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเลยแม้เพียงนิด'เป็นไปได้อย่างไรกันล่ะเนี่ย'“ท่านมองข้าทำไมหรือ”“อะ เอ่อไม่มีอะไรหรอก เจ้าเหนื่อยหรือไม่”“ไม่เลยเจ้าค่ะข้าทำงานหนักมามากร่างกายจึงแข็งแรงกว่าคนปกตินัก ท่านรีบไปแล่เนื้อของมันเถอะจะได้รีบเอาไปขาย”“ข้ารู้แล้ว”“ท่านอาสามกลับมาแล้วหรือ”“หงเอ๋ออย่าวิ่งสิเดี๋ยวก็หกล้มหรอก แล้วนี่เจ้าวิ่งได้แล้วหรือ”“ข้าเจ็บที่แขนนะขอรับไม่ใช่ขาแม้จ
ซ่งอวี่ถงพานางเดินลัดเลาะมายังท้ายหมู่บ้านและเดินต่อไปเพียงไม่ถึงหกลี้[1] ก็มาถึงตีนเขาแล้ว แม้ระยะทางจะดูไม่ได้ไกลเกินไปแต่รูปร่างที่อวบอ้วนของนางนั้นกลับทำให้นางรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าคนปกติถึงสามเท่าเมื่อมองขึ้นไปบนหุบเขาบรรยากาศตรงหน้าช่างดูน่ากลัวเป็นอย่างมากแต่เมื่อหันไปมองใบหน้าของซ่งอวี่ถงกลับนิ่งเฉยเสียอย่างนั้น หรือว่าเป็นเรื่องปกติของเขาไปแล้วนะถึงไม่ได้ดูหวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย“ท่านพี่ พวกเราต้องเดินเข้าไปอีกไกลหรือไม่เจ้าคะ”“ไม่หรอกอีกไม่ถึงหนึ่งลี้[2] ก็ถึงแล้วล่ะเมื่อวานข้าทำลอบดักสัตว์เอาไว้ มาครั้งนี้ก็เพียงแค่เข้าไปตรวจดูเผื่อโชคดีอาจจะได้หมูป่าหรือกระต่ายป่ามาสักตัว”“งั้นหรือ”มู่อิงเถาไม่ได้คิดเช่นนั้นนางอยากได้สมุนไพรบางอย่างเพราะเมื่อวานที่คลองท้ายหมู่บ้าน นางได้ยินสะใภ
มู่อิงเถาเข้าครัวทำอาหารง่ายๆ ให้ซ่งอวี่ถงสองสามอย่างเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยนางจึงเดินเข้าไปในห้องนอนตั้งใจจะไปดูอาการของเด็กชายเสียหน่อย แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องประตูก็ถูกแง้มออกมาเล็กน้อยแล้วที่ข้างเตียงนอนของเด็กชายตัวน้อยนั้นมีซ่งอวี่ถงที่คอยเช็ดเนื้อตัวให้เขาอย่างเบามือด้วยความอ่อนโยน“ดูเหมือนหงเอ๋อจะไม่ทรมานมากเท่าใดแล้วนะเจ้าคะ”“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น อีกสองวันข้าจะเข้าเมืองไปสำนักบัณฑิตขอลาหยุดสักเจ็ดวันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้า”“ไม่ต้องหรอก พวกข้าอยู่ได้”“แต่หงเอ๋อบาดเจ็บเพียงนี้หากว่าบ้านนั้นมาระรานพวกเจ้าอีกจะทำอย่างไร ไม่ได้หรอกข้าไม่ไว้ใจ”“ทำมาก็ทำกลับสิ”
ซ่งอวี่ถงรีบออกจากบ้านเพื่อเดินทางเข้าไปตามท่านหมอในตัวเมืองแต่ยังไม่ทันได้ก้าวข้ามผ่านประตูรั้วเขาก็หันกลับมามองมู่อิงเถาอีกครั้ง แววตาของเขามีความกังวลบางอย่างซ่อนเอาไว้“เจ้าอยู่คนเดียวได้แน่นะ”“ท่านพี่ข้าอยู่คนเดียวเสียที่ไหนกันยังมีหงเอ๋ออยู่ด้วยนะ”“ท่านอาสามข้าดูแลอาสะใภ้ได้ขอรับ”ซ่งอวี่ถงส่ายหน้าให้พวกเขาเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปที่โรงหมอเดิมทีเขาคิดจะพาซ่งหงอี้ไปด้วยแต่เพราะร่างกายที่บอบช้ำจากการโดนทุบตีอีกทั้งยังมีมู่อิงเถาอีกคนการเดินทางเข้าเมืองอาจจะทำให้ล่าช้าขึ้น เขาจึงเลือกที่จะทิ้งทั้งคู่เอาไว้ที่บ้านแล้วเดินทางไปเพียงลำพังในใจก็หวั่นเกรงทั้งคู่จะเป็นอันตราย ได้แต่คิดแล้วก็รีบเดินทางไปด้วยความรวดเร็ว“หงเอ๋อเจ้าเป็นลูกผู้ชายต้องอดทนเอาไว้นะเข้าใจหรือไม่”“เข้าใจขอรับท่านอาสะใภ้”“เลิกเรียกข้าว่าอาสะใภ้เสียทีเถอะข้ากับท่านอาสามของเจ้าแม้จะแต่งงานกันแล้วแต่ก็ไม่เคยร่วมหอกันเลยสักครั้งนะ อีกอย่างเจ้าดูรูปร่างของข้าสิเหมาะสมกับท่านอา
“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”“!”“พวกท่านดูสินางอัปลักษณ์คนนี้มันทำร้ายข้าดูสิเลือดข้าไหลอาบเต็มหน้าไปหมดแล้ว”‘อยากรับบทเป็นเหยื่อสินะ ข้าจะสอนพวกเจ้าเองว่าเหยื่อที่ดีต้องทำอย่างไร’“หากพวกท่านมีตาก็คงเห็นว่านางเข้ามาทำลายข้าวของในบ้านข้าแล้วยังจะมาทุบตีหงเอ๋ออีก กล้าดีอย่างไรถึงมาทำตัวน่าสงสารใส่ความว่าข้าทำร้ายเจ้ากัน”“นั่นนะสิ”เสียงของชาวบ้านต่างก็เห็นด้วยกับมู่อิงเถา คิดไปในทิศทางเดียวกันกับนาง ไม่มีใครเห็นด้วยกับสะใภ้ใหญ่ซ่งเลยสักคน“จะ เจ้า เจ้ากล้าใส่ความข้างั้นหรือ”“หรือไม่จริงล่ะคนบ
“อิงเอ๋อ อิงเอ๋อ!”“จะ เจ้าคะ”“ไปยืนทำอะไรตรงนั้นเข้ามานั่งได้แล้วหากอาหารเย็นชืดหมดจะเสียรสชาติเอา”“เจ้าค่ะ”“ท่านอาสะใภ้กินนี่สิ ข้าคีบให้”ซ่งหงอี้คีบเนื้อปลาให้นางอย่างทุลักทุเล ซ่งอวี่ถงเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเขาเอาแต่คีบข้าวเปล่ากินอยู่อย่างนั้นจนนางนึกสงสัย‘ปลามีตั้งหลายตัวเหตุใดถึงกินแต่ข้าวเปล่าๆเช่นนั้นกัน’“ท่านกินแต่ข้าวเปล่าไม่แตะอาหารสักคำ เป็นอะไรอาหารไม่ถูกปากหรือ”“ข้ากลัวเจ้าไม่อิ่ม”“ห๋า”“เจ้ากินไปเถอะตอนออกไปจับปลาข้าก็ย่างกินไปหลายตัวแล้ว ในท้องก็อิ่มพอตัวก็เพียงแค่นั่งกินเป็นเพื่อนเจ้ากับหงเอ๋อก็เท่านั้น”“อ่อ อย่างนี้เองหรือ”“นี่ท่านอาสะใภ้”“หืม”“พวกท่านนอนเตียงเดียวกันใช่ไหม เช่นนั้นข้าขอนอนเตียงเล็กนะขอรับ”“แค่กๆ”“อะไรกันข้าถามแค่นี้เองต้องตกใจด้วยงั้นหรือ”“คือว่าหงเอ๋อข้านอนกับเจ้าก็ได้นะ”“ไม่เอาตัวพวกท่านใหญ่ออกปานนั้นข้าได้ตกเตียงตายหรอก ข้าขอนอนคนเดียวดีกว่า”“อะ เอ่อ”มู่อิงเถาหันไปมองใบหน้าของชายหนุ่ม เดิมทีนึกว่าเขาจะต่อต้านหรือปฎิเสธอะไรออกไปบ้างแต่เขากลับเอาแต่นิ่งเงียบแล้วก็กินข้าวต่อเหมือนไม่ได้ยินที่ซ่งหงอี้พูดเมื่อครู่นี้เลย‘อะไรกัน
“นั่นเจ้าจะทำอะไร”“!” เสียงชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นขณะที่มู่อิงเถากำลังถือเสื้อผ้าของเขาเอาไว้ในมือ นางหันหลังกลับไปดูก็พบว่าเป็นซ่งอวี่ถงที่กำลังยืนถือถังใส่ปลาเอาไว้ในมือ ใบหน้าของเขามีความไม่พอใจแผ่ซ่านออกมาแต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นแล้วก็กลับมาเป็นปกติดังเดิมมู่อิงเถายืนนิ่งพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่เพราะคิดไม่ถึงว่าซ่งอวี่ถงจะกลับมาเร็วเช่นนี้ นางรนรานลุกขึ้นเดินไปยืนอยู่ข้างเตียงนอนที่จัดเตรียมเอาไว้ก่อนจะเอ่ยปากบอกผู้เป็นสามีว่า“ขอโทษที่ข้าเข้าไปรื้อของๆท่าน ข้าแค่เพียงจะจัดเตรียมที่นอนเอาไว้ให้ท่านก็เท่านั้นเอง”“เป็นเช่นนั้นหรือ เจ้าหยุดมือก่อนเถอะไปล้างเนื้อล้างตัวได้แล้ววันนี้ข้าจะทำอาหารเย็นเอง”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าทำเอง”“เจ้าถูกท่านแม่ทุบตีมาเช่นนี้เนื้อตัวคงระบมแย่เลย ไปแช่น้ำอุ่นๆ ก่อนเถอะทางนี้ข้าจัดการเอง”“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”มู่อิงเถาช้อนสายตามองผู้เป็นสามีในนามที่กำลังเดินไปที่เพิงครัวที่เพิ่งทำขึ้นมาใหม่ๆ “แล้วหงเอ๋อเล่า”“อยู่หน้าบ้านกระมังเจ้าคะ”“งั้นหรือ”“ข้าไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน”“อืม”'คิดอะไรอยู่กันแน่นะ ดูแปลกคนเสียจริง’แม้จะแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้วแต่