ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นพร้อมกับเสียงนกร้องเซ็งแซ่ดังก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้าปลุกให้คนบนเตียงที่กำลังนอนหลับอยู่นั้นงัวเงียขึ้นมาพร้อมกับการฝืนตาให้ตื่นขึ้น
มู่อิงเถาไม่ได้นอนหลับสบายเช่นนี้มาร่วมเดือนแล้ว ครั้งสุดท้ายก็คือวันที่ซ่งอวี่ถงเดินทางกลับไปเรียนที่สำนักบัณฑิตนั่นเอง
นางค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้นก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อยเพราะความเคยชินที่ต้องนอนคนเดียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดแปลกไปจึงทำให้นางรู้สึกว่าบนเตียงนอนหลังนี้ไม่ได้มีแค่นางคนเดียว!
เมื่อหันไปมองด้านข้างของตนเองก็พบว่าซ่งอวี่ถงยังคงนอนหลับอยู่ ความรู้สึกง่วงงันเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้งทันที
‘ฉิบหาย! นี่ข้าขึ้นมานอนบนเตียงได้อย่างไรกันนะ’
มู่อิงเถาลนลานลงจากเตียงจนแทบจะสะดุดกับผ้าห่มแล้ว นางค่อยๆ สวมรองเท้าแล้วถอยหลังออกไปสามก้าวเพื่อตั้งหลักด้วยความรวดเร็ว
ตั้งแต่ทะลุมิติมาคืนนี้น่าจะเป็นคืนแรกเลยกระมังที่ได้นอนร่วมเตียงเดียวกันกับเขา เป็นไปได้อย่างไรคงไม่ใช่ว่านางละเมอขึ้นไปนอนเบียดกับเขาเองหรอกนะ
‘ไม่นะข้าก็ระวังตัวสุดๆ แล้วนี่นา บ้าจริง!’
ขณะที่กำลังยืนสับสนกับตนเองอยู่นั้น ชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่บนเตียงก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วหันมามองนาง
“อิงเอ๋อเจ้าตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ”
“มะ เมื่อครู่นี้เองคือว่าเมื่อคืนท่านเป็นไข้น่ะเจ้าค่ะ ข้าจึงมานอน..เอ้ยไม่ใช่ ข้าจึงรีบมาดูแลท่าน”
“งั้นหรอกหรือ”
เมื่อคิดถึงเรื่องที่นางขึ้นไปนอนบนเตียงเดียวกับเขาแล้วก็รู้สึกอายจนแทบอยากจะมุดพื้นหนีแต่พอนึกเรื่องบางอย่างได้นางก็ถึงกับขมวดคิ้วทันที
ซ่งอวี่ถงที่จ้องมองนางอยู่นั้นก็งุนงงกับอาการของนางไม่น้อย เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวขมวดคิ้ว
‘เป็นอะไรของนาง’
“ท่านมีอะไรปิดบังข้าอยู่หรือไม่”
“อะไรหรือ”
มู่อิงเถากอดอกก่อนจะจ้องหน้าเขาเขม็ง
“เมื่อคืนท่านไข้สูงมากข้าจึงเช็ดตัวให้ท่านแต่เนื้อตัวของท่านกลับเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ไปได้บาดแผลพวกนั้นมาได้อย่างไรนี่ท่านไปเรียนหนังสือหรือท่านไปเตะต่อยกับใครกันแน่”
“ไม่ใช่เช่นนั้นเสียหน่อย”
“แล้วมันอย่างไรกันเล่า”
“ข้าก็เพียงแค่….”
เขานึกหาเหตุผลแก้ตัวกับนางไม่ออก อ้ำอึ้งอยู่นานจนมู่อิงเถาเริ่มหมดความอดทน
“หากท่านไม่พูดข้าจะไปถามซูม่านอวี้เอง”
“อย่านะ!”
“เช่นนั้นก็ตอบข้ามา”
“รุ่นพี่ที่สำนักบัญฑิตท้าประลองกำลังกับข้าหากชนะจะได้เงินสิบตำลึง”
“เงินสิบตำลึง!”
“ใช่”
“แล้วผลเป็นอย่างไร”
“คือว่าข้าแพ้”
“เงินสิบตำลึงแลกกับบาดแผลพวกนี้นี่ท่านไม่สนใจร่างกายของตนเองเลยงั้นหรือ”
“ข้าเพียงแค่อยากหาเงินช่วยเจ้าก็เท่านั้น”
“วันหยุดของท่านก็ยังกลับมาช่วยข้าได้และที่บ้านของเราเวลานี้ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรดังเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว ท่านพี่ซ่งท่านรู้หรือไม่เหตุใดก่อนหน้านี้พวกท่านถึงได้ลำบากเช่นนี้”
“ทำไมหรือ”
“ก็เพราะว่าพวกท่านจิตใจดีงามเกินไปอย่างไรเล่า ยอมให้คนอื่นข่มเหงง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไรหากว่าพวกท่านสู้คนสักเพียงนิดคนพวกนั้นก็คงหาเรื่องเอาเปรียบพวกท่านไม่ได้แล้ว”
“ข้าขอโทษ”
“ท่านจะขอโทษข้าทำไม ท่านควรดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้ไม่ใช่เพื่อข้าแต่เพื่อตัวของท่านเองไหนจะหลานชายของท่านอีก ต่อไปนี้ไม่ว่าใครมารังแกท่านๆ ก็ซัดคืนไปเลยเข้าใจหรือไม่”
“ข้าจะจดจำไว้”
“อืมๆ”
‘เฮ้ย! ไม่ได้สิไปสอนให้ตัวร้ายทำร้ายคนเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ตายแล้ว!’
“เอ่อคือว่าท่านพี่ ข้าว่านะอะไรที่ยอมได้ท่านก็ปล่อยไปเถอะดีกว่าสร้างเวรกรรมไม่จบสิ้นนะ”
“แต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหากพวกนั้นตีข้าอีกก็ตีกลับไปเลยไม่ใช่หรือ”
“คือว่าข้าเป็นคนโง่ถนัดแต่ใช้กำลัง แต่ท่านเป็นบัณฑิตท่านใช้ปัญญาแก้ปัญหาจะดีกว่านะเจ้าคะ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ถือว่าเจ้าขอก็แล้วกัน”
‘ฟังดูแปลกๆ พิกลแต่ช่างเถอะดีกว่าฝึกให้เขาทำร้ายคนอื่นก็พอแล้ว’
“แม่นางมู่เจ้าอยู่หรือไม่”
ขณะที่มู่อิงเถากำลังยืนคิดบางอย่างในใจเงียบๆ อยู่นั้นก็ได้ยินเสียงใครบางคนร้องเรียกนางที่หน้าบ้าน
“เสียงใครกันหรือ”
“คงจะเป็นท่านป้าที่อยู่บ้านข้างๆ เราน่ะเจ้าค่ะ หากท่านลุกไหวแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะนะเจ้าคะข้าจะออกไปหาพวกเขาเสียหน่อย”
“อืม”
เมื่อมู่อิงเถาเดินออกจากห้องนอนไปแล้วซ่งอวี่ถงก็รีบร้อนลุกขึ้นจัดการตนเองก่อนจะเดินตามหลังนางออกไปด้วยความรวดเร็ว
เมื่อมองไปที่ประตูรั้วก็เห็นชายหญิงสูงวัยคู่หนึ่งกำลังยืนถือตะกร้าพร้อมทั้งส่งยิ้มที่ดูเป็นมิตรให้แก่ภรรยาของเขาอยู่
“ท่านลุงท่านป้ามีอะไรหรือเจ้าคะมาหาข้าแต่เช้าเลย”
“คือว่าไม่กี่วันก่อนลูกชายของข้าเพิ่งเดินทางมาจากเมืองหลวงน่ะ ได้ของฝากมาให้พวกข้าสองคนมากมายเลยแต่ลำพังพวกข้านั้นคงใช้กันไม่หมดทั้งยังไม่รู้จะเอาของพวกนี้ไปใช้ทำอะไรจึงเอามาให้พวกเจ้าดีกว่า”
“ลูกชายของท่านหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว”
“คนที่ชอบสวมหมวกปิดบังใบหน้าคนนั้นน่ะหรือเจ้าคะ”
“เขาไม่ค่อยชอบเข้าหาผู้คนนักหรอกข้าถึงไม่ได้แนะนำให้เจ้ารู้จักเสียที”
สตรีสูงวัยผู้นั้นกล่าวออกมาก่อนจะยื่นตะกร้ามาตรงหน้าของนาง มู่อิงเถาจึงต้องยื่นมือไปรับมาถือไว้
“เจ้าเปิดดูสิ”
นางพยักหน้ารับก่อนจะเปิดดูของที่อยู่ด้านใน
“ท่านป้าแม้ว่าข้าจะไม่สันทัดเรื่องผ้าเท่าใดนักแต่ผ้าไหมพวกนี้ไม่ใช่ของที่มีราคาสูงหรอกหรือเจ้าคะ ของฝากล้ำค่าเช่นนี้ข้ารับไว้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
“เจ้ารับไว้เถอะข้าได้ยินเจ้าพูดว่าอีกไม่นานที่เมืองหลวงจะมีการสอบจอหงวนแล้วเอาไว้ไปตัดเสื้อให้สามีของเจ้าก็ได้ เจ้ามาอยู่ที่นี่ก็เป็นเหมือนลูกหลานของข้าแล้วอย่าได้เกรงใจเลย”
“รู้หรือไม่ตั้งแต่พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่พวกข้าสองคนก็คลายเหงาลงไปเยอะ ของใช้พวกนี้พวกข้าสองคนแก่แล้วไม่จำเป็นต้องใช้หรอกมันเหมาะกับพวกเจ้าเสียมากกว่า”
“แต่ว่า”
“อิงเอ๋อผู้ใหญ่ให้ของก็รับไว้เถอะอย่าทำให้พวกท่านเสียน้ำใจเลย”
ซ่งอวี่ถงที่เดินตามหลังนางมาเอ่ยขึ้นทั้งยังจ้องมองผู้เฒ่าทั้งสองคนด้วยแววตาที่อ่อนโยน
เดิมทีเขาเองก็ไม่ค่อยรับของจากคนแปลกหน้าเท่าใดนักแต่เพราะผู้เฒ่าทั้งสองคนนี้ก็อาศัยอยู่บ้านใกล้เคียงกันทั้งยังคอยดูแลภรรยาและหลานชายของเขาในระหว่างที่เขาไปเรียนอีกด้วยจะให้เขาปฎิเสธน้ำใจของพวกท่านไปได้อย่างไร
“นั่นสามีของเจ้าสินะ”
“ใช่ขอรับ ข้าเป็นสามีของนาง”
“ช่างเป็นคนที่หล่อเหลาเสียจริงเหมือนท่านสมัยหนุ่มๆ เลยนะเจ้าคะท่านพี่”
“พูดอะไรอายเด็กๆ เสียจริง”
“ก็มันจริงหรือไม่เล่า”
แม้จะเป็นคำชมแต่มู่อิงเถากลับยิ้มไม่ออก ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจที่คนอื่นชื่นชอบสามีของนางแต่เพราะคำชมเหล่านี้ยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวนางนั้นไม่เหมาะสมกับเขาอย่างไรเล่า
“เจ้ารับไว้เถอะนะถือเป็นการตอบแทนน้ำใจที่เจ้าคอยทำอาหารมาให้พวกเรากินบ่อยๆ”
“เช่นนั้นก็ขอบคุณนะเจ้าคะท่านป้า”
มู่อิงเถาถือตะกร้าเอาไว้ในอ้อมแขนแน่นก่อนจะโบกมือลาผู้เฒ่าทั้งสองคน เมื่อทั้งคู่เข้าบ้านไปแล้วมู่อิงเถาและซ่งอวี่ถงก็หันหลังกลับเข้าบ้านของตนเองเช่นกัน
อีกมุมหนึ่งของถนนนั้นผู้เฒ่าทั้งสองคนยังไม่ทันได้กลับเข้าไปในบ้านของตนเอง พวกเขายังคงยืนจับจ้องหนุ่มสาวคู่นั้นอยู่อย่างไม่วางตา
“ท่านพี่ท่านจะไม่บอกอะไรเขาหน่อยหรือ”
“จะรีบร้อนไปทำไมกันเล่ายังมีเวลาอีกเยอะ กลับเข้าบ้านกันได้แล้ว”
“ก็ได้”
หมู่บ้านต้าไห่ เมืองเป่ยเย่“ท่านอาอวี่ถงขอรับอาสะใภ้สามตายแล้ว ท่านย่าเฆี่ยนตีนางจนตายไปแล้ว”ซ่งหงอี้บุตรชายของพี่รองของเขาเป็นคนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ“เจ้าพูดอะไร! กล้าใส่ความข้าได้อย่างไรนางป่วยออดๆ แอดๆ รอวันตายเช่นนี้เหตุใดเจ้าถึงกล้ามากล่าวหาข้า”ฮูหยินซ่งผู้ที่รังเกียจลูกสะใภ้มาตั้งแต่นางตบแต่งเข้ามาในบ้าน โบ้ยความผิดให้คนที่นอนหายใจอ่อนรวยรินที่แคร่หน้าบ้านของตระกูลซ่งบ้านตระกูลซ่งนั้นถือว่ามีฐานะที่ดีพอสมควรก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ที่รุนแรงเกิดขึ้นในครอบครัวเลยสักครั้ง แต่เพราะไม่นานมานี้นายท่านซ่งนั้นได้สิ้นใจไปจึงทำให้ฮูหยินซ่งขึ้นเป็นหัวหน้าครอบครัวแทน ลูกหลานทุกคนจึงต้องเชื่อฟังนางนั่นเองฮูหยินซ่งนั้นมีลูกชายสามคน คนโตยังอยู่ที่บ้านใหญ่ ลูกชายคนรองเมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งสิ้นใจตายไปพร้อมภรรยารักของเขา ส่วนลูกชายคนที่สามก็คือซ่งอวี่ถงสามีของมู่อิงเถาสตรีที่นอนอยู่บนแคร่หน้าบ้านตระกูลซ่งนั่นเองแต่ก่อนพี่ชายคนรองของซ่งอวี่ถงนั้นต้องตรากตรำทำงานหนักในไร่ในนาเพียงลำพัง ส่วนซ่งอวี่ถงนั้นเพราะเขาอ่านหนังสือออกมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว นายท่านซ่งจึงส่งเขาไปเรียนที่
“ผะ ผีหลอก! ช่วยด้วยผีหลอก”มู่อิงเถาค่อยๆขยับร่างกายขึ้นมาก่อนจะเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งของนางขึ้นทีละนิดความจริงนางนั้นตื่นมาได้สักพักแล้ว นานพอที่จะได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดและที่น่าปวดใจก็คือนางข้ามเวลามาอยู่ในร่างของสตรีผู้ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อผลักดันให้ผู้เป็นสามีเช่น ซ่งอวี่ถงสอบเข้าราชการจนได้ดิบได้ดีและสุดท้ายก็ต้องตายเพราะน้ำมือของเขานั่นเองเรื่องราวเหล่านี้อยู่ในนิยายเล่มโปรดที่เธอชอบอ่านจนจบไปหลายครั้งทว่าในส่วนท้ายของนิยายเล่มนั้นกลับไม่ได้กล่าวเอาไว้ถึงการดำเนินเรื่องของตัวร้ายว่าไปในทิศทางใดเพราะยังมีเล่ม 2 ที่นักเขียนยังเขียนไม่จบนั่นเองแม้จะไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตนเองจนได้แต่ในเมื่อเธอเข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้วก็คงทำได้แค่ทำใจอย่างเดียวเธอจำไม่ได้เลยสักเพียงนิดว่าเจ้าของร่างนี้รู้สึกอย่างไรกับคนในครอบครัวนี้ เพราะความทรงจำอันน้อยนิดที่พอจะนึกขึ้นได้ทำให้เธอไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับใครเลยแต่ที่น่าอนาจใจนั้นคือสตรีผู้ที่เธอเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างนี้ต่างหากเล่า ถูกทุบตีจนตายเช่นนี้นางทนไปได้อย่างไรกัน“มะ มู่อิงเถาเจ้าตายไปแล้วนี่นา ข้าเป
“พวกเจ้าอย่าได้คิดเอาอะไรในบ้านของข้าไปแม้แต่ชิ้นเดียว ของทุกชิ้นในบ้านนี้เป็นของตระกูลซ่งทั้งหมด!”ซ่งอวี่ถงและซ่งหงอี้ถึงกับส่ายหน้าอย่างจนใจพวกเขาเข้าไปในบ้านโทรมๆ ที่ถูกแยกออกมาจากตัวบ้านใหญ่ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าของใช้เล็กน้อยใส่หีบใบเล็กอย่างรวดเร็ว ซ่งหงอี้รนรานรีบเก็บเสื้อผ้าที่มีน้อยชิ้นของตนเองยัดลงไปในหีบเดียวกันกับผู้เป็นอาด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ออกจากบ้านหลังนี้“เจ้าก็มาเก็บของของเจ้าสิ”เป็นซ่งอวี่ถงที่เอ่ยออกมาเพราะเมื่อหันไปมองด้านหลังก็เห็นว่ามู่อิงเถาเอาแต่ยืนนิ่งจ้องมองมาที่พวกเขาตาปริบๆ ไม่คิดที่จะขยับตัวเลยสักเพียงนิด“อ่อ เอ่อได้ๆ”ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่มามุงดูสองบุรุษต่างวัยและหนึ่งสตรีอวบอ้วนต่างก็หอบเอาหีบเสื้อผ้าของตนเองออกมาที่ลานหน้าบ้าน และเป็นซ่งอวี่ถงที่เอ่ยปากออกมาในที่สุด“ท่านพูดเองว่าต่อไปนี้พวกข้ากับบ้านใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกันเป็นตายไม่รับรู้กัน เช่นนั้นพวกท่านเองก็อย่ามารบกวนพวกข้าอีกก็เป็นพอ”“คิดว่าพวกเจ้ามีดีตรงไหนพวกข้าถึงต้องร้องขอเจ้างั้นหรือ”“เป็นเช่นนั้นก็ดี”ซ่งอวี่ถงเอ่ยออกมาเพียงสั้นๆก่อนจะจ้องมองฮูหยินซ่งอีกครั้งแล้วรีบพาทั้งสองคนเดินออ
“นั่นเจ้าจะทำอะไร”“!” เสียงชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นขณะที่มู่อิงเถากำลังถือเสื้อผ้าของเขาเอาไว้ในมือ นางหันหลังกลับไปดูก็พบว่าเป็นซ่งอวี่ถงที่กำลังยืนถือถังใส่ปลาเอาไว้ในมือ ใบหน้าของเขามีความไม่พอใจแผ่ซ่านออกมาแต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นแล้วก็กลับมาเป็นปกติดังเดิมมู่อิงเถายืนนิ่งพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่เพราะคิดไม่ถึงว่าซ่งอวี่ถงจะกลับมาเร็วเช่นนี้ นางรนรานลุกขึ้นเดินไปยืนอยู่ข้างเตียงนอนที่จัดเตรียมเอาไว้ก่อนจะเอ่ยปากบอกผู้เป็นสามีว่า“ขอโทษที่ข้าเข้าไปรื้อของๆท่าน ข้าแค่เพียงจะจัดเตรียมที่นอนเอาไว้ให้ท่านก็เท่านั้นเอง”“เป็นเช่นนั้นหรือ เจ้าหยุดมือก่อนเถอะไปล้างเนื้อล้างตัวได้แล้ววันนี้ข้าจะทำอาหารเย็นเอง”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าทำเอง”“เจ้าถูกท่านแม่ทุบตีมาเช่นนี้เนื้อตัวคงระบมแย่เลย ไปแช่น้ำอุ่นๆ ก่อนเถอะทางนี้ข้าจัดการเอง”“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”มู่อิงเถาช้อนสายตามองผู้เป็นสามีในนามที่กำลังเดินไปที่เพิงครัวที่เพิ่งทำขึ้นมาใหม่ๆ “แล้วหงเอ๋อเล่า”“อยู่หน้าบ้านกระมังเจ้าคะ”“งั้นหรือ”“ข้าไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน”“อืม”'คิดอะไรอยู่กันแน่นะ ดูแปลกคนเสียจริง’แม้จะแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้วแต่
“อิงเอ๋อ อิงเอ๋อ!”“จะ เจ้าคะ”“ไปยืนทำอะไรตรงนั้นเข้ามานั่งได้แล้วหากอาหารเย็นชืดหมดจะเสียรสชาติเอา”“เจ้าค่ะ”“ท่านอาสะใภ้กินนี่สิ ข้าคีบให้”ซ่งหงอี้คีบเนื้อปลาให้นางอย่างทุลักทุเล ซ่งอวี่ถงเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเขาเอาแต่คีบข้าวเปล่ากินอยู่อย่างนั้นจนนางนึกสงสัย‘ปลามีตั้งหลายตัวเหตุใดถึงกินแต่ข้าวเปล่าๆเช่นนั้นกัน’“ท่านกินแต่ข้าวเปล่าไม่แตะอาหารสักคำ เป็นอะไรอาหารไม่ถูกปากหรือ”“ข้ากลัวเจ้าไม่อิ่ม”“ห๋า”“เจ้ากินไปเถอะตอนออกไปจับปลาข้าก็ย่างกินไปหลายตัวแล้ว ในท้องก็อิ่มพอตัวก็เพียงแค่นั่งกินเป็นเพื่อนเจ้ากับหงเอ๋อก็เท่านั้น”“อ่อ อย่างนี้เองหรือ”“นี่ท่านอาสะใภ้”“หืม”“พวกท่านนอนเตียงเดียวกันใช่ไหม เช่นนั้นข้าขอนอนเตียงเล็กนะขอรับ”“แค่กๆ”“อะไรกันข้าถามแค่นี้เองต้องตกใจด้วยงั้นหรือ”“คือว่าหงเอ๋อข้านอนกับเจ้าก็ได้นะ”“ไม่เอาตัวพวกท่านใหญ่ออกปานนั้นข้าได้ตกเตียงตายหรอก ข้าขอนอนคนเดียวดีกว่า”“อะ เอ่อ”มู่อิงเถาหันไปมองใบหน้าของชายหนุ่ม เดิมทีนึกว่าเขาจะต่อต้านหรือปฎิเสธอะไรออกไปบ้างแต่เขากลับเอาแต่นิ่งเงียบแล้วก็กินข้าวต่อเหมือนไม่ได้ยินที่ซ่งหงอี้พูดเมื่อครู่นี้เลย‘อะไรกัน
“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”“!”“พวกท่านดูสินางอัปลักษณ์คนนี้มันทำร้ายข้าดูสิเลือดข้าไหลอาบเต็มหน้าไปหมดแล้ว”‘อยากรับบทเป็นเหยื่อสินะ ข้าจะสอนพวกเจ้าเองว่าเหยื่อที่ดีต้องทำอย่างไร’“หากพวกท่านมีตาก็คงเห็นว่านางเข้ามาทำลายข้าวของในบ้านข้าแล้วยังจะมาทุบตีหงเอ๋ออีก กล้าดีอย่างไรถึงมาทำตัวน่าสงสารใส่ความว่าข้าทำร้ายเจ้ากัน”“นั่นนะสิ”เสียงของชาวบ้านต่างก็เห็นด้วยกับมู่อิงเถา คิดไปในทิศทางเดียวกันกับนาง ไม่มีใครเห็นด้วยกับสะใภ้ใหญ่ซ่งเลยสักคน“จะ เจ้า เจ้ากล้าใส่ความข้างั้นหรือ”“หรือไม่จริงล่ะคนบ
ซ่งอวี่ถงรีบออกจากบ้านเพื่อเดินทางเข้าไปตามท่านหมอในตัวเมืองแต่ยังไม่ทันได้ก้าวข้ามผ่านประตูรั้วเขาก็หันกลับมามองมู่อิงเถาอีกครั้ง แววตาของเขามีความกังวลบางอย่างซ่อนเอาไว้“เจ้าอยู่คนเดียวได้แน่นะ”“ท่านพี่ข้าอยู่คนเดียวเสียที่ไหนกันยังมีหงเอ๋ออยู่ด้วยนะ”“ท่านอาสามข้าดูแลอาสะใภ้ได้ขอรับ”ซ่งอวี่ถงส่ายหน้าให้พวกเขาเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปที่โรงหมอเดิมทีเขาคิดจะพาซ่งหงอี้ไปด้วยแต่เพราะร่างกายที่บอบช้ำจากการโดนทุบตีอีกทั้งยังมีมู่อิงเถาอีกคนการเดินทางเข้าเมืองอาจจะทำให้ล่าช้าขึ้น เขาจึงเลือกที่จะทิ้งทั้งคู่เอาไว้ที่บ้านแล้วเดินทางไปเพียงลำพังในใจก็หวั่นเกรงทั้งคู่จะเป็นอันตราย ได้แต่คิดแล้วก็รีบเดินทางไปด้วยความรวดเร็ว“หงเอ๋อเจ้าเป็นลูกผู้ชายต้องอดทนเอาไว้นะเข้าใจหรือไม่”“เข้าใจขอรับท่านอาสะใภ้”“เลิกเรียกข้าว่าอาสะใภ้เสียทีเถอะข้ากับท่านอาสามของเจ้าแม้จะแต่งงานกันแล้วแต่ก็ไม่เคยร่วมหอกันเลยสักครั้งนะ อีกอย่างเจ้าดูรูปร่างของข้าสิเหมาะสมกับท่านอา
มู่อิงเถาเข้าครัวทำอาหารง่ายๆ ให้ซ่งอวี่ถงสองสามอย่างเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยนางจึงเดินเข้าไปในห้องนอนตั้งใจจะไปดูอาการของเด็กชายเสียหน่อย แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องประตูก็ถูกแง้มออกมาเล็กน้อยแล้วที่ข้างเตียงนอนของเด็กชายตัวน้อยนั้นมีซ่งอวี่ถงที่คอยเช็ดเนื้อตัวให้เขาอย่างเบามือด้วยความอ่อนโยน“ดูเหมือนหงเอ๋อจะไม่ทรมานมากเท่าใดแล้วนะเจ้าคะ”“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น อีกสองวันข้าจะเข้าเมืองไปสำนักบัณฑิตขอลาหยุดสักเจ็ดวันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้า”“ไม่ต้องหรอก พวกข้าอยู่ได้”“แต่หงเอ๋อบาดเจ็บเพียงนี้หากว่าบ้านนั้นมาระรานพวกเจ้าอีกจะทำอย่างไร ไม่ได้หรอกข้าไม่ไว้ใจ”“ทำมาก็ทำกลับสิ”
ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นพร้อมกับเสียงนกร้องเซ็งแซ่ดังก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้าปลุกให้คนบนเตียงที่กำลังนอนหลับอยู่นั้นงัวเงียขึ้นมาพร้อมกับการฝืนตาให้ตื่นขึ้นมู่อิงเถาไม่ได้นอนหลับสบายเช่นนี้มาร่วมเดือนแล้ว ครั้งสุดท้ายก็คือวันที่ซ่งอวี่ถงเดินทางกลับไปเรียนที่สำนักบัณฑิตนั่นเองนางค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้นก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อยเพราะความเคยชินที่ต้องนอนคนเดียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดแปลกไปจึงทำให้นางรู้สึกว่าบนเตียงนอนหลังนี้ไม่ได้มีแค่นางคนเดียว!เมื่อหันไปมองด้านข้างของตนเองก็พบว่าซ่งอวี่ถงยังคงนอนหลับอยู่ ความรู้สึกง่วงงันเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้งทันที‘ฉิบหาย! นี่ข้าขึ้นมานอนบนเตียงได้อย่างไรกันนะ’มู่อิงเถาลนลานลงจากเตียงจนแทบจะสะดุดกับผ้าห่มแล้ว นางค่อยๆ สวมรองเท้าแล้วถอยหลังออกไปสามก้าวเพื่อตั้งหลักด้วยความรวดเร็วตั้งแต่ทะลุมิติมาคืนนี้น่าจะเป็นคืนแรกเลยกระมังที่ได้นอนร่วมเตียงเดียวกันกับเขา เป็นไปได้อย่างไรคงไม่ใช่ว่านางละเมอขึ้นไปนอนเบียดกับเขาเองหรอกนะ‘ไม่นะข้าก็ระวังตัวสุดๆ แล้วนี่นา บ้าจริง!’ขณะที่กำลังยืนสับสนกับตนเองอยู่นั้น ชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่บนเตียงก
‘จะไม่ยอมปล่อยข้าไปจริงๆ งั้นหรือ’“คือ ความจริงการแต่งงานมันก็เป็นเรื่อง….”“แม่นางซู ที่สำนักบัณฑิตหยุดเรียนสามวันไว้หลังจากนั้นข้าจะไปสอนหนังสือให้เจ้าอีกครั้ง”“ข้าเข้าใจแล้ว เชิญพวกท่านตามสบายเถอะเจ้าคะ”“อืม ขอบใจเจ้ามากนะ”ซูม่านอวี้หันหลังเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองพวกนางอีก มู่อิงเถาอยู่ๆ ก็รู้สึกแข้งขาอ่อนขึ้นมาทันใด นางหันไปมองใบหน้าของผู้เป็นสามีก็เห็นว่าเขาอมยิ้มอยู่ก่อนแล้วมู่อิงเถาสะบัดหน้าให้เขาก่อนจะเดินไปนั่งกินข้าวต่อกับซ่งหงอี้ที่เวลานี้เอาแต่อมยิ้มไม่หยุดครั้งนี้ซ่งอวี่ถงไม่ได้กลับบ้านนานเกินครึ่งเดือน กลับมาครั้งนี้เขาเองก็ตกตะลึงที่ได้เห็นมู่อิงเถาอีกครั้งนางดูเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากเลยทีเดียว แต่เพราะคำพูดเมื่อครู่ของเขาอาจจะทำให้นางไม่พอใจไปบ้าง ดังนั้นจึงไม่อาจเอ่ยถามอะไรออกไปได้ในเวลานี้“ข้ากลับมาเหนื่อยๆ หิวข้าวเสียจริง”“ได้ เชิญท่านนั่งสิ”มู่อิงเถาวางตะเกียบลงก่อนจะเดินเข้าไปในครัวแล้วหยิบเอาถ้วยที่ตักข้าวจนเต็มมาให้เขา“อาหารพื้นๆ ท่านทนกินไปเถอะนะเผื่อสักวันท่านอาจจะได้กินอาหารที่ดีกว่านี้ก็เป็นได้”“ข้าก็กินแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ดูเหมือนครั้งนี้จะดีกว
“โอ๊ย! นี่เจ้ากล้าทำร้ายข้างั้นหรือ”“ท่านแม่เจ็บมากหรือไม่ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำร้ายแม่ของข้า”ไม่ทันที่เด็กสาวผู้นั้นจะได้เดินเข้ามาใกล้ มู่อิงเถาก็ใช้ฝ่ามือซัดไปที่จมูกของนางเต็มแรง“กรี๊ด! ท่านแม่นางตบข้า”“ข้าต่อยเจ้าต่างหากเล่านังเด็กไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า”“เจ้าน่ะสิไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า แม่นางซูท่านดูสินางนิสัยแย่ถึงเพียงนี้ท่านยังจะปล่อยให้อวี่ถงของเราถูกนางสูบเลือดสูบเนื้ออยู่ฝ่ายเดียวงั้นหรือ”เมื่อซูม่านอวี้ได้ยินดังนั้นก็หันไปมองมู่อิงเถาทันที นางยังไม่ยอมปริปากสิ่งใดออกมาแต่เป็นมู่อิงเถาเองที่อดรนทนไม่ไหว“เจ้าจะบอกว่าข้าเป็นปลิงคอยสูบเลือดสูบเนื้อซ่งอวี่ถงแล้วพวกเจ้าล่ะไม่ยิ่งกว่าปลิงหรอกหรือ ไม่ว่าบ้านสามจะได้เงินมามากเท่าไหร่พวกเจ้าก็ยึดไปหมดตรงไหนกันที่ว่าข้าทำร้ายเขา ไม่ใช่พวกเจ้าหรือ”“จะ เจ้า”“หุบปาก! ข้าให้เจ้าพูดแล้วอย่างนั้นหรือ พี่รองกับท่านพี่ซ่งลำบากลำบนทำงานในไร่ในนามามากตั้งเท่าใดส่วนพี่สะใภ้รองและตัวข้าเองก็ยังต้องทำงานในบ้านแทนพวกเจ้าอีก เสื้อผ้าของใช้ดีๆ ยังไม่มีใส่เหมือนพวกเจ้าเลยแบบนี้แล้วเจ้ายังจะกล้ามาใส่ความข้าอีก ถุย!”มู่อิงเถาถุยน้ำลายใส่หน้
“มู่อิงเถา”“งื้อ ข้าจะนอนขอนอนตื่นสายสักวันสิ”“มู่อิงเถาเจ้าตื่นเดี๋ยวนี้นะ!”“โอ๊ย! ใครกันเรียกอยู่ได้ หืม....ลิงฮุยงั้นหรือ”“ข้าบอกว่าหากเรียกชื่อข้าผิดอีก ต่อไปนี้ข้าจะไม่ช่วยเจ้าอีกแล้วนะ”“ขอโทษทีข้ายังมึนๆ อยู่น่ะ สองสามวันมานี้เจ้าหายไปไหนมา”“ข้าไม่ได้หายไปไหนทั้งนั้นเจ้าลุกขึ้นมาได้แล้วน้ำพุแห่งกาลเวลาจะล้นออกมาแล้วเนี่ย”“อะไรนะ”มู่อิงเถาได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้นมาทันที เมื่อมองไปรอบๆ ที่แห่งนี้กลับไม่ใช่ห้องนอนที่นางนอนเมื่อคืนนี้เสียอย่างนั้น
-เมืองเป่ยเย่-‘ว้าวเมืองเล็กๆ ยังน่าตื่นตาตื่นใจถึงเพียงนี้ถ้าเป็นเมืองหลวงเล่าจะใหญ่โตแค่ไหนกันนะ’“เป็นอะไรไม่เคยเข้ามาในเมืองเลยงั้นหรือ ข้าจำได้ว่าพี่สะใภ้รองเคยพาเจ้ามาซื้อของในเมืองอยู่นะจำไม่ได้แล้วหรือ”“ข้าเคยมาแล้วงั้นหรือ อาจจะเพราะตั้งแต่โดนตีเกือบตายวันนั้นข้าก็เลอะเลือนจนลืมไปเสียสนิทเลยน่ะเจ้าคะ”“งั้นหรือ”ซ่งอวี่ถงยังคงจับจ้องนางไม่หยุด มู่อิงเถาได้แต่ยิ้มให้เขาเท่านั้นเกวียนวัวมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง บ้านที่ดูไม่ได้หลังใหญ่โตมากนักแต่เมื่อมองไปรอบๆ กลับมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยเลยทีเดียว“ลงไปกันเถอะ”“ท่านพี่นี่บ้
ทั้งคู่เดินแบกหมูป่าคนละตัวกลับไปที่บ้านด้วยความรวดเร็ว เมื่อมาถึงบ้านซ่งอวี่ถงก็ถึงกับปาดเหงื่อไปไม่น้อยแต่เมื่อหันไปมองมู่อิงเถานางกลับไม่มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเลยแม้เพียงนิด'เป็นไปได้อย่างไรกันล่ะเนี่ย'“ท่านมองข้าทำไมหรือ”“อะ เอ่อไม่มีอะไรหรอก เจ้าเหนื่อยหรือไม่”“ไม่เลยเจ้าค่ะข้าทำงานหนักมามากร่างกายจึงแข็งแรงกว่าคนปกตินัก ท่านรีบไปแล่เนื้อของมันเถอะจะได้รีบเอาไปขาย”“ข้ารู้แล้ว”“ท่านอาสามกลับมาแล้วหรือ”“หงเอ๋ออย่าวิ่งสิเดี๋ยวก็หกล้มหรอก แล้วนี่เจ้าวิ่งได้แล้วหรือ”“ข้าเจ็บที่แขนนะขอรับไม่ใช่ขาแม้จ
ซ่งอวี่ถงพานางเดินลัดเลาะมายังท้ายหมู่บ้านและเดินต่อไปเพียงไม่ถึงหกลี้[1] ก็มาถึงตีนเขาแล้ว แม้ระยะทางจะดูไม่ได้ไกลเกินไปแต่รูปร่างที่อวบอ้วนของนางนั้นกลับทำให้นางรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าคนปกติถึงสามเท่าเมื่อมองขึ้นไปบนหุบเขาบรรยากาศตรงหน้าช่างดูน่ากลัวเป็นอย่างมากแต่เมื่อหันไปมองใบหน้าของซ่งอวี่ถงกลับนิ่งเฉยเสียอย่างนั้น หรือว่าเป็นเรื่องปกติของเขาไปแล้วนะถึงไม่ได้ดูหวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย“ท่านพี่ พวกเราต้องเดินเข้าไปอีกไกลหรือไม่เจ้าคะ”“ไม่หรอกอีกไม่ถึงหนึ่งลี้[2] ก็ถึงแล้วล่ะเมื่อวานข้าทำลอบดักสัตว์เอาไว้ มาครั้งนี้ก็เพียงแค่เข้าไปตรวจดูเผื่อโชคดีอาจจะได้หมูป่าหรือกระต่ายป่ามาสักตัว”“งั้นหรือ”มู่อิงเถาไม่ได้คิดเช่นนั้นนางอยากได้สมุนไพรบางอย่างเพราะเมื่อวานที่คลองท้ายหมู่บ้าน นางได้ยินสะใภ
มู่อิงเถาเข้าครัวทำอาหารง่ายๆ ให้ซ่งอวี่ถงสองสามอย่างเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยนางจึงเดินเข้าไปในห้องนอนตั้งใจจะไปดูอาการของเด็กชายเสียหน่อย แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องประตูก็ถูกแง้มออกมาเล็กน้อยแล้วที่ข้างเตียงนอนของเด็กชายตัวน้อยนั้นมีซ่งอวี่ถงที่คอยเช็ดเนื้อตัวให้เขาอย่างเบามือด้วยความอ่อนโยน“ดูเหมือนหงเอ๋อจะไม่ทรมานมากเท่าใดแล้วนะเจ้าคะ”“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น อีกสองวันข้าจะเข้าเมืองไปสำนักบัณฑิตขอลาหยุดสักเจ็ดวันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้า”“ไม่ต้องหรอก พวกข้าอยู่ได้”“แต่หงเอ๋อบาดเจ็บเพียงนี้หากว่าบ้านนั้นมาระรานพวกเจ้าอีกจะทำอย่างไร ไม่ได้หรอกข้าไม่ไว้ใจ”“ทำมาก็ทำกลับสิ”
ซ่งอวี่ถงรีบออกจากบ้านเพื่อเดินทางเข้าไปตามท่านหมอในตัวเมืองแต่ยังไม่ทันได้ก้าวข้ามผ่านประตูรั้วเขาก็หันกลับมามองมู่อิงเถาอีกครั้ง แววตาของเขามีความกังวลบางอย่างซ่อนเอาไว้“เจ้าอยู่คนเดียวได้แน่นะ”“ท่านพี่ข้าอยู่คนเดียวเสียที่ไหนกันยังมีหงเอ๋ออยู่ด้วยนะ”“ท่านอาสามข้าดูแลอาสะใภ้ได้ขอรับ”ซ่งอวี่ถงส่ายหน้าให้พวกเขาเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปที่โรงหมอเดิมทีเขาคิดจะพาซ่งหงอี้ไปด้วยแต่เพราะร่างกายที่บอบช้ำจากการโดนทุบตีอีกทั้งยังมีมู่อิงเถาอีกคนการเดินทางเข้าเมืองอาจจะทำให้ล่าช้าขึ้น เขาจึงเลือกที่จะทิ้งทั้งคู่เอาไว้ที่บ้านแล้วเดินทางไปเพียงลำพังในใจก็หวั่นเกรงทั้งคู่จะเป็นอันตราย ได้แต่คิดแล้วก็รีบเดินทางไปด้วยความรวดเร็ว“หงเอ๋อเจ้าเป็นลูกผู้ชายต้องอดทนเอาไว้นะเข้าใจหรือไม่”“เข้าใจขอรับท่านอาสะใภ้”“เลิกเรียกข้าว่าอาสะใภ้เสียทีเถอะข้ากับท่านอาสามของเจ้าแม้จะแต่งงานกันแล้วแต่ก็ไม่เคยร่วมหอกันเลยสักครั้งนะ อีกอย่างเจ้าดูรูปร่างของข้าสิเหมาะสมกับท่านอา