สวามีสั่งลงทัณฑ์นางด้วยเชื่อคำยุยงของผู้อื่น นางจึงขอตัดขาดวาสนาเคียงคู่ ขอรับเคราะห์กรรมยังโลกมนุษย์ เพื่อจบสิ้นทุกสิ่งอย่าง “ฝ่าบาท ข้าขอพระเมตตา ขอตัดสัมพันธ์กับไท่จื่อ จบสิ้นวาสนา ไม่ขอเป็นชายาของไท่จื่ออีกต่อไป”
View Moreเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นทำให้นางหันมอง แล้วก็ลุกขึ้นยืนด้วยสัญชาตญาณ เพราะสองคนผู้มาใหม่พร้อมกับบิดามารดานั้นดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ทั้งฝ่ายผู้หญิงยังเดินตรงมาหานางเร็วกว่าคนอื่นและจับมือทันที“ช่างสวยน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก”อวี้หลันยืนงง ขณะอีกฝ่ายลูบผมนาง“หลันเอ๋อร์ นี่คือท่านย่าของเจ้า”มารดาเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยเสียงเบา“ท่านย่า”สาวน้อยย่อตัวลงเล็กน้อยแม้จะยังอึ้งแปลกใจ และบิดาก็เอ่ยขึ้นนางจึงต้องหันมองตาม“แล้วนี่ก็ท่านปู่”“ท่านปู่”นางย่อตัวลงอีกครั้ง สบตาคมดูมีอำนาจของผู้เป็นปู่แวบเดียวก็หลบ แล้วก็ต้องยิ้มบางกับท่านย่าที่ประคองสองข้างแก้มตน“ไหนให้ย่าดูชัดๆ สิ เหมือนเจิ้งหานเมื่อยังเด็ก แต่ก็คล้ายหนิงเฟิ่ง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะโตถึงเพียงนี้”“หากพวกท่านมาเยี่ยมท่านพ่อบ่อยๆ ก็จะไม่คิดว่าข้าโตเร็ว”“หลันเอ๋อร์”หนิงเฟิ่งดุเสียงเบา ทว่าอวี้หลันไม่ได้สลดนัก นางคิดว่านางพูดความจริง ตนนั้นเห็นว่าบิดาเป็นเซียนปลายแถวทำสวน หากก็รักท่านมาก ทั้งเมื่อเห็นญาติฝ่ายมารดามาเยี่ยมไม่เคยขาด ยังอดคิดไม่ได้ว่าบิดาคงโดดเดี่ยวไร้ญาติ น่าสงสาร แต่นางก็ไม่เคยพูดสิ่งนี้กับผู้ใด“จริงนี่เจ้าคะ ข้าคิดว่
“แล้วนี่จะเรียกว่าท่านปรนนิบัติได้อย่างไร”นางนึกหมั่นไส้คนที่ถูกตำหนิแล้วยังยิ้มกลับมาตรงหน้านัก“อย่างนี้ไงเล่า”มือหนาข้างหนึ่งวางกระชับสะโพกผาย ส่วนอีกข้างทาบเหนือทรวงอวบขาวแล้วฟอนเฟ้นพร้อมเพรียงกัน ทั้งยังสลับไปมาขณะที่สะโพกแกร่งด้านล่างก็ขยับเร้าร่างหญิงสาวจนในที่สุดหนิงเฟิ่งก็ต้องเคลื่อนไหวสะโพกตนตามอีกฝ่าย“อืม ไม่นะ นี่ข้าปรนนิบัติท่าน”มือเกาะบ่าหนาเป็นหลักขณะเอ่ยแย้ง“แล้วอย่างนี้เล่า”คราวนี้ปลายนิ้วแกร่งเปลี่ยนมาไล้วนเหนือสัดส่วนบอบบางด้านหน้าเร็วรี่จนหญิงสาวต้องกัดฟันครางยาวในลำคอ ซุกซบใบหน้าลงกับซอกคอแกร่งเพราะอ่อนไหวเสียดสยิวจนไม่อาจขยับได้อีกแล้ว ร่างงามเกร็งขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกร้อนเหมือนไฟลุกท่วมตัวกระทั่งกระตุกอย่างรุนแรง เอนกายเข้าหาร่างแกร่ง และแขนกำยำก็โอบกอดนางไว้ ขณะที่สะโพกหนาเคลื่อนไหวเชื่องช้าเหมือนกำลังเริ่มต้น หากหนิงเฟิ่งก็รู้ว่าเขาจะไม่หยุดเพียงเท่านี้“พอใจหรือยังชายาที่รักของข้า”นางกัดฟันไม่ยอมตอบหากกลับนั่งตั้งหลักอย่างมุ่งมั่น โยกไหวสะโพกสวนกลับชายหนุ่ม เร่งจังหวะให้เร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว เห็นว่าชายหนุ่มเองก็ขบกรามแน่นเช่นกันนางก็นึกพอใจ ในเมื่อถูกเล่นง
“องค์ชายเจิ้งหานมาขอพบเจ้าค่ะ”อิงอิงกระซิบบอกผู้ที่อยู่ในสระอาบน้ำเล็กหนิงเฟิ่งขมวดคิ้ว นึกแปลกใจด้วยปกติแล้วเจิ้งหานจะไม่เข้ามาในตำหนักหากไม่มีกิจจำเป็น ทั้งยังในเวลาส่วนตัวเช่นนี้ทว่าวันนี้เขามาร่วมโต๊ะกับเทพธิดาบุปผาที่ต้อนรับไท่จื่อสวรรค์ในตำหนัก ส่วนหนิงเฟิงกับลูกอยู่ที่ตำหนักเล็กของตน เพราะเห็นว่าเป็นการใหญ่เกินไป นางไม่อยากให้อวี้หลันคิดว่าตนนั้นอยู่เหนือผู้อื่น อยากให้ลูกเป็นเทพเซียนน้อยผู้หนึ่งในดินแดนบุปผาเท่านั้น“เวลาเช่นนี้น่ะหรือ”เวลาที่นางอาบน้ำอยู่...อีกฝ่ายคงเพิ่งแยกจากไท่จื่อจิ่นลี่แล้วมายังตำหนักเล็กนี้“อิงอิงจะไปทูลว่าองค์หญิงยังไม่สะดวก”อิงอิงเอ่ยอย่างรู้ใจ ทว่าเสียงเข้มดังขึ้นห่างออกไป“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า”เจิ้งหานเชิญตนเองเข้ามา ทำเอาอิงอิงหน้าเสีย ตำหนักเล็กของหนิงเฟิ่งนั้นมีเพียงอิงอิง เพราะนางต้องการเพียงเท่านี้ และถือว่าตนนั้นเป็นเพียงผู้อาศัยเทพธิดาบุปผาจึงไม่ต้องการมีคนมาคอยห้อมล้อมเช่นตอนที่อยู่เผ่าวิหค หรือแม้แต่บนสวรรค์ นางต้องการเลี้ยงลูกด้วยตัวเองแม้มีม่านกั้นหากหนิงเฟิ่งก็รู้สึกขนลุกและวูบวาบตามผิวกายเพียงได้ยินเสียงเข้มของเจิ้งห
ไท่จื่อจิ่นลี่เพิ่งเคยมายังดินแดนบุปผาครั้งแรก ความงดงามชื่นตาชื่นใจจากพันธุ์ไม้ดอกไม้ให้ความรู้สึกสดชื่นในทันทีที่เหยียบย่างเข้ามา“ท่านมาพบผู้ใด โปรดแจ้งนาม”ผู้ที่เฝ้าประตูทางเข้าดูค่อนข้างมีอายุ หากก็ไม่ถึงกับดุเข้มจนน่ากลัว“ข้ามาพบเจิ้งหาน บอกเขาว่าจิ่นลี่มาเยี่ยมเยือน”ครั้งนี้เขาลงไปแก้ปัญหาน้ำหลากท่วมบ้านเรือนมนุษย์กับหวังหย่ง และผ่านดินแดนบุปผาจึงอยากเยี่ยมพี่ชายที่ไม่พบหน้ากันมาถึงพันสองร้อยปี“ชื่อท่านช่างคุ้นยิ่งนัก”หวังหย่งขยับจะพูด ทว่าจิ่นลี่เหลือบมองห้ามปรามจึงเงียบไป“เชิญตามข้ามาทางนี้”อีกฝ่ายไม่ซักไซ้สงสัย ทั้งยังนำทางโดยง่าย จิ่นลี่ก็ยิ้มบางแล้วเดินตามไปโดยมีหวังหย่งผู้ที่มีหน้าที่ช่วยราชกิจไท่จื่อแบบใช้กำลังตามติดไม่ห่าง ส่วนจางหย่งนั้นเป็นผู้ดูแลงานด้านงบประมาณและฎีกาเมื่อมาถึงหน้ากระท่อมเนินเขาที่มีไร่ดอกไม้ล้อมรอบจิ่นลี่ก็รู้สึกไม่ดียิ่งนัก พี่ชายตนต้องลำบากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ที่อยู่หลับนอนก็เป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ หากมารดามาเห็นคงปวดใจ ยิ่งบิดาคงยิ่งกรุ่นโกรธผู้นำทางไปแล้วจิ่นลี่กำลังคิดว่าจะเคาะประตูดีหรือไม่ก็มีเสียงหวานใสของผู้หนึ่งดังขึ้นไม่ห่างนัก“พ
“ยอดดวงใจของข้า เจ้าเจ็บปวดกับสิ่งที่ข้าทำ ไม่ยกโทษให้ไปอีกแสนปีก็ย่อมได้ ตามแต่ใจเจ้าต้องการ แต่ความรักของข้าก็ยังเป็นเจ้า หัวใจของข้าอยู่ที่เจ้าเสมอหนิงเฟิ่ง”บอกแล้วปากได้รูปก็จูบลงบนหน้าผากสวยราวตอกย้ำคำพูดตน เขาไม่ต้องการขอให้อีกฝ่ายยกโทษให้อีกแล้ว นับจากได้ยินว่าตนสั่งลงทัณฑ์สายฟ้าจนเกือบสูญเสียลูกน้อยและหนิงเฟิ่งพยายามเพียงไรเพื่อให้อวี้หลันมีชีวิตอยู่ เจิ้งหานก็ปวดร้าวในอก เขาเกือบฆ่าลูกของตนไปแล้ว หากไม่เพราะหนิงเฟิ่งคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าหรือได้อุ้มลูกน้อย“ข้าไม่รู้”เสียงหวานพร่าเอ่ยเบาหวิว“แต่ข้ารู้เพียงว่า มีท่านอยู่ใกล้ ข้ากับลูกจะปลอดภัย”ใบหน้างดงามนองน้ำตาเงยขึ้น เจิ้งหานยิ้มรับกับคำพูดของอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่ชุ่มชื่นขึ้น เท่านี้ก็ดีมากแล้ว เขาก้มลงทาบทับปากได้รูปบนหน้าผากสวย เปลือกตาทั้งสองข้าง และข้างแก้มที่ชื้นด้วยน้ำตา ก่อนจะไล่มายังริมฝีปากอิ่ม จูบซับบางเบาแล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักขึ้น มือช้อนใต้ศีรษะเล็กเมื่ออีกฝ่ายเริ่มแหงนเงยรับเขาปลายลิ้นอุ่นเริ่มเคลื่อนไล้ก่อนจะรุกล้ำภายในปากนุ่มเพราะอีกฝ่ายเปิดหนทาง หนิงเฟิ่งจูบตอบคลอเคลียกับชายหนุ่มอย่างยินยอม สองแขนเรียวเค
หนิงเฟิ่งลืมตาขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่จำเหตุการณ์สุดท้ายได้จึงรีบผวาลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าบุตรสาวนอนอยู่ในอ้อมกอดระหว่างกลางร่างตนกับเจ้าของร่างสูงสง่า ทั้งยังหายใจขึ้นลงผะแผ่วเป็นปกติก็ถอนหายใจ เหลือบมองใบหน้าคมคายที่ค่อนข้างซีดแล้วก็แตะหลังมือบนหน้าผากกว้างอีกฝ่ายตัวอุ่นแต่ดูเหมือนคนป่วยทำให้นางขมวดคิ้ว ทว่ามาคิดดูแล้วคงเพราะเจิ้งหานใช้พลังเพื่อช่วยนางกับลูก เห็นอย่างนี้แล้วนางจะพาอวี้หลันกลับไปเลยก็คงไม่ได้ร่างอ้อนแอ้นลุกขึ้นพร้อมกับอุ้มลูกน้อยไปวางบนเตียงด้านใน ส่วนร่างสูงของเจิ้งหานนางร่ายเวทย์เคลื่อนย้าย เปลี่ยนเสื้อผ้าของทั้งเขากับลูกและตนเอง ห่มผ้าให้ทั้งคู่อย่างเรียบร้อยก่อนจะออกไปด้านนอกหนิงเฟิ่งไปยังบ่อน้ำทิพย์และนำน้ำกลับมาให้เจิ้งหานดื่ม นางพยายามค่อยๆ ประคองอีกฝ่ายให้ดื่มน้ำทิพย์จนสำเร็จ เช็ดปากและห่มผ้าให้เช่นเดิม ทว่าพอจะลุกขึ้นกลับถูกจับข้อมือไว้“นี่ท่านฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ”นางหันไปมองพร้อมกับเอ่ยเสียงเข้ม“เพิ่งรู้สึกตัวก่อนที่เจ้าจะเข้ามานี่แหละ พอได้ยินเสียงก็เลยหลับตาลงต่อ”“ท่านหลอกข้า”หนิงเฟิ่งพยายามดึงมือออกจากอีกฝ่ายให้ได้“เปล่าเลย แค่หลับตา
“ขอลูกข้าคืนด้วย”หนิงเฟิ่งตัดความ ไม่คิดจะพูดคุยอะไรอีกแล้วเจิ้งหานยอมปล่อยลูกน้อย ไม่ใช่เพราะความตั้งใจถดถอย ยิ่งได้รู้เช่นนี้เขายิ่งรู้สึกผิดต่อหนิงเฟิ่งและลูก สมควรแล้วที่ได้รับการโกรธเคืองจากนาง“ข้าทำผิด และจะไม่แก้ตัว เวลานั้นข้าเห็นแก่งานราชกิจก่อนเจ้า จนตัดสินใจพลาดไป แต่ข้าไม่เคยคิดปล่อยคนที่ใส่ร้ายเจ้าลอยนวลเลย”“ไม่ปล่อยลอยนวลก็เลยรับเป็นสนมเช่นนั้นหรือ”หนิงเฟิ่งไม่คิดว่าตนจะหึงหวง นางโกรธที่เจิ้งหานยอมรับคนที่ใส่ร้ายนางเป็นสนม ทว่าเมื่อได้ยินกับหูนางจึงรู้ว่าตนมีความหึงหวงอยู่ในใจเอ่ยอย่างขุ่นเคืองแล้วหนิงเฟิ่งก็อุ้มลูกน้อยหันหลังจะเดินจากไป ทว่าเสียงเข้มก็ดังขึ้นด้านหลัง“ข้าไม่เคยแม้แต่ชายตาแลนาง เรื่องสนมเป็นเพียงเรื่องการเมืองสำหรับข้า ขอโทษที่ทำให้เจ้าเสียใจ”นางก้าวต่อทั้งที่รู้สึกราวเท้าหนักอึ้ง ขณะที่อีกฝ่ายก็ยังเอ่ย“แม้ไม่ยกโทษให้ ก็ขอให้ข้าได้อยู่ใกล้เจ้ากับลูกเถิด หนิงเฟิ่ง ข้าอยากทำหน้าที่ของข้า...”“ข้าไม่ต้อง...”“ทั้งสามีและพ่อ”เจิ้งหานสวนขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยจบ“หากเจ้าหมดรักแล้วข้าก็จะไม่ฝืนใจ รู้ไว้ว่าข้ารักเจ้าหมดใจก็เพียงพอแล้ว”ขอบตานางร้อนผ่า
นับแต่พบหน้าเจิ้งหานในวันนั้นหนิงเฟิ่งก็ไม่พาอวี้หลันไปสวนดอกไม้อีก หนูน้อยงอแงขึ้นอย่างไม่ยอมเชื่อฟัง ส่วนนางเองยังต้องฝึกพลังปราณอยู่ จึงต้องให้มารดากับอิงอิงดูแลแทนบางเวลา ทว่าเมื่อออกมาแล้วไม่เห็นผู้ใดนางจึงแปลกใจแล้วไปยังอุทยาน เห็นว่ามารดาตนพักผ่อนอยู่โดยมีเซียนบุปผาน้อยดูแล หากไม่เห็นอวี้หลันน้อยกับอิงอิง“หลันเอ๋อร์เล่าท่านแม่”ราชินีฟางเซียนถอนหายใจ แม้ตนจะอยู่ดินแดนบุปผาเนิ่นนาน แต่เพราะหนิงเฟิ่งเองก็ยังไม่แข็งแกร่งสมบูรณ์ ทั้งหลานก็ยังเล็กนัก ต้องมีผู้ช่วยดูแล นางจึงไม่อาจวางใจกลับเผ่าวิหคได้ แล้วยิ่งมีเรื่ององค์ชายเพิ่มมาด้วยราชินียิ่งต้องคอยช่วยเหลือให้จบลงด้วยดีเสียก่อน“แม่ให้ไปอยู่กับผู้เป็นพ่อบ้าง”“ท่านแม่”“หลันเอ๋อร์ควรได้รับความอบอุ่นจากพ่อและแม่ จะได้เติบโตขึ้นโดยไม่รู้สึกขาดสิ่งใด”“ไม่จำเป็น ลูกดูแลหลันเอ๋อร์ได้”หนิงเฟิ่งเสียงแข็งใส่มารดาอย่างไม่เคยเป็น ทั้งยังก้าวพรวดรวดเร็วจะออกไปจากตรงนี้“แล้วนี่เจ้าจะไปไหน”“จะไปตามลูกเจ้าค่ะ”“อีกไม่นานอิงเอ๋อร์ก็พากลับมาแล้ว”“อิงเอ๋อร์พาไปสินะ คงต้องลงโทษกันบ้างแล้ว”เมื่อเห็นบุตรสาวเข่นเขี้ยวราชินีฟางเซียนก็ถอนหายใจ“
อวี้หลันน้อยโตเร็วจนสามารถเดินได้แล้วทว่าพูดได้ไม่กี่คำ หนิงเฟิ่งมักจะพามาเดินเล่นอุทยานดอกไม้บ่อยจนหากวันไหนไม่ออกมาหนูน้อยจะงอแงร่างน้อยเตาะแตะเล่นกับผีเสื้อวนเวียนไปมา ขณะที่หนิงเฟิ่งนั่งฝึกปักผ้าไม่ห่างและเงยหน้ามองเป็นระยะ อยู่ๆ นางก็นึกอยากทำขึ้นมาแม้ช่วงแรกจะโดนเข็มทิ่มไปไม่น้อยเลย ทว่าความทรงจำบนโลกมนุษย์ทำให้จดจำได้ว่าปักผ้านั้นช่วยให้ใจสงบมีสมาธิ แม้จะทำให้ความคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องบนโลกมนุษย์บ่อยครั้ง หากก็ไม่ฟุ้งซ่านในตอนฝึกฝนจิตและพลังปราณตุ้บ...“แง...”เสียงล้มและร้องทำให้หนิงเฟิ่งรีบลุกขึ้นพร้อมทิ้งผ้าที่ปัก ขยับตัวเร็วเพื่อไปหาลูกสาวตัวน้อย ทว่ากลับมีใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาอุ้มขึ้นเสียก่อน นางจึงเอ่ยเสียงเข้ม“เจ้าเป็นใคร ปล่อยลูกข้านะ”ร่างสูงสง่าที่หันหลังให้นั้นดูคุ้นตา และเมื่ออีกฝ่ายหันกลับมาพร้อมอวี้หลันน้อยในอ้อมกอดหนิงเฟิ่งก็ถึงกับผงะ“ท่าน...ไท่จื่อ...”“มา...มา...”อวี้หลันน้อยชูมือมาทางมารดาของตน ขณะที่หนิงเฟิ่งนั้นยืนมองหน้าลูกกับใบหน้าคมคายสลับไปมา ดวงหน้าหวานซีดเผือด ทำตัวไม่ถูกกระทั่งหนูน้อยเริ่มร้องไห้อีกครั้งที่มารดาไม่เข้ามาหาตนเอง“มา...แง...”“ส่งล
“เราต้องบุกแล้วไท่จื่อ”แม่ทัพข้างกายรายงานผู้บัญชาการใหญ่ของทัพซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หัวโต๊ะตัวใหญ่ที่มีแผนที่จำลองเสมือนจริงของดินแดนมนุษย์โดยถูกเผ่าปิศาจครอบครองลอยอยู่ตรงกลาง“หากไม่เคลื่อนทัพเวลานี้ เราอาจตีขนาบพร้อมทัพท่านเทพสงครามไม่ทัน”ทัพสวรรค์แบ่งออกเป็นสองทัพนำโดยองค์ไท่จื่อเจิ้งหานที่มีทัพเสริมเป็นเผ่าวิหคหนึ่งทัพ กับเทพสงครามจิ่นลี่ซึ่งบุกมาพร้อมเผ่าบาดาลพันธมิตรอีกหนึ่งทัพ แม้กองทัพพร้อมแล้วทว่าผู้บัญชาการก็ยังไม่สั่งเคลื่อนพลทำให้แม่ทัพสวรรค์กับเผ่าวิหคต่างก็เริ่มกังวล“เคลื่อนทัพ”ไท่จื่อเจิ้งหานนิ่งเงียบไม่นานนักก็เอ่ยขึ้น“แต่พระชายา...”รองแม่ทัพเผ่าวิหคจะเอ่ยทัดทานแต่แม่ทัพกลับกระแทกแขนห้ามเอาไว้อีกฝ่ายจึงหยุดปาก“รับบัญชา”เมื่อไม่มีผู้ใดเอ่ยขัด แม่ทัพสวรรค์มือขวาของเทพสงครามที่ร่วมทัพกับไท่จื่อเพื่อประสานกลศึกระหว่างสองทัพก็รับคำก่อนสั่งการออกไป“สั่งกองพลเตรียมเคลื่อนทัพ”คำสั่งมากองทัพพร้อม ไทจื่อนำทัพสวรรค์มุ่งหน้าสู่แดนมนุษย์ที่เวลานี้เหมือนเป็นกึ่งแดนปิศาจไปแล้ว ด้วยถูกปกครองโดยเผ่าปิศาจที่แผ่อิทธิพลรุกรานกินอาณาเขตกว้างขวางทั่วดินแดน ผู้คนถูกความมืดดำครอบงำ...
Comments