“ไท่จื่อท่านลงโทษพระชายาแล้ว ยังต้องรับธิดาเจ้าบาดาลไว้อีกหรือ”
เทพสงครามจิ่นลี่มาพบไท่จื่อถึงตำหนักเฉิงคุน หลังจากองค์จักรพรรดิประทานอภิเษกของไท่จื่อกับธิดาของเจ้าบาดาล
“หากพระชายารู้จะเสียใจแค่ไหน ท่านลงโทษพระนางเพราะฆ่าคนที่ทำร้ายตนเอง แล้วยังรับคนที่พูดให้ร้ายมาเป็นสนม ราวท่านไม่นึกถึงใจพระนางเลย”
มีเพียงเทพสงครามเท่านั้นที่กล้าออกความเห็นกับไท่จื่อ เพราะเป็นน้องชายในฮองเฮาพระมารดาเดียวกัน เรียนรู้ทั้งด้านกลการรบและวิชาความรู้มาด้วยกันเหมือนเพื่อนคู่คิด
“เรื่องราวคลุมเครือ นางไม่อาจแก้ต่างให้ตัวเองพ้นผิดได้ จะให้ข้าทำอย่างไร ข้าไม่อาจมองข้ามได้จิ่นลี่ หากช่วยนางก็ต้องผิดใจกับเผ่าบาดาล ข้าคือไท่จื่อสวรรค์จะลำเอียงไม่ได้”
ไท่จื่อเจิ้งหานถอนหายใจเคร่งเครียด
“ถึงอย่างนั้นข้าก็คิดว่าท่านไม่จำเป็นต้องยอมรับธิดาของเจ้าบาดาล”
“จุดประสงค์เจ้าบาดาลกับบุตรีมีหรือที่ข้าจะมองไม่ออก ยิ่งสูญเสียบุตรชายก็คงยากที่จะล้มเลิกความตั้งใจ ไม่ทำเช่นนี้คิดหรือว่าเผ่าบาดาลจะยอมจบโดยง่าย หากเรื่องถึงพระบิดา หนิงเฟิ่งอาจไม่เพียงแค่รับสายฟ้าฟาด”
ใช่ว่าจิ่นลี่จะไม่เข้าใจไท่จื่อว่าที่ลงโทษพระชายาหนักเช่นนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อช่วยนาง ให้เผ่าบาดาลไม่อาจแย้งได้ว่าลงโทษสถานเบาทั้งที่ฆ่าคน แต่ยิ่งรู้ทันเจ้าบาดาลและไท่จื่อก็ยินยอมทำตามเขายิ่งขุ่นเคืองใจ
“เจ้าบาดาลมักใหญ่ใฝ่สูงนัก”
จิ่นลี่ทำได้เพียงเข่นเขี้ยว
“เคราะห์ร้ายกลับตกไปอยู่ที่พระชายา”
ได้ฟังคำของน้องชายแล้วไท่จื่อเจิ้งหานก็ขบกรามเข้าหากันก่อนจะเอ่ย
“หนิงเฟิ่งย่อมต้องเข้าใจในตัวข้า นางคือชายาคู่ใจข้า”
“แล้วท่านล่ะ เข้าใจในตัวพระนางหรือไม่ ท่านเชื่อใจพระนางหรือไม่ หรือแคลงใจและเชื่อคำพูดของคนเผ่าบาดาล”
คำถามนี้แม้แต่ไท่จื่อเองก็ไม่อาจหาคำตอบให้ตนได้
อิงอิงปลูกอวี้หลันสีทองด้วยพลังเวทย์ของตน อุทยานส่วนตัวของพระชายาน้อยคนนักจะมีสิทธิ์เข้ามา แต่นางก็เฝ้าต้นอวี้หลันตามคำสั่งพระชายา แม้โล่งใจอยู่บ้างที่วันนี้พระนางจะกลับมาหลังจากรับโทษสายฟ้าครบสามวัน แต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่านายตนอาจบาดเจ็บสาหัส
“หรือข้าควรไปรับพระชายา”
ระหว่างที่ไม่อาจตัดสินใจได้อยู่นั้น ก็รับรู้ได้ถึงความอึกทึกด้านนอกจึงออกไปดู และเห็นว่าภายในวังมีงานใหญ่
“พี่สาว นี่คืองานมงคลอะไร”
นางไม่ได้ออกไปไหน เพราะเกรงดวงจิตน้อยมีภัย ทั้งยังเศร้าโศกกังวลใจเรื่องนายของตนเกินกว่าจะพบเจอใครจึงไม่รู้ความเป็นไปในวัง
“องค์จักรพรรดิประทานอภิเษกไท่จื่อกับธิดาของเจ้าบาดาล เพราะมีความชอบในการศึก ให้เป็นพระสนมเอก”
นางกำนัลในวังนางหนึ่งหันมาตอบก่อนจะรีบไปทำธุระของตนต่อ
อิงอิงถึงกับนิ่งงันไป อึดใจต่อมาความร้อนใจก็ทำให้นางไม่อาจนิ่งเฉยได้
“พระชายา”
อิงอิงมาถึงก็เห็นร่างสะบักสะบอมเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลไหม้รอยเลือดบนเนื้อตัวกับเสื้อผ้าและนอนฟุบอยู่บนแท่น นางถลาเข้าไปหาทันใด
เทพสายฟ้ามองภาพที่เห็นอย่างสะท้อนใจ พระชายาหนิงเฟิ่งช่างใจเด็ดน่าชื่นชมนัก แม้จะบาดเจ็บสาหัสพระนางก็ฝืนยืนรับการลงทัณฑ์อย่างไม่ยอมอ่อนแอ เพิ่งล้มลงในครั้งสุดท้ายที่เขาฟาดสายฟ้าใส่เมื่อแสงอรุณรุ่งมาเยือนนี่เอง
“อิงเอ๋อร์ เจ้ามาที่นี่ทำไม เหตุใดไม่ทำตามที่ข้าสั่ง”
หนิงเฟิ่งตำหนิคนของตนเสียงอ่อนระโหย ยังรู้สึกตัวไม่ถึงกับสลบไสลไป ร่างกายทั้งแสบและรวดร้าวแทบไม่มีแรงขยับ
“ข้าเป็นห่วงท่าน”
“เอาเถอะ เมื่อมาแล้วก็พาข้ากลับตำหนักฮวาหรงเถิด”
“ข้าว่าท่านเจ็บหนักเช่นนี้อย่าเพิ่งเร่งรีบกลับตำหนักเลย”
อิงอิงหาทางถ่วงเวลา อย่างน้อยก็สักชั่วยามให้งานอภิเษกใหญ่ผ่านพ้น แม้จะยังเต็มไปด้วยการประดับประดาจนรับรู้ได้หากก็ยังดีกว่าไปถึงและพบขบวนเกี้ยวเข้าพอดี
“ข้าไม่อยากชักช้า เจ้าละทิ้งหน้าที่ ข้าเป็นห่วง...”
เพราะเทพสายฟ้ายังอยู่หนิงเฟิ่งจึงยั้งตนเองไว้
“ข้าเองก็เห็นด้วยกับเซียนบุปผา พระชายาพักสักครู่เถิด”
เทพสายฟ้าเองก็ออกความเห็นเช่นกัน ในเมื่อเวลานี้ร่างกายของพระชายาบอบช้ำอย่างหนัก ยังไม่อาจฟื้นฟูพลังปราณกลับมาได้โดยเร็วจึงไม่ควรรีบร้อนใช้พลังนัก
“ข้าไม่เป็นไร”
หนิงเฟิ่งส่ายหน้าพร้อมจับมืออิงอิงให้ช่วยพยุง
“ข้าต้องรีบไป”
“พระชายาโปรดถนอมตัวเอง ตำหนักฮวาหรงเรียบร้อยดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
แม้จะทัดทานแต่อิงอิงก็พยุงร่างให้นายตนลุกขึ้น ขณะที่กำลังจะก้าวหนิงเฟิ่งก็ทรุดลงอีกครั้ง และร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นช่วยรั้งประคองอีกข้างให้นางสามารถทรงตัวได้
“ท่านเทพสงคราม”
หนิงเฟิ่งพึมพำขณะหันมองคนที่ปรากฏตัวใกล้ตน
“ข้ามาพาท่านกลับพระชายา”
เมื่อเป็นผู้พามา จิ่นลี่ก็ทำหน้าที่พากลับ เขาไม่อาจละเลยพระชายาได้ ทั้งเวลานี้ไท่จื่อก็ต้องทำหน้าที่ของตนไม่สามารถมาที่นี่ได้เช่นกัน
“เทพสงครามช่างมีน้ำใจ ขอบคุณท่านมาก”
หนิงเฟิ่งไม่อยากนึกเปรียบเทียบเขากับสวามีของตน หากในใจก็ราวถูกบั่นทอน ไท่จื่อไม่ดูดำดูดีนางเลยหรืออย่างไร ไม่แม้แต่จะมาเยือนที่นี่ในสามวันที่ผ่านมา ไม่สนใจด้วยว่าถูกลงทัณฑ์แล้วร่างกายของนางจะบาดเจ็บแค่ไหน
“เดี๋ยวท่านเทพ ข้าว่าให้พระชายาพักก่อนเถิด”
อิงอิงรีบเอ่ยรั้ง นางไม่อยากให้นายตนไปเผชิญกับงานอภิเษกใหญ่โตของไท่จื่อ พยายามอ้อนวอนเทพสงครามด้วยสายตาหวังจะเข้าใจในความนัยของนาง
“อิงเอ๋อร์ ข้าอยากกลับตำหนัก เดี๋ยวนี้”
แม้จะอ่อนแรงแต่หนิงเฟิ่งก็ฝืนเสียงเข้มกับคนของตน
แรกทีเดียวจิ่นลี่ยังไม่ทันสังเกต แต่เห็นแววตาราวขอร้องของอิงอิงแล้วเข้าก็เดาจุดประสงค์ของนางได้
“อิงอิงหวังดีกับพระชายา ข้าเองก็เห็นว่าท่านควรพักก่อน”
หนิงเฟิ่งไม่ฟังใครทั้งนั้น นางห่วงลูกน้อยของนาง ยังไม่ทันได้เติบโตในครรภ์นางด้วยซ้ำก็ต้องออกมาเผชิญโลกภายนอกก่อนเวลาอันควร นางต้องการหาทางช่วยโอบอุ้มให้ลูกได้มีชีวิตและเติบโตขึ้น
“ข้าไม่ได้อ่อนแอจนต้องพึ่งพาใคร หากท่านไม่พากลับ คิดว่าข้ากลับเองไม่ได้หรือ”
นางสะบัดมือออกจากทั้งสองคน แต่ก็เซถลาจนทั้งเทพสงครามกับอิงอิงต้องรีบเข้ามาช่วยไว้
“พระชายา ท่านอย่าทำร้ายตัวเองเช่นนี้เลย”
อิงอิงห้ามเสียงสั่นเครือน้ำตาคลอ แต่หนิงเฟิ่งก็ยังขยับตัวต้องการกลับตำหนักให้ได้โดยเร็ว
“หากท่านต้องการกลับจริง ข้าจะช่วยท่านเอง ท่านอย่าใช้พลังปราณของท่านอีกเลย”
เทพสงครามจำต้องช่วยอย่างไม่อาจเลี่ยง หากยังปล่อยให้พระชายาดื้อดึงต่อไป นางจะยิ่งทำให้ตนเองสูญเสียพลังที่ยังไม่ได้ฟื้นคืนลงไปยิ่งกว่าเดิม
อิงอิงยิ่งไม่สบายใจแต่นางไม่มีอำนาจสั่งผู้ใดได้ จำต้องประคองร่างอ่อนแรงของพระชายาไปพร้อมกับเทพสงคราม
==========
ไท่จื่อคิดว่าหนิงเฟิ่งจะเข้าใจ แต่ไปเยี่ยมหน่อยจะได้คุยกัน หนิงเฟิ่งเองก็จิตใจแกร่งมาก ไม่ยอมอ่อนแอเลย T^T
วังประดับประดาอย่างสวยงามทั้งโคมไฟและผ้าแดงมงคลทำให้หนิงเฟิ่งสังเกตได้ แม้ว่าเทพสงครามจะพานางมายังประตูสวรรค์แล้วเข้าวังทันที ทั้งยังตรงมายังตำหนักฮวาหรงอย่างไม่หยุดที่ใด“ขอบใจท่านมาก เทพสงคราม”“พระชายาพักผ่อนให้มาก ข้าต้องขอตัวก่อน”เมื่อเทพสงครามไปแล้วหนิงเฟิ่งก็สั่งอิงอิงทันที โดยเก็บความแปลกใจเอาไว้ก่อน“พาข้าไปที่อุทยาน”อิงอิงโล่งใจขึ้นมาหน่อยที่พระชายาไม่ถามถึงความเปลี่ยนแปลง แม้คาดว่าไม่นานพระนางต้องรู้เป็นแน่ แต่นางก็อยากให้นายตนแข็งแรงพอที่จะทนรับความเจ็บปวดเสียใจได้“ลูกแม่”มาถึงต้นอวี้หลันน้อยร่างของหนิงเฟิ่งก็ทรุดลงนั่งใกล้ชิด“เจ้ายังบอบบางนัก ยังไม่ทันได้เติบโต ก็ถูกสายฟ้าฟาดเสียแล้ว แม้จะให้พลังส่วนหนึ่งเสริมกายทิพย์ให้กับเจ้า เจ้าอาจต้องใช้เวลาบำเพ็ญตนประสานจิตกับกายทิพย์หลายพันปี แต่หากว่า...พ่อเจ้าได้รู้ เขา...เขาอาจช่วยเจ้า”แม้ไม่อยากคร่ำครวญแต่น้ำตาก็ไหลออกมาเอง นางยังไม่แน่ใจว่าจะพูดกับไท่จื่ออย่างไร ในเมื่อแคลงใจแล้ว บอกไปเขาจะเชื่อหรือไม่ว่าอวี้หลันน้อยนี้คือลูกของเขา เหนืออื่นใด นางยังไม่อยากเห็นหน้าสวามีของตนไม่อยากเห็นหน้าคนใจดำ“อิงเอ๋อร์ เจ้าพาอวี้หลั
หนิงเฟิ่งปรากฏกายกลางท้องพระโรงตำนักสวรรค์ชั้นฟ้าในสภาพที่เสื้อผ้าร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลจากสายฟ้า นางรำที่กำลังโชว์ต่อหน้าธารกำนัลที่มาร่วมงานรื่นเริ่งมงคลสวรรค์ต่างก็หยุดลง เทพเซียนทั้งหมดต่างก็หันมาสนใจร่างบอบบางที่บาดเจ็บหนักของพระชายาไท่จื่อ“หนิงเฟิ่ง”ฮองเฮาสวรรค์ฮุ่ยเฟิ่งพึมพำแล้วรีบลงไปช่วยพยุง“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เหตุใดจึงบอบช้ำเช่นนี้”พระนางเอ็นดูสะใภ้อย่างมากด้วยเป็นเทพธิดาวิหค เป็นน้องสาวท่านปู่ของหนิงเฟิ่งจึงเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าบาดเจ็บ“หนิงเฟิ่งมีเรื่องทูลฝ่าบาทกับฮองเฮา”หนิงเฟิ่งเอ่ยโดยไม่ยอมให้เสียเวลา“มีเรื่องอะไรก็พูดมา”องค์จักรพรรดิสวรรค์จินหวงรู้สึกแปลกใจ เพราะวันนี้เป็นงานอภิเษกของไท่จื่อ แต่ชายากลับมาปรากฏเบื้องหน้าด้วยสภาพไม่ดีนัก ราวตั้งใจทำให้งานไม่เป็นมงคล และเวลานี้เกี้ยวเจ้าสาวน่าจะไปถึงวังไท่จื่อตามฤกษ์ยามแล้ว ไม่รู้ว่าที่นั่นเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นหรือไม่“ขอฝ่าบาทกับฮองเฮาเมตตา เผ่าบาดาลหลอกลวงเบื้องสูง หนิงเฟิ่งไม่อาจนิ่งเฉยได้”คำพูดของพระชายาไท่จื่อทำให้เทพเซียนต่างก็มองหน้ากันแล้วเริ่มซุบซิบด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าการณ์ภายในไม่ค่อยดีนัก องค์จัก
กรงจักรวัฎสงสารอยู่ตรงหน้า หนิงเฟิ่งยืนเคียงข้างเทพชะตา สำหรับนางแล้วไม่มีอะไรต้องห่วงอีก เวลานี้ลูกของนางปลอดภัยที่ดินแดนบุปผา หลังเผชิญวิบากกรรมนางก็จะได้ไปอุ้มชูลูกน้อยที่นั่น แม้ในโลกมนุษย์จะกินเวลาหลายสิบปี ทว่าดินแดนเทพเซียนก็เพียงไม่กี่วัน“พระชายา ลำบากท่านแล้ว”“ข้าจะไม่ใช่พระชายาอีกแล้ว”เทพชะตาหน้าเสีย เขาได้รู้เรื่องยังประหลาดใจทั้งยังเอ่ยทัดทานว่าไม่สมควรทำ แต่องค์จักรพรรดิรับสั่งอย่างเด็ดขาดตนจึงขัดไม่ได้“พระชายาดูแลตัวเองด้วย”เมื่อติดเรียกเช่นเดิมก็ถูกมองตาขุ่นแต่เทพชะตาไม่ยอมแก้ไข เขาผายมือเชิญให้หนิงเฟิ่งเตรียมพร้อม ก่อนจะเริ่มร่ายเวทย์หนิงเฟิ่งหลับตาลง บอกตัวเองว่านางทำถูกแล้ว เพื่อตนเองและลูกน้อย ผู้หญิงร้ายกาจเช่นองค์หญิงเผ่าบาดาลหรือจะยอมให้นางกับลูกอยู่ในวังอย่างสงบสุขสวรรค์ชั้นฟ้า ไม่ใช่สวรรค์อันสงบสุขสำหรับนางอีกแล้ว‘ท่านเป็นฝ่ายทอดทิ้งข้าและลูกเจิ้งหาน ลาก่อน’นางคิดอยู่ในใจ หากสวามีไม่คลางแคลงใจ หากเขาปกป้องนางบ้างแม้เพียงเล็กน้อย นางคงพร้อมสู้เพื่อยืนเคียงข้างเขาต่อไป แต่เขากลับสั่งลงทัณฑ์แล้วไปแต่งงานกับธิดาเจ้าบาดาลอย่างไม่แย่แสแม้แต่จะไปเยือนนางที่แท
ร่างสูงสง่าปรากฏกายขึ้นทันควันขวางหน้าเทพชะตาที่เพิ่งลงมาจากแท่นกรงจักรวัฏสงสาร สีหน้าถมึงทึงของไท่จื่อจ้องเขม็งทำเอาเทพชะตาหน้าซีด“ไท่จื่อ”“หนิงเฟิ่งอยู่ไหน”“เอ่อ...”“ตอบมา!”ผู้ถูกสั่งเสียงดังใส่สะดุ้ง ขณะเดียวกันนั้นเทพสงครามก็ตามมาถึงเช่นกัน“โลกมนุษย์”“บังอาจ! ท่านส่งชายาข้าไปโลกมนุษย์ด้วยเหตุใด”ไท่จื่อยังเสียงเข้มไม่ยอมลดละ“ฝ่าบาทมีพระบัญชา”“พระบิดาอย่างนั้นหรือ”เอ่ยแล้วไท่จื่อก็หันไปสบตากับจิ่นลี่ อีกฝ่ายมีสีหน้าแปลกใจ ขณะที่เจิ้งหานรู้สึกราวใจหายวาบ“พระบิดาลงโทษหนิงเฟิ่ง?”“ขอไท่จื่อเมตตา...”ร่างสูงสง่าของไท่จื่อฉุดเทพชะตาขยับวูบเดียวก็ไปถึงหน้ากรงจักรโดยที่เขายังไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ“ท่านส่งหนิงเฟิ่งไปที่ใด ส่งข้าไปที่นั่นเดี๋ยวนี้”“ไท่จื่อ”แม้แต่จิ่นลี่ที่ตามติดมาก็ยังไม่เห็นด้วย“เทพชะตา!”เจิ้งหานไม่ฟังคำห้ามปราม เขาตวาดเสียงดังลั่น เทพชะตาเงอะงะตัวสั่นเกรงกลัว“ข้าว่าท่านไปถามพระบิดาก่อนไม่ดีกว่าหรือ ว่าเพราะเหตุใดต้องส่งพระชายาไปโลกมนุษย์ อีกอย่างท่านอยู่ข้างบนยังพอหาทางผ่อนหนักเป็นเบาให้พระนางได้ หากลงไปอาจช่วยได้ยากนัก”“นั่นเป็นหน้าที่เจ้า ยังไงข้าก็ต้องล
“น้าเจียวเหมย”หนูน้อยวัยเจ็ดขวบในชุดสีอ่อนเรียบง่ายโผล่มาจากด้านหลังจวนที่เป็นส่วนซักล้างพร้อมกระต่ายตัวโตเมื่อเทียบกับมือผู้อุ้ม“ข้าเลี้ยงได้ไหม”“แอบออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือเจ้าคะคุณหนู แล้วไปได้มันมาจากที่ไหน”“มีคนให้มา”เด็กหญิงใบหน้าหวานที่เห็นชัดว่ามีเค้าความสวยงามตั้งแต่ยังอายุน้อย ยิ้มแป้นอวดฟันเรียงสวย นางไม่ได้อยากออกไปบ่อยแต่เด็กชาวบ้านด้านหลังจวนมักแอบชวนไปเล่นด้วยเมื่อเห็นนางนั่งอย่างเหงาๆ แถวส่วนซักล้างไม่ห่างทางออกนัก“ข้าอยากเลี้ยงมันไว้ในห้องข้า เป็นเพื่อนข้า”“เอาไปเลี้ยงถึงในห้อง นายท่านอาจไม่ยอมนะเจ้าคะ”“แต่ข้าอยากมีเพื่อน”หนูน้อยเสียงเศร้าลง เจียวหมยคนสนิทฮูหยินคนก่อนของท่าน แม่ทัพมองคุณหนูของตนด้วยความสงสาร คุณหนูรองเฟยเซียงแทบไม่มีความสำคัญใดในจวนนี้ คุณหนูใหญ่เยว่ซินมีความสามารถเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ได้อย่างที่ใจแม่ทัพต้องการ แต่ก็ยังไม่ชื่นชอบเท่าบุตรชายคนเล็กลู่ปินซึ่งเกิดจากฮูหยินรองที่แต่งเข้ามาหลังฮูหยินจากไป และก็มีบุตรชายในทันใด แม่ทัพลู่จึงทั้งประคบประหงมให้ความรักบุตรชายคนเล็กกับภรรยาคนปัจจุบันอย่างมาก“น้าเลี้ยงให้ ยังไงคุณหนูก็มาเล่นกับมันทุกวันได้นี
“ปินปิน”ลู่ฮูหยินเอ่ยเรียกบุตรชายด้วยความตื่นตระหนก ขณะที่สาวใช้พี่เลี้ยงอุ้มคุณชายเล็กให้ออกมายืนห่างจากสระน้ำ ส่วนคนในบ้านผู้ชายรีบกระโดดลงไปช่วยคุณหนูรอง“เกิดอะไรขึ้นกัน ปินปินเป็นอะไรหรือเปล่าลูก”“ท่านแม่ พี่รอง ตีข้า ฮือ...”หนูน้อยลู่ปินบอกพร้อมสะอึกสะอื้น วิ่งมากอดผู้เป็นแม่“ว่าไงนะ เจ้าถูกเฟยเซียงตีหรือ”ลู่ฮูหยินเสียงเข้ม หันมองสาวใช้ที่เป็นพี่เลี้ยงของลูกชายด้วยสายตาไม่พอใจ“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ ถึงปล่อยให้เฟยเซียงมาตีลูกชายข้าได้”“เอ่อ...”สาวใช้พี่เลี้ยงหลบสายตา นางเองก็ไม่รู้จะแยกสองพี่น้องอย่างไร เพราะทั้งคู่เพิ่งจะทะเลาะกันครั้งนี้ครั้งแรก คุณหนูรองไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับคุณชายเล็กหรือฮูหยินนัก จะพูดคุยก็กับคุณหนูใหญ่เพียงเท่านั้นขณะนั้นคนช่วยร่างน้อยของเฟยเซียงที่หมดสติไปแล้วขึ้นมาได้ และพยายามอุ้มขึ้นพาดบ่าให้น้ำไหลออกมา ทำให้ลู่ฮูหยินเองต้องหันไปให้ความสนใจเพราะเกรงจะเกิดเรื่องร้ายแรงในจวนเช่นกันครู่หนึ่งเฟยเซียงน้อยก็สำลักน้ำออกมา ทำให้คนในบ้านต่างก็เบาใจ ลู่ฮูหยินเองก็ถอนหายใจแม้จะขัดใจที่ได้รู้ว่าลูกชายตนถูกทำร้ายแต่เรื่องนั้นค่อยจัดการทีหลัง“พวกเจ้ารีบพาคุ
เฟยเซียงรู้ว่ากระต่ายน้อยของตนตายไปแล้วหลังจากนั้นหลายวัน และแอบนอนร้องไห้คนเดียวหลายคืน แถมยังถูกบิดาสั่งห้ามไม่ให้ออกไปนอกบ้านเด็ดขาด หนูน้อยจึงเก็บตัวยิ่งกว่าเดิม ได้เรียนหนังสือจากที่พี่สาวสอน แต่ไม่ได้ออกไปฝึกอาวุธเช่นพี่สาวและน้องชาย เฟยเซียงอ่านหนังสือแต่งโคลงกลอน วาดภาพ หัดงานบ้านงานเรือนของสตรีจากเจียวเหมยจนเชี่ยวชาญ แม้ไม่ชอบนักแต่เจียวเหมยบังคับอย่างแนบเนียนเจ้าตัวจึงค่อยๆ ทำได้ดีโดยไม่รู้ตัวสิบปีต่อมาจากหนูน้อยเติบโตขึ้นเป็นสาวสะพรั่งวัยสิบเจ็ด แต่ก็ยังไม่มีโอกาสออกไปไหนเช่นเคย“วันนี้มีคนมาพบท่านพ่อ”เฟยเซียงเปรยขึ้นขณะนั่งปักผ้าเช็ดหน้าในศาลาใกล้กับโรงครัว เป็นส่วนที่นางมักจะอยู่นอกจากห้องของตน โดยมีเจียวเหมยเอาขนมกับชามาวางให้ใกล้ๆ“ข้าได้ยินจากบ่าวว่ามาจากจวนใต้เท้าฉี มาคุยเรื่องพี่ซินซิน ส่งของหมั้นมามากมาย”“ใช่เจ้าค่ะ”เจียวเหมยตอบรับพร้อมรินชาให้คุณหนูของตน“พี่ซินซินควรแต่งงานตั้งนานแล้ว”เพราะก่อนใต้เท้าฉีจะส่งคนมาทาบทาบ ก็มีขุนนางคนอื่นเคยส่งมาแล้วแต่บิดาของนางและเยว่ซินปฏิเสธ เพิ่งตอบรับฝ่ายใต้เท้าฉีเมื่อสองเดือนก่อน“เจ้าค่ะคุณหนู”“เพราะข้าหรือเปล่าน้าเจียวเ
“มันตายแล้ว”เฟยเซียงเอ่ยเสียงเครือ ขณะน้ำตารินไหลออกมาเอง นางไม่ได้โกรธเคืองใคร แต่สงสารกระต่ายจับใจที่มันต้องมาตายเพราะตน จนตอนนี้ก็ยังรู้สึกผิดไม่เสื่อมคลาย หากไม่ดื้อดึงยื้อยุดกับน้องชายมันอาจมีชีวิตยืนยาวกว่านั้น แม้จะไม่ใช่เพื่อนเล่นของตนแต่เป็นสัตว์เลี้ยงของน้องก็ตาม“หากข้าทำให้เจ้าเสียใจเพราะนึกถึงมันก็ต้องขออภัย”บุรุษหนุ่มบอกด้วยความรู้สึกเศร้าตามไปด้วยผู้ที่ร้องไห้ปาดน้ำตาโดยเร็ว ขณะที่เจียวเหมยกลับมาจับมือบางกระซิบบอก“อยู่ตรงนี้นานไม่ดีนะเจ้าคะคุณหนู”“ข้าต้องขอตัวก่อน”เฟยเซียงเชื่อฟังโดยง่าย แม้รู้ว่าบุรุษผู้นี้เป็นคนที่เคยใจดีกับตนเมื่อครั้งยังเด็ก แต่บิดาของนางไม่ค่อยอยากให้ใครเห็นนางนัก“เดี๋ยวแม่นาง”เสียงทุ้มทักท้วงก่อนที่ร่างอ้อนแอ้นจะขยับตัว“พบกันอีกครั้งนับเป็นวาสนา เจ้าจะบอกชื่อกับข้าได้หรือไม่”เจียวเหมยส่งสายตาพร้อมส่ายหน้าเล็กน้อยว่าเป็นการไม่ควร เฟยเซียงจึงปฏิเสธออกไป“ชื่อข้าไม่น่าฟังนัก ต้องขออภัยคุณชาย”‘ใบหน้างดงามราวนางสวรรค์เช่นนี้หรือ จะชื่อไม่น่าฟัง’แม้จะคิดในใจอย่างนั้นเขาก็เอ่ยอย่างอารมณ์ดีไม่ขุ่นเคือง“เช่นนั้นข้าเรียกกระต่ายน้อยก็แล้วกัน เหม
ฉึก! ฉึก!เสียงดังแปลกๆ ดึงเฟยเซียงที่ตกอยู่ในภวังค์ให้รู้สึกตัว“เสียงอะไรเจ้าคะ”เจียวเหมยเอ่ยพร้อมจับมือคุณหนูทั้งสองแน่น“โจร...โจรขอรับคุณหนู”คนบังคับรถม้าร้องบอกเสียงดังเย่วซินจะขยับออกไปดูแต่เจียวเหมยห้ามไว้“อันตรายนะเจ้าคะคุณหนูใหญ่”“ข้าดูแลตัวเองได้”นางหันมาบอกอย่างไม่เกรงกลัว ห่วงเพียงแต่น้องสาวกับคนของตน“พวกเจ้าเป็นใคร”เสียงของคนบังคับรถม้าดังขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่มีการพูดจา มีเพียงเสียงชักดาบและเสียงร้อง ทำให้แม่นางทั้งสามยิ่งหวั่นวิตก“ข้าต้องออกไป ฝากเซียงเซียงด้วยนะน้าเจียวเหมย”“อย่าเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่”แม้เจียวเหมยจะห้ามแต่เยว่ซินออกไปแล้ว นางไม่อาจทำอะไรได้ พอเฟยเซียงจะขยับตามพี่สาวด้วยความเป็นห่วงนางจึงรีบผวากอดคุณหนูรองในทันใด“ข้างนอกต่อสู้กันนะเจ้าคะคุณหนู”“แต่พี่ซินซินล่ะ”“คุณหนูใหญ่มีฝีมือ แต่คุณหนูทำอะไรไม่ได้ ออกไปจะยิ่งทำให้คุณหนูใหญ่เป็นห่วงนะเจ้าคะ”“พี่ซินซิน ท่านเป็นยังไงบ้าง”เฟยเซียงห่วงพี่สาว เมื่อได้ยินเสียงต่อสู้ประชิดติดรถม้า“พี่ไม่เป็นไร เจ้าอย่าออกมาเด็ดขาด”เยว่ซินอยู่หน้ารถม้าไม่ได้ขยับห่างไปเพราะต้องการปกป้องคนด้านใน นางไม่ได้พกดาบติดตัวแ
“มันตายแล้ว”เฟยเซียงเอ่ยเสียงเครือ ขณะน้ำตารินไหลออกมาเอง นางไม่ได้โกรธเคืองใคร แต่สงสารกระต่ายจับใจที่มันต้องมาตายเพราะตน จนตอนนี้ก็ยังรู้สึกผิดไม่เสื่อมคลาย หากไม่ดื้อดึงยื้อยุดกับน้องชายมันอาจมีชีวิตยืนยาวกว่านั้น แม้จะไม่ใช่เพื่อนเล่นของตนแต่เป็นสัตว์เลี้ยงของน้องก็ตาม“หากข้าทำให้เจ้าเสียใจเพราะนึกถึงมันก็ต้องขออภัย”บุรุษหนุ่มบอกด้วยความรู้สึกเศร้าตามไปด้วยผู้ที่ร้องไห้ปาดน้ำตาโดยเร็ว ขณะที่เจียวเหมยกลับมาจับมือบางกระซิบบอก“อยู่ตรงนี้นานไม่ดีนะเจ้าคะคุณหนู”“ข้าต้องขอตัวก่อน”เฟยเซียงเชื่อฟังโดยง่าย แม้รู้ว่าบุรุษผู้นี้เป็นคนที่เคยใจดีกับตนเมื่อครั้งยังเด็ก แต่บิดาของนางไม่ค่อยอยากให้ใครเห็นนางนัก“เดี๋ยวแม่นาง”เสียงทุ้มทักท้วงก่อนที่ร่างอ้อนแอ้นจะขยับตัว“พบกันอีกครั้งนับเป็นวาสนา เจ้าจะบอกชื่อกับข้าได้หรือไม่”เจียวเหมยส่งสายตาพร้อมส่ายหน้าเล็กน้อยว่าเป็นการไม่ควร เฟยเซียงจึงปฏิเสธออกไป“ชื่อข้าไม่น่าฟังนัก ต้องขออภัยคุณชาย”‘ใบหน้างดงามราวนางสวรรค์เช่นนี้หรือ จะชื่อไม่น่าฟัง’แม้จะคิดในใจอย่างนั้นเขาก็เอ่ยอย่างอารมณ์ดีไม่ขุ่นเคือง“เช่นนั้นข้าเรียกกระต่ายน้อยก็แล้วกัน เหม
เฟยเซียงรู้ว่ากระต่ายน้อยของตนตายไปแล้วหลังจากนั้นหลายวัน และแอบนอนร้องไห้คนเดียวหลายคืน แถมยังถูกบิดาสั่งห้ามไม่ให้ออกไปนอกบ้านเด็ดขาด หนูน้อยจึงเก็บตัวยิ่งกว่าเดิม ได้เรียนหนังสือจากที่พี่สาวสอน แต่ไม่ได้ออกไปฝึกอาวุธเช่นพี่สาวและน้องชาย เฟยเซียงอ่านหนังสือแต่งโคลงกลอน วาดภาพ หัดงานบ้านงานเรือนของสตรีจากเจียวเหมยจนเชี่ยวชาญ แม้ไม่ชอบนักแต่เจียวเหมยบังคับอย่างแนบเนียนเจ้าตัวจึงค่อยๆ ทำได้ดีโดยไม่รู้ตัวสิบปีต่อมาจากหนูน้อยเติบโตขึ้นเป็นสาวสะพรั่งวัยสิบเจ็ด แต่ก็ยังไม่มีโอกาสออกไปไหนเช่นเคย“วันนี้มีคนมาพบท่านพ่อ”เฟยเซียงเปรยขึ้นขณะนั่งปักผ้าเช็ดหน้าในศาลาใกล้กับโรงครัว เป็นส่วนที่นางมักจะอยู่นอกจากห้องของตน โดยมีเจียวเหมยเอาขนมกับชามาวางให้ใกล้ๆ“ข้าได้ยินจากบ่าวว่ามาจากจวนใต้เท้าฉี มาคุยเรื่องพี่ซินซิน ส่งของหมั้นมามากมาย”“ใช่เจ้าค่ะ”เจียวเหมยตอบรับพร้อมรินชาให้คุณหนูของตน“พี่ซินซินควรแต่งงานตั้งนานแล้ว”เพราะก่อนใต้เท้าฉีจะส่งคนมาทาบทาบ ก็มีขุนนางคนอื่นเคยส่งมาแล้วแต่บิดาของนางและเยว่ซินปฏิเสธ เพิ่งตอบรับฝ่ายใต้เท้าฉีเมื่อสองเดือนก่อน“เจ้าค่ะคุณหนู”“เพราะข้าหรือเปล่าน้าเจียวเ
“ปินปิน”ลู่ฮูหยินเอ่ยเรียกบุตรชายด้วยความตื่นตระหนก ขณะที่สาวใช้พี่เลี้ยงอุ้มคุณชายเล็กให้ออกมายืนห่างจากสระน้ำ ส่วนคนในบ้านผู้ชายรีบกระโดดลงไปช่วยคุณหนูรอง“เกิดอะไรขึ้นกัน ปินปินเป็นอะไรหรือเปล่าลูก”“ท่านแม่ พี่รอง ตีข้า ฮือ...”หนูน้อยลู่ปินบอกพร้อมสะอึกสะอื้น วิ่งมากอดผู้เป็นแม่“ว่าไงนะ เจ้าถูกเฟยเซียงตีหรือ”ลู่ฮูหยินเสียงเข้ม หันมองสาวใช้ที่เป็นพี่เลี้ยงของลูกชายด้วยสายตาไม่พอใจ“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ ถึงปล่อยให้เฟยเซียงมาตีลูกชายข้าได้”“เอ่อ...”สาวใช้พี่เลี้ยงหลบสายตา นางเองก็ไม่รู้จะแยกสองพี่น้องอย่างไร เพราะทั้งคู่เพิ่งจะทะเลาะกันครั้งนี้ครั้งแรก คุณหนูรองไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับคุณชายเล็กหรือฮูหยินนัก จะพูดคุยก็กับคุณหนูใหญ่เพียงเท่านั้นขณะนั้นคนช่วยร่างน้อยของเฟยเซียงที่หมดสติไปแล้วขึ้นมาได้ และพยายามอุ้มขึ้นพาดบ่าให้น้ำไหลออกมา ทำให้ลู่ฮูหยินเองต้องหันไปให้ความสนใจเพราะเกรงจะเกิดเรื่องร้ายแรงในจวนเช่นกันครู่หนึ่งเฟยเซียงน้อยก็สำลักน้ำออกมา ทำให้คนในบ้านต่างก็เบาใจ ลู่ฮูหยินเองก็ถอนหายใจแม้จะขัดใจที่ได้รู้ว่าลูกชายตนถูกทำร้ายแต่เรื่องนั้นค่อยจัดการทีหลัง“พวกเจ้ารีบพาคุ
“น้าเจียวเหมย”หนูน้อยวัยเจ็ดขวบในชุดสีอ่อนเรียบง่ายโผล่มาจากด้านหลังจวนที่เป็นส่วนซักล้างพร้อมกระต่ายตัวโตเมื่อเทียบกับมือผู้อุ้ม“ข้าเลี้ยงได้ไหม”“แอบออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือเจ้าคะคุณหนู แล้วไปได้มันมาจากที่ไหน”“มีคนให้มา”เด็กหญิงใบหน้าหวานที่เห็นชัดว่ามีเค้าความสวยงามตั้งแต่ยังอายุน้อย ยิ้มแป้นอวดฟันเรียงสวย นางไม่ได้อยากออกไปบ่อยแต่เด็กชาวบ้านด้านหลังจวนมักแอบชวนไปเล่นด้วยเมื่อเห็นนางนั่งอย่างเหงาๆ แถวส่วนซักล้างไม่ห่างทางออกนัก“ข้าอยากเลี้ยงมันไว้ในห้องข้า เป็นเพื่อนข้า”“เอาไปเลี้ยงถึงในห้อง นายท่านอาจไม่ยอมนะเจ้าคะ”“แต่ข้าอยากมีเพื่อน”หนูน้อยเสียงเศร้าลง เจียวหมยคนสนิทฮูหยินคนก่อนของท่าน แม่ทัพมองคุณหนูของตนด้วยความสงสาร คุณหนูรองเฟยเซียงแทบไม่มีความสำคัญใดในจวนนี้ คุณหนูใหญ่เยว่ซินมีความสามารถเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ได้อย่างที่ใจแม่ทัพต้องการ แต่ก็ยังไม่ชื่นชอบเท่าบุตรชายคนเล็กลู่ปินซึ่งเกิดจากฮูหยินรองที่แต่งเข้ามาหลังฮูหยินจากไป และก็มีบุตรชายในทันใด แม่ทัพลู่จึงทั้งประคบประหงมให้ความรักบุตรชายคนเล็กกับภรรยาคนปัจจุบันอย่างมาก“น้าเลี้ยงให้ ยังไงคุณหนูก็มาเล่นกับมันทุกวันได้นี
ร่างสูงสง่าปรากฏกายขึ้นทันควันขวางหน้าเทพชะตาที่เพิ่งลงมาจากแท่นกรงจักรวัฏสงสาร สีหน้าถมึงทึงของไท่จื่อจ้องเขม็งทำเอาเทพชะตาหน้าซีด“ไท่จื่อ”“หนิงเฟิ่งอยู่ไหน”“เอ่อ...”“ตอบมา!”ผู้ถูกสั่งเสียงดังใส่สะดุ้ง ขณะเดียวกันนั้นเทพสงครามก็ตามมาถึงเช่นกัน“โลกมนุษย์”“บังอาจ! ท่านส่งชายาข้าไปโลกมนุษย์ด้วยเหตุใด”ไท่จื่อยังเสียงเข้มไม่ยอมลดละ“ฝ่าบาทมีพระบัญชา”“พระบิดาอย่างนั้นหรือ”เอ่ยแล้วไท่จื่อก็หันไปสบตากับจิ่นลี่ อีกฝ่ายมีสีหน้าแปลกใจ ขณะที่เจิ้งหานรู้สึกราวใจหายวาบ“พระบิดาลงโทษหนิงเฟิ่ง?”“ขอไท่จื่อเมตตา...”ร่างสูงสง่าของไท่จื่อฉุดเทพชะตาขยับวูบเดียวก็ไปถึงหน้ากรงจักรโดยที่เขายังไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ“ท่านส่งหนิงเฟิ่งไปที่ใด ส่งข้าไปที่นั่นเดี๋ยวนี้”“ไท่จื่อ”แม้แต่จิ่นลี่ที่ตามติดมาก็ยังไม่เห็นด้วย“เทพชะตา!”เจิ้งหานไม่ฟังคำห้ามปราม เขาตวาดเสียงดังลั่น เทพชะตาเงอะงะตัวสั่นเกรงกลัว“ข้าว่าท่านไปถามพระบิดาก่อนไม่ดีกว่าหรือ ว่าเพราะเหตุใดต้องส่งพระชายาไปโลกมนุษย์ อีกอย่างท่านอยู่ข้างบนยังพอหาทางผ่อนหนักเป็นเบาให้พระนางได้ หากลงไปอาจช่วยได้ยากนัก”“นั่นเป็นหน้าที่เจ้า ยังไงข้าก็ต้องล
กรงจักรวัฎสงสารอยู่ตรงหน้า หนิงเฟิ่งยืนเคียงข้างเทพชะตา สำหรับนางแล้วไม่มีอะไรต้องห่วงอีก เวลานี้ลูกของนางปลอดภัยที่ดินแดนบุปผา หลังเผชิญวิบากกรรมนางก็จะได้ไปอุ้มชูลูกน้อยที่นั่น แม้ในโลกมนุษย์จะกินเวลาหลายสิบปี ทว่าดินแดนเทพเซียนก็เพียงไม่กี่วัน“พระชายา ลำบากท่านแล้ว”“ข้าจะไม่ใช่พระชายาอีกแล้ว”เทพชะตาหน้าเสีย เขาได้รู้เรื่องยังประหลาดใจทั้งยังเอ่ยทัดทานว่าไม่สมควรทำ แต่องค์จักรพรรดิรับสั่งอย่างเด็ดขาดตนจึงขัดไม่ได้“พระชายาดูแลตัวเองด้วย”เมื่อติดเรียกเช่นเดิมก็ถูกมองตาขุ่นแต่เทพชะตาไม่ยอมแก้ไข เขาผายมือเชิญให้หนิงเฟิ่งเตรียมพร้อม ก่อนจะเริ่มร่ายเวทย์หนิงเฟิ่งหลับตาลง บอกตัวเองว่านางทำถูกแล้ว เพื่อตนเองและลูกน้อย ผู้หญิงร้ายกาจเช่นองค์หญิงเผ่าบาดาลหรือจะยอมให้นางกับลูกอยู่ในวังอย่างสงบสุขสวรรค์ชั้นฟ้า ไม่ใช่สวรรค์อันสงบสุขสำหรับนางอีกแล้ว‘ท่านเป็นฝ่ายทอดทิ้งข้าและลูกเจิ้งหาน ลาก่อน’นางคิดอยู่ในใจ หากสวามีไม่คลางแคลงใจ หากเขาปกป้องนางบ้างแม้เพียงเล็กน้อย นางคงพร้อมสู้เพื่อยืนเคียงข้างเขาต่อไป แต่เขากลับสั่งลงทัณฑ์แล้วไปแต่งงานกับธิดาเจ้าบาดาลอย่างไม่แย่แสแม้แต่จะไปเยือนนางที่แท
หนิงเฟิ่งปรากฏกายกลางท้องพระโรงตำนักสวรรค์ชั้นฟ้าในสภาพที่เสื้อผ้าร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลจากสายฟ้า นางรำที่กำลังโชว์ต่อหน้าธารกำนัลที่มาร่วมงานรื่นเริ่งมงคลสวรรค์ต่างก็หยุดลง เทพเซียนทั้งหมดต่างก็หันมาสนใจร่างบอบบางที่บาดเจ็บหนักของพระชายาไท่จื่อ“หนิงเฟิ่ง”ฮองเฮาสวรรค์ฮุ่ยเฟิ่งพึมพำแล้วรีบลงไปช่วยพยุง“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เหตุใดจึงบอบช้ำเช่นนี้”พระนางเอ็นดูสะใภ้อย่างมากด้วยเป็นเทพธิดาวิหค เป็นน้องสาวท่านปู่ของหนิงเฟิ่งจึงเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าบาดเจ็บ“หนิงเฟิ่งมีเรื่องทูลฝ่าบาทกับฮองเฮา”หนิงเฟิ่งเอ่ยโดยไม่ยอมให้เสียเวลา“มีเรื่องอะไรก็พูดมา”องค์จักรพรรดิสวรรค์จินหวงรู้สึกแปลกใจ เพราะวันนี้เป็นงานอภิเษกของไท่จื่อ แต่ชายากลับมาปรากฏเบื้องหน้าด้วยสภาพไม่ดีนัก ราวตั้งใจทำให้งานไม่เป็นมงคล และเวลานี้เกี้ยวเจ้าสาวน่าจะไปถึงวังไท่จื่อตามฤกษ์ยามแล้ว ไม่รู้ว่าที่นั่นเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นหรือไม่“ขอฝ่าบาทกับฮองเฮาเมตตา เผ่าบาดาลหลอกลวงเบื้องสูง หนิงเฟิ่งไม่อาจนิ่งเฉยได้”คำพูดของพระชายาไท่จื่อทำให้เทพเซียนต่างก็มองหน้ากันแล้วเริ่มซุบซิบด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าการณ์ภายในไม่ค่อยดีนัก องค์จัก
วังประดับประดาอย่างสวยงามทั้งโคมไฟและผ้าแดงมงคลทำให้หนิงเฟิ่งสังเกตได้ แม้ว่าเทพสงครามจะพานางมายังประตูสวรรค์แล้วเข้าวังทันที ทั้งยังตรงมายังตำหนักฮวาหรงอย่างไม่หยุดที่ใด“ขอบใจท่านมาก เทพสงคราม”“พระชายาพักผ่อนให้มาก ข้าต้องขอตัวก่อน”เมื่อเทพสงครามไปแล้วหนิงเฟิ่งก็สั่งอิงอิงทันที โดยเก็บความแปลกใจเอาไว้ก่อน“พาข้าไปที่อุทยาน”อิงอิงโล่งใจขึ้นมาหน่อยที่พระชายาไม่ถามถึงความเปลี่ยนแปลง แม้คาดว่าไม่นานพระนางต้องรู้เป็นแน่ แต่นางก็อยากให้นายตนแข็งแรงพอที่จะทนรับความเจ็บปวดเสียใจได้“ลูกแม่”มาถึงต้นอวี้หลันน้อยร่างของหนิงเฟิ่งก็ทรุดลงนั่งใกล้ชิด“เจ้ายังบอบบางนัก ยังไม่ทันได้เติบโต ก็ถูกสายฟ้าฟาดเสียแล้ว แม้จะให้พลังส่วนหนึ่งเสริมกายทิพย์ให้กับเจ้า เจ้าอาจต้องใช้เวลาบำเพ็ญตนประสานจิตกับกายทิพย์หลายพันปี แต่หากว่า...พ่อเจ้าได้รู้ เขา...เขาอาจช่วยเจ้า”แม้ไม่อยากคร่ำครวญแต่น้ำตาก็ไหลออกมาเอง นางยังไม่แน่ใจว่าจะพูดกับไท่จื่ออย่างไร ในเมื่อแคลงใจแล้ว บอกไปเขาจะเชื่อหรือไม่ว่าอวี้หลันน้อยนี้คือลูกของเขา เหนืออื่นใด นางยังไม่อยากเห็นหน้าสวามีของตนไม่อยากเห็นหน้าคนใจดำ“อิงเอ๋อร์ เจ้าพาอวี้หลั