“องค์ชายของเจ้าบอกหรือไม่ เหตุใดต้องไปรับพระชายาของข้า”
ไท่จื่อถามต่ออย่างไม่ยอมให้มีสิ่งใดหลุดรอดไปได้
“ข้าน้อยเพียงทำตามคำสั่งหัวหน้าให้เดินทางไปแดนวิหคพร้อมองค์ชายขอรับ”
“จะยังไงพระชายาก็ฆ่าบุตรชายของข้าจริง”
“จากคำพูดทหารของเจ้า หนิงเฟิ่งป้องกันตัว”
“ฆ่าคนคือฆ่าคน”
“นี่เจ้า...”
ทั้งเจ้าบาดาลกับเทพวิหคไม่มีผู้ใดยอมลดละ แต่เสียงทหารก็ดังขึ้น
“องค์หญิงเจ้าบาดาลขอเข้าเฝ้าไท่จื่อ”
แม้จะแปลกใจหากไท่จื่อก็อนุญาต ชั่วอึดใจร่างอ่อนระโหยอ้อนแอ้นขององค์หญิงเพ่ยซานบุตรีเจ้าบาดาลก็เข้ามา ผู้เป็นบิดาจึงรีบพยุงด้วยความเป็นห่วง
“ซานซาน เจ้ายังไม่หายดี เหตุใดจึงมาถึงนี่”
“ซานซานมีเรื่องต้องทูลไท่จื่อ”
เพ่ยซานเอ่ยเบาโรยแรง
“เป็นเรื่องที่ซานซานต้องพูดเพื่อความบริสุทธิ์ใจของพี่ชาย”
นางทูลต่อไท่จื่อพร้อมน้ำตาไหลพราก
“พูดมาเถิด”
ไท่จื่อจำต้องรับฟังอย่างไม่อาจเลี่ยง แม้รู้แก่ใจว่าอาจได้ฟังในสิ่งที่ไม่อยากได้ยิน
“พี่ชายข้าผูกสมัครรักใคร่พระชายา นับแต่เริ่มการศึกได้พยายามแอบไปพบพระนางที่เผ่าวิหคบ่อยครั้ง แม้รู้ว่าไม่ควรแต่เพราะพระนางเองก็หยิบยื่นไมตรี”
“เจ้าพูดอะไร”
หนิงเฟิ่งหันมาเอ่ยกับธิดาเจ้าบาดาลทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น
“พี่ข้ายิ่งหลงใหลเพราะพระชายาไม่ตัดสัมพันธ์”
เพ่ยซานย้ำน้ำเสียงสั่นเครื่อ มองหนิงเฟิ่งด้วยแววตาเจ็บปวด แต่มีแววมุ่งมั่นจนน่าหวั่นใจ ก่อนจะหันกลับไปยังไท่จื่อ
“ครั้งนี้ไท่จื่อบาดเจ็บสาหัส การณ์ข้างหน้าไม่อาจคาดเดา หลังพาข้าส่งถึงมือหมอแล้วเขาจึงรีบไปหาพระชายาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้นางมาอยู่ด้วย ข้าพยายามห้ามไว้แล้ว ก่อนหน้านี้ก็เอ่ยรั้งหลายครั้งแต่พี่ชายข้าจริงใจกับพระชายา เขาบอกว่าหากเรื่องรู้ถึงไท่จื่อก็ยินดีรับโทษตายไปพร้อมหัวใจรัก”
“เจ้าพูดในสิ่งที่ไม่มีมูลแม้แต่น้อย”
“งั้นขอถามพระชายา ท่านเคยพบพี่ชายข้าขณะพำนักที่เผ่าวิหคหรือไม่”
คำถามของเพ่ยซานทำให้หนิงเฟิ่งนิ่งไปชั่วอึดใจและไท่จื่อก็สังเกตได้
“เขาเคยลอบนำมุกราตรีมาให้ในตำหนักวิหคขาว และข้าปฏิเสธไปแล้ว”
นางยอมตอบตามตรง ปิดบังไปอาจยิ่งดูมีลับลมคมใน เมื่อจิตใจของนางมั่นคงต่อไท่จื่อ แม้ของกำนัลสูงค่าใดก็ไม่อาจบั่นทอนความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา
“เพียงครั้งเดียวเช่นนั้นหรือ”
“เขายังมาอีก แต่ข้า...”
“พอที!”
ไท่จื่อเอ่ยเสียงดังทำให้พระชายาจำต้องหยุด
“ชายอื่นลอบไปพบเจ้าหลายครั้ง และข้าไม่เคยรู้เลย เพราะเหตุใด”
“การศึกสำคัญ ข้าไม่ต้องการนำเรื่องนี้ไปรบกวนท่าน”
“แต่ลอบพบกันลับหลังให้ข้าต้องเสียชื่อน่ะหรือ”
มือหนาทุบลงข้างตัวด้วยความโมโห ชายาปิดบังแอบซ่อนพบชายชาตรีหลายครั้ง เพียงเท่านี้ก็เสื่อมเสียเกียรติของไท่จื่อสวรรค์ของตนแล้ว ทั้งนางยังไม่อาจให้ความกระจ่างในคำกล่าวหาที่ว่าผูกใจรักกับบุตรชายของเจ้าบาดาลได้ หากไม่สนิทสนมกันมากพอมีหรือจะตามชายอื่นออกมาจากเผ่าวิหค ทั้งที่ไม่เข้าร่วมการศึก
ยิ่งคิดว่าหลายวันที่ตนคร่ำเคร่งวางแผนการศึกจนน้อยครั้งจะกลับตำหนักในวังวิหค ชายากลับแอบพบชายอื่น ไท่จื่อยิ่งใจร้อนรนเต็มไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ
“แถมยังไว้ใจตามออกมาเช่นนี้ นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่รู้จักส่วนตัว”
“ข้าเพิ่งเคยพบเขาตามลำพังเมื่อเขาลักลอบเข้ามาที่ตำหนักวิหคขาว”
“ยิ่งพูดเจ้าก็ยิ่งทำให้ข้าขายหน้าหนิงเฟิ่ง เจ้าไม่รักนวลสงวนตัว ปิดบังซ่อนเร้นพบชายอื่นแล้วยังตามออกมาจากเผ่าวิหค เพียงเท่านี้ข้าก็ลงโทษได้แล้ว”
น้ำเสียงของไท่จื่อเต็มไปด้วยความเดือดดาล
“แล้วนี่ยังหนีทัพ ฆ่าคนอีก ความผิดเจ้ามากมายนัก”
“ข้าไม่อาจร่วมทัพเป็นความผิด หากท่านต้องการลงโทษ ข้าก็ยินดีรับ แต่บุตรชายเจ้าบาดาลสมควรตาย เขาคิดย่ำยีข้า ย่ำยีเกียรติของท่าน ข้าไม่ผิดในเรื่องนี้”
“เจ้าเองก็ย่ำยีเกียรติข้าเช่นกัน”
การที่ไท่จื่อเอ่ยย้ำถึงเกียรติของตน และนางทำให้ขายหน้าทำให้หนิงเฟิ่งร้าวลึกภายในอก สิ่งที่นางทำคือปกป้องตัวเอง แต่สวามีกลับคิดถึงเพียงหน้าตาตนเอง ไม่สนใจแม้แต่จะถามด้วยซ้ำว่านางปลอดภัยดีหรือไม่ ถูกทำร้ายอย่างไรบ้าง
เขาทำราวกับเชื่อคำพูดของธิดาเจ้าบาดาล เชื่อว่านางมีใจให้กับชายสารเลวคนนั้น
“ดูเหมือนท่านจะไม่ได้สนใจนักว่าข้าปลอดภัยจากคนชั่วช้านั้นหรือไม่”
หนิงเฟิ่งเอ่ยเสียงเบา หากเน้นหนักในทุกคำ
“ใช่สิ ท่านคือไท่จื่อสวรรค์ เกียรติของท่านสูงส่งนัก ชายาเช่นข้าก็เป็นเพียงเครื่องประดับเกียรติชิ้นนึงของท่าน ข้าทำให้ท่านต้องเสื่อมเสียก็ต้องรับโทษ”
หากเห็นว่านางผิดนัก ต้องการลงโทษนางย่อมไม่อาจขัดประสงค์ไท่จื่อได้
“หนิงเฟิ่ง...”
เทพวิหคอยากทัดทานหลานสาวแต่ไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้มากกว่านั้น ด้วยความผิดติดตัวของหนิงเฟิ่งนักหนาเกินกว่าจะยื่นมือไปยุ่งได้ เพราะเท่านี้ก็อาจมีผลส่งถึงเผ่าวิหคเช่นกัน
ใบหน้าราบเรียบเป็นนิตย์ของไท่จื่อเคร่งเครียดขึ้น ลมหายใจรุนแรงทำให้รู้ว่าอารมณ์ไม่ปกติ ทั้งชายายังท้าทายต่อหน้าธารกำนัลราวไม่เกรงกลัวอาญา จากความระแวงแคลงใจจึงยิ่งทำให้ฉุนเฉียวหนัก
“ในเมื่อรู้ว่าผิดและยอมรับก็ดี แต่โทษไม่อาจละเว้น เทพสงคราม นำตัวชายาข้าหนิงเฟิ่งไปรับการลงทัณฑ์สายฟ้าฟาดสามวันสามคืน โทษฐานหนีทัพและพลั้งมือทำให้บุตรชายของเจ้าบาดาลถึงแก่ชีวิต”
“ไท่จื่อ”
ทั้งเทพวิหคและเทพสงครามต่างพยายามจะห้าม ทว่าไท่จื่อก็เตือนทั้งสองคน
“ยิ่งสูงยิ่งไม่อาจทำผิด ยิ่งใกล้ยิ่งไม่อาจเพิกเฉย ยิ่งเป็นชายาข้ายิ่งต้องลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่าง ส่วนเรื่องที่เสื่อมเสียมาถึงข้าเป็นการส่วนตัวภายในวังข้า ข้าจะลงโทษนางเองหลังจากรับโทษสายฟ้า นำตัวไป”
ไท่จื่อย้ำกับเทพสงคราม จิ่นลี่รับบัญชาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะประคองร่างของพระชายาลุกขึ้น แต่หนิงเฟิ่งเอ่ยขอบางสิ่งก่อน
“ความผิดนี้ข้าขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว ขอไท่จื่อได้โปรดเมตตาเผ่าวิหค”
“ข้ารับปาก”
หลังจากไท่จื่อรับปากเทพสงครามก็พาร่างงดงามของพระชายาหนิงเฟิ่งเคลื่อนไหวรวดเร็วจนหายไปในอากาศ
==========
ไท่จื่อแคลงใจในตัวหนิงเฟิ่ง แต่สั่งลงโทษเรื่องฆ่าคนตายกับหนีทัพก่อน ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะทำยังไงกับหนิงเฟิ่ง -_-"
ไท่จื่อนำทัพสวรรค์และแม่ทัพใหญ่เผ่าบาดาลกับเผ่าวิหคเข้าเฝ้ารายงานการศึกต่อหน้าจักรพรรดิและขุนนางสวรรค์ แม้จะมีชัยเหนือราชาปิศาจที่บาดเจ็บหนักจนต้องถอยทัพ แต่ยังต้องระแวดระวังดินแดนมนุษย์อยู่เพราะอ่อนแอและถูกครอบงำง่าย ไม่รู้ว่าราชาปิศาจจะกลับมาแข็งแกร่งและคิดมีอำนาจเหนือทุกดินแดนอีกเมื่อไร“ศึกนี้ข้าต้องขอบใจเผ่าวิหคกับเผ่าบาดาลยิ่งนัก”จักรพรรดิสวรรค์จินหวงเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น“แต่ราชาบาดาลต้องสูญเสียบุตรชาย ทั้งบุตรีของท่านก็บาดเจ็บหนักเพราะช่วยไท่จื่อ ถือว่ามีความชอบต้องตอบแทนท่าน”สือเฟิ่งได้แต่แอบถอนใจ ขณะที่สีหน้าซีเหว่ยไม่ดีนัก เพราะไท่จื่อเอ่ยสั่งไว้ว่าให้การตายของบุตรชายตนเกี่ยวข้องกับการศึก โดยถูกเผ่าปิศาจจู่โจมขณะคุ้มกันพระชายาเดินทางมาหาไท่จื่อที่บาดเจ็บยังเผ่าบาดาล ขอให้เจ้าบาดาลเห็นแก่ไท่จื่อ ในเมื่อได้ลงโทษพระชายาสถานหนักแล้ว“เป็นพระกรุณาฝ่าบาท บุตรชายข้าอุทิศตนเพื่อการศึกเพื่อหกพิภพดินแดน ซานซานบุตรีของข้าแม้ตายแทนไท่จื่อได้ก็ยินดี”“สั่งสอนบุตรได้ดียิ่ง น่าชื่นชม น่าชื่นชม”เผ่าบาดาลช่างหวังสูงนัก คำชมจากจักรพรรดิทำให้สือเฟิ่งคิดพลางกำมือตนแน่น เวลานี้เผ่าวิหคเหมือนน
“นั่นคือ...”นางเอ่ยเสียงสั่นด้วยความหวาดหวั่นกับสิ่งที่เห็น“ดวงจิตลูกข้ายังอ่อนแอนัก เขาไม่อาจทนต่อสายฟ้าฟาดได้ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปข้าต้องสูญเสียเขาเป็นแน่”หนิงเฟิ่งพยายามใช้กำลังของตนสร้างเกราะป้องกันให้กับดวงจิตวิญญาณดวงน้อยของบุตรตนที่เกือบจะต้องแตกดับเพราะพลังสายฟ้า ปราการสีทองเปล่งประกายก่อตัวเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งล้อมรอบฟางเซียนมารดาของหนิงเฟิ่งเป็นเทพธิดาเผ่าบุปผา หนิงเฟิ่งจึงสามารถใช้พลังของเผ่าบุปผาได้ อิงอิงนั้นเทพธิดาสร้างขึ้นจากดอกอิงฮวาเพื่อให้เป็นเพื่อนเล่นกับบุตรสาวของตนมาตั้งแต่อายุยังน้อย“ดอกอวี้หลันนี้ เจ้านำไปปลูกไปไว้ที่อุทยานตำหนักฮวาหรงของข้าในวังไท่จื่อ ข้าหวังให้เขาแข็งแกร่งดั่งดอกอวี้หลันที่มีกลีบแข็งแรง”ขณะพูดหนิงเฟิ่งมองดอกอวี้หลันทองสุกสกาวในมืออย่างเศร้าสร้อย“อย่าให้ใครรู้เห็น หรือเข้าใกล้ลูกข้าก่อนข้าจะรับพลังสายฟ้าครบสามวันสามคืน”“แต่เป็นเช่นนี้แล้วพลังปราณของท่านอาจรับสายฟ้าฟาดไม่ไหว ผิวกายปริแตก”อิงอิงเกรงว่านายตนจะต้องเจ็บปวดทรมาน“ข้าต้องปกป้องลูกข้า”ยิ่งได้ฟังเสียงหวานพร่าที่ราวแหลกสลายแล้วของพระชายาอิงอิงก็ยิ่งร้องไห้หนักด้วยความเสีย
“ไท่จื่อท่านลงโทษพระชายาแล้ว ยังต้องรับธิดาเจ้าบาดาลไว้อีกหรือ”เทพสงครามจิ่นลี่มาพบไท่จื่อถึงตำหนักเฉิงคุน หลังจากองค์จักรพรรดิประทานอภิเษกของไท่จื่อกับธิดาของเจ้าบาดาล“หากพระชายารู้จะเสียใจแค่ไหน ท่านลงโทษพระนางเพราะฆ่าคนที่ทำร้ายตนเอง แล้วยังรับคนที่พูดให้ร้ายมาเป็นสนม ราวท่านไม่นึกถึงใจพระนางเลย”มีเพียงเทพสงครามเท่านั้นที่กล้าออกความเห็นกับไท่จื่อ เพราะเป็นน้องชายในฮองเฮาพระมารดาเดียวกัน เรียนรู้ทั้งด้านกลการรบและวิชาความรู้มาด้วยกันเหมือนเพื่อนคู่คิด“เรื่องราวคลุมเครือ นางไม่อาจแก้ต่างให้ตัวเองพ้นผิดได้ จะให้ข้าทำอย่างไร ข้าไม่อาจมองข้ามได้จิ่นลี่ หากช่วยนางก็ต้องผิดใจกับเผ่าบาดาล ข้าคือไท่จื่อสวรรค์จะลำเอียงไม่ได้”ไท่จื่อเจิ้งหานถอนหายใจเคร่งเครียด“ถึงอย่างนั้นข้าก็คิดว่าท่านไม่จำเป็นต้องยอมรับธิดาของเจ้าบาดาล”“จุดประสงค์เจ้าบาดาลกับบุตรีมีหรือที่ข้าจะมองไม่ออก ยิ่งสูญเสียบุตรชายก็คงยากที่จะล้มเลิกความตั้งใจ ไม่ทำเช่นนี้คิดหรือว่าเผ่าบาดาลจะยอมจบโดยง่าย หากเรื่องถึงพระบิดา หนิงเฟิ่งอาจไม่เพียงแค่รับสายฟ้าฟาด”ใช่ว่าจิ่นลี่จะไม่เข้าใจไท่จื่อว่าที่ลงโทษพระชายาหนักเช่นนี้ส่วน
วังประดับประดาอย่างสวยงามทั้งโคมไฟและผ้าแดงมงคลทำให้หนิงเฟิ่งสังเกตได้ แม้ว่าเทพสงครามจะพานางมายังประตูสวรรค์แล้วเข้าวังทันที ทั้งยังตรงมายังตำหนักฮวาหรงอย่างไม่หยุดที่ใด“ขอบใจท่านมาก เทพสงคราม”“พระชายาพักผ่อนให้มาก ข้าต้องขอตัวก่อน”เมื่อเทพสงครามไปแล้วหนิงเฟิ่งก็สั่งอิงอิงทันที โดยเก็บความแปลกใจเอาไว้ก่อน“พาข้าไปที่อุทยาน”อิงอิงโล่งใจขึ้นมาหน่อยที่พระชายาไม่ถามถึงความเปลี่ยนแปลง แม้คาดว่าไม่นานพระนางต้องรู้เป็นแน่ แต่นางก็อยากให้นายตนแข็งแรงพอที่จะทนรับความเจ็บปวดเสียใจได้“ลูกแม่”มาถึงต้นอวี้หลันน้อยร่างของหนิงเฟิ่งก็ทรุดลงนั่งใกล้ชิด“เจ้ายังบอบบางนัก ยังไม่ทันได้เติบโต ก็ถูกสายฟ้าฟาดเสียแล้ว แม้จะให้พลังส่วนหนึ่งเสริมกายทิพย์ให้กับเจ้า เจ้าอาจต้องใช้เวลาบำเพ็ญตนประสานจิตกับกายทิพย์หลายพันปี แต่หากว่า...พ่อเจ้าได้รู้ เขา...เขาอาจช่วยเจ้า”แม้ไม่อยากคร่ำครวญแต่น้ำตาก็ไหลออกมาเอง นางยังไม่แน่ใจว่าจะพูดกับไท่จื่ออย่างไร ในเมื่อแคลงใจแล้ว บอกไปเขาจะเชื่อหรือไม่ว่าอวี้หลันน้อยนี้คือลูกของเขา เหนืออื่นใด นางยังไม่อยากเห็นหน้าสวามีของตนไม่อยากเห็นหน้าคนใจดำ“อิงเอ๋อร์ เจ้าพาอวี้หลั
หนิงเฟิ่งปรากฏกายกลางท้องพระโรงตำนักสวรรค์ชั้นฟ้าในสภาพที่เสื้อผ้าร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลจากสายฟ้า นางรำที่กำลังโชว์ต่อหน้าธารกำนัลที่มาร่วมงานรื่นเริ่งมงคลสวรรค์ต่างก็หยุดลง เทพเซียนทั้งหมดต่างก็หันมาสนใจร่างบอบบางที่บาดเจ็บหนักของพระชายาไท่จื่อ“หนิงเฟิ่ง”ฮองเฮาสวรรค์ฮุ่ยเฟิ่งพึมพำแล้วรีบลงไปช่วยพยุง“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เหตุใดจึงบอบช้ำเช่นนี้”พระนางเอ็นดูสะใภ้อย่างมากด้วยเป็นเทพธิดาวิหค เป็นน้องสาวท่านปู่ของหนิงเฟิ่งจึงเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าบาดเจ็บ“หนิงเฟิ่งมีเรื่องทูลฝ่าบาทกับฮองเฮา”หนิงเฟิ่งเอ่ยโดยไม่ยอมให้เสียเวลา“มีเรื่องอะไรก็พูดมา”องค์จักรพรรดิสวรรค์จินหวงรู้สึกแปลกใจ เพราะวันนี้เป็นงานอภิเษกของไท่จื่อ แต่ชายากลับมาปรากฏเบื้องหน้าด้วยสภาพไม่ดีนัก ราวตั้งใจทำให้งานไม่เป็นมงคล และเวลานี้เกี้ยวเจ้าสาวน่าจะไปถึงวังไท่จื่อตามฤกษ์ยามแล้ว ไม่รู้ว่าที่นั่นเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นหรือไม่“ขอฝ่าบาทกับฮองเฮาเมตตา เผ่าบาดาลหลอกลวงเบื้องสูง หนิงเฟิ่งไม่อาจนิ่งเฉยได้”คำพูดของพระชายาไท่จื่อทำให้เทพเซียนต่างก็มองหน้ากันแล้วเริ่มซุบซิบด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าการณ์ภายในไม่ค่อยดีนัก องค์จัก
กรงจักรวัฎสงสารอยู่ตรงหน้า หนิงเฟิ่งยืนเคียงข้างเทพชะตา สำหรับนางแล้วไม่มีอะไรต้องห่วงอีก เวลานี้ลูกของนางปลอดภัยที่ดินแดนบุปผา หลังเผชิญวิบากกรรมนางก็จะได้ไปอุ้มชูลูกน้อยที่นั่น แม้ในโลกมนุษย์จะกินเวลาหลายสิบปี ทว่าดินแดนเทพเซียนก็เพียงไม่กี่วัน“พระชายา ลำบากท่านแล้ว”“ข้าจะไม่ใช่พระชายาอีกแล้ว”เทพชะตาหน้าเสีย เขาได้รู้เรื่องยังประหลาดใจทั้งยังเอ่ยทัดทานว่าไม่สมควรทำ แต่องค์จักรพรรดิรับสั่งอย่างเด็ดขาดตนจึงขัดไม่ได้“พระชายาดูแลตัวเองด้วย”เมื่อติดเรียกเช่นเดิมก็ถูกมองตาขุ่นแต่เทพชะตาไม่ยอมแก้ไข เขาผายมือเชิญให้หนิงเฟิ่งเตรียมพร้อม ก่อนจะเริ่มร่ายเวทย์หนิงเฟิ่งหลับตาลง บอกตัวเองว่านางทำถูกแล้ว เพื่อตนเองและลูกน้อย ผู้หญิงร้ายกาจเช่นองค์หญิงเผ่าบาดาลหรือจะยอมให้นางกับลูกอยู่ในวังอย่างสงบสุขสวรรค์ชั้นฟ้า ไม่ใช่สวรรค์อันสงบสุขสำหรับนางอีกแล้ว‘ท่านเป็นฝ่ายทอดทิ้งข้าและลูกเจิ้งหาน ลาก่อน’นางคิดอยู่ในใจ หากสวามีไม่คลางแคลงใจ หากเขาปกป้องนางบ้างแม้เพียงเล็กน้อย นางคงพร้อมสู้เพื่อยืนเคียงข้างเขาต่อไป แต่เขากลับสั่งลงทัณฑ์แล้วไปแต่งงานกับธิดาเจ้าบาดาลอย่างไม่แย่แสแม้แต่จะไปเยือนนางที่แท
ร่างสูงสง่าปรากฏกายขึ้นทันควันขวางหน้าเทพชะตาที่เพิ่งลงมาจากแท่นกรงจักรวัฏสงสาร สีหน้าถมึงทึงของไท่จื่อจ้องเขม็งทำเอาเทพชะตาหน้าซีด“ไท่จื่อ”“หนิงเฟิ่งอยู่ไหน”“เอ่อ...”“ตอบมา!”ผู้ถูกสั่งเสียงดังใส่สะดุ้ง ขณะเดียวกันนั้นเทพสงครามก็ตามมาถึงเช่นกัน“โลกมนุษย์”“บังอาจ! ท่านส่งชายาข้าไปโลกมนุษย์ด้วยเหตุใด”ไท่จื่อยังเสียงเข้มไม่ยอมลดละ“ฝ่าบาทมีพระบัญชา”“พระบิดาอย่างนั้นหรือ”เอ่ยแล้วไท่จื่อก็หันไปสบตากับจิ่นลี่ อีกฝ่ายมีสีหน้าแปลกใจ ขณะที่เจิ้งหานรู้สึกราวใจหายวาบ“พระบิดาลงโทษหนิงเฟิ่ง?”“ขอไท่จื่อเมตตา...”ร่างสูงสง่าของไท่จื่อฉุดเทพชะตาขยับวูบเดียวก็ไปถึงหน้ากรงจักรโดยที่เขายังไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ“ท่านส่งหนิงเฟิ่งไปที่ใด ส่งข้าไปที่นั่นเดี๋ยวนี้”“ไท่จื่อ”แม้แต่จิ่นลี่ที่ตามติดมาก็ยังไม่เห็นด้วย“เทพชะตา!”เจิ้งหานไม่ฟังคำห้ามปราม เขาตวาดเสียงดังลั่น เทพชะตาเงอะงะตัวสั่นเกรงกลัว“ข้าว่าท่านไปถามพระบิดาก่อนไม่ดีกว่าหรือ ว่าเพราะเหตุใดต้องส่งพระชายาไปโลกมนุษย์ อีกอย่างท่านอยู่ข้างบนยังพอหาทางผ่อนหนักเป็นเบาให้พระนางได้ หากลงไปอาจช่วยได้ยากนัก”“นั่นเป็นหน้าที่เจ้า ยังไงข้าก็ต้องล
“น้าเจียวเหมย”หนูน้อยวัยเจ็ดขวบในชุดสีอ่อนเรียบง่ายโผล่มาจากด้านหลังจวนที่เป็นส่วนซักล้างพร้อมกระต่ายตัวโตเมื่อเทียบกับมือผู้อุ้ม“ข้าเลี้ยงได้ไหม”“แอบออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือเจ้าคะคุณหนู แล้วไปได้มันมาจากที่ไหน”“มีคนให้มา”เด็กหญิงใบหน้าหวานที่เห็นชัดว่ามีเค้าความสวยงามตั้งแต่ยังอายุน้อย ยิ้มแป้นอวดฟันเรียงสวย นางไม่ได้อยากออกไปบ่อยแต่เด็กชาวบ้านด้านหลังจวนมักแอบชวนไปเล่นด้วยเมื่อเห็นนางนั่งอย่างเหงาๆ แถวส่วนซักล้างไม่ห่างทางออกนัก“ข้าอยากเลี้ยงมันไว้ในห้องข้า เป็นเพื่อนข้า”“เอาไปเลี้ยงถึงในห้อง นายท่านอาจไม่ยอมนะเจ้าคะ”“แต่ข้าอยากมีเพื่อน”หนูน้อยเสียงเศร้าลง เจียวหมยคนสนิทฮูหยินคนก่อนของท่าน แม่ทัพมองคุณหนูของตนด้วยความสงสาร คุณหนูรองเฟยเซียงแทบไม่มีความสำคัญใดในจวนนี้ คุณหนูใหญ่เยว่ซินมีความสามารถเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ได้อย่างที่ใจแม่ทัพต้องการ แต่ก็ยังไม่ชื่นชอบเท่าบุตรชายคนเล็กลู่ปินซึ่งเกิดจากฮูหยินรองที่แต่งเข้ามาหลังฮูหยินจากไป และก็มีบุตรชายในทันใด แม่ทัพลู่จึงทั้งประคบประหงมให้ความรักบุตรชายคนเล็กกับภรรยาคนปัจจุบันอย่างมาก“น้าเลี้ยงให้ ยังไงคุณหนูก็มาเล่นกับมันทุกวันได้นี
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นทำให้นางหันมอง แล้วก็ลุกขึ้นยืนด้วยสัญชาตญาณ เพราะสองคนผู้มาใหม่พร้อมกับบิดามารดานั้นดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ทั้งฝ่ายผู้หญิงยังเดินตรงมาหานางเร็วกว่าคนอื่นและจับมือทันที“ช่างสวยน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก”อวี้หลันยืนงง ขณะอีกฝ่ายลูบผมนาง“หลันเอ๋อร์ นี่คือท่านย่าของเจ้า”มารดาเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยเสียงเบา“ท่านย่า”สาวน้อยย่อตัวลงเล็กน้อยแม้จะยังอึ้งแปลกใจ และบิดาก็เอ่ยขึ้นนางจึงต้องหันมองตาม“แล้วนี่ก็ท่านปู่”“ท่านปู่”นางย่อตัวลงอีกครั้ง สบตาคมดูมีอำนาจของผู้เป็นปู่แวบเดียวก็หลบ แล้วก็ต้องยิ้มบางกับท่านย่าที่ประคองสองข้างแก้มตน“ไหนให้ย่าดูชัดๆ สิ เหมือนเจิ้งหานเมื่อยังเด็ก แต่ก็คล้ายหนิงเฟิ่ง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะโตถึงเพียงนี้”“หากพวกท่านมาเยี่ยมท่านพ่อบ่อยๆ ก็จะไม่คิดว่าข้าโตเร็ว”“หลันเอ๋อร์”หนิงเฟิ่งดุเสียงเบา ทว่าอวี้หลันไม่ได้สลดนัก นางคิดว่านางพูดความจริง ตนนั้นเห็นว่าบิดาเป็นเซียนปลายแถวทำสวน หากก็รักท่านมาก ทั้งเมื่อเห็นญาติฝ่ายมารดามาเยี่ยมไม่เคยขาด ยังอดคิดไม่ได้ว่าบิดาคงโดดเดี่ยวไร้ญาติ น่าสงสาร แต่นางก็ไม่เคยพูดสิ่งนี้กับผู้ใด“จริงนี่เจ้าคะ ข้าคิดว่
“แล้วนี่จะเรียกว่าท่านปรนนิบัติได้อย่างไร”นางนึกหมั่นไส้คนที่ถูกตำหนิแล้วยังยิ้มกลับมาตรงหน้านัก“อย่างนี้ไงเล่า”มือหนาข้างหนึ่งวางกระชับสะโพกผาย ส่วนอีกข้างทาบเหนือทรวงอวบขาวแล้วฟอนเฟ้นพร้อมเพรียงกัน ทั้งยังสลับไปมาขณะที่สะโพกแกร่งด้านล่างก็ขยับเร้าร่างหญิงสาวจนในที่สุดหนิงเฟิ่งก็ต้องเคลื่อนไหวสะโพกตนตามอีกฝ่าย“อืม ไม่นะ นี่ข้าปรนนิบัติท่าน”มือเกาะบ่าหนาเป็นหลักขณะเอ่ยแย้ง“แล้วอย่างนี้เล่า”คราวนี้ปลายนิ้วแกร่งเปลี่ยนมาไล้วนเหนือสัดส่วนบอบบางด้านหน้าเร็วรี่จนหญิงสาวต้องกัดฟันครางยาวในลำคอ ซุกซบใบหน้าลงกับซอกคอแกร่งเพราะอ่อนไหวเสียดสยิวจนไม่อาจขยับได้อีกแล้ว ร่างงามเกร็งขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกร้อนเหมือนไฟลุกท่วมตัวกระทั่งกระตุกอย่างรุนแรง เอนกายเข้าหาร่างแกร่ง และแขนกำยำก็โอบกอดนางไว้ ขณะที่สะโพกหนาเคลื่อนไหวเชื่องช้าเหมือนกำลังเริ่มต้น หากหนิงเฟิ่งก็รู้ว่าเขาจะไม่หยุดเพียงเท่านี้“พอใจหรือยังชายาที่รักของข้า”นางกัดฟันไม่ยอมตอบหากกลับนั่งตั้งหลักอย่างมุ่งมั่น โยกไหวสะโพกสวนกลับชายหนุ่ม เร่งจังหวะให้เร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว เห็นว่าชายหนุ่มเองก็ขบกรามแน่นเช่นกันนางก็นึกพอใจ ในเมื่อถูกเล่นง
“องค์ชายเจิ้งหานมาขอพบเจ้าค่ะ”อิงอิงกระซิบบอกผู้ที่อยู่ในสระอาบน้ำเล็กหนิงเฟิ่งขมวดคิ้ว นึกแปลกใจด้วยปกติแล้วเจิ้งหานจะไม่เข้ามาในตำหนักหากไม่มีกิจจำเป็น ทั้งยังในเวลาส่วนตัวเช่นนี้ทว่าวันนี้เขามาร่วมโต๊ะกับเทพธิดาบุปผาที่ต้อนรับไท่จื่อสวรรค์ในตำหนัก ส่วนหนิงเฟิงกับลูกอยู่ที่ตำหนักเล็กของตน เพราะเห็นว่าเป็นการใหญ่เกินไป นางไม่อยากให้อวี้หลันคิดว่าตนนั้นอยู่เหนือผู้อื่น อยากให้ลูกเป็นเทพเซียนน้อยผู้หนึ่งในดินแดนบุปผาเท่านั้น“เวลาเช่นนี้น่ะหรือ”เวลาที่นางอาบน้ำอยู่...อีกฝ่ายคงเพิ่งแยกจากไท่จื่อจิ่นลี่แล้วมายังตำหนักเล็กนี้“อิงอิงจะไปทูลว่าองค์หญิงยังไม่สะดวก”อิงอิงเอ่ยอย่างรู้ใจ ทว่าเสียงเข้มดังขึ้นห่างออกไป“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า”เจิ้งหานเชิญตนเองเข้ามา ทำเอาอิงอิงหน้าเสีย ตำหนักเล็กของหนิงเฟิ่งนั้นมีเพียงอิงอิง เพราะนางต้องการเพียงเท่านี้ และถือว่าตนนั้นเป็นเพียงผู้อาศัยเทพธิดาบุปผาจึงไม่ต้องการมีคนมาคอยห้อมล้อมเช่นตอนที่อยู่เผ่าวิหค หรือแม้แต่บนสวรรค์ นางต้องการเลี้ยงลูกด้วยตัวเองแม้มีม่านกั้นหากหนิงเฟิ่งก็รู้สึกขนลุกและวูบวาบตามผิวกายเพียงได้ยินเสียงเข้มของเจิ้งห
ไท่จื่อจิ่นลี่เพิ่งเคยมายังดินแดนบุปผาครั้งแรก ความงดงามชื่นตาชื่นใจจากพันธุ์ไม้ดอกไม้ให้ความรู้สึกสดชื่นในทันทีที่เหยียบย่างเข้ามา“ท่านมาพบผู้ใด โปรดแจ้งนาม”ผู้ที่เฝ้าประตูทางเข้าดูค่อนข้างมีอายุ หากก็ไม่ถึงกับดุเข้มจนน่ากลัว“ข้ามาพบเจิ้งหาน บอกเขาว่าจิ่นลี่มาเยี่ยมเยือน”ครั้งนี้เขาลงไปแก้ปัญหาน้ำหลากท่วมบ้านเรือนมนุษย์กับหวังหย่ง และผ่านดินแดนบุปผาจึงอยากเยี่ยมพี่ชายที่ไม่พบหน้ากันมาถึงพันสองร้อยปี“ชื่อท่านช่างคุ้นยิ่งนัก”หวังหย่งขยับจะพูด ทว่าจิ่นลี่เหลือบมองห้ามปรามจึงเงียบไป“เชิญตามข้ามาทางนี้”อีกฝ่ายไม่ซักไซ้สงสัย ทั้งยังนำทางโดยง่าย จิ่นลี่ก็ยิ้มบางแล้วเดินตามไปโดยมีหวังหย่งผู้ที่มีหน้าที่ช่วยราชกิจไท่จื่อแบบใช้กำลังตามติดไม่ห่าง ส่วนจางหย่งนั้นเป็นผู้ดูแลงานด้านงบประมาณและฎีกาเมื่อมาถึงหน้ากระท่อมเนินเขาที่มีไร่ดอกไม้ล้อมรอบจิ่นลี่ก็รู้สึกไม่ดียิ่งนัก พี่ชายตนต้องลำบากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ที่อยู่หลับนอนก็เป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ หากมารดามาเห็นคงปวดใจ ยิ่งบิดาคงยิ่งกรุ่นโกรธผู้นำทางไปแล้วจิ่นลี่กำลังคิดว่าจะเคาะประตูดีหรือไม่ก็มีเสียงหวานใสของผู้หนึ่งดังขึ้นไม่ห่างนัก“พ
“ยอดดวงใจของข้า เจ้าเจ็บปวดกับสิ่งที่ข้าทำ ไม่ยกโทษให้ไปอีกแสนปีก็ย่อมได้ ตามแต่ใจเจ้าต้องการ แต่ความรักของข้าก็ยังเป็นเจ้า หัวใจของข้าอยู่ที่เจ้าเสมอหนิงเฟิ่ง”บอกแล้วปากได้รูปก็จูบลงบนหน้าผากสวยราวตอกย้ำคำพูดตน เขาไม่ต้องการขอให้อีกฝ่ายยกโทษให้อีกแล้ว นับจากได้ยินว่าตนสั่งลงทัณฑ์สายฟ้าจนเกือบสูญเสียลูกน้อยและหนิงเฟิ่งพยายามเพียงไรเพื่อให้อวี้หลันมีชีวิตอยู่ เจิ้งหานก็ปวดร้าวในอก เขาเกือบฆ่าลูกของตนไปแล้ว หากไม่เพราะหนิงเฟิ่งคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าหรือได้อุ้มลูกน้อย“ข้าไม่รู้”เสียงหวานพร่าเอ่ยเบาหวิว“แต่ข้ารู้เพียงว่า มีท่านอยู่ใกล้ ข้ากับลูกจะปลอดภัย”ใบหน้างดงามนองน้ำตาเงยขึ้น เจิ้งหานยิ้มรับกับคำพูดของอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่ชุ่มชื่นขึ้น เท่านี้ก็ดีมากแล้ว เขาก้มลงทาบทับปากได้รูปบนหน้าผากสวย เปลือกตาทั้งสองข้าง และข้างแก้มที่ชื้นด้วยน้ำตา ก่อนจะไล่มายังริมฝีปากอิ่ม จูบซับบางเบาแล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักขึ้น มือช้อนใต้ศีรษะเล็กเมื่ออีกฝ่ายเริ่มแหงนเงยรับเขาปลายลิ้นอุ่นเริ่มเคลื่อนไล้ก่อนจะรุกล้ำภายในปากนุ่มเพราะอีกฝ่ายเปิดหนทาง หนิงเฟิ่งจูบตอบคลอเคลียกับชายหนุ่มอย่างยินยอม สองแขนเรียวเค
หนิงเฟิ่งลืมตาขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่จำเหตุการณ์สุดท้ายได้จึงรีบผวาลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าบุตรสาวนอนอยู่ในอ้อมกอดระหว่างกลางร่างตนกับเจ้าของร่างสูงสง่า ทั้งยังหายใจขึ้นลงผะแผ่วเป็นปกติก็ถอนหายใจ เหลือบมองใบหน้าคมคายที่ค่อนข้างซีดแล้วก็แตะหลังมือบนหน้าผากกว้างอีกฝ่ายตัวอุ่นแต่ดูเหมือนคนป่วยทำให้นางขมวดคิ้ว ทว่ามาคิดดูแล้วคงเพราะเจิ้งหานใช้พลังเพื่อช่วยนางกับลูก เห็นอย่างนี้แล้วนางจะพาอวี้หลันกลับไปเลยก็คงไม่ได้ร่างอ้อนแอ้นลุกขึ้นพร้อมกับอุ้มลูกน้อยไปวางบนเตียงด้านใน ส่วนร่างสูงของเจิ้งหานนางร่ายเวทย์เคลื่อนย้าย เปลี่ยนเสื้อผ้าของทั้งเขากับลูกและตนเอง ห่มผ้าให้ทั้งคู่อย่างเรียบร้อยก่อนจะออกไปด้านนอกหนิงเฟิ่งไปยังบ่อน้ำทิพย์และนำน้ำกลับมาให้เจิ้งหานดื่ม นางพยายามค่อยๆ ประคองอีกฝ่ายให้ดื่มน้ำทิพย์จนสำเร็จ เช็ดปากและห่มผ้าให้เช่นเดิม ทว่าพอจะลุกขึ้นกลับถูกจับข้อมือไว้“นี่ท่านฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ”นางหันไปมองพร้อมกับเอ่ยเสียงเข้ม“เพิ่งรู้สึกตัวก่อนที่เจ้าจะเข้ามานี่แหละ พอได้ยินเสียงก็เลยหลับตาลงต่อ”“ท่านหลอกข้า”หนิงเฟิ่งพยายามดึงมือออกจากอีกฝ่ายให้ได้“เปล่าเลย แค่หลับตา
“ขอลูกข้าคืนด้วย”หนิงเฟิ่งตัดความ ไม่คิดจะพูดคุยอะไรอีกแล้วเจิ้งหานยอมปล่อยลูกน้อย ไม่ใช่เพราะความตั้งใจถดถอย ยิ่งได้รู้เช่นนี้เขายิ่งรู้สึกผิดต่อหนิงเฟิ่งและลูก สมควรแล้วที่ได้รับการโกรธเคืองจากนาง“ข้าทำผิด และจะไม่แก้ตัว เวลานั้นข้าเห็นแก่งานราชกิจก่อนเจ้า จนตัดสินใจพลาดไป แต่ข้าไม่เคยคิดปล่อยคนที่ใส่ร้ายเจ้าลอยนวลเลย”“ไม่ปล่อยลอยนวลก็เลยรับเป็นสนมเช่นนั้นหรือ”หนิงเฟิ่งไม่คิดว่าตนจะหึงหวง นางโกรธที่เจิ้งหานยอมรับคนที่ใส่ร้ายนางเป็นสนม ทว่าเมื่อได้ยินกับหูนางจึงรู้ว่าตนมีความหึงหวงอยู่ในใจเอ่ยอย่างขุ่นเคืองแล้วหนิงเฟิ่งก็อุ้มลูกน้อยหันหลังจะเดินจากไป ทว่าเสียงเข้มก็ดังขึ้นด้านหลัง“ข้าไม่เคยแม้แต่ชายตาแลนาง เรื่องสนมเป็นเพียงเรื่องการเมืองสำหรับข้า ขอโทษที่ทำให้เจ้าเสียใจ”นางก้าวต่อทั้งที่รู้สึกราวเท้าหนักอึ้ง ขณะที่อีกฝ่ายก็ยังเอ่ย“แม้ไม่ยกโทษให้ ก็ขอให้ข้าได้อยู่ใกล้เจ้ากับลูกเถิด หนิงเฟิ่ง ข้าอยากทำหน้าที่ของข้า...”“ข้าไม่ต้อง...”“ทั้งสามีและพ่อ”เจิ้งหานสวนขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยจบ“หากเจ้าหมดรักแล้วข้าก็จะไม่ฝืนใจ รู้ไว้ว่าข้ารักเจ้าหมดใจก็เพียงพอแล้ว”ขอบตานางร้อนผ่า
นับแต่พบหน้าเจิ้งหานในวันนั้นหนิงเฟิ่งก็ไม่พาอวี้หลันไปสวนดอกไม้อีก หนูน้อยงอแงขึ้นอย่างไม่ยอมเชื่อฟัง ส่วนนางเองยังต้องฝึกพลังปราณอยู่ จึงต้องให้มารดากับอิงอิงดูแลแทนบางเวลา ทว่าเมื่อออกมาแล้วไม่เห็นผู้ใดนางจึงแปลกใจแล้วไปยังอุทยาน เห็นว่ามารดาตนพักผ่อนอยู่โดยมีเซียนบุปผาน้อยดูแล หากไม่เห็นอวี้หลันน้อยกับอิงอิง“หลันเอ๋อร์เล่าท่านแม่”ราชินีฟางเซียนถอนหายใจ แม้ตนจะอยู่ดินแดนบุปผาเนิ่นนาน แต่เพราะหนิงเฟิ่งเองก็ยังไม่แข็งแกร่งสมบูรณ์ ทั้งหลานก็ยังเล็กนัก ต้องมีผู้ช่วยดูแล นางจึงไม่อาจวางใจกลับเผ่าวิหคได้ แล้วยิ่งมีเรื่ององค์ชายเพิ่มมาด้วยราชินียิ่งต้องคอยช่วยเหลือให้จบลงด้วยดีเสียก่อน“แม่ให้ไปอยู่กับผู้เป็นพ่อบ้าง”“ท่านแม่”“หลันเอ๋อร์ควรได้รับความอบอุ่นจากพ่อและแม่ จะได้เติบโตขึ้นโดยไม่รู้สึกขาดสิ่งใด”“ไม่จำเป็น ลูกดูแลหลันเอ๋อร์ได้”หนิงเฟิ่งเสียงแข็งใส่มารดาอย่างไม่เคยเป็น ทั้งยังก้าวพรวดรวดเร็วจะออกไปจากตรงนี้“แล้วนี่เจ้าจะไปไหน”“จะไปตามลูกเจ้าค่ะ”“อีกไม่นานอิงเอ๋อร์ก็พากลับมาแล้ว”“อิงเอ๋อร์พาไปสินะ คงต้องลงโทษกันบ้างแล้ว”เมื่อเห็นบุตรสาวเข่นเขี้ยวราชินีฟางเซียนก็ถอนหายใจ“
อวี้หลันน้อยโตเร็วจนสามารถเดินได้แล้วทว่าพูดได้ไม่กี่คำ หนิงเฟิ่งมักจะพามาเดินเล่นอุทยานดอกไม้บ่อยจนหากวันไหนไม่ออกมาหนูน้อยจะงอแงร่างน้อยเตาะแตะเล่นกับผีเสื้อวนเวียนไปมา ขณะที่หนิงเฟิ่งนั่งฝึกปักผ้าไม่ห่างและเงยหน้ามองเป็นระยะ อยู่ๆ นางก็นึกอยากทำขึ้นมาแม้ช่วงแรกจะโดนเข็มทิ่มไปไม่น้อยเลย ทว่าความทรงจำบนโลกมนุษย์ทำให้จดจำได้ว่าปักผ้านั้นช่วยให้ใจสงบมีสมาธิ แม้จะทำให้ความคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องบนโลกมนุษย์บ่อยครั้ง หากก็ไม่ฟุ้งซ่านในตอนฝึกฝนจิตและพลังปราณตุ้บ...“แง...”เสียงล้มและร้องทำให้หนิงเฟิ่งรีบลุกขึ้นพร้อมทิ้งผ้าที่ปัก ขยับตัวเร็วเพื่อไปหาลูกสาวตัวน้อย ทว่ากลับมีใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาอุ้มขึ้นเสียก่อน นางจึงเอ่ยเสียงเข้ม“เจ้าเป็นใคร ปล่อยลูกข้านะ”ร่างสูงสง่าที่หันหลังให้นั้นดูคุ้นตา และเมื่ออีกฝ่ายหันกลับมาพร้อมอวี้หลันน้อยในอ้อมกอดหนิงเฟิ่งก็ถึงกับผงะ“ท่าน...ไท่จื่อ...”“มา...มา...”อวี้หลันน้อยชูมือมาทางมารดาของตน ขณะที่หนิงเฟิ่งนั้นยืนมองหน้าลูกกับใบหน้าคมคายสลับไปมา ดวงหน้าหวานซีดเผือด ทำตัวไม่ถูกกระทั่งหนูน้อยเริ่มร้องไห้อีกครั้งที่มารดาไม่เข้ามาหาตนเอง“มา...แง...”“ส่งล