ตอนที่11
ตามหาหัวใจ
“ราเชน วันนี้ไม่ต้องเข้าโรงงาน มานั่งคุยกับพ่อให้รู้เรื่อง อย่าให้พ่อต้องกลายเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องของลูกชายตัวเองเลย”
ชาติชายมานั่งรอราเชนอยู่ที่โต๊ะอาหารตั้งแต่เช้า เพราะเขาอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว วันนี้เขาต้องรู้ความจริงทั้งหมดให้ได้
“พ่อแน่ใจนะครับว่าพร้อมจะฟัง”
ราเชนคิดมาตลอด ว่าบิดาของเขาไม่มีทางรับได้ที่เขาจะมีภรรยาเป็นแค่เพียงพนักงาน เขาจึงไม่คิดจะเล่าให้ฟัง
“คงไม่มีอะไรทำให้พ่อทุกข์ใจ มากไปกว่าการที่พ่อต้องมาเห็นลูกเอาแต่เมาทุกวันแบบนี้”
ชาติชายคิดอย่างที่พูดจริงๆ เพราะเขาทุกข์ใจมาหลายวันแล้วกับพฤติกรรมของลูกชาย วันนี้เขาจึงต้องการรู้เรื่องทั้งหมดเพื่อหาทางแก้ไข ก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปกว่านี้
ราเชนเล่าทุกเรื่องตั้งแต่ปัญหาระหว่างเขากับนิศาจนถึงที่เขาไปเจอแพทกำลังโดนดิวตบตีและเขาพาเธอมาอยู่ที่คอนโดแล้วได้มีความสัมพันธ์กัน จนในที่สุดตอนนี้เธอหนีเขาไปแล้ว
“ถ้าคนทั้งโรงงานเขาไม่พูดกัน พ่อคงไม่มีทางได้รู้เรื่องจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
ชาติชายตัดพ้อลูกชายด้วยความรู้สึกน้อยใจ แต่ตัวเขาเองคงจะลืมไป ว่าเขาตอกย้ำราเชนตลอดเรื่องพ่อของนิศา แล้วใครกันจะกล้าพูดความจริง
“มันไม่มีประโยชน์แล้ว เขาทิ้งผมไป ผมคงจะไม่รักใครอีกแล้ว พอ...ไม่อยากเสียใจอีก”
ราเชนหมดหวังเขาคิดแต่เพียงว่า แท้ที่จริงแล้วแพทไม่เคยรักเขา เธอแค่ต้องการที่พึ่งแล้ววันนี้เธอแข็งแกร่งพอ เขาจึงไม่มีความหมายกับเธออีกต่อไป
“การที่เธอหนีไป ลูกยังไม่เคยคิดจะตามหาความจริง เอาแต่ดื่มให้เมา เมาแล้วก็นอน แบบนี้พ่อว่าลูกก็ยังรักเธอไม่มากพอ”
คนเป็นพ่อมองลูกชายว่ายังเหมือนเด็กที่ไม่โต เพราะสิ่งที่ราเชนกำลังทำมันเป็นแค่การประชดเท่านั้น มันไม่ใช่เป็นการแสดงว่าราเชนรักหญิงสาวอย่างแท้จริง
“แล้วพ่อคิดว่าผมต้องทำอย่างไร ผมไม่รู้จะไปหาความจริงจากไหน”
“ก็จากปากของเธออย่างไรล่ะ” ชาติชายตอบกลับ
ราเชนก้มหน้ามือทั้งสองข้างกำกันแน่น เพราะเขาไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนถึงจะได้เจอกับแพทอีกครั้ง
“ผมไม่รู้ว่าจะไปหาเธอได้ที่ไหน”
“ที่ลูกไม่รู้ เพราะลูกไม่มีสติ ความเมาทำให้สมองมันทำงานไม่ปกติ ตั้งสติลองคิดให้ดี ว่ามันมีทางไหนที่จะตามหาเธอได้”
ชาติชายรู้ว่าหนทางคืออะไร แต่เขาต้องการให้ราเชนรู้จักที่จะคิดและขวนขวายพยายามเอง เพราะมันจะเป็นการพิสูจน์ว่า ลูกชายของเขารักผู้หญิงที่หนีไปจริงๆ
ราเชนพยายามนั่งคิดทบทวน ว่าแพทจะหนีเขาไปที่ไหนได้บ้าง และเขาก็หาทางออกเจอ เธอคงต้องกลับบ้าน และที่อยู่ของเธอเขาสามารถหาได้จากฝ่ายบุคคล
ตอนนี้ราเชนก็มีที่อยู่ของแพทอยู่ในมือ เขาจะเดินทางถึงสนามบินเชียงรายพรุ่งนี้เช้าและเช่ารถเพื่อขับไปยังหมู่บ้านของหญิงสาว
ระหว่างทางที่ขับรถไป ราเชนถามหัวใจตัวเองไปตลอดทาง ถ้าเขารู้ว่าแพทหนีเขามาเพราะเธอไม่ได้รักเขาแล้ว เขาจะทำอย่างไรดี หรือถ้าเธอหนีมาเพราะตอนนี้เธอมีคนรักใหม่ เขาจะสามารถขับรถกลับได้ไหม
ราเชนอดแปลกใจตัวเองไม่ได้ ว่าทำเขาถึงคิดแต่เรื่องร้ายๆ หัวใจของเขามันคิดเหตุผลที่ดีกว่านี้ไม่ออกเลยจริงๆ
นับจากที่หญิงสาวหนีเขามาก็เกือบจะครบสามเดือนแล้ว เขาเมาทุกวันเพื่อให้แต่ละวันผ่านไปให้เร็วที่สุด หัวใจของชายหนุ่มมันเต้นแรงขึ้น เมื่อเห็นป้ายชื่อหมู่บ้านของหญิงสาวตามข้อมูลที่ฝ่ายบุคคลให้มา
“บ้านปลูกติดๆกันไปหมด จะรู้ไหมนี่ว่าหลังไหน”
ราเชนมองไปรอบๆหมู่บ้าน เขาขับรถสำรวจก่อนหนึ่งรอบ ก่อนที่จะตั้งใจสังเกตจริงๆ
“นึกออกแล้ว”
ราเชนอุทานด้วยความดีใจ เขาจำได้ว่าแพทเคยส่งรูปบ้าน ที่พ่อของเธอปรับปรุงใหม่ มาให้เขาดู ชายหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เพื่อมองหาบ้านที่มีลักษณะหมือนกัน
การมองหาพร้อมกับการขับรถไปด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายราเชนจึงจอดรถที่ลานวัดของหมู่บ้านและใช้การเดินเท้าแทน
ด้วยร่างกายที่อ่อนแอจากการดื่มเหล้าติดต่อกันมาหลายเดือน ทำให้ราเชนรู้สึกเหนื่อยมากเวลาที่ต้องเดินขึ้นลงเนิน เพราะหมู่บ้านนี้อยู่บนภูเขา พื้นที่จึงมีทั้งสูงและลาดชันลงมา
ราเชนไม่กล้าถามผู้คนที่เดินสวนทางกลับเขาไปมา เพราะกลัวว่า ถ้าหยญิงสาวรู้ตัวจะหนีเขาไปก่อน เขาจึงเลือกที่จะเดินดูไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะเหนื่อยก็ตาม
เดินมาเกือบครึ่งหมูบ้านแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่พบกับบ้านที่มีลักษณะใกล้เคียงกับบ้านในรูปถ่าย ด้วยความเหนื่อย ราเชนจึงตั้งใจจะนั่งกินข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งเล็กๆที่อยู่ข้างหน้าไปหน่อย
“เอาอะไรคะ”
แม่ค้ามองหน้าก็รู้ว่าลูกค้าไม่ใช่คนที่นี่ เธอจึงถามด้วยภาษากลางแต่ก็ยังติดสำเนียงเหนืออยู่
“ข้าวผัดไข่ครับ ”
ราเชนชอบกินข้าวผัดไข่ก็เพราะแพทที่ชอบทำให้เขากิน ปกติแล้วเขาไม่ชอบกินข้าวผัด เพราะรู้สึกว่ามันดูเหมือนเอาอะไรมาคลุกใส่กันไม่น่ากิน
“เอ้า ! ท้องใหญ่แล้วยังมาเดินอีกเดี๋ยวก็ล้มไป”
เสียงแม้ค้าตะโกนทักใครสักคนเป็นภาษาพื้นเมือง แต่ราเชนก็พอฟังออกว่าแปลว่าอะไร
“อยากกินข้าวผัดไข่ แต่วันนี้ขี้เกลียดทำ เลยเดินมาซื้อดีกว่า จะได้ออกกำลังกายด้วย”
น้ำเสียงที่ตอบถึงแม้จะเป็นภาษาเหนือ แต่ราเชนจำได้ดีว่ามันคือเสียงของผู้หญิงที่เขามาตามหา
ชายหนุ่มรวบรวมสติ เขากำลังจะได้เจอกับเธอ มันเหมือนฝันไป ราเชนค่อยๆลุกยืนและหันหลังกลับไปมองด้านหลังด้วยหัวใจที่เต้นแรง
“แพท”
หญิงสาวในชุดคลุมท้องหันมาตามเสียงเรียกทันที เธอทั้งตกใจ ดีใจ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร จึงได้แต่มองสบตาและยืนตัวแข็งอยู่แบบนั้น
“ผมคิดถึงคุณ ทำไมคุณหนีผมมาแบบนี้”
หญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดปากราเชนก่อนที่เขาจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ เพราะตอนนี้ทั้งคู่ยืนอยู่ที่ร้าน ที่เป็นจุดศูนย์กลางของหมูบ้าน แพทยังไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของเธอ
“ข้าวทั้งสองอย่างใส่กล่องเลยนะคะ”
หญิงสาวหันมาสั่งแม่ค้า เพราะต้องการรีบพาราเชนกลับไปคุยกันที่บ้านขืนอยู่ตรงนี้นานๆ มีหวังเขาคงไม่หยุดพูดแน่ๆ
ตอนที่12หัวใจที่หายไป “แพทคุณท้อง ทำไมคุณไม่บอกผม” เมื่อทั้งคู่เดินออกมาจากร้าน ราเชนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาถามสิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากกว่าการที่ได้เจอแพทเสียอีก นั่นคือการที่เธอกำลังตั้งท้องอยู่ “ไว้เราไปคุยกันที่บ้านดีกว่าค่ะ” หญิงสาวใบหน้าไร้รอยยิ้ม เธอใช้เวลาหลายเดือนเพื่อที่จะทำใจให้ลืมชายหนุ่มให้ได้ แต่วันนี้เมื่อเธอได้เจอเขา ทุกอย่างที่พยายามมา มันช่วยอะไรไม่ได้เลย เธอยังรักเขาอยู่เต็มหัวใจ บ้านของแพทอยู่ชายเขา มีบ้านเพียงไม่กี่หลังที่อยูใกล้ เพราะหลายครอบครัวต่างก็อยากมีบ้านอยู่ติดถนนแต่พ่อของเธอไม่มีเงินพอที่จะซื้อที่ดินติดถนน จึงต้องหลบมาอยู่ชายเขาแบบนี้ “พ่อคะนี่คุณราชัน” แพทแนะนำให้พ่อของเธอรู้จักชายหนุ่มที่เธอพามาด้วยภาษาเหนือ พ่อของหญิงสาวรู้ความจริงทั้งหมด ตั้งแต่วันแรกที่ลูกสาวหิ้วท้องกลับมาบ้าน ถึงแม้จะแอบเสียใจ แต่เขาก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร เพราะเข้าใจดีว่าทุกวันนี้ ทุกคนในครอบครัวมีกินมีใช้เพราะใคร “พ่อรู้เรื่องคุณกับลูกสาวพ่อหมดแล้ว แพทไม่เคยปิดบังอะไรพ่อกับแม่ คุณกลับกรุงเทพไปเถอะ อย
1การเดินทาง “คุณพ่อจะให้ลิดาไปเรียนต่อที่อเมริกาจริงๆเหรอคะ” ปาลิดาเด็กสาววัยเพียงสิบเจ็ดปี เธอเพิ่งสูญเสียมารดา จากโรคเส้นเลือดในสมองแตกไปอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่องานศพเสร็จสิ้น น้ำตายังไม่ทันแห้งไปจากหัวใจ พ่อของเธอก็เตรียมส่งเธอไปเรียนต่อต่างประเทศทันที “ลิดาลูกเห็นที่เราต้องสูญเสียแม่ไปไหม ทุกอย่างมันไม่ได้มีอะไรมาบอกล่วงหน้า ถ้าวันหนึ่ง พ่อต้องจากลูกไป มีแต่การศึกษาเท่านั้น ที่พ่อจะให้ลูกได้ นอกจากทรัพย์สมบัติ” นิรัชให้เหตุผลกับลูกสาว เขาอ้างความสูญเสียในครั้งนี้ เพราะเชื่อว่า ลูกสาวของเขาจะต้องยอมรับ และทำตามที่เขาต้องการ “แล้วคุณพ่อจะอยู่กับใครคะ ลิดาเป็นห่วงพ่อ” เด็กสาวเป็นห่วงผู้เป็นพ่อ เพราะเธอไม่เหลือใครแล้ว แล้วการไปครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพียงไปเรียนต่างจังหวัด แต่มันคือต่างประเทศ “พ่อดูแลตัวเองได้ ถ้าลูกรักพ่อ ตั้งใจเรียนให้จบ กลับมาช่วยงานที่บริษัทของเรา พ่อจะได้นอนตายตาหลับเสียที” นิรัชเองมีบริษัท ที่กิจการยังเพิ่งเริ่มต้นได้กำไร เขาอยากใช้โอกาสนี้ ส่งลูกสาวไปเรียนในที่ดีๆ เพราะขึ้นชื่อว่าธุรกิจ
“ลิดาจะไม่ทำให้คุณพ่อผิดหวังค่ะ” หญิงสาวเริ่มยิ้มได้ “แม่เลี้ยงคนใหม่ของหนูเป็นอย่างไรบ้าง พ่อเล่าให้ฟังบ้างไหม” กานดาแอบเป็นกังวลว่าเมื่อหลานสาวเธอกลับไปเมืองไทย จะมีปัญหากับแม่เลี้ยงเหมือนในหนังไทยหรือเปล่า เพราะตั้งแต่นิรัชมีภรรยาใหม่ ปาลิดายังไม่มีโอกาสได้เจอกับอัสมาเลย “คุณน้าอัสมาเขาดูเป็นคนดีนะคะ คุณพ่อเล่าให้ฟัง ว่าเขาดูแลทุกอย่าง เรื่องเงินก็ไม่เคยใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แถมยังช่วยงานบริษัทของพ่อได้ด้วย” ปาลิดารู้จักอัสมา จากคำบอกเล่าของผู้เป็นพ่อ และมีเพียงไม่กี่ครั้งที่เธอมีโอกาสได้วิดีโอคลอกับผู้เป็นแม่เลี้ยง แต่หญิงสาวก็เชื่อและรู้สึกตามที่พ่อบอกเล่าให้ฟัง “ดีแล้ว แบบนี้น้าก็เบาใจ ถ้าเขารักคุณพ่อของหนู หนูก็ต้องรักเขานะลิดา อย่าให้ต้องเป็นปัญหาลูกเลี้ยงแม่เลี้ยง คุณพ่อของหนูจะหนักใจเปล่าๆ” กานดาสอนหลานสาว ก่อนที่อีกสองปี ปาลิดาจะได้กลับไปอยู่เมืองไทย เพราะเธอคิดว่ากันไว้ดีกว่าแก้เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ปาลิดาก็อดทนจนเธอสำเร็จการศึกษา และอีกไม่กี่วันเธอจะได้รับปริญญา “คุณพ่อของหนูจะเดินทางมาวันไหน”
อัสมาเธอเป็นคนปากหวาน พูดเป็น มาแต่ไหนแต่ไร ด้วยอาชีพนักร้องที่เธอเคยทำ สร้างความสามารพิเศษของเธอในเรื่องการเอาใจคนให้เก่งเป็นพิเศษอยู่แล้วกานดาพาแขกผู้มาใหม่เดินทางกลับที่พัก ระหว่างทางเธอแอบมองอัสมาอยู่หลายครั้งไม่รู้ทำไมเหมือนกัน กานดาถึงได้รู้สึกไม่ไว้วางใจ ในตัวแม่เลี้ยงของหลานสาว ทั้งที่อัสมาก็ดูไม่มีอะไรคืนนี้สามคนพ่อ ลูกและอัสมา นั่งพูดคุยกันเกือบทั้งคืน โดยมีกานดา คอยมองอยู่ห่าง เพื่อสังเกตแม่เลี้ยงคนใหม่ของหลานสาวหลายปีที่ปาลิดามาอยู่กับเธอที่นี่ เมื่อหลานจะกลับไป เธอก็อดเป็นห่วงไม่ได้ กานดาจึงอยากแน่ใจ ว่าอัสมาเป็นคนดี ไม่ใช่แค่เพียงเสแสร้งแสดงออกมางานรับปริญญาผ่านไปอย่างมีความสุข ทุกคนต่างยินดีกับความสำเร็จของปาลิดา โดยเฉพาะนิรัส เขาดีใจ ที่ลูกสาวโตขึ้นและมีความสามารถ มีความรู้ติดตัวการกลับเมืองไทยครั้งนี้ ปาลิดายังไม่ได้กลับพร้อมกับบิดา เพราะติดขัดเรื่องต้องรอเอกสารเรื่องเรียนอีกนิดหน่อย และเธอตั้งใจจะกลับเมืองไทยพร้อมกับกานดาน้าสาว ที่สามารถลาพักร้อนได้ยาวหลายสัปดาห์“แล้วเจอกันที่เมืองไทยนะลูก” นิรัสหอมแก้มลูกสาว“กานดา พี่ฝากลิดาด้วยนะ ยังไงก็อย่าทิ้งหลาน เราก็เหล
3ปมแค้น “เกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อ คุณน้าบอกลิดามาสิคะ” ปาลิดาโวยวายด้วยคำถามที่เธอต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับบิดาของเธอ “คุณนิรัชประสบอุบัติเหตุรถชนคอสะพาน เสียชีวิตคาที่ค่ะ” อัสมาทำท่าจะร้องไห้ เมื่อต้องเล่าเรื่องราว ที่เธอสุดจะเสียใจอีกครั้ง “คุณพ่อไม่ใช่คนขับรถประมาท ไม่มีทาง ต้องมีอะไรแน่ๆ ลิดาไม่เชื่อเด็ดขาด” ตั้งแต่เด็กจนโต หญิงสาวรู้ว่าพ่อของเธอ มีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ในการขับรถยนต์ ปฏิบัติตากฎอย่างเคร่งครัด ไม่มีทางที่พ่อจะมาตายแบบไม่มีใครมาชนแบบนี้ เธอส่ายหัวอย่างไม่เชื่อ “คุณนิรัชดื่มสุราจนเมาค่ะ” อัสมาอธิบายต่อ “ปกติคุณพี่ไม่ดื่มนะคะ” คราวนี้กานดาสงสัยบ้าง “ใช่ค่ะ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาฉันเองก็ยังไม่เคยเห็นคุณนิรัชดื่ม เวลาไปเที่ยวร้านอาหาร ยังดื่มแค่เพียงน้ำอัดลมเท่านั้น แต่ตำรวจส่งชันสูตรเบื้องต้นแล้ว พบว่ามีการดื่มสุราค่ะ” ผลการสืบสวนของตำรวจ ลงความเห็นว่านิรัชเมาจนขับรถชนกับคอสะพาน เสียชีวิตคาที่ เพราะคอหัก ซึ่งทั้งหมดมันคือความจริง สิ่งที่ยังค้างคาใ
4ความแค้นที่เริ่มต้น กานดาตัดสินใจ เดินทางไปหาทนายของนิรัช ถึงแม้เขาอาจไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างกับเธอ แต่ก็คงได้รู้อะไรเพิ่มมากขึ้น และข้อมูลก็คงน่าเชื่อถือกว่าการฟังจากอัสมา “คุณทนายคะ เรื่องจดทะเบียนสมรสเรื่องจริงใช่ไหม” กานดาเข้าเรื่องทันที เมื่อนั่งลงบนโซฟาที่ห้องรับแขกของทนายดนัย “ใช่ครับ เพิ่งไม่นานมานี้เอง” ทนายยืนยัน “แล้วแบบนี้ ลิดาจะต้องแบ่งครึ่งทุกอย่างให้เธอใช่ไหม” กานดาหมายถึงอัสมาผู้เป็นแม่เลี้ยง “ใช่ครับ เฉพาะทุกอย่างที่เป็นของคุณนิรัชเท่านั้นนะครับ ส่วนมรดกที่คุณแม่คุณลิดาได้มาจากบิดามารดาของท่านไม่เกี่ยว” ทนายอธิบายเพิ่มเติม “อันนั้นฉันเข้าใจ แต่สมบัติของพี่นิรัชไม่ใช่น้อยๆ” กานดากังวล “แต่ที่เหลือก็ไม่มากนะครับ คุณท่านมีหนี้สินที่ต้องชำระอยู่หลายอย่าง เราต้องจัดการเรื่องนี้ก่อน ถึงจะแบ่งทรัพย์สินที่เหลือได้” ทนายความแสดงสีหน้าทำท่าไม่สบายใจ ที่จะต้องอธิบายรายละเอียดอะไรมากไปกว่านี้ เพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดพินัยกรรม “อีกนานไหมคะ กว่าจะถึงวันเปิดพินัยกรรม” กา
5ก้าวแรกในบ้านหลังใหม่ เมื่อตัดสินใจแล้วหญิงสาวก็เก็บข้าวของที่จำเป็น เดินทางมายังบ้านของธรรมสรณ์ โดยที่คืนนี้ เธอยังจะมีกานดาน้าสาวที่เหลือเพียงคนเดียวของเธอมานอนด้วย ก่อนที่พรุ่งนี้เย็น น้าสาวจะเดินทางกลับอเมริกา “ยินดีต้อนรับนะหลานสาว” ธรรมสรณ์ยืนกอดอกคอยปาลิดาอยู่ที่หน้าประตูบ้าน “และนี่เขมกร ลูกชายคนเดียวของลุง” ปาลิดายกมือไหว้ ชายหนุ่มที่หน้าตาดีกว่าคนเป็นพ่ออยู่มาก “เขมนี่คุณน้ากานดา” ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม แสดงถึงการที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี “มากันแล้วเหรอจ๊ะ” ภาวินีหญิงเดียวของบ้านนี้ ส่งเสียงทักทายมาก่อนตัว เพราะเธอมัวแต่จัดแจงเรื่องห้องพักของปาลิดา “สวัสดีค่ะพี่ภาวินี” กานดาคุ้นเคยกับภาวินีเป็นอย่างดี เพราะเธอคือเพื่อนสนิทของพี่สาวของเธอ และเป็นยังเป็นแม่สื่อแม่ชักให้พี่สาวของเธอกับนิรัช จนทั้งคู่ได้แต่งงานกัน “เขมพาน้องขึ้นไปที่ห้องหน่อย ช่วยยกกระเป๋าให้น้องกับน้ากานดาด้วย” ธรรมสรณ์หันไปสั่งลูกชาย เพื่อต้องการคุยกันสามคนแบบผู้ใหญ่ ไม่อยากให้เด็กๆอ
6มองหาเป้าหมาย “เดี๋ยวเราแวะกินอาหาร ที่ร้านอาหารใกล้สนามบินกันนะ มีร้านอร่อยๆอยู่” ธรรมสรณ์พยายามจะทำความสนิทสนมให้เกิดขึ้น ระหว่างครอบครัวของเขากับปาลิดา “สวัสดีค่ะเขม ไม่คิดว่าจะมาเจอคุณที่ร้านนี้เลย” นางแบบหุ่นสวย ส่งเสียงทักทายมาก่อนที่มือบางจะจับแขนของชายหนุ่มตรงหน้ามากอดอย่างคุ้นเคย “สวัสดีค่ะคุณพ่อ คุณแม่” หญิงสาวละมือจากแขนของเขมกร มายกมือไหว้ผู้ใหญ่สองคน “สวัสดีจ้าหนูรสริน” ภาวินีส่งยิ้มทักทาย “แล้วนี่ใครคะ ไม่เห็นเขมแนะนำให้รินรู้จักเลย เอ่...หรือว่าแม่บ้านคนใหม่” “ถ้าหมายถึงฉัน คงไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกค่ะ แต่ที่พี่เขมไม่แนะนำ อาจเป็นเพราะคุณไม่จำเป็นต้องรู้จักทุกคนในครอบครัวของพี่เขาก็ได้นะคะ” รู้จักปาลิดาน้อยไปแล้ว ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อยู่ดีๆ ก็มาใช้คำพูดที่ดูแคลนกันแบบนี้ มีเหรอนักเรียนนอกอย่างเธอจะยืนนิ่งๆให้ดูถูก เมื่อเจอตอกกลับแบบนี้ รสรินนางแบบสาวที่พยายามทำตัวเป็นผู้ดี ก็แทบจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ แต่ด้วยตัวเธอยังไม่รู้ว่าหญิงสาวที่ต่อปากต่อคำกับเธอเป็นใคร เธอจึงเลื