ตำหนักหวงเฟย
"พระชายา อีกสามวันจะเป็นวันเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาของฮ่องเต้ ข้าอยากให้เจ้าช่วยจัดสำรับอาหารสำหรับแขกในงาน จะได้หรือไม่?"
ฮองเฮาตรัสถามพระชายา
"ได้เพคะ แต่เสด็จแม่ต้องการให้อาหารแบบไหน หรือมีเมนูพิเศษหรือไม่เพคะ?"
"เจ้าจัดมาได้เลย ข้าเชื่อมือเจ้า แต่ขอให้มีบะหมี่สักชามสำหรับอวยพรฝ่าบาท"
"ได้เพคะ แต่ข้าขอออกไปหาวัตถุดิบที่ตลาดนอกวังนะเพคะ"
"ได้ ข้าอนุญาต… งั้นให้องค์รัชทายาทไปกับเจ้าด้วย"
"ไม่เป็นไรเพคะ ข้าไม่อยากให้พระองค์ไป องค์รัชทายาทไม่ค่อยอยากจะเจอหน้าข้าสักเท่าไหร่"
"นี่อย่าบอกนะว่า…พวกเจ้ายังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน?"
"เอ่อ…ไม่ใช่อย่างนั้นเพคะ คือ…"
"เสร็จจากงานเลี้ยง ฝ่าบาทต้องคุยกันสักหน่อยแล้ว"
คำพูดของฮองเฮาทำให้พระชายาชะงักไป
“ไม่น่าหลุดปากเลยเรา! ฮองเฮาจับได้เสียแล้ว!”
หน้าประตูวัง…
"เร็วเข้า ซีจิน! เราอยากออกจากที่นี่จะแย่แล้ว!"
พระชายาเร่งนางกำนัลคนสนิทให้ขึ้นรถม้า เพื่อมุ่งหน้าไปตลาด
แต่เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นขัดจังหวะทันที
"รีบร้อนจะไปไหน? ที่นี่เจ้าอยากทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้หรอกนะ"
องค์รัชทายาทยืนกอดอกมองนางด้วยสายตาเย็นชา
"ก็ไม่ได้จะออกไปทำอะไรไร้สาระที่ไหน ข้ามีหน้าที่ทำอาหารในงานเฉลิมฉลองของฝ่าบาท จำเป็นต้องออกไปซื้อวัตถุดิบ ก็แค่นั้น"
"แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่บอกข้า?"
"ข้าคิดว่าท่านคงไม่อยากร่วมทางกับข้าหรอก ท่านเกลียดข้าออกปานนั้น"
"สู่รู้คำสั่งเสด็จแม่… ไม่อยากไปข้าก็ต้องไป"
"ซีจิน เจ้าจงนั่งข้างนอก"
องค์รัชทายาทรับสั่งก่อนจะก้าวขึ้นรถม้า ทิ้งให้พระชายาได้แต่ยืนงง “อะไรของเขาอีกล่ะ!”
ภายในรถม้าเงียบสนิท บรรยากาศหนักอึ้งและเย็นเยียบ ราวกับมีม่านหมอกแห่งความบาดหมางปกคลุม องค์ชายเหลือบมองพระชายา—นางเปลี่ยนไปมาก จากสตรีที่เคยมองพระองค์ด้วยแววตาเปี่ยมรัก บัดนี้กลับเหลือเพียงสายตาว่างเปล่าและเย็นชา นางไม่แม้แต่จะปรายตามองพระองค์ทำ ราวกับพระองค์ไม่มีตัวตน
ภายในใจของพระองค์เต็มไปด้วยคำถาม—ใครกันที่ฆ่าเหม่ยจู? นางเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่? แม้ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่หัวใจของเขากลับเอนเอียงไปแล้ว...เขาเกลียดนาง ทว่าในความเกลียดชังนั้นกลับมีบางสิ่งแฝงเร้น ความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นแต่กลับตัดไม่ขาด
องค์ชายกำมือแน่น—ความโกรธ ความเจ็บปวด และ...ความห่วงใย นี่เขาควรทำอย่างไรกับความรู้สึกที่ขัดแย้งกันในใจตนเอง?
ตลาดนอกวัง
แสงแดดยามสายส่องลงกระทบพื้นหินในตรอกแคบ ๆ ของตลาดนอกวัง กลิ่นหอมของเครื่องเทศและอาหารสดอบอวลไปทั่ว พระชายาเดินเคียงข้างซีจิน พลางกวาดตามองแผงขายของอย่างสนใจ สองข้างทางเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้าด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว แผงหนึ่งขายผลไม้สดสีสันสดใส อีกแผงมีเนื้อสัตว์แขวนเรียงรายส่งกลิ่นหอมของเครื่องเทศที่คลุกเคล้ากันในอากาศ
“ปะ ซีจิน ไปซื้อของกัน” พระชายากล่าว พลางเร่งฝีเท้าด้วยความตื่นเต้น
ซีจินพยักหน้ารับคำอย่างสงบ เดินตามพระชายาไปยังแผงขายเครื่องปรุง กลิ่นขิง กระเทียม และพริกแห้งลอยแตะจมูก พระชายาหยิบขิงขึ้นมาดมเบา ๆ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า “ยุคนี้บางสิ่งบางอย่างไม่มี เราก็หาอะไรทดแทนได้เนอะ” เธอพึมพำกับตัวเอง สายตาไล่ไปตามเครื่องเทศที่คุ้นเคย โชคดีที่เครื่องปรุงบางอย่างจากยุคของนางติดตัวมาด้วย ทำให้สามารถรังสรรค์อาหารได้ตามต้องการ
แผงถัดไปขายเป็ดไก่ตัวใหญ่น่ากิน พระชายายื่นมือไปหยิบดูอย่างพินิจพิเคราะห์ เจ้าของแผงเป็นหญิงวัยกลางคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส “แม่นางต้องการเท่าใดเจ้าคะ?” นางถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“10 ตัวจ่ะ” พระชายาตอบ ก่อนจะหยิบถุงเงินออกมาจ่าย
ระหว่างที่กำลังรอ ซีจินกวาดตามองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง ดูเหมือนพวกเขาจะตกเป็นเป้าสายตาของชาวบ้านหลายคน อาจเป็นเพราะชุดที่พระชายาสวมใส่ดูหรูหรากว่าเหล่าผู้คนทั่วไป หรืออาจเป็นเพราะใบหน้าของเธอที่ไม่คุ้นเคยกับย่านนี้นัก แต่พระชายาดูจะไม่ใส่ใจ เธอเพลิดเพลินกับการเลือกซื้อวัตถุดิบและสำรวจสิ่งใหม่ ๆ อย่างไม่รู้เบื่อ
ขณะที่เดินลึกเข้าไปในตลาด กลิ่นหอมของขนมแป้งทอดลอยมาเตะจมูก พระชายาหันไปมองก็พบแผงขนมที่มีแป้งทอดกรอบเรียงกันอยู่ นางหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งและกัดเบา ๆ รสชาติหวานหอมกรอบละมุนทำให้นางอเผลอยิ้มออกมา
“อร่อยมาก!” เธออุทานเบา ๆ ก่อนจะหันไปหาซีจิน “เจ้าลองดูสิ”
ซีจินรับมาชิมทันที เมื่อขนมละลายในปาก ซีจินพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงเห็นด้วย พระชายาหัวเราะเบา ๆ อย่างพึงพอใจ ก่อนจะเดินต่อไปยังแผงถัดไป นางซื้อวัตถุดิบที่ต้องการครบแล้วเธอก็ขึ้นรถม้าที่องค์รัชทายาทนั่งคอยอยู่แล้วกลับวัง
ระหว่างทางพระชายาเผลอหลับจากการเหนื่อยล้า นางนั่งเอนเอียงหัวไปซบไหล่ขององค์รัชทายาทอย่างไม่ตั้งใจ องค์รัชทายาทไม่ได้โกรธแต่อย่างใดกลับใช้มือประคองไว้ไม่ให้หัวของเธอกระทบกับไม้
องค์รัชทายาทมองพระชายาอย่างลึกซึ้ง ผิวหน้าคิ้วจมูก ความงามของพระชายาช่างโดดเด่น
ทว่าพระชายาน้ำลายค่อย ๆ หยดใส่เสื้อชุดจีน ขององค์รัชทายาท นางรู้สึกตัวสูดน้ำลาย
องค์รัชทายาทมองหน้าโกรธ
“สกปรกไม่คิดเลยว่าสตรีเยี่ยงเจ้าที่ผ่านการฝึกจะเป็นได้ถึงเพียงนี้”
“นี่องค์รัชทายาท คนหลับจะรู้สึกตัวได้อย่างไร ขอโทษ ๆ เดี๋ยวข้าซักให้ก็ได้”
พระชายาตอบอย่างไม่แคร์ความรู้สึก
ปล่อยให้องค์รัชทายาทโกรธเมินหน้าหนีเช่นเคย เมื่อถึงพระราชวังองค์ชายรีบเดินหนีเขาตำหนักทันที
วันฉลองพระชนมพรรษา
ภายในห้องครัวหลวงอันกว้างขวาง ควันจากเตาถ่านลอยกรุ่น เสียงมีดกระทบเขียง เสียงครกตำพริก และเสียงน้ำซุปเดือดดังคลอไปพร้อมกับบทสนทนาของขันทีห้องเครื่องและนางกำนัล ทุกคนต่างเร่งมือจัดเตรียมอาหารเลิศรสสำหรับถวายฝ่าบาทและเหล่าขุนนางคนสนิท
กลิ่นหอมจากเครื่องเทศสดและวัตถุดิบชั้นเลิศลอยอบอวลไปทั่ว พระชายาในชุดแต่งกายสำหรับเชฟหลวง ขมวดคิ้วตั้งใจ เธอรังสรรค์อาหารแต่ละจานอย่างพิถีพิถัน ด้วยฝีมือของเชฟที่เชี่ยวชาญทั้งอาหารไทยและอาหารจีน มื้อนี้ทุกคนจะได้ลิ้มลองอาหารสุดพิเศษ ในยุคโบราณหากนที่ไหนไม่ได้
ส้มตำไทย – รสแซ่บถึงใจ หอมมะนาวสด
ขันทีห้องเครื่องและนางกำนัลช่วยกันสับมะละกอเป็นเส้นบางกรอบอย่างคล่องแคล่ว พระชายาเลือกพริกที่ให้ความเผ็ดร้อนพอเหมาะ ตำรวมกับกระเทียมไทยกลีบเล็กให้แตก ก่อนเติมน้ำปลาแท้ น้ำตาลปี๊บหอมเคี่ยว และน้ำมะนาวสดที่คั้นด้วยมือเพื่อคงความหอมเปรี้ยว
นางค่อย ๆ ใส่มะละกอเส้น ถั่วฝักยาว และกุ้งแห้ง ตำอย่างเบามือให้เครื่องปรุงซึมเข้าเส้นมะละกอโดยไม่ช้ำจนเกินไป
ไก่อบโอ่ง – หนังกรอบ เนื้อนุ่ม หอมเครื่องเทศ
พระชายาเลือกไก่เนื้อแน่นขนาดพอดีสำหรับอบทั้งตัว เธอหมักไก่ด้วยกระเทียม พริกไทย และรากผักชีบดละเอียดก่อนจะยัดไส้ด้วยตะไคร้ ใบมะกรูด และขิงฝานบาง ๆ
โอ่งดินเผาขนาดใหญ่ถูกตั้งบนเตาถ่านที่ให้ความร้อนคงที่ ไก่ที่หมักจนได้ที่ถูกแขวนไว้กลางโอ่ง ปิดฝาแล้วปล่อยให้ไอร้อนจากถ่านไม้กระจายไปรอบตัวไก่ กลิ่นหอมกรุ่นของไก่อบและเครื่องเทศลอยออกมาจากปากโอ่ง
เมื่อสุกได้ที่ หนังไก่กลายเป็นสีทองกรอบแวววาว ส่วนเนื้อในยังคงฉ่ำและมีกลิ่นหอมเครื่องเทศ เมื่อหั่นไก่ออกมา น้ำซึมออกมาเล็กน้อยแสดงถึงความชุ่มฉ่ำของไก่อบโอ่งที่สมบูรณ์แบบ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วรสแซ่บที่ผสมข้าวคั่วหอม ๆ
ผัดไทย – เส้นเหนียวนุ่ม หอมกลิ่นกระทะ
กระทะทองเหลืองร้อนจัด เสียงน้ำมันหมูเจียวกับกระเทียมสับดังฉ่าไปทั่ว พระชายาใส่เต้าหู้หั่นเต๋า และกุ้งแม่น้ำตัวโตลงไปผัดจนสุกสีส้มสวย จากนั้นจึงเติมเส้นจันท์ที่ลวกแล้วให้เหนียวนุ่มกำลังดี
น้ำซอสสูตรพิเศษที่เธอปรุงจากน้ำมะขามเปียก น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และพริกป่น ถูกเทลงไปในกระทะ ค่อย ๆ คลุกเคล้าให้เส้นดูดซึมซอสอย่างทั่วถึง ตอกไข่ลงกลางกระทะ ทิ้งไว้ให้เซ็ตตัวเล็กน้อยก่อนคลุกให้เข้ากัน โรยถั่วงอก ใบกุยช่าย และถั่วลิสงคั่วบด
ต้มแซ่บกระดูกอ่อน – เผ็ดร้อน กลมกล่อม ซดคล่องคอ
หม้อดินถูกตั้งไฟอ่อน กระดูกอ่อนหมูถูกเคี่ยวในน้ำซุปจนเปื่อยนุ่ม น้ำซุปหอมกลิ่นข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ เม็ดพริกขี้หนูสวนสีแดงเขียวลอยกระจาย ส่งกลิ่นเผ็ดร้อนเตะจมูก
พระชายาเติมน้ำปลา น้ำมะนาว และพริกป่นลงไปปรุงรส เสียงน้ำซุปเดือดปุด ๆ ชวนให้น้ำลายสอ นางช้อนกระดูกหมูขึ้นมา เนื้อนุ่มหลุดออกจากกระดูกอย่างง่ายดาย แสดงถึงการเคี่ยวที่สมบูรณ์แบบ
เมื่อเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยผักชีฝรั่งซอยและพริกทอดกรอบ ๆ กลิ่นหอมโชยขึ้นมายั่วน้ำลาย
ลอดช่อง – หอมกะทิ น้ำแข็งเย็นชื่นใจ
พระชายาใช้แป้งข้าวเจ้าและแป้งถั่วเขียวผสมกับน้ำใบเตยสด เธอกวนแป้งบนเตาจนเหนียวข้น ก่อนนำมากดผ่านพิมพ์ให้เป็นเส้นลอดช่องลงในน้ำเย็นจัด เส้นที่ได้ต้องเป็นสีเขียวสดใส เหนียวนุ่มพอดี
น้ำกะทิที่ใช้ต้องเป็นกะทิสด เคี่ยวกับน้ำตาลโตนดและเกลือเล็กน้อยเพื่อให้ได้รสหวานมันกลมกล่อม เทราดบนลอดช่อง
กลิ่นอาหารหอมฟุ้งทั่วห้องครัว อาหารทุกจานถูกจัดวางอย่างประณีตบนสำรับทองคำ ขันทีห้องเครื่องและนางกำนัลต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อการเตรียมอาหารเสร็จสิ้น ทุกจานพร้อมถวายฝ่าบาทและเหล่าขุนนางในงานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ในคืนนี้!
ณ ท้องพระโรง
ค่ำคืนเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาของฮ่องเต้ มหาบุรุษทั่วแผ่นดินล้วนมาร่วมแสดงความยินดีในพระราชวัง โต๊ะเลี้ยงยาวเหยียด ถูกจัดเรียงไว้อย่างงดงามภายใต้แสงโคมไฟต้องสายลมแห่งค่ำคืน
แต่สิ่งที่เป็นที่สนใจมากที่สุด หาใช่บรรยากาศโอ่อ่า หรือเสียงดนตรีอันไพเราะ
แต่เป็นสำรับอาหารอันแปลกตาที่ถูกนำมาเสิร์ฟในค่ำคืนนี้
เสียงขันทีประกาศก้องทั่วท้องพระโรง "สำรับพิเศษนี้—เป็นฝีมือของพระชายาองค์รัชทายาท!"
เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ต่างพากันหันมองด้วยความตกตะลึง ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าพระชายาผู้สูงศักดิ์จะลงมือปรุงอาหารด้วยพระองค์เอง
บนโต๊ะทรงเครื่อง อาหารไทยเลิศรสถูกจัดวางอย่างประณีต สีสันงดงามราวภาพวาด หอมกรุ่นเย้ายวนชวนให้ลิ้มลอง ทุกจานล้วนผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถัน รสชาติที่ละเมียดละไม และกลิ่นหอมที่ชวนให้หัวใจเต้นระรัว
ไก่อบโอ่ง—หนังกรอบ เนื้อนุ่ม หอมเครื่องเทศ
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไก่อบโอ่งตัวใหญ่ หนังไก่เหลืองทองกรอบเกรียมเล็กน้อย แค่เพียงตัดมีดลงไป น้ำซุปในเนื้อไก่ก็ซึมออกมา เผยให้เห็นเนื้อที่ฉ่ำและนุ่มลิ้น
"กลิ่นหอมล้ำ หนังกรอบ เนื้อนุ่มละลายในปาก ข้ารู้สึกได้ถึงความตั้งใจของเจ้า" ฝ่าบาทตรัสเบา ๆ
"หม่อมฉันขอชิมบ้างพ่ะย่ะค่ะ" ฮองเฮาตรัสก่อนตักเข้าพระโอษฐ์ แต่เพียงชั่วครู่ พระพักตร์กลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับรู้สึกแปลกใจบางอย่าง
ส้มตำไทย—เผ็ด เปรี้ยว หวาน ครบรส สีสันสดใส
เส้นมะละกอขาวใสกรอบ คลุกเคล้ากับพริกแดงสด และถั่วลิสงคั่วสีทองอร่าม เมื่อเสวยเข้าไป รสเปรี้ยวจี๊ดจากมะนาวแท้ ตัดกับความเผ็ดซ่านของพริกสด และความหวานจากน้ำตาลโตนด ผสมกันอย่างลงตัว
"รสชาติจัดจ้านแต่ไม่เกินไป กลมกล่อมยิ่งนัก" ฮองเฮาตรัสพร้อมแย้มพระสรวล "เจ้ามีพรสวรรค์จริง ๆ"
ผัดไทย—เส้นเหนียวนุ่ม หอมซอสเข้มข้น
เมื่อขันทีถวายผัดไทยกุ้งสด เส้นผัดไทยสีทองอ่อนฉ่ำซอส ถั่วลิสงบดละเอียด และกุ้งแม่น้ำตัวโตสีส้มสด ลอยเด่นอยู่ด้านบน
องค์รัชทายาททรงตักเข้าพระโอษฐ์ ก่อนจะเหลือบพระเนตรมองพระชายา
พระชายาส่งยิ้มทะเล้นให้พลางกระซิบเสียงเบา "เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?"
องค์รัชทายาทกระแอมเบา ๆ "ใช้ได้"
พระชายาหรี่พระเนตร "แค่ ‘ใช้ได้’ หรือเพคะ?!"
ต้มแซ่บ—ร้อนแรง เผ็ด เปรี้ยว หอมสมุนไพร
น้ำซุปเข้มข้น มีกลิ่นสมุนไพร หอมข่าตะไคร้ ใบมะกรูดและพริกแห้งทอดลอยเด่น ซี่โครงหมูตุ๋นจนเปื่อย เคี้ยวแล้วแทบละลายในปาก
"โอ้... ซุปเผ็ดร้อนกำลังดี ซี่โครงเปื่อยนุ่ม หอมสมุนไพร ดี ดี เราชอบ" ฮ่องเต้ตร้สอย่างพอพระทัย
ลอดช่อง— หอมหวาน มันกำลังดี
ถ้วยแก้วใสบรรจุ ลอดช่องสีเขียวอ่อน เส้นเหนียวนุ่ม ลอยอยู่ในน้ำกะทิหอมมัน
"โอ้โห สดชื่นจริง ๆ" ฮองเฮาตรัส "เจ้าใส่กลิ่นอะไรลงไป? มันหอมมาก!"
พระชายายิ้มกว้าง "เป็นกะทิคั้นสดที่ข้าต้มไฟอ่อนกับใบเตยเพคะ"
ชามบะหมี่ถูกยกมาเสิร์ฟต่อเบื้องพระพักตร์ เส้นบะหมี่สีเหลืองทองสะท้อนแสงไฟแวววาว ถูกปรุงรสด้วย น้ำซุปกลมกล่อมจากกระดูกตุ๋นข้ามคืน คลุกเคล้ากับเครื่องปรุงลับเฉพาะ เติมความเข้มข้นด้วยผงมาม่าที่ทำให้รสชาติโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
ด้านบนถูกจัดวางอย่างประณีต ไข่ออนเซ็นเนื้อเนียนขาวนวล เมื่อปลายตะเกียบแตะเบา ๆ ไข่แดงสีส้มสดข้นเยิ้มไหลซึมเข้าผสมกับเส้นบะหมี่ ส่งกลิ่นหอมยั่วยวน พร้อมด้วย เนื้อสัตว์ที่ผ่านการตุ๋นจนเปื่อยนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัวฉ่ำ ๆ หมูสามชั้นที่มีมันแทรกพอดี หรือเนื้อไก่นุ่มละมุน
และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ กระเทียมเจียวสีทองกรอบ ที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งทั่วทั้งโต๊ะอาหาร เพิ่มสัมผัสกรุบกรอบตัดกับเส้นบะหมี่เหนียวนุ่มได้อย่างลงตัว
เมื่อช้อนตักขึ้น ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเนื้อบะหมี่ที่ถูกเคลือบด้วยไข่ออนเซ็น ก่อนจะทรงชิมคำแรก "บะหมี่เลิศรสมาก ข้าถูกใจ อร่อยจริงๆ"
เหล่าขุนนางที่นั่งรายล้อมต่างพยักหน้าเห็นด้วย ความหอมและรสชาติอันล้ำเลิศทำให้ทุกคนไม่อาจละสายตาจากชามบะหมี่ตรงหน้าได้ องค์รัชทายาทลอบมองพระชายาด้วยแววตาภาคภูมิใจ แม้สีพระพักตร์จะยังคงเรียบนิ่งก็ตาม ขณะที่พระชายาเองก็ยิ้มทะเล้น ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นลิ้มลองฝีมือตนเองบ้าง
ในท้องพระโรงพระราชวังที่หรูหรามีแต่เสียงคุยของขุนนางและเหล่าข้าราชบริพารที่ต่างพากันยกย่องความสามารถของพระชายาที่ทำอาหารให้ทุกคนลิ้มรส จนทำให้พระราชวังเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความชื่นชม แต่ท่ามกลางความสุขนั้น กลับมีบางสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นทันใดนั้น หมิงจิว น้องสาวของพระชายาองค์ชายสี่ ซึ่งเป็นสาวงามที่มีชื่อเสียงในเรื่องของคุณสมบัติอันดีงาม กำลังได้รับการทาบทามให้เป็นพระชายารองของรัชทายาทหมิงจิวเริ่มมีอาการผิดปกติ ผิวหนังของเธอเริ่มแดงและมีผื่นขึ้นทั่วร่างกาย แล้วเธอก็ล้มลงหมดสติไป ทำให้ทุกคนในห้องตกใจและรีบเข้ามาช่วยเหลือ องค์ชายสี่และพระชายาองค์ชายสี่มองเหตุการณ์นี้ด้วยสายตาแฝงไปด้วยความไม่พอใจ ทั้งสองคนเริ่มตั้งข้อสงสัยและคิดว่าอาหารที่พระชายาองค์รัชทยาททำเป็นสาเหตุที่ทำให้หมิงจิวเกิดอาการเช่นนี้"มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก!" พระชายาองค์ชายสี่พูดขึ้นเสียงเย็นชา"พระชายาองค์รัชทายาทคงไม่พอใจที่หมิงจิวกำลังจะได้รับตำแหน่งพระชายารองของรัชทายาท เธอคงวางยาพิษหมิงจิว"คำพูดของพระชายาองค์ชายสี่ทำให้บรรยากาศในห้องนั้นตึงเครียดขึ้นทันที“พระชายาองค์ชายสี่ท่านคิดได้อย่างไรว่าเป็นฝีมือของ
ตำหนักไป๋ฮวา...ในค่ำคืนหนาวเหน็บเงียบสงัด ราวกับถูกปกคลุมด้วยความหม่นหมอง ภายในห้องบรรทมของพระชายา มีเพียงแสงตะเกียงส่องริบหรี่ สะท้อนความเหงาในใจของนางที่ถูกคำพูดขององค์รัชทายาททำร้าย แม้จะมีซีจินนั่งอยู่ข้าง แต่ความเหนื่อยล้ากลับยิ่งเพิ่มพูนภายในใจ"ซีจิน ข้ายากอาบน้ำเตรียมน้ำให้ข้าที""พระชายารอสักครู่นะเพคะ ข้าจะไปเตรียมให้"บรรยากาศภายในห้องอาบน้ำช่างเย็นเยียบแม้จะมีแสงเทียนอ่อนๆ ส่องสว่างด้วยประกายอ่อนจากน้ำที่เคลื่อนไหวไปตามการเคลื่อนไหวของพระชายาพระชายารู้สึกผ่อนคลายจากน้ำอุ่นในอ่างหินอ่อนขนาดใหญ่ที่ซีจินได้เตรียมไว้ให้ นางนั่งอยู่ในอ่างน้ำที่มีสมุนไพร กลิ่นสมุนไพรลอยฟุ้งในอากาศ หอมสดชื่น ช่วยปลอบประโลมร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยได้ดีทีเดียวแต่ท่ามกลางความสงบนี้ ความคิดในใจของพระชายายังคงหมุนวน ความเครียดที่ฝังอยู่ในใจมานานทำให้นางรู้สึกอึดอัดจนไม่อาจหลุดพ้นได้ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ทำให้นางสะดุ้ง นางรู้สึกถึงการปรากฏตัวของใครบางคน"ซีจิน นั้นเจ้าไหม"ไม่มีเสียงตอบใดใด มีเพียงองค์ชายรัชทายาทพยักหน้าให้ซีจินออกไปจากที่นี้องค์ชายรัชทายาทที่ยืนมองความงามของพระชายาท
องค์ชายรัชทายาทไปที่นางกำนัลด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม และถามอย่างกังวล"พระชายาของพวกเจ้าไปที่ใด""พระชายาเสด็จไปตำหนักพระพันปีเพคะ" นางกำนัลตอบเสียงเรียบองค์ชายพยักหน้าและสั่งการอย่างจริงจัง"ฝานจิน ไปหาเสด็จย่ากัน""พะยะคะ"ฝานจินตอบรับอย่างว่าง่าย แต่ในแววตากลับมีความขบขันตำหนักพระพันปี...ในตำหนักพระพันปี พระชายาเดินเข้าไปพร้อมน้ำเม็ดบัวในมือ สายตาเธอแสดงถึงความห่วงใยที่มีต่อเสด็จย่า"เสด็จย่าเพคะ ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างเพคะ หลานได้ยินว่าท่านมีอาการวูบบ่อยๆ"พระชายาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล"ขอบใจเจ้ามาก ที่มาเยี่ยมย่า " เสด็จย่าตอบพลางยิ้มให้"ข้าทำน้ำเม็ดบัวมาให้ น้ำเม็ดบัวช่วยขับลม บำรุงหัวใจ บำรุงเลือดและปรับสมดุล ลดความเครียดเพคะ เสด็จย่าดื่มสักหน่อย"พระชายายื่นแก้วน้ำเม็ดบัวให้เสด็จย่าหยิบไปดื่มและรับรู้ถึงรสชาติที่หวานหอม"อืม รสชาติดีทีเดียว ขอบใจเจ้ามากที่ทำให้ย่า""ยินดีที่สุดเพคะ" นางยิ้มและมองดูเสด็จย่าอย่างอ่อนโยนทันใดนั้นองค์รัชทายาทก็เดินเข้ามาแนบชิดพระชายา"องค์รัชทายาท เจ้าก็มาหาย่าเหมือนกันรึ?" เสด็จย่าพูดเสียงนุ่มเมื่อเห็นองค์ชายเดินเข้ามาใกล้องค์รัชทายาทมองไปยังเ
ตำหนักไป๋ฮวา..."พระชายา เสวยมื้อเช้ากับองค์รัชทายาทก่อนเพคะ"ซีจินกล่าวเสียงอ่อนโยน พลางวางถาดอาหารลงเบื้องหน้า"ข้าไม่หิว" พระชายาตอบเสียงเรียบแข็ง นางไม่แม้แต่จะปรายตามองบุรุษที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามองค์รัชทายาทจ้องมองพระชายาของตน นัยน์ตาคมกริบหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะละสายตาจากนางแล้วเอ่ยเสียงเรียบแต่ทรงอำนาจ"จินฝาน ไปเตรียมม้า วันนี้ข้าจะออกไปตรวจดูความเรียบร้อยเสียหน่อย""พ่ะย่ะค่ะ!" จินฝายขานรับทันทีพระชายาหันไปหาซีจิน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแน่วแน่"ซีจิน เตรียมรถม้า ข้าจะไปแถววัดหยงเห่อ"เพคะ"ระหว่างทาง รถม้าของพระชายาแล่นไปตามถนนลูกรังที่เงียบสงบ สายลมพัดเอื่อยนำกลิ่นดอกเหมยจากสวนข้างทางมาแตะจมูก ทว่า...ความเงียบงันนี้กลับดูผิดปกติซีจินที่นั่งอยู่ข้างๆ เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่ง นางเหลียวมองไปยังถนนด้านหลังผ่านช่องหน้าต่างรถม้า และสิ่งที่เห็นก็ทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบกลุ่มบุรุษในชุดดำควบม้าตามมาติดๆ ราวกับเงาที่คอยไล่ล่า!"พระชายา! มีคนตามเรามาเพคะ!" ซีจินร้องเตือนพระชายาหันขวับไปมองทันที ก่อนที่รถม้าจะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงกีบม้ากระทบพื้นดังกึกก้อง ฝุ่นฟุ้งขึ้นเป็นสาย เธอรู้
ในค่ำคืนที่หนาวเย็นจนรู้สึกถึงความเยือกเย็นที่แทรกซึมเข้าไปในทุกอณูของเมืองหลวง หิมะตกปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าและพื้นดิน แสงจากเตาไฟที่อยู่ภายในห้องทอแสงอุ่นๆ แต่ความหนาวเย็นนั้นกลับไม่ได้หายไปเสียทีเดียว ภายในห้องที่สงบและเงียบสงัดนี้ องค์ชายที่นอนอยู่บนแท่นไม้เล็กๆ ข้างเตียงดูเหมือนเขาจะไม่สบายจากบาดแผลที่โดนแจกัน และแผลที่มือรับมีดแทนเธอพระชายาที่ยืนมององค์รัชทายาทจากมุมหนึ่งภายในห้อง รู้สึกสงสารพระองค์จับใจ ใบหน้าของพระที่เคยแข็งกร้าวตอนนี้ดูอ่อนโยนและเจ็บปวดกับความหนาวจัดและพิษไข้"หลินเหม่ยเยียน... ข้าหนาว ข้าขอนอนเตียงเจ้าหน่อยได้หรือไม่?"น้ำเสียงออดอ้อนขององค์รัชทายาททำให้หัวใจของพระชายาสะท้าน นางรับรู้ถึงความอ่อนแอที่เขาแอบซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีแข็งกร้าวพระชายาไม่ตอบ นางเพียงเดินไปเปิดตู้ข้างเตียง หยิบผ้าห่มผืนหนาออกมาแล้วหันกลับไปยื่นให้เขา ทว่าก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร ร่างสูงกลับก้าวเข้ามาใกล้… และกอดนางจากด้านหลัง"ข้าไม่ได้อยากได้ผ้าห่ม ข้าอยาก..." เสียงของเขาแผ่วเบา ทว่าซ่อนความนัยลึกซึ้ง"ปล่อยข้าเถอะ ข้าไม่อยากฟาดฟันอะไรกับคนป่วยอย่างท่าน" พระชายารีบพูด แต่กลับไม่มีผลใดๆ เ
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังใกล้เข้ามา ก่อนที่ร่างองครักษ์หนุ่มจะคุกเข่าลงตรงหน้าองค์รัชายาท ดวงตาของเขาฉายแววเคร่งเครียด“องค์รัชทายาท! ข้าสืบเรื่องนี้จนได้ความแล้วพ่ะย่ะค่ะ”พระองค์เงยหน้าขึ้น ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ด้วยความกดดัน“เป็นฝีมือของใคร?”“ตงหยาง พ่ะย่ะค่ะ”บรรยากาศในห้องเงียบสนิท อุณหภูมิราวกับลดต่ำลง องค์ชายหรี่ตา เสียงของพระองค์เย็นเยียบจนทำให้จินฝานรู้สึกเสียวสันหลัง“เจ้าแน่ใจหรือ?”จินฝานกลืนน้ำลาย ก่อนกล่าวต่ออย่างระมัดระวัง“พ่ะย่ะค่ะ ก่อนที่แม่นางเหม่ยจูจะถูกวางยา นางได้ไปพบตงหยางที่ศาลาข้างวัดหยงเห่อ พยานหลายคนเห็นว่าทั้งคู่แอบมาพบกันบ่อยครั้ง...และในวันนั้น พวกเขาทะเลาะกัน ตงหยางพยายามบังคับให้เหม่ยจูกินอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร”องค์รัชทายาทกำหมัดแน่น ความเย็นเยียบในแววตาแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธจินฝานรีบกล่าวต่อ“จากนั้น...แม่นางเหม่ยจูกลับไปที่จวนของพระชายา แต่พระชายาเองก็เหมือนจะถูกวางยาสลบเช่นกัน กระหม่อมให้คนไปตรวจสอบกำยานที่จุดในห้อง พบว่ามีส่วนผสมของยาที่ทำให้หมดสติ”องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว ก่อนพึมพำกับตนเอง“ตอนข้าเข้าไปในห้องวันนั้น...ข้าก็ได้กลิ่นแปลก
ตำหนักองค์หญิงเล็ก ในคืนนี้กลับมีแต่ความโกลาหลและเสียงหวีดร้องสะท้อนก้องไปทั่ว เมื่อองค์หญิงเล็กถึงคราวประสูติ หากแต่ความทุกข์ร้อนยิ่งเพิ่มพูนเพราะทารกในครรภ์ไม่ยอมกลับหัว หมอหลวงและหมอตำแยต่างเร่งรุดมายังตำหนักอย่างเร่งรีบ"พวกเจ้าจงช่วยลูกข้าให้ได้!" ฮองเฮาตรัสเสียงสั่น น้ำเสียงแฝงไปด้วยความกังวลพระชายายืนเคียงข้างฮองเฮา เช่นเดียวกับองค์รัชทายาทที่จับพระหัตถ์มารดาไว้แน่น พยายามส่งกำลังใจในยามวิกฤติ"ทำไงดี เด็กไม่กลับหัว จะรอดไหมนะ? นี่ถ้าเป็นคนอื่นที่ทะลุมิติมา ในซีรีส์ส่วนใหญ่เป็นหมอ ผ่าคลอดได้ แต่ฉันเป็นแค่เชฟ ไม่ใช่หมอ... ตาย ๆ อย่าหาทำเลยลี่หรง!"นางบ่นพึมพำในลำคอ หัวใจเต้นระรัว“กลัวหรือ?” องค์ชายเอ่ยถาม ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย“ไม่... ข้าแค่ห่วงองค์หญิงเล็ก” พระชายาตอบเสียงเบา“ข้านึกว่าเจ้าจะกลัวจนไม่กล้ามีองค์ชายให้ข้าเสียอีก” องค์ชายพูดแล้วยิ้มเยาะพระชายา“องค์ชายนี่ไม่ใช่เวลาจะพูดเล่นนะ!” พระชายาหันมาทำตาดุใส่ องค์รัชทายาทได้แต่ยิ้มอย่างสำรวม“ข้ามีกระป๋องออกซิเจน ขอเข้าไปในห้องคลอดได้ไหม อย่างน้อยข้าจะได้ช่วยปลอบโยนองค์หญิงเล็ก” พระชายาเอ่ยขอ ฮองเฮาตรัสอนุญาต นางจ
ท้องพระโรง..."ถวายบังคมฝ่าบาท พ่ะย่ะค่ะ ข้าได้สืบทราบมาว่า มหาเสนาบดีหลินเซียวคิดกบฏ รวบรวมทหารทางตอนเหนือ และซื้อขายอาวุธนอกเหนือจากซื้อให้กับราชสำนัก เกณฑ์ชาวบ้านมาเป็นทหารประจำกองทัพตน ใครไม่ยินยอมฆ่าทิ้งสถานเดียว" เสนาบดีเฉินหลางกล่าวรายงาน"เสนาบดีเฉินหลาง หากเจ้าไม่มีหลักฐาน อย่าได้กล่าวหาข้าโดยไร้เหตุผล ข้าเองจะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร "เสนาบดีเฉินหลาง—พ่อตาขององค์ชายสี่—แค่นหัวเราะ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน"เจ้าคงกลัวว่า หากวันหนึ่งองค์ชายรัชทายาทไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์จริง บุตรสาวของเจ้าจะพลาดตำแหน่งฮองเฮา ตระกูลของเจ้าก็จะไร้ซึ่งอำนาจและผู้สนับสนุน?""เจ้า!..เจ้าคิดได้อย่างไร เดิมทีองค์ชายรัชทายาทก็มีสิทธิ์ครองบัลลังก์ต่อจากฝ่าบาทอยู่แล้ว ข้าย่อมไม่มีเหตุผลใดต้องทำเช่นนั้น"“เมื่อดูหลักฐานเดี๋ยวก็รู้” เสนาบดีเฉินหลางยิ้มอย่างเย้ยหยัน"หลักฐานการซื้อขายอาวุธ พะยะค่ะ" ขุนนางคนหนึ่งกล่าวพลางยื่นเอกสารให้ฮ่องเต้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรหลักฐานครู่หนึ่งก่อนตรัสขึ้น"เรื่องนี้ต้องมีการตรวจสอบ หามิได้ที่ข้าจะตัดสินโทษมหาเสนาบดีโดยไร้ซึ่งความจริง เอาเป็นว่า ข้าจะสั่งให้กักบริเวณมหาเสนาบด
พระราชวังประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดงงดงามทั่วทุกทิศ เสียงกลองและฆ้องกึกก้องไปทั่วเพื่อเฉลิมฉลองพิธีสำคัญที่สุดของแผ่นดินพิธีราชาภิเษกขององค์รัชทายาท และการแต่งตั้งฮองเฮาณ ท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างคุกเข่าแสดงความเคารพต่อฮ่องเต้องค์ใหม่ เสียงขานถวายพระพรดังกึกก้อง"ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!"ฮ่องเต้องค์ก่อนทอดพระเนตรพระโอรสด้วยสายตาภาคภูมิ พระองค์ทรงสละราชบัลลังก์อย่างสง่างามและเต็มไปด้วยความไว้วางใจ"ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือฮ่องเต้ ผู้ครองบัลลังก์แผ่นดินจงหยวน" ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนส่งมอบตราพระราชลัญจกรให้องค์รัชทายาทในชุดฉลองพระองค์มังกรยืนอย่างสง่างาม รับตราพระราชลัญจกรด้วยความมั่นคงและหนักแน่น "เสด็จพ่อ ข้าจะปกครองแผ่นดินนี้ด้วยสติปัญญาและความยุติธรรม"เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องทั่วทั้งพระราชวัง พิธีบรมราชาภิเษกสำเร็จลุล่วงพิธีแต่งตั้งฮองเฮา...หลังจากพิธีบรมราชาภิเษกสำเร็จ พิธีแต่งตั้งฮองเฮาก็เริ่มต้นขึ้น นางในพากันโปรยกลีบดอกโบตั๋นตลอดทางเดิน พระชายาในชุดแต่งงานสีแดงลวดลายปักไหมทอง สง่างามราวเทพธิดา พระนางคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้"ถวายพระพร ฝ่าบาท" พระนา
วันมงคล ...ในพระราชวังอันโอฬารถูกประดับประดาด้วยโคมแดงระยับ งานสมรสอันยิ่งใหญ่ถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ เสียงฆ้องกังวานดังไปทั่วลานพิธี ชวนให้หัวใจทุกคนเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นองค์รัชทายาทในฉลองพระองค์ชุดแดงเข้มปักลวดลายมังกรยืนตระหง่านอยู่กลางโถง ดวงตาคมกริบทอดมองไปข้างหน้าอย่างแน่นิ่ง ราวกับมิได้มีจิตใจร่วมอยู่ในพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ทุกย่างก้าวที่พระองค์ยืนอยู่นั้นคือหน้าที่ มิใช่สิ่งที่หัวใจปรารถนาเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของเจ้าสาวในฉลองพระองค์แดงสดดังใกล้เข้ามา ผ้าคลุมหน้าปักลวดลายหงส์ทองสะท้อนแสงเทียนไหวระริก ทุกย่างก้าวชวนให้บรรยากาศราวกับต้องมนต์แต่ดวงตาคมขององค์รัชทายาทยังคงเฉยชา แม้ทุกคนรอบกายจะจับจ้องด้วยความคาดหวัง พระองค์มิได้ยินดีกับงานวิวาห์นี้แม้แต่น้อย เพราะในพระทัยยังคงเชื่อว่าพระชายาที่พระมารดาทรงเลือกให้คือ หมิงจิวทว่า...เมื่อสายลมแผ่วเบาพัดผ่าน กลิ่นหอมละมุนจากร่างบางตรงหน้ากลับทำให้พระวรกายชะงักไปชั่วขณะ กลิ่นอันคุ้นเคย...กลิ่นของ พระชายาลี่หรง หญิงเดียวที่พระองค์รักสุดหัวใจ แต่เธอได้จากไปนานแล้ว มิอาจเป็นไปได้ที่เธอจะมายืนอยู่ตรงหน้าเสียงปี่กู่เจิงดังแว่ว
ตำหนักไป๋ฮวา…ในเช้าวันนี้ปกคลุมไปด้วยม่านหมอกแห่งความเศร้า เหล่านางกำนัลและองครักษ์ต่างยืนนิ่ง เสียงสะอื้นเงียบๆ ปะปนไปกับบรรยากาศแห่งความสูญเสีย ตำหนักที่เคยก้องกังวานไปด้วยเสียงหัวเราะของพระชายา บัดนี้กลับเหลือเพียงความเงียบงันและความว่างเปล่าองค์รัชทายาทประทับยืนอยู่ใต้ต้นเหมย น้ำตาที่เขาพยายามกักเก็บกลับเอ่อล้นออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้“ซีจิน ขอบใจเจ้ามากที่ดูแลข้าอย่างดี ข้าจะไม่ลืมพวกเจ้าเลย”พระชายาเอ่ยขึ้น เสียงของนางสั่นไหวแต่ยังคงแฝงด้วยความอ่อนโยน ราวกับกำลังพยายามปลอบโยนผู้ที่ยังอยู่ซีจินเม้มปากแน่น พยายามสะกดกลั้นน้ำตา แต่สุดท้ายเขากลับต้องก้มหน้าลง ปล่อยหยาดน้ำตาไหลรินลงสู่พื้นดิน“พระชายา... โปรดดูแลพระองค์ให้ดีเพคะ”ลี่หรงพยักหน้าอย่างอ่อนแรง หันไปหาจางจือ นางมองเพื่อนรักทั้งน้ำตา“จางจือ ข้าฝากร้านกับเจ้า ช่วยซีจินดูแลมันให้ดี ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ร่วมยินดีในวันสำคัญของเจ้า”จางจือร้องไห้จนตัวสั่น นางสะอื้นไห้แทบเป็นลม ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า“พระชายา... ข้าไม่อยากให้ท่านไป ฮึก... ข้าอยากให้ท่านอยู่กับพวกเราตลอดไป”ลี่หรงแตะไหล่ของจางจือเบาๆ เป็นการปลอบโยนครั้งสุด
ค่ำคืนอันยาวนานผ่านไป พระชายายังคงหมดสติ แม้ได้รับยาถอนพิษแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววจะฟื้น องค์รัชทายาทจับมือพระชายาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยตลอดทั้งคืนจนเผลอหลับไปรุ่งเช้า...เสียงแผ่วเบาของพระชายาที่เพิ่งฟื้นจากพิษดังขึ้นเบาๆ"องค์รัชทายาท... ท่านปลอดภัยดีหรือไม่?"องค์รัชทายาทสะดุ้งตื่น รีบหันไปมองพระชายาด้วยแววตาตื้นตัน"พระชายา! เจ้าได้สติแล้ว ข้าดีใจเหลือเกิน! ข้านึกว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาข้าเสียแล้ว"พระชายายิ้มอ่อน แม้ใบหน้าจะยังซีดเซียวเพราะพิษที่เพิ่งถูกขับออกจากร่าง"แล้วทุกคนล่ะ... ปลอดภัยดีหรือไม่?""องค์ชายสี่และทุกคนปลอดภัยดี" องค์รัชทายาทตอบ"ข้าสังหารตงหยางแล้ว จินฝานก็สามารถจับตัวนางกำนัลขององค์ชายสี่ได้ แม่ทัพเหวินจิ้นหงได้ค้นพบอาวุธที่เสนาบดีเฉินหลางลอบสั่งซื้อ ทุกคนสารภาพว่าคิดก่อกบฏและต้องการหนุนให้องค์ชายสี่ขึ้นครองราช ตอนนี้ทั้งหมดถูกจองจำและรอการตัดสินโทษ"พระชายาถอนหายใจยาว รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย"ในที่สุด ข้าก็สามารถล้างมลทินให้หลินเหม่ยเยียนได้เสียที... ต่อจากนี้ข้าก็สบายใจแล้ว"องค์รัชทายาทบีบมือพระชายาแน่นขึ้น"ใช่ เจ้าทำสำเร็จแล้ว... และจากนี้ไป เราจะได้อยู่ด้วยก
ภายในตำหนักหลวง องค์รัชทายาทถวายรายงานต่อฮ่องเต้ด้วยสีหน้าจริงจัง“เสด็จพ่อ พ่ะย่ะค่ะ ข้าให้แม่ทัพเหวินจิ้นหงไปสืบเรื่องของพระชายาซูซินมาแล้ว นางมีบุตรหนึ่งคนชื่อตงฉี แต่ร่างกายของเขาไม่สมประกอบ ขาซ้ายพิการ และพระชายายังมีบุตรอีกคนหนึ่งชื่อตงหยาง เกิดจากทหารชั้นพิเศษ บัดนี้เขาเสียชีวิตไปแล้ว”ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสด้วยเสียงแฝงความลึกซึ้ง“สามารถให้คนไปรับเขากลับมาได้หรือไม่? เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ควรได้รับการสะสางเสียที”“ได้พ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทตอบรับหนักแน่นฮ่องเต้ทอดพระเนตรองค์รัชทายาทอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสออกมาอย่างอ่อนล้า“ข้าได้หารือกับเสด็จแม่ของเจ้าแล้ว... สุขภาพของข้าไม่ค่อยดีนัก เจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอด ข้าอยากสละบัลลังก์ให้เจ้าได้ว่าราชการแทน เพราะข้าเอง... เหนื่อยเต็มทน”ในขณะที่ฮ่องเต้ตรัส นางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมของว่างในถาด นางทำทีเป็นรับใช้ แต่แท้จริงแล้วกำลังจับตาดูบทสนทนาอยู่ นางเป็นคนขององค์ชายสี่ องค์รัชทายาทมองดูสีหน้าของนางแล้วจำได้ทันที แต่ทรงแสร้งทำเป็นไม่สนใจเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต“เสด็จพ่อยังทรงแข็งแรงนัก มิจำเป็นต้องรีบแต่
ยามเย็น—แสงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ท้องฟ้าถูกแต้มด้วยสีแดงฉานปะปนม่วงคราม หมู่นกน้อยรีบบินกลับรังในร่มเงาต้นไม้สูงใหญ่ ลมหนาวพัดผ่านพระราชวังอันกว้างใหญ่แต่ทว่าภายในเขตวังหลวงกลับไม่มีความสงบเลยแม้แต่น้อย…ภายในตำหนักหลวง วุ่นวายราวกับรังแตนแตกรัง หมอหลวงในชุดคลุมสีขาวเร่งเดินกันขวักไขว่ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดัง เสียงสั่งการดังขึ้นไม่ขาดระยะ บางคนหอบหิ้วกล่องยา บางคนถือตำราแพทย์พลิกหาวิธีรักษา ข่าวเรื่อง ฮ่องเต้ประชวรหนัก แพร่สะพัดไปทั่วพระราชวังเพียงไม่นาน เสียงขันทีรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหยุดหน้าพระตำหนักขณะที่รถม้าขององค์รัชทายาทและพระชายาค่อย ๆ ชะลอและจอดเสียงร้องเรียกอย่างร้อนรนก็ดังขึ้นทันที“องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ! ขอทรงรีบไปเฝ้าฝ่าบาทเถิดพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงอาการหนักมากแล้ว!”ขันทีที่วิ่งเข้ามาคุกเข่าลงอย่างลนลาน ใบหน้าซีดเผือดดั่งคนสิ้นหวังองค์รัชทายาทก้าวลงจากรถม้าทันที ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นแฝงความกังวล “เสด็จพ่อเป็นอะไร?”“ฝ่าบาททรงหน้ามืด มือสั่น เหงื่อออก ตัวเย็น... และที่สำคัญ ทรงเพ้อไม่รู้เรื่องพ่ะย่ะค่ะ!”หัวใจขององค์รัชทายาทกระตุกวูบ คิ้วเข้มขมวดแน่น มือกำหมัดโดยไม่รู้ตัว
ร้านขายชุดนอนของพระชายากลายเป็นที่กล่าวขวัญทั่ววังหลวง ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินเล็ก ตลอดจนเหล่าสตรีสูงศักดิ์ต่างพากันมาเลือกสรรด้วยความตื่นตาตื่นใจผ้าที่นำมาจำหน่ายล้วนเป็นเนื้อแพรบางเบาละเอียดอ่อน เมื่อสัมผัสแล้วให้ความรู้สึกราวกับละอองไหมไหลลื่นผ่านปลายนิ้วชุดนอนไม่ได้นอน ของร้านนี้แตกต่างจากชุดนอนทั่วไป สีสันเย้ายวนสะดุดตา ไม่ว่าจะเป็น สีแดงเข้มเย้ายวน สีดำลึกลับน่าค้นหา หรือ สีชมพูหวานละมุน ทุกชุดล้วนถูกออกแบบให้เผยผิวเนียนนวลอย่างมีชั้นเชิง สายเดี่ยวบางเฉียบเปิดไหล่เนียนนุ่ม ลวดลายลูกไม้ปักละเอียดอ่อนเน้นความหรูหรา มีทั้งแบบเรียบโก้และแบบปักดิ้นทองสำหรับงานค่ำคืนสุดพิเศษพื้นที่ในร้านตกแต่งอย่างประณีต ให้บรรยากาศผ่อนคลายและเป็นกันเอง สตรีทั้งหลายสามารถเลือกซื้อได้อย่างเพลิดเพลิน มีสาวใช้คอยบริการอย่างใกล้ชิด เสิร์ฟน้ำชาหอมกรุ่นพร้อมขนมหวานรสเลิศให้ลิ้มลอง ชุดนอนเหล่านี้แม้ราคาไม่แพง แต่เมื่อต้องตาต้องใจแล้ว กลับกลายเป็นสินค้าที่ทำกำไรได้อย่างมหาศาล“การออกแบบชุดในอนาคตที่เราอยู่กลับกลายเป็นที่นิยมสมัยโบราณ ช่างดีจริงๆ รวยแล้วเรา” ลี่หรงพูดกับตัวเองอย่างสุขใจเสียงล้อรถม้าหรูหราดังขึ
ยามเช้าอากาศเย็นสบาย ลมอ่อนพัดพากลิ่นดินหอมกรุ่นหลังจากค่ำคืนที่มีน้ำค้างโปรยปราย แสงอาทิตย์สีทองค่อย ๆ ลอดผ่านแนวต้นไม้กระทบกับผืนดินหลังตำหนักที่เคยรกร้าง ทว่าบัดนี้กำลังจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นสวนผักที่อุดมสมบูรณ์กลางลานดินที่เพิ่งถูกไถพรวน พระชายาในชุดชาวสวน สีครีมนวลเรียบง่าย ผมยาวรวบขึ้นมัดด้วยผ้าสีอ่อน ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อจากไอแดด องค์รัชทายาทมองด้วยแววตาหลงใหล ก่อนจะปรายตามองตัวเองที่แต่งกายเช่นเดียวกัน ที่สวมเสื้อชาวสวนสีเข้ม กางเกงผ้าฝ้าย แม้จะแต่งแบบชาวบ้านธรรมดา แต่ความสง่างามยังไม่จางหาย"องค์รัชทายาท ท่านดูดีที่สุดเลยเมื่อแต่งตัวแบบนี้" พระชายาเอ่ยพลางหัวเราะเบา ๆ"พระชายาก็เช่นกัน เจ้าดูน่ารักแปลกตา น่าค้นหาเสียจริง""เลิกชมกันได้แล้ว มาทางนี้เลยองค์รัชทายาท มาขุดดินเตรียมเพาะปลูกเมล็ด"องค์รัชทายาทรีบคว้าจอบขึ้นมา "รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ พระชายา"จินฝานและซีจิน รวมถึงนางกำนัลและองครักษ์ต่างช่วยกัน ถางหญ้า ปรับหน้าดิน และขุดหลุม เตรียมปลูกพืชพันธุ์ เมล็ดพริก ข้าวโพด มันฝรั่ง และมะเขือเทศถูกนำออกมาจัดเตรียมขณะทุกคนลงมือทำงาน ซีจินเอ่ยถามขึ้นมาพลางหยิบเมล็ดข้าวโพดขึ้นดู"
ตำหนักไป๋ฮวา...แสงจันทร์อ่อนโยนสาดส่องลอดผ่านม่านโปร่งบาง ๆ ตกกระทบลงบนพื้นไม้ ภายในตำหนักไป๋ฮวา สถานที่ซึ่งเป็นเสมือนรังรักขององค์รัชทายาทและพระชายา บรรยากาศสงบเงียบ ทว่ากลับอบอวลไปด้วยไออุ่นแห่งความรักของทั้งสองพระชายาทอดสายตามองดวงจันทร์ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือรอยยิ้ม"องค์รัชทายาท ข้าได้ซื้อที่สำหรับเปิดร้านขายผ้าเรียบร้อยแล้ว คาดว่าอีกสองสามวันข้าคงได้เปิดร้านและต้องขายดีมากแน่ ๆ"ดวงตาคมลึกขององค์รัชทายาทจับจ้องพระชายาด้วยความเอ็นดู ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ"ชายาของข้า เจ้าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยหรือ? หากข้ายังคงออกรบเช่นเมื่อก่อน ข้าคงไม่ได้รับจดหมายจากเจ้าสักฉบับเป็นแน่ เพราะเจ้ามัวแต่ขยันทำงานแทบจะลืมข้าแล้ว"พระชายาหัวเราะเบา ๆ"โธ่... ข้ามาอยู่ที่นี่ทั้งที ข้าย่อมต้องทำงาน เพราะในที่ที่ข้ามา ข้าก็ทำงานทุกวันอยู่แล้ว"องค์รัชทายาทขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาฉายแววสนใจ"เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ ที่ที่เจ้าจากมานั้นเป็นเช่นไร? ข้าอยากรู้"พระชายายิ้มบาง ๆ พลางทอดสายตาไปยังเบื้องนอก คล้ายหวนนึกถึงอดีต"ได้สิ ข้าเรียกที่แห่งนั้นว่า ‘ฮ่องกง’ ... ที่นั่นเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก