ยามเช้าอากาศเย็นสบาย ลมอ่อนพัดพากลิ่นดินหอมกรุ่นหลังจากค่ำคืนที่มีน้ำค้างโปรยปราย แสงอาทิตย์สีทองค่อย ๆ ลอดผ่านแนวต้นไม้กระทบกับผืนดินหลังตำหนักที่เคยรกร้าง ทว่าบัดนี้กำลังจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นสวนผักที่อุดมสมบูรณ์
กลางลานดินที่เพิ่งถูกไถพรวน พระชายาในชุดชาวสวน สีครีมนวลเรียบง่าย ผมยาวรวบขึ้นมัดด้วยผ้าสีอ่อน ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อจากไอแดด องค์รัชทายาทมองด้วยแววตาหลงใหล
ก่อนจะปรายตามองตัวเองที่แต่งกายเช่นเดียวกัน ที่สวมเสื้อชาวสวนสีเข้ม กางเกงผ้าฝ้าย แม้จะแต่งแบบชาวบ้านธรรมดา แต่ความสง่างามยังไม่จางหาย
"องค์รัชทายาท ท่านดูดีที่สุดเลยเมื่อแต่งตัวแบบนี้"
พระชายาเอ่ยพลางหัวเราะเบา ๆ
"พระชายาก็เช่นกัน เจ้าดูน่ารักแปลกตา น่าค้นหาเสียจริง"
"เลิกชมกันได้แล้ว มาทางนี้เลยองค์รัชทายาท มาขุดดินเตรียมเพาะปลูกเมล็ด"
องค์รัชทายาทรีบคว้าจอบขึ้นมา "รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ พระชายา"
จินฝานและซีจิน รวมถึงนางกำนัลและองครักษ์ต่างช่วยกัน ถางหญ้า ปรับหน้าดิน และขุดหลุม เตรียมปลูกพืชพันธุ์ เมล็ดพริก ข้าวโพด มันฝรั่ง และมะเขือเทศถูกนำออกมาจัดเตรียม
ขณะทุกคนลงมือทำงาน ซีจินเอ่ยถามขึ้นมาพลางหยิบเมล็ดข้าวโพดขึ้นดู
"พระชายา พืชพวกนี้ต้องปลูกอย่างไรบ้างหรือเพคะ?"พระชายายิ้มพลางอธิบาย
"ข้าวโพดต้องปลูกให้มีระยะห่างพอสมควร เพราะเมื่อต้นโตขึ้น ใบของมันจะแผ่กว้าง หากปลูกติดกันเกินไป อาจแย่งสารอาหารกันเอง"
จินฝานที่กำลังขุดหลุมข้าง ๆ พยักหน้า
"เช่นนั้น เราควรเว้นระยะสักเท่าใดพ่ะย่ะค่ะ?"
"ราวหนึ่งศอกก็เพียงพอ เมล็ดพริกเองก็ต้องปลูกให้ห่างกันบ้าง พริกชอบแดดและดินร่วนซุย ต้องหมั่นรดน้ำแต่ระวังอย่าให้ดินแฉะเกินไป"
พระชายาพูดพลางใช้มือเปล่าหยอดเมล็ดพริกลงในหลุม ก่อนจะกลบด้วยดินเบา ๆ
องค์รัชทายาทมองดูด้วยความสนใจ
"แล้วมันฝรั่งเล่า?"
"มันฝรั่งต้องฝังให้ลึกสักหน่อย ใช้เมล็ดพันธุ์หรือหัวมันฝรั่งที่มีตาก็ได้ เมื่อปลูกเสร็จ ต้องรอให้ต้นงอกขึ้นมา ก่อนจะค่อย ๆ พูนดินขึ้นเพื่อให้หัวมันฝังอยู่ใต้ดินเสมอ"
"แล้วมะเขือเทศล่ะพ่ะย่ะค่ะ ?" องครักษ์อีกคนที่ช่วยงานเอ่ยถามขึ้น
พระชายาเงยหน้าขึ้นจากแปลงดิน พลางใช้หลังมือปาดเหงื่อ
"มะเขือเทศต้องมีไม้ค้ำพยุงลำต้น เพราะเมื่อออกผลกิ่งก้านจะหนัก หากไม่มีไม้พยุง อาจหักลงมาได้"
องค์รัชทายาทพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดเหงื่อให้พระชายา ที่เริ่มไหลซึมตามไรผม
พระชายาเงยหน้าขึ้นสบตา แววตาองค์รัชทายาทอ่อนโยนจนทำให้แก้มของนางขึ้นสีแดงกว่าเดิม
เหล่านางกำนัลและองครักษ์ต่างอมยิ้ม ภาพขององค์รัชทายาทผู้สง่างามคลั่งรักพระชายากลางสวนผักนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมาก่อน
ไม่นานนัก แปลงผักก็ถูกปลูกเรียบร้อย พระชายาถอนหายใจอย่างพึงพอใจ
"ท่านเหนื่อยไหม องค์รัชทายาท?"
องค์รัชทายาทเชิดหน้าขึ้น
"ข้าเป็นแม่ทัพ ใช้แรงแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก"
"จริงเหรอ?" พระชายาเลิกคิ้วถามเสียงสูง
องค์รัชทายาทกระแอมเบา ๆ ก่อนจะแสร้งบิดไหล่ไปมา
"จริง...แต่คืนนี้นวดให้ข้าหน่อยนะ ข้าตึง ไปหมด"
พระชายายิ้มขำ
"ไม่เหนื่อย แต่ขอตกรางวัลเป็นการนวดงั้นหรือ?"
องค์รัชทายาทยิ้มกริ่ม
"เจ้าก็รู้ ข้าช่วยงานหนักเช่นนี้ มีค่าตอบแทนบ้างก็ดีใช่หรือไม่?"
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่น เหล่าผู้ติดตามต่างยิ้มให้กัน ก่อนจะค่อย ๆ เก็บอุปกรณ์การเกษตร ปล่อยให้องค์รัชทายาทและพระชายาอยู่ด้วยกันท่ามกลางสวนผักเล็ก ๆ ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้น…
ณ ตำหนักเฟิงหวง...
แสงแดดยามเที่ยงตรงส่องประกายระยิบระยับเหนือผิวน้ำ สะท้อนเป็นลวดลายระเรื่อกลางศาลาไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางสระ ริมฝั่งล้อมรอบไปด้วยหมู่มวลดอกไม้หลากสี ส่งกลิ่นหอมอบอวลราวกับต้อนรับมื้อสำคัญในวันนี้
รัชทายาทและพระชายาก้าวเข้ามาพร้อมถวายบังคม "ถวายบังคมเสด็จพ่อ เสด็จแม่ พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ"
ฮองเฮาแย้มยิ้มบางเบา ฮ่องเต้ทอดพระเนตรทั้งสองด้วยสายตาเปี่ยมเมตตา
"ลุกขึ้นเถิด วันนี้มีสิ่งใดให้เราชิมบ้าง?"
"วันนี้พระชายาข้าลงมือทำมื้อเที่ยงมาถวายเสด็จพ่อและเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ"
รัชทายาทตรัส ก่อนพระชายาจะก้าวออกมาและกล่าวด้วยเสียงอ่อนหวาน
"มื้อนี้มี ข้าวอบเผือก ไก่ตุ๋นโสม ปลานึ่งซีอิ๊ว และซาลาเปา ที่สำคัญ วันนี้มีชาไข่มุกไต้หวันเพคะ"
ฮ่องเต้ทรงพยักพระพักตร์รับคำ ก่อนจะทรงใช้ตะเกียบคีบ ข้าวอบเผือก ขึ้นชิม เนื้อข้าวนุ่มหอม ผสานกับเผือกที่ทอดจนเหลืองกรอบ รสหวานมันจากธรรมชาติของเผือกเสริมด้วยความหอมของเห็ดหอมและกุนเชียง ทรงพยักหน้าอย่างพึงพระทัย
"ข้าวเม็ดนุ่ม เผือกกรอบหอม ไม่เลวเลย"
ไก่ตุ๋นโสม ถูกยกขึ้นมาเสิร์ฟ น้ำซุปใสสีทองส่งกลิ่นหอมอบอุ่น ฮองเฮาทรงชิมคำแรกก่อนตรัสด้วยรอยยิ้ม
"รสกลมกล่อม ซึมซับกลิ่นโสม ขิง และพุทราจีน ไก่นุ่มละลายในปาก นับเป็นเมนูบำรุงสุขภาพที่ดีนัก"
ปลานึ่งซีอิ๊ว เนื้อปลาสดขาวนวลถูกราดด้วยซีอิ๊วปรุงรสอย่างพิถีพิถัน กลิ่นขิงและต้นหอมโชยอ่อนๆ ฮ่องเต้ทรงใช้ตะเกียบแบ่งเนื้อปลาก่อนนำเข้าพระโอษฐ์
"เนื้อนุ่มละมุน รสเค็มหวานกำลังดี ช่างเข้ากันกับข้าวอบเผือกยิ่งนัก"
ซาลาเปา ที่จัดเตรียมมาเป็นไส้หมูสับ ฮองเฮาทรงหยิบซาลาเปาหมูขึ้นฉีกออก ไส้ร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมอบอวล
"แป้งนุ่ม ไส้ปรุงรสกลมกล่อม ขนาดพอดีคำ"
และสุดท้าย เมื่อทั้งสองพระองค์ทรงชิม ชาไข่มุกไต้หวัน ที่พระชายาตั้งใจนำมาเป็นพิเศษ ฮ่องเต้ทรงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
"กลิ่นหอมของชาเข้มข้น ผสานกับรสนมนุ่มละมุน"
ฮองเฮาทรงจิบน้ำชาแล้วเผลอยิ้ม
"หวานหอมกำลังดี ไข่มุกนุ่มหนึบ เคี้ยวเพลินนัก นับเป็นเครื่องดื่มแปลกใหม่ในวังที่ทำให้มื้อนี้ยิ่งพิเศษขึ้น"
ฮ่องเต้ทรงพยักหน้าอย่างพึงพอพระทัย
"อาหารมื้อนี้ไม่ธรรมดาเลย ฝีมือพระชายานับว่าน่าชื่นชม"
ฮองเฮาทรงทอดพระเนตรพระชายาด้วยสายตาเปี่ยมเมตตา ก่อนตรัสชมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"เจ้าช่างมีความสามารถยิ่งนัก"
พระชายาย่อตัวลง "เป็นพระกรุณาเพคะ"
บรรยากาศรอบศาลากลางน้ำอบอวลไปด้วยความสุข เสียงคลื่นน้ำกระเพื่อมไหวรับสายลมเบา เสริมให้มื้อนี้เป็นอีกหนึ่งมื้อที่ประทับอยู่ในใจของทุกพระองค์
“องค์รัชทายาท ข้าได้ยินขันทีบอกว่าเมื่อเช้าเจ้าออกไปทำสวนผักกับพระชายาจริงหรือ? พวกเจ้าปลูกอะไรไว้บ้าง?”
ฮ่องเต้ตรัสถามด้วยความสนใจ“มีข้าวโพด พริก มันฝรั่ง แล้วก็มะเขือเทศ พ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทตอบอย่างกระตือรือร้นฮ่องเต้ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความตกใจ
“เจ้าแน่ใจหรือ? พืชบางชนิดที่เจ้ากล่าวมา... เราไม่เคยเห็นมาก่อน! พวกมันเป็นพืชที่ต้องนำเข้าจากต่างแดนเท่านั้น เจ้าได้เมล็ดพันธุ์เหล่านี้มาจากไหนกัน?”
“คือ... พระชายาทรงนำมาพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงหันพระพักตร์ไปมองพระชายา ดวงตาแววสงสัย
“พระชายา เจ้าไปได้เมล็ดพันธุ์เหล่านี้มาจากที่ใด?”
รัชทายาทลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องราวการข้ามมิติของพระชายาให้ฮ่องเต้และฮองเฮาฟัง แม้ฟังดูเหลือเชื่อ... แต่สิ่งที่พระชายาทำให้เห็น ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่านางมิใช่สตรีธรรมดา
ทั้งสองพระองค์ต่างตกตะลึง แต่เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงนี้ได้
“ในมิติของเจ้ามีชื่อว่าลี่หรง หรือ” ฮ่องเต้ตรัสถาม
“เพคะ” พระชายาพยักหน้ารับ
“เช่นนั้น ต่อไปพวกเราจะเรียกเจ้าว่าลี่หรง”
พระชายาเผยรอยยิ้มบางเบา พลางพยักหน้ารับอย่างสง่างาม ทว่าฮองเฮากลับยังมีความกังวลลึก ๆ ในพระทัย หากพระชายามิใช่คนในยุคนี้ เช่นนั้นวันหนึ่ง... นางอาจต้องกลับไปยังโลกเดิม แล้วรัชทายาทเล่า จะเป็นเช่นไร?
แม้มีคำถามมากมายในพระทัย แต่ฮองเฮาก็มิกล้าตรัสออกไป
“ไว้ข้าจะไปเยี่ยมสวนของพวกเจ้า หากเพาะปลูกได้ผลดี เราจะให้กระจายเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ให้ราษฎรนำไปเพาะปลูกกัน เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องอดอยากอีกต่อไป”
“เป็นพระราชดำริที่ยอดเยี่ยมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ!” รัชทายาทตรัสอย่างตื่นเต้น พระพักตร์เปี่ยมไปด้วยความยินดี
เสียงไอแผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศสงบ ฮองเฮาขมวดคิ้วด้วยความกังวล ก่อนจะเอื้อมมือแตะเบา ๆ ที่มือของฮ่องเต้
“ฝ่าบาท... ทรงไม่สบายหรือเพคะ?” ฮองเฮาถามด้วยเสียงเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
ฮ่องเต้ทรงโบกมือเบา ๆ
“ไอม์… ข้าเป็นแบบนี้มาสักพักแล้ว”
รับสั่งพร้อมกับไอเบา ๆ อีกครั้ง
“หมอหลวงให้ยาบำรุงหัวใจมากินอยู่ ข้าอายุมากแล้ว เจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา”
“แต่ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย พระองค์ต้องทรงดูแลพระวรกายให้มากขึ้นนะเพคะ ร่างกายอาจปรับตัวไม่ทัน” ฮองเฮาตรัสด้วยความเป็นห่วง สายตาจับจ้องไปที่พระสวามี
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองพระชายาด้วยแววตาอ่อนโยน พลางยิ้มเบา ๆ
“ดูเสด็จแม่ของเจ้าสิ องค์รัชทายาท นางคอยสั่งสอนข้าตลอด”
รัชทายาทยิ้มขณะมองพระมารดา
“เสด็จแม่ทรงเป็นห่วงเสด็จพ่อมากพ่ะย่ะค่ะ”
พระชายาซึ่งยืนเงียบอยู่พลันก้าวขึ้นมาข้างหน้า
“หม่อมฉันจะทำน้ำเม็ดบัวไปถวายนะเพคะ น้ำเม็ดบัวช่วยบำรุงหัวใจและทำให้รู้สึกสดชื่น”
ฮ่องเต้ทรงพยักพระพักตร์
“ขอบใจเจ้ามาก... อึก ไอ้ม์… พอแล้ว ข้าจะกลับตำหนักแล้ว”
ฮองเฮาทรงหัวเราะเบา ๆ พลางมองพระโอรสและพระชายา
“พวกเจ้าแวะไปดูอ่างเลี้ยงปลาของแม่หน่อยเถิด ตัวสวย ๆ มีหลายตัวเชียว เดี๋ยวแม่จะพาเสด็จพ่อของพวกเจ้าไปพักก่อน”
“เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองประสานเสียงรับคำก่อนจะมองตามแผ่นหลังของฮ่องเต้และฮองเฮาที่ค่อย ๆ เดินห่างออกไป
ลี่หรงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมององค์รัชทายาทด้วยแววตาครุ่นคิด
“องค์รัชทายาท เมื่อครู่ข้าเห็นสีหน้าของเสด็จแม่ดูไม่ค่อยสู้ดีนัก ตอนที่ท่านบอกเรื่องของข้า...”
นางกล่าวเสียงแผ่วด้วยความสงสัย
องค์รัชทายาทมองนางครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนพระทัยเบา ๆ
“เสด็จแม่คงกังวลว่า... สักวันหนึ่ง เจ้าจะจากพวกเราไป”
องค์รัชทายาทกล่าวเสียงเจือความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ
“ไม่วันใดก็วันหนึ่ง... เมื่อถึงเวลาที่เจ้าต้องเลือก เจ้าจะเลือกอยู่ที่ใด?”
พระชายานิ่งไป ใจเต้นระส่ำราวกับถูกกระตุ้นให้ต้องเผชิญกับคำถามที่นางเองยังไม่อยากคิดถึง หากวันนั้นมาถึงจริง ๆ ... เธอจะต้องเลือกอะไร? จะกลับไปยังโลกเดิม หรือจะอยู่ที่นี่ต่อไป? ความสับสนตีรวนอยู่ในใจของนาง
เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ
“อย่าพึ่งคิดมากเลย... มันยังไม่ถึงเวลา และตอนนี้ข้าก็ยังตอบไม่ได้”
รัชทายาทเพียงยิ้มบาง ๆ รับรู้ถึงความรู้สึกของนางโดยไม่เร่งเร้า ก่อนที่พระชายาจะสูดหายใจลึกและพยายามปรับอารมณ์ นางยิ้มออกมาแล้วเอื้อมมือไปจูงแขนพระสวามีเบา ๆ
“เอาเป็นว่าตอนนี้ เราไปดูปลาของเสด็จแม่กันเถอะ”
องค์รัชทายาททอดสายตามองนางอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะปล่อยให้พระชายาจูงมือไปยังอ่างเลี้ยงปลาด้วยรอยยิ้มจาง ๆ แม้จะยังมีคำถามในใจ... แต่บางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องเร่งหาคำตอบในทันที
ร้านขายชุดนอนของพระชายากลายเป็นที่กล่าวขวัญทั่ววังหลวง ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินเล็ก ตลอดจนเหล่าสตรีสูงศักดิ์ต่างพากันมาเลือกสรรด้วยความตื่นตาตื่นใจผ้าที่นำมาจำหน่ายล้วนเป็นเนื้อแพรบางเบาละเอียดอ่อน เมื่อสัมผัสแล้วให้ความรู้สึกราวกับละอองไหมไหลลื่นผ่านปลายนิ้วชุดนอนไม่ได้นอน ของร้านนี้แตกต่างจากชุดนอนทั่วไป สีสันเย้ายวนสะดุดตา ไม่ว่าจะเป็น สีแดงเข้มเย้ายวน สีดำลึกลับน่าค้นหา หรือ สีชมพูหวานละมุน ทุกชุดล้วนถูกออกแบบให้เผยผิวเนียนนวลอย่างมีชั้นเชิง สายเดี่ยวบางเฉียบเปิดไหล่เนียนนุ่ม ลวดลายลูกไม้ปักละเอียดอ่อนเน้นความหรูหรา มีทั้งแบบเรียบโก้และแบบปักดิ้นทองสำหรับงานค่ำคืนสุดพิเศษพื้นที่ในร้านตกแต่งอย่างประณีต ให้บรรยากาศผ่อนคลายและเป็นกันเอง สตรีทั้งหลายสามารถเลือกซื้อได้อย่างเพลิดเพลิน มีสาวใช้คอยบริการอย่างใกล้ชิด เสิร์ฟน้ำชาหอมกรุ่นพร้อมขนมหวานรสเลิศให้ลิ้มลอง ชุดนอนเหล่านี้แม้ราคาไม่แพง แต่เมื่อต้องตาต้องใจแล้ว กลับกลายเป็นสินค้าที่ทำกำไรได้อย่างมหาศาล“การออกแบบชุดในอนาคตที่เราอยู่กลับกลายเป็นที่นิยมสมัยโบราณ ช่างดีจริงๆ รวยแล้วเรา” ลี่หรงพูดกับตัวเองอย่างสุขใจเสียงล้อรถม้าหรูหราดังขึ
ยามเย็น—แสงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ท้องฟ้าถูกแต้มด้วยสีแดงฉานปะปนม่วงคราม หมู่นกน้อยรีบบินกลับรังในร่มเงาต้นไม้สูงใหญ่ ลมหนาวพัดผ่านพระราชวังอันกว้างใหญ่แต่ทว่าภายในเขตวังหลวงกลับไม่มีความสงบเลยแม้แต่น้อย…ภายในตำหนักหลวง วุ่นวายราวกับรังแตนแตกรัง หมอหลวงในชุดคลุมสีขาวเร่งเดินกันขวักไขว่ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดัง เสียงสั่งการดังขึ้นไม่ขาดระยะ บางคนหอบหิ้วกล่องยา บางคนถือตำราแพทย์พลิกหาวิธีรักษา ข่าวเรื่อง ฮ่องเต้ประชวรหนัก แพร่สะพัดไปทั่วพระราชวังเพียงไม่นาน เสียงขันทีรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหยุดหน้าพระตำหนักขณะที่รถม้าขององค์รัชทายาทและพระชายาค่อย ๆ ชะลอและจอดเสียงร้องเรียกอย่างร้อนรนก็ดังขึ้นทันที“องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ! ขอทรงรีบไปเฝ้าฝ่าบาทเถิดพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงอาการหนักมากแล้ว!”ขันทีที่วิ่งเข้ามาคุกเข่าลงอย่างลนลาน ใบหน้าซีดเผือดดั่งคนสิ้นหวังองค์รัชทายาทก้าวลงจากรถม้าทันที ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นแฝงความกังวล “เสด็จพ่อเป็นอะไร?”“ฝ่าบาททรงหน้ามืด มือสั่น เหงื่อออก ตัวเย็น... และที่สำคัญ ทรงเพ้อไม่รู้เรื่องพ่ะย่ะค่ะ!”หัวใจขององค์รัชทายาทกระตุกวูบ คิ้วเข้มขมวดแน่น มือกำหมัดโดยไม่รู้ตัว
ภายในตำหนักหลวง องค์รัชทายาทถวายรายงานต่อฮ่องเต้ด้วยสีหน้าจริงจัง“เสด็จพ่อ พ่ะย่ะค่ะ ข้าให้แม่ทัพเหวินจิ้นหงไปสืบเรื่องของพระชายาซูซินมาแล้ว นางมีบุตรหนึ่งคนชื่อตงฉี แต่ร่างกายของเขาไม่สมประกอบ ขาซ้ายพิการ และพระชายายังมีบุตรอีกคนหนึ่งชื่อตงหยาง เกิดจากทหารชั้นพิเศษ บัดนี้เขาเสียชีวิตไปแล้ว”ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสด้วยเสียงแฝงความลึกซึ้ง“สามารถให้คนไปรับเขากลับมาได้หรือไม่? เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ควรได้รับการสะสางเสียที”“ได้พ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทตอบรับหนักแน่นฮ่องเต้ทอดพระเนตรองค์รัชทายาทอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสออกมาอย่างอ่อนล้า“ข้าได้หารือกับเสด็จแม่ของเจ้าแล้ว... สุขภาพของข้าไม่ค่อยดีนัก เจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอด ข้าอยากสละบัลลังก์ให้เจ้าได้ว่าราชการแทน เพราะข้าเอง... เหนื่อยเต็มทน”ในขณะที่ฮ่องเต้ตรัส นางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมของว่างในถาด นางทำทีเป็นรับใช้ แต่แท้จริงแล้วกำลังจับตาดูบทสนทนาอยู่ นางเป็นคนขององค์ชายสี่ องค์รัชทายาทมองดูสีหน้าของนางแล้วจำได้ทันที แต่ทรงแสร้งทำเป็นไม่สนใจเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต“เสด็จพ่อยังทรงแข็งแรงนัก มิจำเป็นต้องรีบแต่
ค่ำคืนอันยาวนานผ่านไป พระชายายังคงหมดสติ แม้ได้รับยาถอนพิษแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววจะฟื้น องค์รัชทายาทจับมือพระชายาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยตลอดทั้งคืนจนเผลอหลับไปรุ่งเช้า...เสียงแผ่วเบาของพระชายาที่เพิ่งฟื้นจากพิษดังขึ้นเบาๆ"องค์รัชทายาท... ท่านปลอดภัยดีหรือไม่?"องค์รัชทายาทสะดุ้งตื่น รีบหันไปมองพระชายาด้วยแววตาตื้นตัน"พระชายา! เจ้าได้สติแล้ว ข้าดีใจเหลือเกิน! ข้านึกว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาข้าเสียแล้ว"พระชายายิ้มอ่อน แม้ใบหน้าจะยังซีดเซียวเพราะพิษที่เพิ่งถูกขับออกจากร่าง"แล้วทุกคนล่ะ... ปลอดภัยดีหรือไม่?""องค์ชายสี่และทุกคนปลอดภัยดี" องค์รัชทายาทตอบ"ข้าสังหารตงหยางแล้ว จินฝานก็สามารถจับตัวนางกำนัลขององค์ชายสี่ได้ แม่ทัพเหวินจิ้นหงได้ค้นพบอาวุธที่เสนาบดีเฉินหลางลอบสั่งซื้อ ทุกคนสารภาพว่าคิดก่อกบฏและต้องการหนุนให้องค์ชายสี่ขึ้นครองราช ตอนนี้ทั้งหมดถูกจองจำและรอการตัดสินโทษ"พระชายาถอนหายใจยาว รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย"ในที่สุด ข้าก็สามารถล้างมลทินให้หลินเหม่ยเยียนได้เสียที... ต่อจากนี้ข้าก็สบายใจแล้ว"องค์รัชทายาทบีบมือพระชายาแน่นขึ้น"ใช่ เจ้าทำสำเร็จแล้ว... และจากนี้ไป เราจะได้อยู่ด้วยก
ตำหนักไป๋ฮวา…ในเช้าวันนี้ปกคลุมไปด้วยม่านหมอกแห่งความเศร้า เหล่านางกำนัลและองครักษ์ต่างยืนนิ่ง เสียงสะอื้นเงียบๆ ปะปนไปกับบรรยากาศแห่งความสูญเสีย ตำหนักที่เคยก้องกังวานไปด้วยเสียงหัวเราะของพระชายา บัดนี้กลับเหลือเพียงความเงียบงันและความว่างเปล่าองค์รัชทายาทประทับยืนอยู่ใต้ต้นเหมย น้ำตาที่เขาพยายามกักเก็บกลับเอ่อล้นออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้“ซีจิน ขอบใจเจ้ามากที่ดูแลข้าอย่างดี ข้าจะไม่ลืมพวกเจ้าเลย”พระชายาเอ่ยขึ้น เสียงของนางสั่นไหวแต่ยังคงแฝงด้วยความอ่อนโยน ราวกับกำลังพยายามปลอบโยนผู้ที่ยังอยู่ซีจินเม้มปากแน่น พยายามสะกดกลั้นน้ำตา แต่สุดท้ายเขากลับต้องก้มหน้าลง ปล่อยหยาดน้ำตาไหลรินลงสู่พื้นดิน“พระชายา... โปรดดูแลพระองค์ให้ดีเพคะ”ลี่หรงพยักหน้าอย่างอ่อนแรง หันไปหาจางจือ นางมองเพื่อนรักทั้งน้ำตา“จางจือ ข้าฝากร้านกับเจ้า ช่วยซีจินดูแลมันให้ดี ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ร่วมยินดีในวันสำคัญของเจ้า”จางจือร้องไห้จนตัวสั่น นางสะอื้นไห้แทบเป็นลม ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า“พระชายา... ข้าไม่อยากให้ท่านไป ฮึก... ข้าอยากให้ท่านอยู่กับพวกเราตลอดไป”ลี่หรงแตะไหล่ของจางจือเบาๆ เป็นการปลอบโยนครั้งสุด
วันมงคล ...ในพระราชวังอันโอฬารถูกประดับประดาด้วยโคมแดงระยับ งานสมรสอันยิ่งใหญ่ถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ เสียงฆ้องกังวานดังไปทั่วลานพิธี ชวนให้หัวใจทุกคนเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นองค์รัชทายาทในฉลองพระองค์ชุดแดงเข้มปักลวดลายมังกรยืนตระหง่านอยู่กลางโถง ดวงตาคมกริบทอดมองไปข้างหน้าอย่างแน่นิ่ง ราวกับมิได้มีจิตใจร่วมอยู่ในพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ทุกย่างก้าวที่พระองค์ยืนอยู่นั้นคือหน้าที่ มิใช่สิ่งที่หัวใจปรารถนาเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของเจ้าสาวในฉลองพระองค์แดงสดดังใกล้เข้ามา ผ้าคลุมหน้าปักลวดลายหงส์ทองสะท้อนแสงเทียนไหวระริก ทุกย่างก้าวชวนให้บรรยากาศราวกับต้องมนต์แต่ดวงตาคมขององค์รัชทายาทยังคงเฉยชา แม้ทุกคนรอบกายจะจับจ้องด้วยความคาดหวัง พระองค์มิได้ยินดีกับงานวิวาห์นี้แม้แต่น้อย เพราะในพระทัยยังคงเชื่อว่าพระชายาที่พระมารดาทรงเลือกให้คือ หมิงจิวทว่า...เมื่อสายลมแผ่วเบาพัดผ่าน กลิ่นหอมละมุนจากร่างบางตรงหน้ากลับทำให้พระวรกายชะงักไปชั่วขณะ กลิ่นอันคุ้นเคย...กลิ่นของ พระชายาลี่หรง หญิงเดียวที่พระองค์รักสุดหัวใจ แต่เธอได้จากไปนานแล้ว มิอาจเป็นไปได้ที่เธอจะมายืนอยู่ตรงหน้าเสียงปี่กู่เจิงดังแว่ว
พระราชวังประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดงงดงามทั่วทุกทิศ เสียงกลองและฆ้องกึกก้องไปทั่วเพื่อเฉลิมฉลองพิธีสำคัญที่สุดของแผ่นดินพิธีราชาภิเษกขององค์รัชทายาท และการแต่งตั้งฮองเฮาณ ท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างคุกเข่าแสดงความเคารพต่อฮ่องเต้องค์ใหม่ เสียงขานถวายพระพรดังกึกก้อง"ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!"ฮ่องเต้องค์ก่อนทอดพระเนตรพระโอรสด้วยสายตาภาคภูมิ พระองค์ทรงสละราชบัลลังก์อย่างสง่างามและเต็มไปด้วยความไว้วางใจ"ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือฮ่องเต้ ผู้ครองบัลลังก์แผ่นดินจงหยวน" ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนส่งมอบตราพระราชลัญจกรให้องค์รัชทายาทในชุดฉลองพระองค์มังกรยืนอย่างสง่างาม รับตราพระราชลัญจกรด้วยความมั่นคงและหนักแน่น "เสด็จพ่อ ข้าจะปกครองแผ่นดินนี้ด้วยสติปัญญาและความยุติธรรม"เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องทั่วทั้งพระราชวัง พิธีบรมราชาภิเษกสำเร็จลุล่วงพิธีแต่งตั้งฮองเฮา...หลังจากพิธีบรมราชาภิเษกสำเร็จ พิธีแต่งตั้งฮองเฮาก็เริ่มต้นขึ้น นางในพากันโปรยกลีบดอกโบตั๋นตลอดทางเดิน พระชายาในชุดแต่งงานสีแดงลวดลายปักไหมทอง สง่างามราวเทพธิดา พระนางคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้"ถวายพระพร ฝ่าบาท" พระนา
เสียงโหวกเหวกของลูกค้าและเสียงตะหลิวกระทบกระทะดังไม่ขาดสายในร้านอาหารจีน-ไทยชื่อดังแห่งหนึ่งในที่ฮ่องกง เป็นร้านอาหารเก่าแก่ที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติอันจัดจ้านและบรรยากาศคึกคักลี่หรง เชฟสาววัย 29 ปี ลูกครึ่งไทย-จีน เธอเป็นเจ้าของร้าน ทุกวันเธอจะลงมือทำอาหารเอง เพราะร้านของเธอมีลูกค้ามากขายดิบขายดีเธอยืนหน้าหม้อไฟใหญ่ มือหนึ่งจับทัพพี คนซุปอย่างคล่องแคล่ว ขณะที่อีกมือถือทัพพีอีกอัน ตักน้ำซุปใส่ถ้วยให้ลูกค้าตามออเดอร์“เจิ้นหมิงเสิร์ฟโต๊ะ 9” เสียงลี่หรง ตะโกนสั่ง“ได้เลยครับ” ลูกน้องตอบเธอรอยยิ้มพอใจปรากฏบนใบหน้าของเธอเมื่อเห็นลูกค้ารับอาหารไปด้วยความตื่นเต้นเธอรักงานของเธอที่นี่ แม้จะเหนื่อยแต่ก็ภูมิใจที่ได้สืบทอดสูตรอาหารจากอาม่า และสร้างรสชาติที่ทำให้ลูกค้าติดใจ แต่ใครจะไปรู้ว่าเย็นวันนั้น ชีวิตของเธอจะเปลี่ยนไปตลอดกาลลี่หรงขับรถเดินออกจากร้านหลังเลิกงานพร้อมกล่องยาขนาดใหญ่และกล่องเครื่องปรุงสำหรับใช้ในร้านอาหาร ภายในมีสมุดบันทึกสูตรอาหารและหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรจีนที่เธอเพิ่งซื้อมาใหม่ ฝนตกปรอยๆ ทำให้เธอขับรถกลับบ้าน อย่างลำบากเธอขับรถไปช้าๆ อย่างระมัดระวัง ทันใดนั้น หางตาเธอเห
พระราชวังประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดงงดงามทั่วทุกทิศ เสียงกลองและฆ้องกึกก้องไปทั่วเพื่อเฉลิมฉลองพิธีสำคัญที่สุดของแผ่นดินพิธีราชาภิเษกขององค์รัชทายาท และการแต่งตั้งฮองเฮาณ ท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างคุกเข่าแสดงความเคารพต่อฮ่องเต้องค์ใหม่ เสียงขานถวายพระพรดังกึกก้อง"ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!"ฮ่องเต้องค์ก่อนทอดพระเนตรพระโอรสด้วยสายตาภาคภูมิ พระองค์ทรงสละราชบัลลังก์อย่างสง่างามและเต็มไปด้วยความไว้วางใจ"ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือฮ่องเต้ ผู้ครองบัลลังก์แผ่นดินจงหยวน" ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนส่งมอบตราพระราชลัญจกรให้องค์รัชทายาทในชุดฉลองพระองค์มังกรยืนอย่างสง่างาม รับตราพระราชลัญจกรด้วยความมั่นคงและหนักแน่น "เสด็จพ่อ ข้าจะปกครองแผ่นดินนี้ด้วยสติปัญญาและความยุติธรรม"เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องทั่วทั้งพระราชวัง พิธีบรมราชาภิเษกสำเร็จลุล่วงพิธีแต่งตั้งฮองเฮา...หลังจากพิธีบรมราชาภิเษกสำเร็จ พิธีแต่งตั้งฮองเฮาก็เริ่มต้นขึ้น นางในพากันโปรยกลีบดอกโบตั๋นตลอดทางเดิน พระชายาในชุดแต่งงานสีแดงลวดลายปักไหมทอง สง่างามราวเทพธิดา พระนางคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้"ถวายพระพร ฝ่าบาท" พระนา
วันมงคล ...ในพระราชวังอันโอฬารถูกประดับประดาด้วยโคมแดงระยับ งานสมรสอันยิ่งใหญ่ถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ เสียงฆ้องกังวานดังไปทั่วลานพิธี ชวนให้หัวใจทุกคนเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นองค์รัชทายาทในฉลองพระองค์ชุดแดงเข้มปักลวดลายมังกรยืนตระหง่านอยู่กลางโถง ดวงตาคมกริบทอดมองไปข้างหน้าอย่างแน่นิ่ง ราวกับมิได้มีจิตใจร่วมอยู่ในพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ทุกย่างก้าวที่พระองค์ยืนอยู่นั้นคือหน้าที่ มิใช่สิ่งที่หัวใจปรารถนาเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของเจ้าสาวในฉลองพระองค์แดงสดดังใกล้เข้ามา ผ้าคลุมหน้าปักลวดลายหงส์ทองสะท้อนแสงเทียนไหวระริก ทุกย่างก้าวชวนให้บรรยากาศราวกับต้องมนต์แต่ดวงตาคมขององค์รัชทายาทยังคงเฉยชา แม้ทุกคนรอบกายจะจับจ้องด้วยความคาดหวัง พระองค์มิได้ยินดีกับงานวิวาห์นี้แม้แต่น้อย เพราะในพระทัยยังคงเชื่อว่าพระชายาที่พระมารดาทรงเลือกให้คือ หมิงจิวทว่า...เมื่อสายลมแผ่วเบาพัดผ่าน กลิ่นหอมละมุนจากร่างบางตรงหน้ากลับทำให้พระวรกายชะงักไปชั่วขณะ กลิ่นอันคุ้นเคย...กลิ่นของ พระชายาลี่หรง หญิงเดียวที่พระองค์รักสุดหัวใจ แต่เธอได้จากไปนานแล้ว มิอาจเป็นไปได้ที่เธอจะมายืนอยู่ตรงหน้าเสียงปี่กู่เจิงดังแว่ว
ตำหนักไป๋ฮวา…ในเช้าวันนี้ปกคลุมไปด้วยม่านหมอกแห่งความเศร้า เหล่านางกำนัลและองครักษ์ต่างยืนนิ่ง เสียงสะอื้นเงียบๆ ปะปนไปกับบรรยากาศแห่งความสูญเสีย ตำหนักที่เคยก้องกังวานไปด้วยเสียงหัวเราะของพระชายา บัดนี้กลับเหลือเพียงความเงียบงันและความว่างเปล่าองค์รัชทายาทประทับยืนอยู่ใต้ต้นเหมย น้ำตาที่เขาพยายามกักเก็บกลับเอ่อล้นออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้“ซีจิน ขอบใจเจ้ามากที่ดูแลข้าอย่างดี ข้าจะไม่ลืมพวกเจ้าเลย”พระชายาเอ่ยขึ้น เสียงของนางสั่นไหวแต่ยังคงแฝงด้วยความอ่อนโยน ราวกับกำลังพยายามปลอบโยนผู้ที่ยังอยู่ซีจินเม้มปากแน่น พยายามสะกดกลั้นน้ำตา แต่สุดท้ายเขากลับต้องก้มหน้าลง ปล่อยหยาดน้ำตาไหลรินลงสู่พื้นดิน“พระชายา... โปรดดูแลพระองค์ให้ดีเพคะ”ลี่หรงพยักหน้าอย่างอ่อนแรง หันไปหาจางจือ นางมองเพื่อนรักทั้งน้ำตา“จางจือ ข้าฝากร้านกับเจ้า ช่วยซีจินดูแลมันให้ดี ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ร่วมยินดีในวันสำคัญของเจ้า”จางจือร้องไห้จนตัวสั่น นางสะอื้นไห้แทบเป็นลม ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า“พระชายา... ข้าไม่อยากให้ท่านไป ฮึก... ข้าอยากให้ท่านอยู่กับพวกเราตลอดไป”ลี่หรงแตะไหล่ของจางจือเบาๆ เป็นการปลอบโยนครั้งสุด
ค่ำคืนอันยาวนานผ่านไป พระชายายังคงหมดสติ แม้ได้รับยาถอนพิษแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววจะฟื้น องค์รัชทายาทจับมือพระชายาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยตลอดทั้งคืนจนเผลอหลับไปรุ่งเช้า...เสียงแผ่วเบาของพระชายาที่เพิ่งฟื้นจากพิษดังขึ้นเบาๆ"องค์รัชทายาท... ท่านปลอดภัยดีหรือไม่?"องค์รัชทายาทสะดุ้งตื่น รีบหันไปมองพระชายาด้วยแววตาตื้นตัน"พระชายา! เจ้าได้สติแล้ว ข้าดีใจเหลือเกิน! ข้านึกว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาข้าเสียแล้ว"พระชายายิ้มอ่อน แม้ใบหน้าจะยังซีดเซียวเพราะพิษที่เพิ่งถูกขับออกจากร่าง"แล้วทุกคนล่ะ... ปลอดภัยดีหรือไม่?""องค์ชายสี่และทุกคนปลอดภัยดี" องค์รัชทายาทตอบ"ข้าสังหารตงหยางแล้ว จินฝานก็สามารถจับตัวนางกำนัลขององค์ชายสี่ได้ แม่ทัพเหวินจิ้นหงได้ค้นพบอาวุธที่เสนาบดีเฉินหลางลอบสั่งซื้อ ทุกคนสารภาพว่าคิดก่อกบฏและต้องการหนุนให้องค์ชายสี่ขึ้นครองราช ตอนนี้ทั้งหมดถูกจองจำและรอการตัดสินโทษ"พระชายาถอนหายใจยาว รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย"ในที่สุด ข้าก็สามารถล้างมลทินให้หลินเหม่ยเยียนได้เสียที... ต่อจากนี้ข้าก็สบายใจแล้ว"องค์รัชทายาทบีบมือพระชายาแน่นขึ้น"ใช่ เจ้าทำสำเร็จแล้ว... และจากนี้ไป เราจะได้อยู่ด้วยก
ภายในตำหนักหลวง องค์รัชทายาทถวายรายงานต่อฮ่องเต้ด้วยสีหน้าจริงจัง“เสด็จพ่อ พ่ะย่ะค่ะ ข้าให้แม่ทัพเหวินจิ้นหงไปสืบเรื่องของพระชายาซูซินมาแล้ว นางมีบุตรหนึ่งคนชื่อตงฉี แต่ร่างกายของเขาไม่สมประกอบ ขาซ้ายพิการ และพระชายายังมีบุตรอีกคนหนึ่งชื่อตงหยาง เกิดจากทหารชั้นพิเศษ บัดนี้เขาเสียชีวิตไปแล้ว”ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสด้วยเสียงแฝงความลึกซึ้ง“สามารถให้คนไปรับเขากลับมาได้หรือไม่? เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ควรได้รับการสะสางเสียที”“ได้พ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทตอบรับหนักแน่นฮ่องเต้ทอดพระเนตรองค์รัชทายาทอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสออกมาอย่างอ่อนล้า“ข้าได้หารือกับเสด็จแม่ของเจ้าแล้ว... สุขภาพของข้าไม่ค่อยดีนัก เจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอด ข้าอยากสละบัลลังก์ให้เจ้าได้ว่าราชการแทน เพราะข้าเอง... เหนื่อยเต็มทน”ในขณะที่ฮ่องเต้ตรัส นางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมของว่างในถาด นางทำทีเป็นรับใช้ แต่แท้จริงแล้วกำลังจับตาดูบทสนทนาอยู่ นางเป็นคนขององค์ชายสี่ องค์รัชทายาทมองดูสีหน้าของนางแล้วจำได้ทันที แต่ทรงแสร้งทำเป็นไม่สนใจเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต“เสด็จพ่อยังทรงแข็งแรงนัก มิจำเป็นต้องรีบแต่
ยามเย็น—แสงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ท้องฟ้าถูกแต้มด้วยสีแดงฉานปะปนม่วงคราม หมู่นกน้อยรีบบินกลับรังในร่มเงาต้นไม้สูงใหญ่ ลมหนาวพัดผ่านพระราชวังอันกว้างใหญ่แต่ทว่าภายในเขตวังหลวงกลับไม่มีความสงบเลยแม้แต่น้อย…ภายในตำหนักหลวง วุ่นวายราวกับรังแตนแตกรัง หมอหลวงในชุดคลุมสีขาวเร่งเดินกันขวักไขว่ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดัง เสียงสั่งการดังขึ้นไม่ขาดระยะ บางคนหอบหิ้วกล่องยา บางคนถือตำราแพทย์พลิกหาวิธีรักษา ข่าวเรื่อง ฮ่องเต้ประชวรหนัก แพร่สะพัดไปทั่วพระราชวังเพียงไม่นาน เสียงขันทีรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหยุดหน้าพระตำหนักขณะที่รถม้าขององค์รัชทายาทและพระชายาค่อย ๆ ชะลอและจอดเสียงร้องเรียกอย่างร้อนรนก็ดังขึ้นทันที“องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ! ขอทรงรีบไปเฝ้าฝ่าบาทเถิดพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงอาการหนักมากแล้ว!”ขันทีที่วิ่งเข้ามาคุกเข่าลงอย่างลนลาน ใบหน้าซีดเผือดดั่งคนสิ้นหวังองค์รัชทายาทก้าวลงจากรถม้าทันที ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นแฝงความกังวล “เสด็จพ่อเป็นอะไร?”“ฝ่าบาททรงหน้ามืด มือสั่น เหงื่อออก ตัวเย็น... และที่สำคัญ ทรงเพ้อไม่รู้เรื่องพ่ะย่ะค่ะ!”หัวใจขององค์รัชทายาทกระตุกวูบ คิ้วเข้มขมวดแน่น มือกำหมัดโดยไม่รู้ตัว
ร้านขายชุดนอนของพระชายากลายเป็นที่กล่าวขวัญทั่ววังหลวง ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินเล็ก ตลอดจนเหล่าสตรีสูงศักดิ์ต่างพากันมาเลือกสรรด้วยความตื่นตาตื่นใจผ้าที่นำมาจำหน่ายล้วนเป็นเนื้อแพรบางเบาละเอียดอ่อน เมื่อสัมผัสแล้วให้ความรู้สึกราวกับละอองไหมไหลลื่นผ่านปลายนิ้วชุดนอนไม่ได้นอน ของร้านนี้แตกต่างจากชุดนอนทั่วไป สีสันเย้ายวนสะดุดตา ไม่ว่าจะเป็น สีแดงเข้มเย้ายวน สีดำลึกลับน่าค้นหา หรือ สีชมพูหวานละมุน ทุกชุดล้วนถูกออกแบบให้เผยผิวเนียนนวลอย่างมีชั้นเชิง สายเดี่ยวบางเฉียบเปิดไหล่เนียนนุ่ม ลวดลายลูกไม้ปักละเอียดอ่อนเน้นความหรูหรา มีทั้งแบบเรียบโก้และแบบปักดิ้นทองสำหรับงานค่ำคืนสุดพิเศษพื้นที่ในร้านตกแต่งอย่างประณีต ให้บรรยากาศผ่อนคลายและเป็นกันเอง สตรีทั้งหลายสามารถเลือกซื้อได้อย่างเพลิดเพลิน มีสาวใช้คอยบริการอย่างใกล้ชิด เสิร์ฟน้ำชาหอมกรุ่นพร้อมขนมหวานรสเลิศให้ลิ้มลอง ชุดนอนเหล่านี้แม้ราคาไม่แพง แต่เมื่อต้องตาต้องใจแล้ว กลับกลายเป็นสินค้าที่ทำกำไรได้อย่างมหาศาล“การออกแบบชุดในอนาคตที่เราอยู่กลับกลายเป็นที่นิยมสมัยโบราณ ช่างดีจริงๆ รวยแล้วเรา” ลี่หรงพูดกับตัวเองอย่างสุขใจเสียงล้อรถม้าหรูหราดังขึ
ยามเช้าอากาศเย็นสบาย ลมอ่อนพัดพากลิ่นดินหอมกรุ่นหลังจากค่ำคืนที่มีน้ำค้างโปรยปราย แสงอาทิตย์สีทองค่อย ๆ ลอดผ่านแนวต้นไม้กระทบกับผืนดินหลังตำหนักที่เคยรกร้าง ทว่าบัดนี้กำลังจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นสวนผักที่อุดมสมบูรณ์กลางลานดินที่เพิ่งถูกไถพรวน พระชายาในชุดชาวสวน สีครีมนวลเรียบง่าย ผมยาวรวบขึ้นมัดด้วยผ้าสีอ่อน ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อจากไอแดด องค์รัชทายาทมองด้วยแววตาหลงใหล ก่อนจะปรายตามองตัวเองที่แต่งกายเช่นเดียวกัน ที่สวมเสื้อชาวสวนสีเข้ม กางเกงผ้าฝ้าย แม้จะแต่งแบบชาวบ้านธรรมดา แต่ความสง่างามยังไม่จางหาย"องค์รัชทายาท ท่านดูดีที่สุดเลยเมื่อแต่งตัวแบบนี้" พระชายาเอ่ยพลางหัวเราะเบา ๆ"พระชายาก็เช่นกัน เจ้าดูน่ารักแปลกตา น่าค้นหาเสียจริง""เลิกชมกันได้แล้ว มาทางนี้เลยองค์รัชทายาท มาขุดดินเตรียมเพาะปลูกเมล็ด"องค์รัชทายาทรีบคว้าจอบขึ้นมา "รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ พระชายา"จินฝานและซีจิน รวมถึงนางกำนัลและองครักษ์ต่างช่วยกัน ถางหญ้า ปรับหน้าดิน และขุดหลุม เตรียมปลูกพืชพันธุ์ เมล็ดพริก ข้าวโพด มันฝรั่ง และมะเขือเทศถูกนำออกมาจัดเตรียมขณะทุกคนลงมือทำงาน ซีจินเอ่ยถามขึ้นมาพลางหยิบเมล็ดข้าวโพดขึ้นดู"
ตำหนักไป๋ฮวา...แสงจันทร์อ่อนโยนสาดส่องลอดผ่านม่านโปร่งบาง ๆ ตกกระทบลงบนพื้นไม้ ภายในตำหนักไป๋ฮวา สถานที่ซึ่งเป็นเสมือนรังรักขององค์รัชทายาทและพระชายา บรรยากาศสงบเงียบ ทว่ากลับอบอวลไปด้วยไออุ่นแห่งความรักของทั้งสองพระชายาทอดสายตามองดวงจันทร์ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือรอยยิ้ม"องค์รัชทายาท ข้าได้ซื้อที่สำหรับเปิดร้านขายผ้าเรียบร้อยแล้ว คาดว่าอีกสองสามวันข้าคงได้เปิดร้านและต้องขายดีมากแน่ ๆ"ดวงตาคมลึกขององค์รัชทายาทจับจ้องพระชายาด้วยความเอ็นดู ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ"ชายาของข้า เจ้าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยหรือ? หากข้ายังคงออกรบเช่นเมื่อก่อน ข้าคงไม่ได้รับจดหมายจากเจ้าสักฉบับเป็นแน่ เพราะเจ้ามัวแต่ขยันทำงานแทบจะลืมข้าแล้ว"พระชายาหัวเราะเบา ๆ"โธ่... ข้ามาอยู่ที่นี่ทั้งที ข้าย่อมต้องทำงาน เพราะในที่ที่ข้ามา ข้าก็ทำงานทุกวันอยู่แล้ว"องค์รัชทายาทขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาฉายแววสนใจ"เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ ที่ที่เจ้าจากมานั้นเป็นเช่นไร? ข้าอยากรู้"พระชายายิ้มบาง ๆ พลางทอดสายตาไปยังเบื้องนอก คล้ายหวนนึกถึงอดีต"ได้สิ ข้าเรียกที่แห่งนั้นว่า ‘ฮ่องกง’ ... ที่นั่นเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก