ยามเย็น—แสงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ท้องฟ้าถูกแต้มด้วยสีแดงฉานปะปนม่วงคราม หมู่นกน้อยรีบบินกลับรังในร่มเงาต้นไม้สูงใหญ่ ลมหนาวพัดผ่านพระราชวังอันกว้างใหญ่
แต่ทว่าภายในเขตวังหลวงกลับไม่มีความสงบเลยแม้แต่น้อย…
ภายในตำหนักหลวง วุ่นวายราวกับรังแตนแตกรัง หมอหลวงในชุดคลุมสีขาวเร่งเดินกันขวักไขว่ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดัง เสียงสั่งการดังขึ้นไม่ขาดระยะ บางคนหอบหิ้วกล่องยา บางคนถือตำราแพทย์พลิกหาวิธีรักษา ข่าวเรื่อง ฮ่องเต้ประชวรหนัก แพร่สะพัดไปทั่วพระราชวัง
เพียงไม่นาน เสียงขันทีรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหยุดหน้าพระตำหนัก
ขณะที่รถม้าขององค์รัชทายาทและพระชายาค่อย ๆ ชะลอและจอดเสียงร้องเรียกอย่างร้อนรนก็ดังขึ้นทันที
“องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ! ขอทรงรีบไปเฝ้าฝ่าบาทเถิดพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงอาการหนักมากแล้ว!”
ขันทีที่วิ่งเข้ามาคุกเข่าลงอย่างลนลาน ใบหน้าซีดเผือดดั่งคนสิ้นหวัง
องค์รัชทายาทก้าวลงจากรถม้าทันที ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นแฝงความกังวล
“เสด็จพ่อเป็นอะไร?”
“ฝ่าบาททรงหน้ามืด มือสั่น เหงื่อออก ตัวเย็น... และที่สำคัญ ทรงเพ้อไม่รู้เรื่องพ่ะย่ะค่ะ!”
หัวใจขององค์รัชทายาทกระตุกวูบ คิ้วเข้มขมวดแน่น มือกำหมัดโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบก้าวยาว ๆ ไปยังตำหนักหลวง พระชายาเองก็เร่งฝีเท้าตามไปด้วยความร้อนใจ
หน้าตำหนัก ฮองเฮาและองค์หญิงเล็กยืนรออยู่ก่อนแล้ว สีหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก ดวงตาขององค์หญิงเล็กคลอด้วยน้ำตา ขณะที่ฮองเฮาพยายามข่มความรู้สึก แม้ภายในใจจะสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว
“องค์รัชทายาท...”
เสียงของฮองเฮาสั่นน้อย ๆ
“เสด็จพ่อของเจ้า...”
“เสด็จแม่ โปรดใจเย็นก่อน... เสด็จพ่อต้องไม่เป็นอะไร!”
“เสด็จพ่อ!” องค์หญิงเล็กเรียกขึ้นเสียงสั่น ก่อนที่พระชายาจะยื่นมือไปตบบ่าให้กำลังใจ
องค์รัชทายาทหันไปถามหมอหลวงทันที
“เสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ฝ่าบาทตัวเย็น เหงื่อซึมไปทั้งพระวรกาย ตรัสว่าทรงง่วง และหายใจแผ่วลงทุกที...”
“แล้วรักษาอย่างไร?”
“ตอนนี้ให้เพียงยาบำรุงไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ... แต่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง”
ขณะนั้นเอง พระชายาขมวดคิ้วแน่น ก่อนนึกถึงภาพของผู้เป็นมารดาที่เคยมีอาการคล้ายกัน
“ทำไมถึงเหมือนอาการน้ำตาลต่ำของแม่เรานะ...”
เธอเงยหน้าขึ้นถามทันที
“ฮ่องเต้มีอาการตัวเกร็ง ลิ้นแข็ง เหนื่อยล้าเหมือนจะหลับตลอดเวลาหรือไม่?”
หมอหลวงพยักหน้ารัว ๆ
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ! เป็นเช่นนั้นทุกประการ!”
“ข้าขอเข้าไปดูฮ่องเต้” พระชายาก้าวไปข้างหน้า
ขันทีหน้าประตูรีบขวางไว้
“พระชายาเป็นสตรี คงไม่เหมาะ—”
“ช่วยชีวิตคนยังต้องแบ่งแยกชายหญิงด้วยหรือ?”
พระชายาจ้องเขม็ง"
หากฮ่องเต้เป็นอะไรไป เจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ?”
เธอหันไปสบตาฮองเฮาและองค์รัชทายาทอย่างแน่วแน่
“ให้พระชายาเข้าไป!” ฮองเฮาสั่งโดยไม่ลังเล
เมื่อเข้าไปในห้อง ฮ่องเต้นอนอยู่บนแท่นบรรทม สีพระพักตร์ซีดเผือด เหงื่อเย็นชื้นทั่วพระวรกาย เปลือกพระเนตรปิดแต่ยังทรงเพ้อออกมาเป็นคำที่ไม่มีความหมาย
“เสด็จพ่อยังรู้สึกตัวหรือไม่?”
“รู้สึกตัวพ่ะย่ะค่ะ... แต่ไม่สามารถตอบสนองได้”
พระชายาหันไปมองนางกำนัล “ซีจิน! เอากล่องยาของข้ามา!”
“พระชายาจะทำสิ่งใด?”
เธอเงยหน้าสบตาองค์รัชทายาท
“องค์รัชทายาท... ทรงไว้ใจหม่อมฉันหรือไม่? อาการเช่นนี้ข้าเคยเจอมากับแม่ของข้า...”
องค์รัชทายาทสบตานางนิ่ง ก่อนพยักหน้าหนักแน่น
“ข้าไว้ใจเจ้า”
พระชายาหยิบอุปกรณ์จากกล่อง ยกเครื่องวัดความดันขึ้นตรวจ ก่อนจะแจ้งว่า
“ความดันต่ำจริง ๆ”
หมอหลวงมองอุปกรณ์แปลกตาในมือของพระชายาด้วยความสงสัย ขณะที่เธอหยิบเข็มออกมาแล้วเจาะปลายนิ้วของฮ่องเต้
“น้ำตาลต่ำจริง!” พระชายาประกาศ ก่อนจะคว้าซองกลูโคสเจลขึ้นมา
เธอนั่งลงข้างพระวรกายของฮ่องเต้ พลางเรียกพระองค์ตลอดเวลา “เสด็จพ่อเพคะ ได้ยินข้าไหม? อย่าหลับนะเพคะ!”
องค์รัชทายาทกุมพระหัตถ์ของพระบิดาแน่น ดวงตาจับจ้องไปที่พระชายาซึ่งกำลังช่วยชีวิตพระองค์อย่างไม่ลดละ สายตาของเธอเต็มไปด้วยความแน่วแน่ แม้จะมีน้ำตาคลออยู่ที่ขอบตา
“องค์รัชทายาท! จับเสด็จพ่อไว้!”
พระชายาไม่รอช้า ฉีกซองกลูโคสเจล ก่อนจะค่อย ๆ ป้อนให้ฮ่องเต้ดื่ม
ทุกสายตาในห้องเฝ้าดูด้วยความลุ้นระทึก แม้แต่หมอหลวงเองก็ยังไม่กล้ากะพริบตา เพราะนี่อาจเป็นความหวังเดียวที่จะช่วยชีวิตฝ่าบาทได้
เวลาผ่านไปช้า ๆ ทุกคนรอคอย…
จนกระทั่ง—
“ฝ่าบาททรงรู้สึกพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีร้องเสียงดัง
ทั่วทั้งตำหนักเงียบกริบ ก่อนที่เสียงถอนหายใจด้วยความโล่งใจจะดังขึ้น ฮองเฮาและองค์หญิงเล็กปาดน้ำตา ร่างที่แข็งทื่อด้วยความหวาดหวั่นเริ่มผ่อนคลายลง
องค์รัชทายาทกอดพระชายาแน่น
“ขอบคุณเจ้ามาก...”
ฮ่องเต้ลืมพระเนตรขึ้น และแม้จะยังอ่อนแรง แต่พระองค์ก็ฝืนยิ้มออกมา
“ขอบใจเจ้ามาก” ฮ่องเต้ตรัส
พระชายายิ้มกว้างทั้งน้ำตา
“แค่ฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาได้ พวกหม่อมฉันก็ดีใจที่สุดแล้วเพคะ”
ในค่ำคืนนั้น ทุกคนต่างร่วมกันอธิษฐาน ขอให้พระองค์ทรงมีอายุยืนนานหมื่นปี หมื่น ๆ ปี...
กลางแสงจันทร์ส่องกระทบผืนดิน เงาของสองพระองค์ทอดยาวไปบนลานหิน
"พระชายาของข้าเก่งมาก"
องค์รัชทายาทตรัสชม ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ
พระชายาส่ายหน้าช้าๆ ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว
"ข้าไม่ได้เก่งอะไรเลย... ที่บ้าน ข้าดูแลพ่อแม่มาตลอด ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง"
องค์รัชทายาทรับรู้ถึงความกังวลในน้ำเสียงนั้น ทรงยื่นพระหัตถ์ลูบไหล่ของพระชายาเบาๆ อย่างปลอบโยน
"ข้าเข้าใจเจ้า..."
พระองค์ตรัสด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
"กลับตำหนักกันเถอะ เจ้าคงเหนื่อยมามากแล้ว"
พระชายาเงยหน้าขึ้นสบตาองค์รัชทายาทก่อนเผยรอยยิ้มจางๆ นางพยักหน้ารับคำ
จากนั้นทั้งสองพระองค์จึงก้าวเดินกลับตำหนัก ท่ามกลางแสงจันทร์นวลที่สาดส่องไปทั่วลานกว้าง เหล่านางกำนัลและองครักษ์เดินล้อมรอบเงียบๆ มีเพียงเสียงลมพลิ้วไหวพัดผ่านต้นไม้ ราตรีนี้ยังคงงดงาม แต่ในใจของพระชายากลับยังคงห่วงหาคิดถึงบ้านที่จากมา
เช้าวันใหม่ ณ ตำหนักไป๋ฮวา
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ่านม่านโปร่งบาง เสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว ทำให้บรรยากาศในตำหนักยิ่งดูสดชื่น แต่ภายในห้องบรรทม องค์รัชทายาทกลับขยับตัวอย่างเกียจคร้าน ขณะมองดูพระชายาลุกขึ้นจากเตียงทันที
"พระชายาของข้า... ไยเจ้าตื่นเช้าเช่นนี้ นอนต่ออีกหน่อยเถอะ" องค์รัชทายาทเสียงแหบพร่าด้วยความง่วงเคล้ากับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ มือแข็งแรงยื่นออกไปโอบเอวบางเอาไว้ ไม่ให้ลุกหนีจากอ้อมกอด
พระชายาก้มลงมองพระสวามีที่ยังนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง นางอยู่ในชุดนอนสีดำบางเบาประดับด้วยลูกไม้สีดำปักด้วยดิ้นสีทอง เป็นชุดที่ตัดกับผิวขาวเนียนละเอียดอย่างน่าหลงใหล ทว่าดวงตากลับเป็นประกายมุ่งมั่น
"ข้าไม่นอนแล้ว ท่านนอนต่อเถอะ วันนี้ข้าตั้งใจจะทำโจ๊กฮ่องกงไปถวายเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ท่านจะได้มีแรงมากขึ้น"
องค์รัชทายาทเลิกพระคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนหัวเราะในลำคอ
"เจ้าช่างเป็นสะใภ้ที่แสนดีจริงๆ ... ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปช่วยเจ้าทำด้วย"
พระชายาชะงักก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ
"เดี๋ยวก่อน... องค์รัชทายาทผู้เย็นชา จะเข้าครัวเนี่ยนะ?"
"ทำไมเล่า?" พระองค์แสร้งทำหน้าตาขึงขัง
"ข้าบอกแล้วมิใช่หรือ ว่าพระชายาของข้าอยู่ที่ใด ข้าก็จะอยู่กับเจ้าที่นั่น... เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะหนีข้าไป"
พระชายายิ้มหวาน หัวใจอบอุ่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
"ท่านพูดอะไรเพคะ องค์รัชทายาท... ข้าไม่หนีไปไหนหรอก ข้าจะอยู่กับท่านที่นี่แหละ"
องค์รัชทายาทยิ้มอย่างพอใจ ก่อนปล่อยมือจากเอวบางและลุกขึ้นจากเตียง ทั้งสองพระองค์จึงพากันไปยังโรงครัวของตำหนัก
บนโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ วัตถุดิบสำหรับทำโจ๊กฮ่องกงถูกจัดเตรียมไว้อย่างประณีต ข้างกันนั้นมีอุปกรณ์สำหรับทำน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ รอให้ทั้งสองลงมือปรุงอาหารร่วมกัน
บรรยากาศภายในครัวอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของข้าวสารและถั่วเหลือง คลอเคล้าไปกับเสียงหัวเราะและบทสนทนาอันอบอุ่นของสองพระองค์
พระชายาเริ่มลงมือทำโจ๊กฮ่องกง
น้ำซุปกระดูกหมูถูกเคี่ยวจนข้นได้ที่ จากนั้นเติมข้าวลงไป ใช้ไฟอ่อน เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนข้าวแตกตัวเป็นเนื้อเดียวกันจากนั้นปั้นหมูเด้งเป็นก้อนกลม ใส่ลงไปให้สุกค่อยใส่หอยเป๋าฮื้อเพิ่มรสสัมผัส ก่อนตักใส่ถ้วย ตกแต่งด้วยไข่เค็มแดงลาวา โรยต้นหอมทอดกรอบและขิงซอย ปิดท้ายด้วยน้ำมันงาหอมกรุ่น
"เป็นโจ๊กที่น่ากินที่สุดที่ข้าเคยเห็นมา"
องค์รัชทายาทกล่าว พลางเอื้อมมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้พระชายา
เมนูต่อไป—น้ำเต้าหู้งาดำ
น้ำเต้าหู้ถ้วยนี้มิใช่เพียงเครื่องดื่มธรรมดา หากแต่เป็นน้ำเต้าหู้ที่ผ่านการคัดสรรถั่วเหลืองคุณภาพดีที่สุด คั้นสดใหม่ หอมละมุนจากใบเตยเพิ่มความหวานบางเบาด้วยน้ำลำไยแห้งแทนการใช้น้ำตาล เติมความเข้มข้นด้วยงาดำบดละเอียด รสชาติละมุนละไมและดีต่อสุขภาพสุดท้าย—ปาท่องโก๋ร้อน ๆ
แป้งสาลีถูกนวดเข้ากับเกลือและน้ำด่างจากเถ้าไม้สูตรลับแห่งราชสำนักที่ช่วยให้เนื้อแป้งฟูกรอบอย่างลงตัวหมักแป้งไว้ใต้ผ้าขาวบางจนได้ที่ ก่อนนำมาหั่นเป็นแท่งวางซ้อนกันสองชิ้น แล้วหย่อนลงในกระทะน้ำมันร้อนจัด เสียงฉ่าเบา ๆ ดังขึ้นพร้อมกับแป้งที่พองตัวขึ้นเป็นสีเหลืองทอง กรอบนอกนุ่มใน หอมเย้ายวนโจ๊กฮ่องกง น้ำเต้าหู้งาดำ และปาท่องโก๋ร้อน ๆ พร้อมเสิร์ฟขึ้นสู่ตำหนักหลวง อาหารมื้อนี้มิได้มีเพียงรสชาติอันเลิศล้ำ แต่ยังเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจและความอบอุ่นจากสองพระองค์
"เสด็จพ่อ เสด็จแม่ พ่ะย่ะค่ะ ข้าและพระชายาได้จัดเตรียมโจ๊กฮ่องกงมาถวาย"
"พวกเจ้าช่างมีน้ำใจนัก" ฮ่องเต้ตรัส น้ำเสียงเปี่ยมด้วยเมตตา
พระเนตรของพระองค์ทอดมองาพระชยาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่แฝงความอ่อนโยน
"พระชายา เจ้าเป็นผู้มีน้ำใจนัก ข้ามิอาจปล่อยให้เจ้าตอบแทนข้าเพียงฝ่ายเดียว เจ้าปรารถนาสิ่งใด บอกข้ามาเถิด"
พระชายาเงยหน้าขึ้น ประสานสายตากับองค์รัชทายาทที่นั่งอยู่เคียงข้าง นางลังเลไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยคำขอเสียงแผ่วเบา
"หม่อมฉันอยากพบโหราจารย์ผู้ทำนายดวงชะตาเพคะ"
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกจากริมฝีปากของพระชายา องค์รัชทายาทและฮองเฮากลับรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดแปลกไป ความกังวลแทรกซึมเข้ามาในพระทัยขององค์รัชทายาทประหนึ่งเงามืดที่แผ่คลุม บางสิ่งในดวงตาของพระชายา ทำให้พระองค์รู้สึกว่านางกำลังจะจากไป...
"หากเจ้าต้องการ ข้าย่อมให้โหราจารย์เข้าเฝ้า" ฮ่องเต้ตรัสตอบโดยไม่ลังเล
"หม่อมฉันขอบพระทัยเพคะ" พระชายาก้มศีรษะลง แววตานิ่งสงบ แต่กลับคล้ายมีบางสิ่งซ่อนอยู่
แม้บรรยากาศภายในตำหนักจะดูอบอวลไปด้วยความอบอุ่น ทว่าในใจขององค์รัชทายาทกลับปั่นป่วนราวกับมีกระแสน้ำไหลเชี่ยว นิ่งเงียบ หากแต่ลึกลงไป คล้ายมีน้ำตาตกอยู่ในใจที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้...
ภายในตำหนักหลวง องค์รัชทายาทถวายรายงานต่อฮ่องเต้ด้วยสีหน้าจริงจัง“เสด็จพ่อ พ่ะย่ะค่ะ ข้าให้แม่ทัพเหวินจิ้นหงไปสืบเรื่องของพระชายาซูซินมาแล้ว นางมีบุตรหนึ่งคนชื่อตงฉี แต่ร่างกายของเขาไม่สมประกอบ ขาซ้ายพิการ และพระชายายังมีบุตรอีกคนหนึ่งชื่อตงหยาง เกิดจากทหารชั้นพิเศษ บัดนี้เขาเสียชีวิตไปแล้ว”ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสด้วยเสียงแฝงความลึกซึ้ง“สามารถให้คนไปรับเขากลับมาได้หรือไม่? เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ควรได้รับการสะสางเสียที”“ได้พ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทตอบรับหนักแน่นฮ่องเต้ทอดพระเนตรองค์รัชทายาทอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสออกมาอย่างอ่อนล้า“ข้าได้หารือกับเสด็จแม่ของเจ้าแล้ว... สุขภาพของข้าไม่ค่อยดีนัก เจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอด ข้าอยากสละบัลลังก์ให้เจ้าได้ว่าราชการแทน เพราะข้าเอง... เหนื่อยเต็มทน”ในขณะที่ฮ่องเต้ตรัส นางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมของว่างในถาด นางทำทีเป็นรับใช้ แต่แท้จริงแล้วกำลังจับตาดูบทสนทนาอยู่ นางเป็นคนขององค์ชายสี่ องค์รัชทายาทมองดูสีหน้าของนางแล้วจำได้ทันที แต่ทรงแสร้งทำเป็นไม่สนใจเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต“เสด็จพ่อยังทรงแข็งแรงนัก มิจำเป็นต้องรีบแต่
ค่ำคืนอันยาวนานผ่านไป พระชายายังคงหมดสติ แม้ได้รับยาถอนพิษแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววจะฟื้น องค์รัชทายาทจับมือพระชายาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยตลอดทั้งคืนจนเผลอหลับไปรุ่งเช้า...เสียงแผ่วเบาของพระชายาที่เพิ่งฟื้นจากพิษดังขึ้นเบาๆ"องค์รัชทายาท... ท่านปลอดภัยดีหรือไม่?"องค์รัชทายาทสะดุ้งตื่น รีบหันไปมองพระชายาด้วยแววตาตื้นตัน"พระชายา! เจ้าได้สติแล้ว ข้าดีใจเหลือเกิน! ข้านึกว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาข้าเสียแล้ว"พระชายายิ้มอ่อน แม้ใบหน้าจะยังซีดเซียวเพราะพิษที่เพิ่งถูกขับออกจากร่าง"แล้วทุกคนล่ะ... ปลอดภัยดีหรือไม่?""องค์ชายสี่และทุกคนปลอดภัยดี" องค์รัชทายาทตอบ"ข้าสังหารตงหยางแล้ว จินฝานก็สามารถจับตัวนางกำนัลขององค์ชายสี่ได้ แม่ทัพเหวินจิ้นหงได้ค้นพบอาวุธที่เสนาบดีเฉินหลางลอบสั่งซื้อ ทุกคนสารภาพว่าคิดก่อกบฏและต้องการหนุนให้องค์ชายสี่ขึ้นครองราช ตอนนี้ทั้งหมดถูกจองจำและรอการตัดสินโทษ"พระชายาถอนหายใจยาว รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย"ในที่สุด ข้าก็สามารถล้างมลทินให้หลินเหม่ยเยียนได้เสียที... ต่อจากนี้ข้าก็สบายใจแล้ว"องค์รัชทายาทบีบมือพระชายาแน่นขึ้น"ใช่ เจ้าทำสำเร็จแล้ว... และจากนี้ไป เราจะได้อยู่ด้วยก
ตำหนักไป๋ฮวา…ในเช้าวันนี้ปกคลุมไปด้วยม่านหมอกแห่งความเศร้า เหล่านางกำนัลและองครักษ์ต่างยืนนิ่ง เสียงสะอื้นเงียบๆ ปะปนไปกับบรรยากาศแห่งความสูญเสีย ตำหนักที่เคยก้องกังวานไปด้วยเสียงหัวเราะของพระชายา บัดนี้กลับเหลือเพียงความเงียบงันและความว่างเปล่าองค์รัชทายาทประทับยืนอยู่ใต้ต้นเหมย น้ำตาที่เขาพยายามกักเก็บกลับเอ่อล้นออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้“ซีจิน ขอบใจเจ้ามากที่ดูแลข้าอย่างดี ข้าจะไม่ลืมพวกเจ้าเลย”พระชายาเอ่ยขึ้น เสียงของนางสั่นไหวแต่ยังคงแฝงด้วยความอ่อนโยน ราวกับกำลังพยายามปลอบโยนผู้ที่ยังอยู่ซีจินเม้มปากแน่น พยายามสะกดกลั้นน้ำตา แต่สุดท้ายเขากลับต้องก้มหน้าลง ปล่อยหยาดน้ำตาไหลรินลงสู่พื้นดิน“พระชายา... โปรดดูแลพระองค์ให้ดีเพคะ”ลี่หรงพยักหน้าอย่างอ่อนแรง หันไปหาจางจือ นางมองเพื่อนรักทั้งน้ำตา“จางจือ ข้าฝากร้านกับเจ้า ช่วยซีจินดูแลมันให้ดี ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ร่วมยินดีในวันสำคัญของเจ้า”จางจือร้องไห้จนตัวสั่น นางสะอื้นไห้แทบเป็นลม ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า“พระชายา... ข้าไม่อยากให้ท่านไป ฮึก... ข้าอยากให้ท่านอยู่กับพวกเราตลอดไป”ลี่หรงแตะไหล่ของจางจือเบาๆ เป็นการปลอบโยนครั้งสุด
วันมงคล ...ในพระราชวังอันโอฬารถูกประดับประดาด้วยโคมแดงระยับ งานสมรสอันยิ่งใหญ่ถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ เสียงฆ้องกังวานดังไปทั่วลานพิธี ชวนให้หัวใจทุกคนเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นองค์รัชทายาทในฉลองพระองค์ชุดแดงเข้มปักลวดลายมังกรยืนตระหง่านอยู่กลางโถง ดวงตาคมกริบทอดมองไปข้างหน้าอย่างแน่นิ่ง ราวกับมิได้มีจิตใจร่วมอยู่ในพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ทุกย่างก้าวที่พระองค์ยืนอยู่นั้นคือหน้าที่ มิใช่สิ่งที่หัวใจปรารถนาเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของเจ้าสาวในฉลองพระองค์แดงสดดังใกล้เข้ามา ผ้าคลุมหน้าปักลวดลายหงส์ทองสะท้อนแสงเทียนไหวระริก ทุกย่างก้าวชวนให้บรรยากาศราวกับต้องมนต์แต่ดวงตาคมขององค์รัชทายาทยังคงเฉยชา แม้ทุกคนรอบกายจะจับจ้องด้วยความคาดหวัง พระองค์มิได้ยินดีกับงานวิวาห์นี้แม้แต่น้อย เพราะในพระทัยยังคงเชื่อว่าพระชายาที่พระมารดาทรงเลือกให้คือ หมิงจิวทว่า...เมื่อสายลมแผ่วเบาพัดผ่าน กลิ่นหอมละมุนจากร่างบางตรงหน้ากลับทำให้พระวรกายชะงักไปชั่วขณะ กลิ่นอันคุ้นเคย...กลิ่นของ พระชายาลี่หรง หญิงเดียวที่พระองค์รักสุดหัวใจ แต่เธอได้จากไปนานแล้ว มิอาจเป็นไปได้ที่เธอจะมายืนอยู่ตรงหน้าเสียงปี่กู่เจิงดังแว่ว
พระราชวังประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดงงดงามทั่วทุกทิศ เสียงกลองและฆ้องกึกก้องไปทั่วเพื่อเฉลิมฉลองพิธีสำคัญที่สุดของแผ่นดินพิธีราชาภิเษกขององค์รัชทายาท และการแต่งตั้งฮองเฮาณ ท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างคุกเข่าแสดงความเคารพต่อฮ่องเต้องค์ใหม่ เสียงขานถวายพระพรดังกึกก้อง"ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!"ฮ่องเต้องค์ก่อนทอดพระเนตรพระโอรสด้วยสายตาภาคภูมิ พระองค์ทรงสละราชบัลลังก์อย่างสง่างามและเต็มไปด้วยความไว้วางใจ"ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือฮ่องเต้ ผู้ครองบัลลังก์แผ่นดินจงหยวน" ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนส่งมอบตราพระราชลัญจกรให้องค์รัชทายาทในชุดฉลองพระองค์มังกรยืนอย่างสง่างาม รับตราพระราชลัญจกรด้วยความมั่นคงและหนักแน่น "เสด็จพ่อ ข้าจะปกครองแผ่นดินนี้ด้วยสติปัญญาและความยุติธรรม"เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องทั่วทั้งพระราชวัง พิธีบรมราชาภิเษกสำเร็จลุล่วงพิธีแต่งตั้งฮองเฮา...หลังจากพิธีบรมราชาภิเษกสำเร็จ พิธีแต่งตั้งฮองเฮาก็เริ่มต้นขึ้น นางในพากันโปรยกลีบดอกโบตั๋นตลอดทางเดิน พระชายาในชุดแต่งงานสีแดงลวดลายปักไหมทอง สง่างามราวเทพธิดา พระนางคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้"ถวายพระพร ฝ่าบาท" พระนา
เสียงโหวกเหวกของลูกค้าและเสียงตะหลิวกระทบกระทะดังไม่ขาดสายในร้านอาหารจีน-ไทยชื่อดังแห่งหนึ่งในที่ฮ่องกง เป็นร้านอาหารเก่าแก่ที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติอันจัดจ้านและบรรยากาศคึกคักลี่หรง เชฟสาววัย 29 ปี ลูกครึ่งไทย-จีน เธอเป็นเจ้าของร้าน ทุกวันเธอจะลงมือทำอาหารเอง เพราะร้านของเธอมีลูกค้ามากขายดิบขายดีเธอยืนหน้าหม้อไฟใหญ่ มือหนึ่งจับทัพพี คนซุปอย่างคล่องแคล่ว ขณะที่อีกมือถือทัพพีอีกอัน ตักน้ำซุปใส่ถ้วยให้ลูกค้าตามออเดอร์“เจิ้นหมิงเสิร์ฟโต๊ะ 9” เสียงลี่หรง ตะโกนสั่ง“ได้เลยครับ” ลูกน้องตอบเธอรอยยิ้มพอใจปรากฏบนใบหน้าของเธอเมื่อเห็นลูกค้ารับอาหารไปด้วยความตื่นเต้นเธอรักงานของเธอที่นี่ แม้จะเหนื่อยแต่ก็ภูมิใจที่ได้สืบทอดสูตรอาหารจากอาม่า และสร้างรสชาติที่ทำให้ลูกค้าติดใจ แต่ใครจะไปรู้ว่าเย็นวันนั้น ชีวิตของเธอจะเปลี่ยนไปตลอดกาลลี่หรงขับรถเดินออกจากร้านหลังเลิกงานพร้อมกล่องยาขนาดใหญ่และกล่องเครื่องปรุงสำหรับใช้ในร้านอาหาร ภายในมีสมุดบันทึกสูตรอาหารและหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรจีนที่เธอเพิ่งซื้อมาใหม่ ฝนตกปรอยๆ ทำให้เธอขับรถกลับบ้าน อย่างลำบากเธอขับรถไปช้าๆ อย่างระมัดระวัง ทันใดนั้น หางตาเธอเห
พิธีแต่งงานถูกจัดขึ้นใหญ่โต ลี่หรงและองค์ชายรัชทายาทได้เข้าพิธีแต่งงานตามประเพณี แม้การแต่งงานนี้องค์ชายรัชทายาทไม่เต็มใจ แต่ก็ขัดพระบัญชาฮ่องเต้ไม่ได้ เพราะเป็นการแต่งงานที่หนุนนำตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทให้มั่นคงเสียงกลองและขลุ่ย พิณบรรเลงเบา ๆ คลอเคล้าไปกับกลิ่นกำยานที่ลอยอ้อยอิ่ง ภายในเรือนหอที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา ผ้าม่านสีแดงสดปักลวดลายมงคลพลิ้วไหวตามสายลม โคมไฟแดงถูกจุดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง แต่บรรยากาศในห้องหอกลับเงียบงันและเย็นเยียบหลินเหม่ยเยียนนั่งนิ่งบนเตียงเจ้าสาว ในชุดสีแดงที่สวมงดงามราวภาพวาด แต่ภายใต้ผ้าคลุมหน้า ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล"อะไรนะ!? ข้ามมิติมาก็ต้องมาเสียตัวเลยรึ!?"ลี่หรงแทบจะกรีดร้อง อยู่โลกปัจจุบันยังไม่มีแม้แต่แฟน แต่พอมาที่นี่กลับต้องแต่งงานกะทันหัน นี่นับเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่? เธอนั่งคิดอยู่ครู่ใหญ่"เจ้าบ่าวจะมาไหม...? แล้วถ้ามา... เขาจะทำอะไรกับฉันไหม?" นางกระซิบกับตัวเอง ลุ้นหัวใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้เวลาผ่านไป...ยามโฉว (สามทุ่ม) ผ่านไปแล้วยามจื่อ (ห้าทุ่ม) ก็มาถึง...แต่ชายที่นางแต่งงานด้วยยังไม่มาหานจื่อเหว่ย องค์รัชทายาท แม่ทัพใหญ
เช้าวันใหม่ในพระราชวัง…ตำหนักไป๋ฮวา ยามเช้าลมอ่อนๆ พัดม่านบางเบาปลิวไสว เสียงระฆังจากหอคอยก้องกังวาน ปลุกให้เหล่าข้ารับใช้เริ่มทำงานตามหน้าที่ภายในห้องบรรทม พระชายานอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเนื้อนุ่ม ใบหน้างามงามผุดผ่อง แก้แดงระเรื่อ บรรยากาศยามเช้าช่างเงียบสงบ หากแต่ไม่ได้สงบไปเสียทั้งหมด...องค์ชาย ซึ่งเอนกายอยู่บนแท่นไม้ข้างเตียง ได้ยินเสียงฝีเท้าของนางกำนัลและองครักษ์ใกล้เข้ามา พร้อมเสียงพูดคุยกันแผ่วเบาเพียงเสี้ยววินาที องค์ชายก็กระโจนขึ้นเตียงอย่างรวดเร็ว ร่างสูงโอบกอดลี่หรงแนบแน่น มือใหญ่กระชับผ้าห่มคลุมร่างทั้งสองให้ดูราวกับว่าอยู่ในอ้อมกอดกันทั้งคืนลี่หรงสะดุ้งตื่น ดวงตาคู่งามเบิกขึ้นอย่างตกใจ"อะไรเนี่ย! ลงไปเดี๋ยวนี้นะ!"นางกระซิบกระเส่า พยายามดิ้นหนีจากวงแขนอบอุ่นแต่ก่อนที่เสียงของนางจะดังไปถึงภายนอก องค์ชายพลิกตัวคร่อมเหนือร่างบาง มือหนาปิดปากนางไว้ทันที ใบหน้าหล่อเหลาต่ำลงมาใกล้ จมูกของเขาแทบชนกับปลายจมูกของนาง"อย่าโวยวาย ข้าไม่ได้อยากทำเช่นนี้นักหรอก หรือว่าเจ้าอยากให้เสด็จแม่รู้ว่าเรานอนแยกกัน?"ดวงตาคมเข้มมองลึกเข้าไปในดวงตาของนาง ลมหายใจร้อนระอุรินรดผิวแก้มเนียนพระ
พระราชวังประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดงงดงามทั่วทุกทิศ เสียงกลองและฆ้องกึกก้องไปทั่วเพื่อเฉลิมฉลองพิธีสำคัญที่สุดของแผ่นดินพิธีราชาภิเษกขององค์รัชทายาท และการแต่งตั้งฮองเฮาณ ท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างคุกเข่าแสดงความเคารพต่อฮ่องเต้องค์ใหม่ เสียงขานถวายพระพรดังกึกก้อง"ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!"ฮ่องเต้องค์ก่อนทอดพระเนตรพระโอรสด้วยสายตาภาคภูมิ พระองค์ทรงสละราชบัลลังก์อย่างสง่างามและเต็มไปด้วยความไว้วางใจ"ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือฮ่องเต้ ผู้ครองบัลลังก์แผ่นดินจงหยวน" ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนส่งมอบตราพระราชลัญจกรให้องค์รัชทายาทในชุดฉลองพระองค์มังกรยืนอย่างสง่างาม รับตราพระราชลัญจกรด้วยความมั่นคงและหนักแน่น "เสด็จพ่อ ข้าจะปกครองแผ่นดินนี้ด้วยสติปัญญาและความยุติธรรม"เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องทั่วทั้งพระราชวัง พิธีบรมราชาภิเษกสำเร็จลุล่วงพิธีแต่งตั้งฮองเฮา...หลังจากพิธีบรมราชาภิเษกสำเร็จ พิธีแต่งตั้งฮองเฮาก็เริ่มต้นขึ้น นางในพากันโปรยกลีบดอกโบตั๋นตลอดทางเดิน พระชายาในชุดแต่งงานสีแดงลวดลายปักไหมทอง สง่างามราวเทพธิดา พระนางคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้"ถวายพระพร ฝ่าบาท" พระนา
วันมงคล ...ในพระราชวังอันโอฬารถูกประดับประดาด้วยโคมแดงระยับ งานสมรสอันยิ่งใหญ่ถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ เสียงฆ้องกังวานดังไปทั่วลานพิธี ชวนให้หัวใจทุกคนเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นองค์รัชทายาทในฉลองพระองค์ชุดแดงเข้มปักลวดลายมังกรยืนตระหง่านอยู่กลางโถง ดวงตาคมกริบทอดมองไปข้างหน้าอย่างแน่นิ่ง ราวกับมิได้มีจิตใจร่วมอยู่ในพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ทุกย่างก้าวที่พระองค์ยืนอยู่นั้นคือหน้าที่ มิใช่สิ่งที่หัวใจปรารถนาเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของเจ้าสาวในฉลองพระองค์แดงสดดังใกล้เข้ามา ผ้าคลุมหน้าปักลวดลายหงส์ทองสะท้อนแสงเทียนไหวระริก ทุกย่างก้าวชวนให้บรรยากาศราวกับต้องมนต์แต่ดวงตาคมขององค์รัชทายาทยังคงเฉยชา แม้ทุกคนรอบกายจะจับจ้องด้วยความคาดหวัง พระองค์มิได้ยินดีกับงานวิวาห์นี้แม้แต่น้อย เพราะในพระทัยยังคงเชื่อว่าพระชายาที่พระมารดาทรงเลือกให้คือ หมิงจิวทว่า...เมื่อสายลมแผ่วเบาพัดผ่าน กลิ่นหอมละมุนจากร่างบางตรงหน้ากลับทำให้พระวรกายชะงักไปชั่วขณะ กลิ่นอันคุ้นเคย...กลิ่นของ พระชายาลี่หรง หญิงเดียวที่พระองค์รักสุดหัวใจ แต่เธอได้จากไปนานแล้ว มิอาจเป็นไปได้ที่เธอจะมายืนอยู่ตรงหน้าเสียงปี่กู่เจิงดังแว่ว
ตำหนักไป๋ฮวา…ในเช้าวันนี้ปกคลุมไปด้วยม่านหมอกแห่งความเศร้า เหล่านางกำนัลและองครักษ์ต่างยืนนิ่ง เสียงสะอื้นเงียบๆ ปะปนไปกับบรรยากาศแห่งความสูญเสีย ตำหนักที่เคยก้องกังวานไปด้วยเสียงหัวเราะของพระชายา บัดนี้กลับเหลือเพียงความเงียบงันและความว่างเปล่าองค์รัชทายาทประทับยืนอยู่ใต้ต้นเหมย น้ำตาที่เขาพยายามกักเก็บกลับเอ่อล้นออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้“ซีจิน ขอบใจเจ้ามากที่ดูแลข้าอย่างดี ข้าจะไม่ลืมพวกเจ้าเลย”พระชายาเอ่ยขึ้น เสียงของนางสั่นไหวแต่ยังคงแฝงด้วยความอ่อนโยน ราวกับกำลังพยายามปลอบโยนผู้ที่ยังอยู่ซีจินเม้มปากแน่น พยายามสะกดกลั้นน้ำตา แต่สุดท้ายเขากลับต้องก้มหน้าลง ปล่อยหยาดน้ำตาไหลรินลงสู่พื้นดิน“พระชายา... โปรดดูแลพระองค์ให้ดีเพคะ”ลี่หรงพยักหน้าอย่างอ่อนแรง หันไปหาจางจือ นางมองเพื่อนรักทั้งน้ำตา“จางจือ ข้าฝากร้านกับเจ้า ช่วยซีจินดูแลมันให้ดี ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ร่วมยินดีในวันสำคัญของเจ้า”จางจือร้องไห้จนตัวสั่น นางสะอื้นไห้แทบเป็นลม ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า“พระชายา... ข้าไม่อยากให้ท่านไป ฮึก... ข้าอยากให้ท่านอยู่กับพวกเราตลอดไป”ลี่หรงแตะไหล่ของจางจือเบาๆ เป็นการปลอบโยนครั้งสุด
ค่ำคืนอันยาวนานผ่านไป พระชายายังคงหมดสติ แม้ได้รับยาถอนพิษแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววจะฟื้น องค์รัชทายาทจับมือพระชายาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยตลอดทั้งคืนจนเผลอหลับไปรุ่งเช้า...เสียงแผ่วเบาของพระชายาที่เพิ่งฟื้นจากพิษดังขึ้นเบาๆ"องค์รัชทายาท... ท่านปลอดภัยดีหรือไม่?"องค์รัชทายาทสะดุ้งตื่น รีบหันไปมองพระชายาด้วยแววตาตื้นตัน"พระชายา! เจ้าได้สติแล้ว ข้าดีใจเหลือเกิน! ข้านึกว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาข้าเสียแล้ว"พระชายายิ้มอ่อน แม้ใบหน้าจะยังซีดเซียวเพราะพิษที่เพิ่งถูกขับออกจากร่าง"แล้วทุกคนล่ะ... ปลอดภัยดีหรือไม่?""องค์ชายสี่และทุกคนปลอดภัยดี" องค์รัชทายาทตอบ"ข้าสังหารตงหยางแล้ว จินฝานก็สามารถจับตัวนางกำนัลขององค์ชายสี่ได้ แม่ทัพเหวินจิ้นหงได้ค้นพบอาวุธที่เสนาบดีเฉินหลางลอบสั่งซื้อ ทุกคนสารภาพว่าคิดก่อกบฏและต้องการหนุนให้องค์ชายสี่ขึ้นครองราช ตอนนี้ทั้งหมดถูกจองจำและรอการตัดสินโทษ"พระชายาถอนหายใจยาว รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย"ในที่สุด ข้าก็สามารถล้างมลทินให้หลินเหม่ยเยียนได้เสียที... ต่อจากนี้ข้าก็สบายใจแล้ว"องค์รัชทายาทบีบมือพระชายาแน่นขึ้น"ใช่ เจ้าทำสำเร็จแล้ว... และจากนี้ไป เราจะได้อยู่ด้วยก
ภายในตำหนักหลวง องค์รัชทายาทถวายรายงานต่อฮ่องเต้ด้วยสีหน้าจริงจัง“เสด็จพ่อ พ่ะย่ะค่ะ ข้าให้แม่ทัพเหวินจิ้นหงไปสืบเรื่องของพระชายาซูซินมาแล้ว นางมีบุตรหนึ่งคนชื่อตงฉี แต่ร่างกายของเขาไม่สมประกอบ ขาซ้ายพิการ และพระชายายังมีบุตรอีกคนหนึ่งชื่อตงหยาง เกิดจากทหารชั้นพิเศษ บัดนี้เขาเสียชีวิตไปแล้ว”ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสด้วยเสียงแฝงความลึกซึ้ง“สามารถให้คนไปรับเขากลับมาได้หรือไม่? เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ควรได้รับการสะสางเสียที”“ได้พ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทตอบรับหนักแน่นฮ่องเต้ทอดพระเนตรองค์รัชทายาทอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสออกมาอย่างอ่อนล้า“ข้าได้หารือกับเสด็จแม่ของเจ้าแล้ว... สุขภาพของข้าไม่ค่อยดีนัก เจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอด ข้าอยากสละบัลลังก์ให้เจ้าได้ว่าราชการแทน เพราะข้าเอง... เหนื่อยเต็มทน”ในขณะที่ฮ่องเต้ตรัส นางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมของว่างในถาด นางทำทีเป็นรับใช้ แต่แท้จริงแล้วกำลังจับตาดูบทสนทนาอยู่ นางเป็นคนขององค์ชายสี่ องค์รัชทายาทมองดูสีหน้าของนางแล้วจำได้ทันที แต่ทรงแสร้งทำเป็นไม่สนใจเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต“เสด็จพ่อยังทรงแข็งแรงนัก มิจำเป็นต้องรีบแต่
ยามเย็น—แสงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ท้องฟ้าถูกแต้มด้วยสีแดงฉานปะปนม่วงคราม หมู่นกน้อยรีบบินกลับรังในร่มเงาต้นไม้สูงใหญ่ ลมหนาวพัดผ่านพระราชวังอันกว้างใหญ่แต่ทว่าภายในเขตวังหลวงกลับไม่มีความสงบเลยแม้แต่น้อย…ภายในตำหนักหลวง วุ่นวายราวกับรังแตนแตกรัง หมอหลวงในชุดคลุมสีขาวเร่งเดินกันขวักไขว่ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดัง เสียงสั่งการดังขึ้นไม่ขาดระยะ บางคนหอบหิ้วกล่องยา บางคนถือตำราแพทย์พลิกหาวิธีรักษา ข่าวเรื่อง ฮ่องเต้ประชวรหนัก แพร่สะพัดไปทั่วพระราชวังเพียงไม่นาน เสียงขันทีรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหยุดหน้าพระตำหนักขณะที่รถม้าขององค์รัชทายาทและพระชายาค่อย ๆ ชะลอและจอดเสียงร้องเรียกอย่างร้อนรนก็ดังขึ้นทันที“องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ! ขอทรงรีบไปเฝ้าฝ่าบาทเถิดพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงอาการหนักมากแล้ว!”ขันทีที่วิ่งเข้ามาคุกเข่าลงอย่างลนลาน ใบหน้าซีดเผือดดั่งคนสิ้นหวังองค์รัชทายาทก้าวลงจากรถม้าทันที ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นแฝงความกังวล “เสด็จพ่อเป็นอะไร?”“ฝ่าบาททรงหน้ามืด มือสั่น เหงื่อออก ตัวเย็น... และที่สำคัญ ทรงเพ้อไม่รู้เรื่องพ่ะย่ะค่ะ!”หัวใจขององค์รัชทายาทกระตุกวูบ คิ้วเข้มขมวดแน่น มือกำหมัดโดยไม่รู้ตัว
ร้านขายชุดนอนของพระชายากลายเป็นที่กล่าวขวัญทั่ววังหลวง ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินเล็ก ตลอดจนเหล่าสตรีสูงศักดิ์ต่างพากันมาเลือกสรรด้วยความตื่นตาตื่นใจผ้าที่นำมาจำหน่ายล้วนเป็นเนื้อแพรบางเบาละเอียดอ่อน เมื่อสัมผัสแล้วให้ความรู้สึกราวกับละอองไหมไหลลื่นผ่านปลายนิ้วชุดนอนไม่ได้นอน ของร้านนี้แตกต่างจากชุดนอนทั่วไป สีสันเย้ายวนสะดุดตา ไม่ว่าจะเป็น สีแดงเข้มเย้ายวน สีดำลึกลับน่าค้นหา หรือ สีชมพูหวานละมุน ทุกชุดล้วนถูกออกแบบให้เผยผิวเนียนนวลอย่างมีชั้นเชิง สายเดี่ยวบางเฉียบเปิดไหล่เนียนนุ่ม ลวดลายลูกไม้ปักละเอียดอ่อนเน้นความหรูหรา มีทั้งแบบเรียบโก้และแบบปักดิ้นทองสำหรับงานค่ำคืนสุดพิเศษพื้นที่ในร้านตกแต่งอย่างประณีต ให้บรรยากาศผ่อนคลายและเป็นกันเอง สตรีทั้งหลายสามารถเลือกซื้อได้อย่างเพลิดเพลิน มีสาวใช้คอยบริการอย่างใกล้ชิด เสิร์ฟน้ำชาหอมกรุ่นพร้อมขนมหวานรสเลิศให้ลิ้มลอง ชุดนอนเหล่านี้แม้ราคาไม่แพง แต่เมื่อต้องตาต้องใจแล้ว กลับกลายเป็นสินค้าที่ทำกำไรได้อย่างมหาศาล“การออกแบบชุดในอนาคตที่เราอยู่กลับกลายเป็นที่นิยมสมัยโบราณ ช่างดีจริงๆ รวยแล้วเรา” ลี่หรงพูดกับตัวเองอย่างสุขใจเสียงล้อรถม้าหรูหราดังขึ
ยามเช้าอากาศเย็นสบาย ลมอ่อนพัดพากลิ่นดินหอมกรุ่นหลังจากค่ำคืนที่มีน้ำค้างโปรยปราย แสงอาทิตย์สีทองค่อย ๆ ลอดผ่านแนวต้นไม้กระทบกับผืนดินหลังตำหนักที่เคยรกร้าง ทว่าบัดนี้กำลังจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นสวนผักที่อุดมสมบูรณ์กลางลานดินที่เพิ่งถูกไถพรวน พระชายาในชุดชาวสวน สีครีมนวลเรียบง่าย ผมยาวรวบขึ้นมัดด้วยผ้าสีอ่อน ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อจากไอแดด องค์รัชทายาทมองด้วยแววตาหลงใหล ก่อนจะปรายตามองตัวเองที่แต่งกายเช่นเดียวกัน ที่สวมเสื้อชาวสวนสีเข้ม กางเกงผ้าฝ้าย แม้จะแต่งแบบชาวบ้านธรรมดา แต่ความสง่างามยังไม่จางหาย"องค์รัชทายาท ท่านดูดีที่สุดเลยเมื่อแต่งตัวแบบนี้" พระชายาเอ่ยพลางหัวเราะเบา ๆ"พระชายาก็เช่นกัน เจ้าดูน่ารักแปลกตา น่าค้นหาเสียจริง""เลิกชมกันได้แล้ว มาทางนี้เลยองค์รัชทายาท มาขุดดินเตรียมเพาะปลูกเมล็ด"องค์รัชทายาทรีบคว้าจอบขึ้นมา "รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ พระชายา"จินฝานและซีจิน รวมถึงนางกำนัลและองครักษ์ต่างช่วยกัน ถางหญ้า ปรับหน้าดิน และขุดหลุม เตรียมปลูกพืชพันธุ์ เมล็ดพริก ข้าวโพด มันฝรั่ง และมะเขือเทศถูกนำออกมาจัดเตรียมขณะทุกคนลงมือทำงาน ซีจินเอ่ยถามขึ้นมาพลางหยิบเมล็ดข้าวโพดขึ้นดู"
ตำหนักไป๋ฮวา...แสงจันทร์อ่อนโยนสาดส่องลอดผ่านม่านโปร่งบาง ๆ ตกกระทบลงบนพื้นไม้ ภายในตำหนักไป๋ฮวา สถานที่ซึ่งเป็นเสมือนรังรักขององค์รัชทายาทและพระชายา บรรยากาศสงบเงียบ ทว่ากลับอบอวลไปด้วยไออุ่นแห่งความรักของทั้งสองพระชายาทอดสายตามองดวงจันทร์ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือรอยยิ้ม"องค์รัชทายาท ข้าได้ซื้อที่สำหรับเปิดร้านขายผ้าเรียบร้อยแล้ว คาดว่าอีกสองสามวันข้าคงได้เปิดร้านและต้องขายดีมากแน่ ๆ"ดวงตาคมลึกขององค์รัชทายาทจับจ้องพระชายาด้วยความเอ็นดู ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ"ชายาของข้า เจ้าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยหรือ? หากข้ายังคงออกรบเช่นเมื่อก่อน ข้าคงไม่ได้รับจดหมายจากเจ้าสักฉบับเป็นแน่ เพราะเจ้ามัวแต่ขยันทำงานแทบจะลืมข้าแล้ว"พระชายาหัวเราะเบา ๆ"โธ่... ข้ามาอยู่ที่นี่ทั้งที ข้าย่อมต้องทำงาน เพราะในที่ที่ข้ามา ข้าก็ทำงานทุกวันอยู่แล้ว"องค์รัชทายาทขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาฉายแววสนใจ"เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ ที่ที่เจ้าจากมานั้นเป็นเช่นไร? ข้าอยากรู้"พระชายายิ้มบาง ๆ พลางทอดสายตาไปยังเบื้องนอก คล้ายหวนนึกถึงอดีต"ได้สิ ข้าเรียกที่แห่งนั้นว่า ‘ฮ่องกง’ ... ที่นั่นเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก