เรียกข้าว่าพระสวามีสิ อย่าเรียกเสด็จอา มิเช่นนั้นข้าไม่หยุดเพียงรอบเดียวแน่เยว่ซิน!! มาอีกแล้วค่าๆๆๆ เรื่องใหม่อุ่นๆ (พร้อมอุ่นเตียง อั๊ยย...) ท่านอ๋องคนที่ 3 ออกแนวเสด็จอาที่อายุน้อย เรื่องนี้พระเอกเป็นเสด็จอาของนางเอก แต่อายุต่างกันแค่ 8 ปี ส่วนที่มาที่ไป...ก็ต้องติดตามกันนะคะ ท่านอ๋องของเราขี้หวงหลานสาว(ปลอมๆ)ของตัวเองม๊ากกกก หวงแหละ แต่ปากแข็ง เรื่องความรักที่ดูเหมือนจะง่าย แต่.... .....เรื่องมันไม่ได้ง่ายๆแบบนั้นน่ะสิ มีทั้งมือที่ 3 4 5 ไหนจะเรื่องสาเหตุการตายของพ่ออีก ติดตามต่อได้ในเรื่องเลยจ้า...... บอกไว้ก่อนว่าทั้งเรื่องมีแต่เรื่องรักๆใคร่ๆ ไม่ดราม่านะคะ
ดูเพิ่มเติมเมืองเหลียง / เฉินโจว
“จะยอมบอกหรือไม่ ผู้ใดส่งเจ้ามาฆ่าล้างสกุลหลัน
“ข้ายอมตายแต่ไม่มีทางยอมบอกเจ้า”
“ได้ จงลี่ ตัดแขนซ้ายมันออก”
“อยะ…นี่พวกเจ้า อย่านะ อ๊ากกก…….”
เสียงที่ฟันฉับลงไปที่แขนนั้นทำให้ผู้ที่ถูกกระทำดิ้นพล่านจนแทบทนไม่ไหว สายตาเยือกเย็นดุจเพชฌฆาตหน้าหยกของท่านอ๋องและแม่ทัพหนุ่มแห่งเฉินโจวมองไปยังกบฏที่เขาจับตัวมาไตร่สวน คนที่เหลือเริ่มออกอาการสั่นกลัวจนตัวสั่น
“ว่าอย่างไร ไม่มีผู้ใดกล้าพูดเลยงั้นหรือ ได้”
ท่านอ๋อง “จวินลู่หาน” เดินไปลากตัวกบฏอีกคนออกมาพร้อมกับถีบเขาให้ล้มลงไปข้างๆศพที่ตายอยู่กับผู้ที่ถูกตัดแขนไป เขาก้มลงพร้อมกับเฉือนหูด้านขวาของกบฏออกไป เสียงร้องโหยหวนนั้นทำเอาเด็กน้อยที่อายุเพียงสิบสี่ที่มีแม่นมกอดอยู่ถึงกับไม่กล้ามอง
“เจ้า…เจ้ามันโหดเหี้ยม ต่อหน้าเด็ก…ตัวเล็กๆ…เจ้ายังกล้าทำร้ายคน”
“แล้วพวกเจ้าเล่า…พวกเจ้าฆ่าล้างตระกูลนาง ตอนนี้เจ้านับว่าเป็นอะไร ทางที่ดีบอกข้ามาดีๆว่าพวกเจ้ากบดานอยู่ที่ใด ไม่อย่างนั้น…แม้แต่ลูกเมียเจ้าข้าก็ไม่เว้น!!”
“ข้ายอมแล้ว…ข้าบอก…ข้าบอกแล้ว”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง เมื่อเห็นว่าหลายคนเริ่มตายลงไปพร้อมกับบาดเจ็บและนอนจมกองเลือดข้างหน้า
“ดี งั้นเจ้า บอกข้ามา”
“ใต้…ใต้เท้าซุน…ซุนหวง แม่ทัพเมืองต้าเหลียง….เขา…สั่งให้พวกข้ามาจัดการสกุลหลันเพื่อจะได้บั่นทอนกำลังของเฉินโจว”
“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร ว่าที่พูดมานั่น มิได้โกหก และไม่ได้ใส่ความขุนนางต่างแคว้น”
“ข้า…ข้ามีหลักฐาน ท่านแม่ทัพโปรดดูนี่ นี่คือตราหยกของแม่ทัพซุน พวกเราได้รับคำสั่งจากเขา และเขาก็มีป้ายหยกนี่เช่นกันขอรับ”
“พวกมันอยู่ที่ใด”
“กองกำลังหลังจากปล้นอาวุธของสกุลหลันแล้ว พวก…พวกข้านัดกันว่าจะไปพบกันที่หลังเขาเซิ่งหวาง ชาย…ชายแดนของเฉินโจวและแคว้น..อะ….อวิ๋นขอรับ”
“ท่านอ๋อง”
“อืม”
ท่านอ๋องพยักหน้าให้จงลี่ทันที ข่าวนี้ตรงกับที่เขาได้รับเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนว่ากำลังปล้นอาวุธจากสกุลหลัน มุ่งหน้าไปที่นั่น
เขาพยักหน้าให้จงลี่เพื่อสั่งกองทัพให้ตามไปจัดการก่อนที่พวกมันจะส่งอาวุธข้ามชายแดนไปได้
“ในเมื่อสอบสวนเรียบร้อยแล้ว ส่วนครอบครัวของเจ้า ข้าจะไว้ชีวิต หลังจากนี้อย่าได้ให้ข้าเห็นหน้าเจ้าที่เฉินโจวอีก ไปเสีย”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ ขอบคุณ”
กบฏผู้นั้นรีบวิ่งออกไป ท่านอ๋องคว้าทวนข้างๆกายเขาและพุ่งตรงไปยังกบฏผู้นั้นทันที ทวนนั้นแทงทะลุจนเขาล้มลง พวกที่เหลือต่างร้องระงมเพราะความโกรธแต่ทำอะไรไม่ได้
“ท่านมันโหดเหี้ยม ไหนท่านรับปากว่าจะปล่อยเขา คนโกหก!! ไม่รักษาสัจจะ”
“ข้าบอกว่า….ไว้ชีวิตครอบครัวของเขา ไม่ได้พูดสักคำว่า…จะไว้ชีวิตเขา จงลี่…เก็บกวาดให้ที ที่นี่ต้องไม่มีสิ่งสกปรกของพวกแคว้นอวิ๋นอยู่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จงลี่และทหารที่เหลือเดินเข้าโอบล้อมพวกกบฏพร้อมๆกัน ท่านอ๋องเดินมาที่แม่นมเถียนที่ยืนกอดคุณหนู “หลันเยว่ซิน” อยู่ นางยังคงก้มหน้าซุกอกแม่นมอยู่
“เจ้า…พานางตามข้าออกมา”
กลิ่นเลือดคาวคละคลุ้งจนติดจมูก หลันเยว่ซินที่อายุเพียงสิบสี่ปีเต็มในปีนี้ต้องตื่นมาตอนดึกเมื่อพบว่าในจวนเกิดการบุกรุก และบิดาของนางให้นางและแม่นมมาหลบในห้องลับหลังห้องหนังสือ
“ซินเอ๋อร์ ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรห้ามร้อง ห้ามตะโกน และห้ามออกมาเป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่”
“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าจะไปกับท่านพ่อ”
“ซินเอ๋อร์ได้เวลาเข้านอนแล้ว แม่นมเถียนจะพาเจ้าเข้านอน วันนี้เปลี่ยนที่นอนก่อนนะ พรุ่งนี้พ่อจะมาปลุกเจ้า”
แต่พรุ่งนี้ของท่านพ่อไม่มีอีกแล้ว เมื่อกบฏแคว้นอวิ๋นที่อาศัยจังหวะที่ท่านพ่อนางไม่ทันตั้งตัว โอบล้อมเข้าโจมตีและปล้นเอาอาวุธจากคลังของสกุลหลันออกไปพร้อมกับฆ่าล้างตระกูลหลัน เหลือเพียงแม่นมที่ร้องไห้จวนจะขาดใจ
เสียงตู้หนังสือของบิดาขยับ ลำแสงของเช้าวันใหม่ส่องเข้ามา สายตาของนางหันไปมองเห็นบุรุษหนุ่มในชุดเกราะสีเงินแต่มองเห็นหน้าเขาไม่ชัด
“หลันเยว่ซิน ออกมาเถิด ข้ามาช่วยเจ้า”
“ท่านคือผู้ใด”
“ข้าคือท่านอ๋องจวิน จวินลู่หาน เป็นอ๋องปกครองเฉินโจวและแม่ทัพใหญ่ของเฉินโจว เป็น….สหายกับบิดาของเจ้า”
มือที่ชุ่มด้วยเลือดของศัตรูยื่นมาให้นางจับ มองดูก็รู้ว่าเขาคงฝ่าดงกบฏเพื่อมาถึงที่นี่ เมืองเหลียงที่นางอยู่เป็นด่านหน้า อยู่ติดชายแดนแคว้นอวิ๋น มีแม่ทัพหลันเว่ยบิดาของนางเป็นผู้ดูแลกองทัพ
นางค่อยๆยื่นมือไปจับเขาและเดินออกจากห้องหนังสือ จนเดินมายังลานกลางบ้านซึ่งบัดนี้ เต็มไปด้วยคนตาย
“กลัวหรือไม่”
“ไม่เจ้าค่ะ”
“ดีมาก เจ้าเป็นบุตรีท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ อย่าได้กลัวที่จะฆ่าศัตรู โดยเฉพาะศัตรูที่ปลิดชีพบิดาเจ้า”
“ข้าจะฆ่ามันเอง”
“เด็กน้อยใจเย็นๆ”
“ข้ามิใช่เด็กน้อย ข้าฝึกอาวุธกับอาจารย์มา วิชายุทธ์ข้าก็ร่ำเรียน อาวุธทั้งหลาย หอก ดาบ ธนู ทวน แส้ล้วนฝึกมาเพื่อการนี้ ข้าไม่กลัวพวกมัน มันฆ่าท่านพ่อของข้า”
“เด็ก…เอ่อ…หลันเยว่ซิน ข้ารู้ว่าเลือดแม่ทัพหลันในกายเจ้าช่างเข้มแข็งและห้าวหาญ เพียงแต่ว่าวันนี้ยังไม่ถึงเวลา มากับข้าเถิด”
เขาพานางมาและทรมานกบฏให้ดูทีละคน จนถึงตอนสุดท้ายที่แม่นมพานางเดินออกจากประตูจวนสกุลหลันนั่นเอง
“เจ้าเป็นแม่นมของนางใช่หรือไม่”
“เรียนท่านแม่ทัพ ใช่เจ้าค่ะ”
“เจ้าไปรอที่รถม้าก่อน ข้าขอคุยกับหลันเยว่ซินสักครู่”
“เหตุใดท่านต้องไล่แม่นมไปด้วย”
“ข้าไม่ได้ไล่เด็กน้อย ข้าเพียงแค่..”
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ใช่เด็ก ข้าอายุสิบสี่ปีเต็มมาสี่วันแล้ว อีกสามปีก็เข้าพิธีปักปิ่น ข้าโตแล้ว”
“ได้ ข้าผิดเอง เช่นนั้น ข้าขอคุยกับเจ้าตามลำพังได้หรือไม่…คุณหนูหลัน”
แม้ว่าจะยังไม่ได้โตเต็มที่ และไม่ใช่เด็กอย่างเช่นที่นางพูด สายตาและท่าทางของหลันเยว่ซินที่ท่านอ๋องเห็นตรงหน้าก็ทำให้เขานึกชื่นชมนางไม่น้อย
ความหยิ่งผยองและความกล้าหาญทั้งๆที่มือนางสั่นและแววตาที่พยายามจะหลบซ่อนความกลัวนั้นเอาไว้ให้ลึกที่สุดทำให้เขานึกสนใจ
“แม่นมไปเถิด ข้า…จะอยู่คุยกับท่านแม่ทัพ”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
“ท่านแม่ทัพเชิญกล่าวเจ้าค่ะ”
“เอ๊ะคุณหนู ท่านนี้หาใช่ท่านแม่ทัพไม่นะขอรับ พระองค์…”
ท่านอ๋องยกมือไม่ให้จงลี่พูดต่อ เขาเงียบลงทันทีพร้อมกับคำนับและเดินจากไป จวินลู่หานในวัยยี่สิบสองหันไปมองสบตาหลันเยว่ซิน เด็กสาวหน้าตามอมแมมตรงหน้าแต่จ้องเขาตาไม่กะพริบ มองแล้วก็อดนึกขำไม่ได้
“คุณหนูหลัน เชิญตามข้ามาทางนี้เถอะ”
เขาเดินนำนางไปที่สวนด้านหลัง ซึ่งเคยเป็นที่ฝึกวิชาและลานฝึกอาวุธของสกุลหลันมาก่อน แต่บัดนี้ไร้ผู้คน มีแต่อาวุธที่ใช้ฝึกที่ล้มเกลื่อนกราด
“ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยบิดาของเจ้า แต่ว่าน่าเสียดาย…”
“ท่านมาช้าไป….ท่านพ่อข้าจึงรอไม่ไหว”
“เจ้าจะตำหนิข้าก็ได้ แต่ว่าในตอนนี้เจ้าเหลือตัวคนเดียว และบัดนี้ข้าจะบอกเจ้าว่า จะรับเจ้าไปอยู่ที่เฉินโจวด้วย ส่งเจ้าร่ำเรียน หากอยากเรียนวิชาใด ข้าจะหาอาจารย์มาฝึกให้เจ้า ดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ตอบแทนแม่ทัพหลันที่สู้จนตัวตายเพื่อเฉินโจว”
“แล้วแม่นมของข้าเล่า”
“แน่นอน นางต้องตามไปดูแลเจ้า”
“ให้ข้าเรียกท่านว่าอย่างไร”
เขาหันไปมองหน้าเด็กสาวที่แววตาเริ่มอ่อนโยนลงหลังจากที่เขาบอกนางเรื่องเรียน นั่นแสดงว่านางคงเป็นเด็กที่รักเรียนและชอบการฝึกอาวุธ ไม่ต่างกับที่หลันเว่ยเคยบอกกับเขา
“เรียกข้าว่าท่านอาก็แล้วกัน”
มีดปลายแหลมซึ่งเป็นอาวุธลับของแคว้นอวิ๋น ทำจากทองคำขาวบริสุทธิ์ ซึ่งอาวุธนี้มีเพียงคนของแคว้นอวิ๋นเท่านั้นที่มีใช้เพราะพวกเขาทำขึ้นมาเอง ทั้งร้ายแรงและคมดุจกระบี่และยังอาบยาพิษร้ายแรงอีกด้วย ซ่งเหมยลี่พุ่งตัวเข้าไปบังท่านอ๋องไว้ พร้อมกับมีดสั้นสีเงินด้านหลังที่พึ่งปักไปที่กลางหลังของซ่งเสวียน“เยว่ซิน!!”“แม่นางซ่ง!!”ซ่งเหมยลี่ใช้ตัวบังท่านอ๋องไว้ ครานี้นางได้ปกป้องชีวิตของเขาเอาไว้ตามแผนการที่บิดานางวางไว้เสียทีในที่สุด แต่อาวุธที่ปักที่อกของนางกลับเป็นมีดที่พ่อนางซัดใส่เองกับมือ“เหมย…เหมยลี่ ทำไม!!”ร่างของนางล้มลงพร้อมกับบาดแผลจากเลือดสีแดงสด เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำเพราะยาพิษที่อาบเอาไว้ที่มีด ท่านอ๋องรับซ่งเหมยลี่เอาไว้ในอ้อมแขน ซ่งเสวียนถูกฟู่หย่งเล่อจับตัวเอาไว้ แต่เขาเองก็กำลังหายใจรวยรินอยู่เช่นกันเพราะมีดของหลันเยว่ซินที่พุ่งมาปักกลางหลังของเขา“ท่านฆ่าพ่อข้าสินะ ข้าจะไม่กลายเป็นคนบ้านแตก หากมิใช่การกระทำของท่านในครั้งนั้น วันนี้ยังกล้าลอบสังหารท่านอ๋อง ท่านคิดว่าข้าจะยอมปล่อยให้ท่านทำเช่นนั้นหรือ!!”“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ นึกไม่ถึง….ว่าข้าจะถูกบุตรของศัตรูฆ่าเอาได้ เดิมทีคิดว่าจะตายเพร
“ตะ…แต่ว่า….”ท่านอ๋องเพียงแค่หันมาส่งสายตาเย็นให้เขาและเดินจากไปเมื่อทหารองครักษ์ควบคุมสองพ่อลูกเดินตามท่านอ๋องเข้าไปที่ท้องพระโรงด้านในท้องพระโรงเหล่าบรรดาขุนนาง กองทัพหลวงและขุนนางบางส่วนรอพวกเขาอยู่ด้านใน บางคนถูกเรียกเข้าเฝ้าโดยด่วน ส่วนใหญ่คือกรมคลัง สำนักหมอหลวง สำนักบัญชีและรองเจ้ากรมพิธีการ“พวกท่าน….”ซ่งเสวียนมองหน้าเหล่าขุนนางที่ยืนอยู่และมองมายังซ่งเสวียนสลับกับท่านอ๋องที่ขึ้นไปนั่งที่บัลลังก์แล้ว“วันนี้ข้าเรียกพวกท่านมาในเวลาเร่งด่วนเช่นนี้ ต้องขออภัยด้วย แต่ข้ามีเรื่องจำเป็นจะต้องแจ้งให้ทราบคิดว่าพวกท่านบางคน น่าจะพอทราบอยู่แล้วจากข่าวลือที่เป็นที่พูดถึงกันอยู่ในตอนนี้”“ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินชาวบ้านร่ำลือกันแล้วเรื่องพระชายาหลันเยว่ซิน”“ท่านอ๋อง!! แล้วบุตรีของกระหม่อมที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ ข่าวลือนี้…”“ใต้เท้าซ่งคงจะหมายถึง คนที่ท่านพยายามให้ไปป่าวประกาศเรื่องที่ซ่งเหมยลี่เสี่ยงชีวิตเข้าช่วยข้าจากคนร้ายสินะ”“ทะ…ท่านอ๋องตรัสสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่รู้เรื่อง”“งั้นหรือ เช่นนั้นก็…นำตัวนางเข้ามา!!”ฟู่หย่งเล่อพาต
เสียงนั้นดังไปทั่วจนคนเริ่มวิ่งหนีกันแตกตื่น คนร้ายล่าถอยไปจนหมดแล้วท่านอ๋องและเยว่ซินจึงเดินกลับมามอง จงลี่ประคองซ่งเหมยลี่เอาไว้ นางถูกแทงที่แขนขวา ซึ่งนางหันไปโดยรอบ“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องปลอดภัยดีหรือไม่”“แม่นางซ่ง ข้าปลอดภัยดี”“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันดีใจยิ่งนักที่พระองค์…..”“พานางขึ้นรถม้าไปสำนักหมอหลวง หย่งเล่อ เอาม้าให้ข้าตัวหนึ่งข้าจะพาเยว่ซินกลับตำหนัก”“พ่ะย่ะค่ะ”“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันจะตายหรือไม่เพคะ”ซ่งเหมยลี่เอื้อมมือมาที่ท่านอ๋องหมายจะให้เขาเห็นใจเพราะนางรับดาบแทนเขา แต่ท่านอ๋องทำเพียงหันไปมองนางเท่านั้น“บาดแผลเพียงแค่รอยถากนั่น คงไม่ถึงกับตายหรอกเจ้าเพียงแค่ตกใจเท่านั้น คุณชายลี่ ข้าฝากจัดการที่นี่ด้วย”“พ่ะย่ะค่ะ”“พี่ลู่หานนี่มันเกิดอะไรขึ้นเพคะ”“ขึ้นม้า กลับตำหนักกับข้าก่อน”“เพคะ”ท่านอ๋องพาเยว่ซินขึ้นม้าและวิ่งเข้าเมืองเฉินโจวไปทันที ท่ามกลางเสียงที่กระจายไปทั่วว่าซ่งเหมยลี่ช่วยชีวิตท่านอ๋องเอาไว้ ท่านอ๋องกำลังพานางกลับเข้าเมืองและคงจะแต่งตั้งพระชายาเร็วๆนี้ ข่าวนี้กระจายอย่างรวดเร็ว และคงจะเป็นที่พูดถึงอีกนานหากพระองค์ไม่ได้เสด็จเข้าประตูเมืองมาพร้อมกับหลันเยว่ซ
แม้ว่ายังไม่เข้าหน้าหนาว แต่อากาศที่ฮั่วซูในยามราตรีก็หนาวจนเยว่ซินตัวสั่น ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องกับนางจะพึ่งเสร็จสงครามรักที่เร่าร้อนบนเตียงมา แต่เมื่อผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามท่านอ๋องก็ต้องหาผ้าห่มมาเพิ่มให้นางและกอดนางเอาไว้“อุ่นหรือไม่”“อุ่นแล้วเพคะ เหตุใดถึงได้หนาวเช่นนี้”“เจ้าคงไม่จับไข้หรอกนะเยว่ซิน ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา”“ไม่เป็นไรเพคะ กอดแน่นๆหน่อย หม่อมฉันหนาว”แม้ว่าท่านอ๋องจะกอดนางแต่เยว่ซินก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหายตัวสั่น จวินลู่หานคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเขาที่รักนางหนักมากเกินไป เขาเองควรจะหยุดพักเสียบ้างเพราะร่างกายเยว่ซินอาจจะรับไม่ไหวเข้าสักวัน แม้ว่าความต้องการในตัวนางสำหรับเขานั้นไม่มีสิ้นสุดก็ตามห้าวันต่อมา“เสด็จพอ ครั้งนี้ข้าไปไม่นานจะรีบกลับ ไม่ต้องห่วงนะเพคะ”“เจ้าอย่าไปสร้างความวุ่นวายให้ท่านอ๋องกับพระชายาล่ะ”“ฝ่าบาทอย่าทรงเป็นห่วงเพคะ หม่อมฉันรักองค์หญิงดั่งน้องสาว ย่อมดูแลนางเป็นอย่างดีแน่เพคะ”“ท่านอ๋อง หลานสาวข้าฝากเข่ออ้ายด้วย อย่างน้อยมีเจ้าอยู่ นางก็คงจะยอมฟังบ้าง”“เพคะ”ภารกิจในเมืองกู่ที่เ่หลือหลังจากที่สองดินแดนลงนามสัญญาสร้างเขื่อนร่วมกันแล้ว ฝ่ายโยธาและ
หลันเยว่ซินที่ถูกคนข้างๆจ้องมองจนตาขวาง ในตอนนี้หลานเฟินและเข่ออ้ายเองก็เริ่มรู้สึกว่าเยว่ซินดูท่าจะลำบากไม่น้อยเมื่อท่านอ๋องดูท่าทางจะไม่ค่อยพอพระทัยเท่าใดนัก“พี่หลานเฟิน หรือนี่จะเป็น…เสด็จอาที่พี่เยว่ซินเคยพูดถึง”“ใช่ ผู้เดียวในใต้หล้าที่คว้าหัวใจสตรีอันดับหนึ่งของป๋อเหวิน และคนเดียวที่ทำให้เยว่ซินยอมได้ขนาดนี้”“แต่ว่าในตอนนั้นนางแทบจะไม่พูดถึงเสด็จอาเลย พวกเราได้รู้เรื่องก็เพราะพี่เยว่ซินไม่สบายแล้วเพ้อถึงเขา”“คืนนี้คงมีแค่เราสองคนแล้วล่ะ หากเจ้าอยากคุยกับเยว่ซินคงยากหน่อย ขนาดพวกข้าร่วมเดินทางมาพร้อมกันยังแทบจะไม่ได้พบหน้านางเลย เจ้าดูเอาเถอะ”“แล้วคนเช่นนี้นะหรือที่เสด็จพ่อจะส่งข้าไปแต่งกับเขา ไม่มีทางเสียล่ะ ก็ได้เช่นนั้นมีแค่เราสองคนก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้…ปรึกษาท่านเกี่ยวกับเรื่องของพี่ใหญ่ท่าน…”“หา นี่เข่ออ้าย เจ้าอย่าบอกข้านะว่า…เจ้ารู้สึกอะไรกับพี่ใหญ่ของข้าน่ะ”“ก็…เขาดูน่าสนใจกว่าท่านอ๋องผู้นั้นตั้งเยอะ ท่าทางที่เขาสู้กับข้าเมื่อครู่นี้ทำให้ข้ารู้สึกประทับใจยิ่งนัก”“เฮ้อ…เจ้านี่คงตาบอดโดยแท้ กล้าเอาเขาไปเทียบกับจวินอ๋องเชียวนะ ท่านอ๋องที่รูปงามดุจหยกประดับ กับ…เจ้าข
ด้วยความนึกแปลกใจ หลันเยว่ซินจึงได้ย่อคำนับลงอีกครั้งเพื่อทูลถามฝ่าบาท“ฝ่าบาททรงรู้จักบิดาของหม่อมฉันด้วยหรือเพคะ”ฝ่าบาทหันมามองหน้านางชัดๆ“เจ้า…เงยหน้าขึ้น ให้ข้ามองหน้าเจ้าชัดๆที”หลันเยว่ซินรู้สึกแปลกใจ ไม่เพียงแต่นาง แม้แต่ท่านอ๋องและคนที่เหลือเองก็รู้สึกแปลกใจยิ่งนักที่จู่ๆฝ่าบาทของฮั่วซูให้ความสนใจในตัวของหลันเยว่ซิน เมื่อนางเงยหน้าขึ้นพร้อมกับมองไปยังพระพักตร์ที่ชราและเริ่มมีริ้วรอยที่เป็นไปตามอายุที่มองมาที่นางก่อนที่ฝ่าบาทจะค่อยๆแย้มพระสรวลออกมา“เจ้า..เหมือนบิดาของเจ้าเสียยิ่งนัก”“ฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจทูลถาม ฝ่าบาททรงรู้จักกับแม่ทัพหลันด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”“รู้จักงั้นหรือ ข้ากับเขาเป็นดั่งพี่น้อง ครั้งที่เขายกทัพมาช่วยข้ากอบกู้ฮั่วซูจากซุนหวงนั่น หากครั้งนั้นไม่ได้กองทัพสกุลหลันช่วยทัน คงไม่มีข้าและบัลลังก์นี่แล้ว แต่น่าเสียดาย หลังจากนั้นเพียงสองปีข้ากลับได้ข่าวว่าซุนหวงเจ้าคนชั่วช้านั่น ตามไปฆ่าล้างสกุลหลัน ข้าอยู่ไกลเกินจะไปช่วยเหลือได้ทัน กว่าข่าวจะมาถึงข้าก็รู้ว่าแม่ทัพหลันสิ้นแล้ว นับว่าฮั่วซูเป็นหนี้ชีวิตสกุลหลันแล้ว ท่านอ๋องพระชายาของท่านผู้นี้ล้ำค่าเหมาะสมกับตำ
ท่านอ๋องพลิกตัวนางกลับลงมาเพื่อให้นางนอนซบเข้าที่อกแทนเพื่อนางจะได้ไม่เมื่อย เขาลูบผมที่ปิดบังแก้มนวลนั้นออกไปข้างๆและเริ่มต้นเล่าเรื่องนี้“ซ่งเหมยลี่เป็นผู้แนะนำสำนักศึกษาป๋อเหวินให้ข้ารู้จัก นางบอกว่าการจะได้ร่ำเรียนที่นี่มิใช่เรื่องง่ายและนางก็เห็นว่าเจ้ามีความรู้ความสามารถมาก พูดจาสารพัดจนข้าคิดว่าเจ้าอาจจะชอบร่ำเรียนวิชาที่หลากหลาย เลยลองเอาไปปรึกษาเจ้าดู แต่ไม่คิดว่า…นั่นคือแผนการของนางที่จะให้เจ้าไปจากข้า”“หากว่าเป็นเรื่องนี้ หม่อมฉันก็พอจะทราบเพคะ”“หืม เจ้ารู้งั้นหรือ รู้แล้วเหตุใดจึงยอมไปที่นั่นอีก”“หากหม่อมฉันไม่ไป นางก็คงหาเรื่องก่อเรื่องวุ่นวายจนหม่อมฉันอยู่ไม่สุขอยู่ดี ในงานเลี้ยงวันนั้นพระองค์ก็ทรงเห็นแล้วนี่เพคะ อีกอย่างหนึ่งในตอนนั้นข่าวลือพระองค์กับซ่งเหมยลี่ก็เริ่มมีคนพูดถึงแล้วหม่อมฉันเลยคิดว่าอยู่ไปก็มีแต่เรื่องวุ่นวาย สู้ไปที่สำนักศึกษา อาจจะเจอเรื่องที่ดีกว่า ซึ่งก็เป็นความจริง โชคดีที่ตัดสินใจถูกต้อง”“เจ้ากำลังบอกว่าการที่เจ้าจากข้าไปคือการตัดสินใจที่ถูกงั้นหรือ”“เพคะ ในตอนนั้นถือว่าถูกต้อง และเป็นเวลาที่เหมาะสม มันพิสูจน์อะไรได้หลายๆอย่าง และยิ่งไปกว่านั้
มือเรียวโอบรอบคอของท่านอ๋องเอาไว้แน่นเมื่อเขาค่อยๆปล่อยนางลงพร้อมกับปลดเปลื้องพันธนาการที่ขวางกั้นทั้งคู่ออกอย่างรวดเร็วและไม่ใส่ใจ“เยว่ซิน เจ้าแน่ใจว่าจะไม่เจ็บ”“เสด็จอาก็เบาๆสิเพคะ อ๊าา…อื้มม…”“เรียกข้าว่าพระสวามีสิ อย่าเรียกเสด็จอา มิเช่นนั้นข้าไม่หยุดเพียงรอบเดียวแน่เยว่ซิน!!”“อื้ออ…คนบ้า อ๊าา ….”นางขัดขืนเขาไม่ได้เลย ทั้งมือและลิ้นที่เริ่มจัดการหน้าอกอวบอิ่มนั้นและนิ้วที่ค่อยๆสอดเข้าไปยังร่องกลีบดอกไม้งามด้านล่างทำเอาร่างระหงนั้นดิ้นรับสัมผัสอย่างลืมตัว รอบเดียวไม่พองั้นหรือ นางก็มิได้หมายใจว่าจะให้เขาทำเพียงรอบเดียวเสียหน่อย “เยว่ซิน ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”“เพคะ เร็วเข้าเพคะ หม่อมฉัน…อื้อ…อ๊าา…ท่านพี่ อื้ออ…..อ๊ะ”นางร้องพร้อมกับดันตัวเขาออกเล็กน้อยเพราะความคับแน่นนั้นเริ่มเล่นงานนางเมื่อเขาค่อยๆสอดใส่เข้ามา ท่านอ๋องมองไปยังร่องนั้น ตอนนี้ไม่มีเลือดออกมาแล้ว มีเพียง…“เยว่ซิน เจ้าไหวแน่ใช่หรือไม่”“เพคะ เร่งเข้าเถิดเพคะ หม่อมฉันจะ…อื้ออ อึ๊ยย มันร้อนเหลือเกิน ด้านในนั้น…ท่านพี่เพคะ อ๊าาา”“เจ้าใกล้แล้วสินะ ข้าช่วยเจ้าเอง”“อ๊าา ท่านพี่….”เสียงร้องที่ดังนั้นเกือบทำคนด้านนอกจับ
พวกเขาเดินทางไปสำรวจแนวชายแดนที่จะใช้ทำเขื่อน ตลอดเส้นทางพบว่าชาวบ้านแถวนั้นล้วนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี อีกทั้งชาวบ้านแนวชายแดนทั้งสองแคว้นยังเป็นมิตรที่ดีต่อกันมาก การค้าขายทั้งสองด้านคึกคักจนท่านอ๋องนึกเสียใจที่มิได้พาหลันเยว่ซินมาด้วย นางคงชอบความคึกคักของตลาดแบบนี้เป็นแน่ เพราะลี่หลานเฟินในตอนนี้ก็ร่ำร้องให้ฟู่หย่งเล่อพานางเดินไปเที่ยวในตลาดแล้ว“หากเป็นเช่นนี้ เรื่องการเจรจาในอีกสองวันข้างหน้า กระหม่อมคิดว่าน่าจะไม่มีปัญหานะพ่ะย่ะค่ะ”“คุณชายลี่ เจ้ามีแผนการเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”“พ่ะย่ะค่ะ แนวฝั่งชายแดนทั้งสองเป็นพันธมิตรกัน สิ่งที่เขาไม่มีเราสามารถทำส่งไปได้ สิ่งที่เราขาด ทางฮั่วซูก็มีไม่น้อยที่ส่งมาขายที่เรา หากว่าสามารถกำหนดราคากลางขึ้นมาได้และตั้งหอการค้าเพื่อควบคุมสินค้าระหว่างชายแดนได้ ก็นับว่าเป็นการแก้ปัญหาได้ดีพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าช่างรอบคอบจริงๆ ไม่เสียชื่อบัณฑิตหนุ่มอนาคตไกล ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นโดยแท้”“ขอบพระทัยที่ทรงชื่นชม แต่คำชมเหล่านี้กระหม่อมคงรับได้เพียงครึ่งเดียวพ่ะย่ะค่ะ”“หืม เพราะเหตุใดกัน”“เดิมทีผู้ที่คิดเรื่องการค้าและเปรียบเทียบสินค้าของสองแคว้นคือกระหม่อ
ความคิดเห็น