พิธีจบการศึกษาผ่านไปอย่างเต็มรูปแบบแต่ก็ไม่ได้มีความคึกคักเนื่องจากอยู่ในภาวะช่วงสงคราม แต่ละคนร่ำลาอาจารย์และทยอยลงเขา
ส่วนทางเยว่ซินนั้น ตำหนักอ๋องส่งจดหมายมาให้อาจารย์ที่สำนักและกำหนดวันที่จะมารับนางเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
“เยว่ซิน น่าเสียดายที่เจ้าต้องกลับไปกับรถม้าของตำหนัก ข้าอยากลงเขาไปกับเจ้า”
“เอาไว้พบกันที่เฉินโจวก็ได้ ข้าจะแวะไปเยี่ยมเจ้าบ่อยๆนะ”
“เจ้าพูดจริงนะ อย่าลืมเสียละ”
“ไม่ลืมแน่นอน รีบเก็บของเถอะ”
“เฮ้อ ต้องจากไปแล้วจริงๆ คงคิดถึงที่นี่ไม่น้อยเลยนะ”
“ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าพึ่งมาที่นี่เจ้าร้องไห้อยู่เดือนหนึ่งเต็มๆเพราะคิดถึงบ้าน”
“ก็ตอนนั้นข้ายังเด็ก ดูสิตอนนี้พวกเราโตแล้ว ดูเจ้าสิเยว่ซิน เจ้าไม่เคยส่งกระจกบ้างหรือว่าเจ้างดงามขนาดไหน สตรีอันดับหนึ่งของเฉินโจวคงต้องสะเทือนบ้างละหากเจ้ากลับไปครานี้”
“สตรีอันดับหนึ่ง คือสิ่งใดกันชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้น มีอะไรให้น่าชื่นชมกัน”
“ตายละเยว่ซิน เจ้าคงไม่คิดจะบวชเป็นแม่ชีหรอกนะ ดูพูดเข้าสิ เหตุใดเจ้าพูดแต่ละคำราวกับไม่สนใจทางโลกแล้วเช่นนี้เล่า ไม่เอาๆ หลังจากลงเขาไปแล้วเจ้าต้องมาหาข้า แล้วเราจะไปเที่ยวข้างล่างนั่นให้สะใจไปเลย ตกลงหรือไม่”
“ได้ เจ้าอยากไปที่ใดข้าก็จะไปเป็นเพื่อนเจ้าทุกที่เลยดีไหม แต่ตอนนี้เราต้องรีบเก็บของแล้วล่ะ พรุ่งนี้ต้องลงเขากันแล้ว”
วันลงเขา
เมื่อร่ำลาอาจารย์ทุกท่านแล้ว หลันเยว่ซินซึ่งเป็นศิษย์ที่เรียนเก่งที่สุดในรุ่นตามคาดก็ลงจากเขาพร้อมกับคนของตำหนักอ๋องทันที
เมื่อรถม้าเริ่มเข้าเมืองเฉินโจว ความคึกคักของตลาดที่นางไม่ได้เห็นมาในรอบหลายปีนั้นเหมือนจะยิ่งคึกคักมากกว่าเดิม ตอนนี้สงครามจบแล้ว แต่ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะยังกลับมาไม่ถึงเมืองเฉินโจวเพราะต้องเข้าเมืองหลวงรายงานสถานการณ์การรบกับฮ่องเต้ก่อนจะกลับมาที่นี่
ตำหนักท่านอ๋อง
ทุกคนล้วนตื่นเต้นดีใจที่คุณหนูหลันจะกลับมา จึงมายืนรออยู่ที่หน้าจวนอย่างจดจ่อเพื่อเฝ้ารอรถม้าของตำหนักมาถึง ไม่นานรถม้าก็จอดเทียบที่หน้าตำหนัก พร้อมกับประตูที่เปิดออกมา
หลันเยว่ซินที่รูปร่างสูงโปร่งสวมชุดสีขาวใบหน้าขาวอิ่มเอิบและงดงามตามวัยสาวสะพรั่งในวัยสิบเก้าปีเต็มเดินลงมาพร้อมกับความตกตะลึงของสาวใช้และบ่าวไพร่ในจวนอ๋อง
“คะ…คุณหนู คุณหนูหลันจริงๆด้วย งดงามราวบุบผาในสวนเซียน แม่นมเร็วเข้า แม่นมเถียนละ”
“คุณหนูเจ้าคะ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”
“แม่นม ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ รบกวนทุกคนแล้ว ขอบคุณที่ช่วยข้าดูแลแม่นม”
“คุณหนูอย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ รีบเข้าตำหนักก่อนเถิดเจ้าค่ะ พวกเรารอจัดงานต้อนรับคุณหนูอยู่ด้านในด้วยนะเจ้าคะ”
“ไม่น่าลำบากเลย ข้า…”
“พวกเราทุกคนคิดถึงคุณหนูมากๆเลยนะเจ้าคะ คุณหนูกลับมาครั้งนี้ อย่าไปไหนอีกนะเจ้าคะ”
“ขอบคุณทุกคนมากๆเลย ข้า…ซาบซึ้งใจมากๆ อ้อ ข้ามีของฝากมาให้ทุกคนเลย รบกวนท่านเอาลงมาทีนะเจ้าคะ”
“ขอรับคุณหนู เข้าไปพักก่อนเถิดขอรับ ทางนี้ไว้เป็นหน้าที่บ่าวจัดการเองขอรับ”
หลันเยว่ซินที่ยิ้มง่ายมากกว่าเดิมและเป็นมิตรกับทุกคนมากขึ้นทำให้ตำหนักอ๋องที่เงียบเหงามาแสนนานเริ่มคึกคักตั้งแต่นางกลับมา
เยว่ซินกลับมาที่เฉินโจวได้ร่วมเดือนแล้วแต่นางยังไม่เคยพบท่านอ๋องเลยสักครั้งเพราะเขายังเดินทางมาไม่ถึง ข่าวว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาถึงที่นี่ในอีกสามวันข้างหน้าทำให้ทั้งตำหนักเริ่มตื่นตัวและคึกคักอีกครั้ง
“คุณหนูเจ้าคะ เอาไว้ตรงไหนดีเจ้าคะ”
“ไม่ต้องจัดการอันใดมาก จัดแบบเรียบง่ายเพราะเราพึ่งผ่านสงครามมา”
“เจ้าค่ะ”
“ชุนถง ชุนถง…”
“คุณหนู ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
“ดูวิ่งเข้า เดี๋ยวก็ได้ชนของเข้าจนได้ ออกไปตลาดกับข้าหน่อย ข้าอยากได้ผักกาดเพิ่ม เอามาทำเกี๊ยว”
“เจ้าค่ะๆ ไปตลาดเจ้าค่ะ”
ชุนถงคือสาวใช้ที่ขอติดตามนางตั้งแต่เยว่ซินกลับมาที่นี่ นางแทบจะตัวติดกับเยว่ซินเพราะชื่นชอบเยว่ซินมาตั้งแต่นางออกไปศึกษาที่สำนักป๋อเหวิน ครั้งนั้นชุนถงพึ่งจะเข้ามาที่นี่ไม่นานเยว่ซินก็ถูกส่งไปที่สำนักศึกษา
ตลาดเมืองเฉินโจว
“ท่านป้า เอาผักกาดนี่เจ้าค่ะ ชุนถง…”
“เจ้าค่ะ นี่เจ้าค่ะค่าผัก คุณหนูเจ้าคะทางโน้นมีขนมอร่อยๆ ไปดูกันหรือไม่เจ้าคะ”
“ไปสิ เจ้านี่ออกมาไม่ได้เลยนะ หาขนมกินตลอด”
“นานๆจะได้ออกมาทีนี่เจ้าคะ ไปกันเจ้าค่ะ”
“ไปสิ”
ประตูเมืองเฉินโจว
“จงลี่ ให้ขบวนกลับไปที่ตำหนักก่อน ข้าอยากจะเข้าเมืองไปแบบคนธรรมดา จะสังเกตการณ์รอบๆเมืองด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องกลับมาถึงแล้ว แต่เขาเลือกจะเดินดูของในเมืองพร้อมกับองครักษ์แค่สองคนเพื่อตรวจสภาพเมืองหลังจากเสร็จศึกสงคราม เขาเดินมาจนถึงตลาดที่คึกคักก็รู้สึกพอใจที่เมืองกลับมาสงบลงอีกครั้ง
“คุณชาย ดูนั่นขอรับ”
บ่าวสกุลหวังชี้ให้ผู้เป็นนายที่พึ่งออกจากบ่อนดูสตรีที่งดงามข้างหน้าซึ่งพวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนหน้านี้
หวังเสิ่นอี้ คุณชายไม่ได้เรื่องของเสนาบดีหวังมองมายังสตรีโฉมงามที่เดินมากับสาวใช้เพื่อดูขนมและผลไม้เชื่อม เขามุ่งตรงไปที่นางทันทีด้วยความสนใจ เขาต้องรู้ให้ได้ว่านางคือบุตรจวนใดจะได้ให้บิดาทำเรื่องสู่ขอนาง
“แม่นางช้าก่อน”
หลันเยว่ซินมองบุรุษหนุ่มที่ยืนขวางทางอยู่อย่างไม่พอใจแต่ไม่ได้พูดสิ่งใด นางเพียงจะเดินเลี่ยงไปเท่านั้น
“เดี่ยวก่อนสิ ข้ายังไม่ได้อนุญาตให้เจ้าไปไหนเลย เหตุใดเจ้าไร้มารยาทเช่นนี้เล่า”
“ท่านต่างหากที่ไร้มารยาท คุณหนูข้าจะเดินไปท่านมาขวางเอาไว้”
“หุบปากนางบ่าวชั้นต่ำ กล้าดีอย่างไรมาตะคอกใส่ข้า ตบปากนาง!!”
“ช้าก่อน ท่านเป็นผู้ใด เหตุใดกล้ามาขู่ตบตีสาวใช้ของข้า”
“ดุเสียจริง แบบนี้ยิ่งถูกใจข้า แม่นาง ข้าไม่เคยพบเห็นเจ้ามาก่อน ไม่ทราบว่า…”
“ไม่พบก็ดีแล้ว ข้าเองคิดว่านั่นเป็นเรื่องดีในชีวิตข้า ขออภัย โปรดหลีกทาง”
“นี่!! ข้าพูดกับเจ้าดีๆ เหตุใดมาหยามเกียรติข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด”
หลันเยว่ซินมองบุรุษหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาเกลียดชังขึ้นเรื่อยๆ นางไม่เคยพบผู้ใดที่หลงตนเองเช่นนี้มาก่อนเลย
“ขออภัย ตัวท่านเองยังมิทราบว่าตัวเองคือผู้ใด แล้วจะให้ข้าทราบได้งั้นหรือ เรามิได้รู้จักกัน คุณชายโปรดหลีกทาง หาไม่แล้วอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจท่าน”
“จงลี่ เกิดอะไรขึ้น เหตุใดคนจึงมุงดูมากมายนัก”
“อ้อ ดูท่าคุณชายหวังไม่ได้เรื่องบุตรของเสนาบดีหวังจะก่อเรื่องอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ นั่นบ่าวสกุลหวัง ข้าเคยพบเขาไปส่งเสนาบดีหวังเข้าวัง”
“ไปดูหน่อยสิ”
ท่านอ๋องเดินไปยังที่ชุมนุมจึงได้ยินเสียงของบุตรชายเสนาบดีจอมโอ้อวด กำลังอวดตนต่อหน้าสตรีผู้หนึ่งซึ่งเขาเห็นเพียงด้านหลัง
“ข้าเป็นบุตรชายของเสนาบดีหวัง ว่าอย่างไร เจ้าจะยอมคุยกับข้าหรือยัง แม่นางคนงาม หากว่าเจ้าขอโทษข้า เรื่องนี้ข้าอาจจะให้อภัยเจ้าได้นะ”
ชาวบ้านต่างเอือมระอากับพฤติกรรมนี้ของบุตรชายเสนาบดีท่านนี้เต็มทีแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คุณชายหวังผู้ไม่ได้เรื่องนี้เป็นนักพนันและชายที่เอาแต่เที่ยวหอนางโลม ร่ำสุราเป็นนิจไม่ร่ำเรียนและใฝ่รู้ หลันเยว่ซิน มองเขาพร้อมหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยความรังเกียจ ใบหน้าและท่าทางที่นิ่งเฉยของนางทำให้จวินลู่หานรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
“หลีกทางไปเดี๋ยวนี้ เจ้าสุนัขปากเหม็นจอมโสโครก!!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อหลันเยว่ซินพูดจบ มีเสียงหัวเราะเกิดขึ้นโดยรอบแม้แต่ท่านอ๋องและจงลี่เองก็อดขำไม่ได้ คำนี้ดูจะเหมาะกับชายคนนี้เสียจริงหวังเสิ่นอี้ไม่พอใจและรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก เขาเงื้อมือขึ้นมาจะตบนาง เยว่ซินเองก็เตรียมอาวุธลับในมือแล้วเช่นกัน แต่พอเขายกมือขึ้นมา ท่านอ๋องดึงปลอกดาบของจงลี่พุ่งไปที่มือของหวังเสิ่นอี้ แรงนั้นทำให้แขนเขาพลิกไปทันที“โอ๊ย ใครลอบโจมตีข้า นี่เจ้า!! ฮึ้ย….”หวังเสิ่นอี้กำหมัดแน่นและพุ่งเข้าใส่หลันเยว่ซินแต่นางหลบทันพร้อมกับใช้ขาขวางทางเขาเอาไว้พร้อมกับดึงสายเสื้อเขาออกมาและรัดคอเขาและดึงไปรอบๆถนนและฟาดไปที่ต้นไม้อีกฝั่งหนึ่งทันทีพร้อมความสะใจของผู้ที่พบเห็น“ฝีมือไม่เลวนี่”“นี่เจ้า…เจ้า”“ทำไม คุณชายอยากจะลองอีกสักท่าหรือไม่”“เจ้า…หากว่าเจ้าไม่ยั่วยวนข้า ข้าก็คงไม่ต้องทำเช่นนี้ เจ้ามันหญิงแพศยา”“นี่เจ้า!!…..”“ผลัก!!..”หลันเยว่ซินไม่ทันได้ลงมือ ฝ่าเท้าท่านอ๋องพุ่งไปที่ใบหน้าของหวังเสิ่นอี้เต็มแรง ใบหน้าของเขาตอนนี้มีรอยเท้าของคนที่ส่งไปให้เต็มหน้า เลือดที่ออกจากทั้งปากและจมูกนั่นทำให้เขาสลบลงไปทันที“ขอบ…”“เขาพูดเรื่องจริงหรือไม่ที่แม่นางไปยั่วย
หญิงสาวได้แต่เดินไปโดยไม่ได้ตอบเขา เมื่อเห็นว่านางไม่ตอบ ผู้เป็นเสด็จอาจึงได้รั้งแขนนั้นเอาไว้ บัดนี้ดูเหมือนนางจะไม่ใช่เด็กสาวในวัยเยาว์ที่เขารับมาจากเมืองเหลียงอีกต่อไป หากแต่ตอนนี้นางเติบโตเป็นสตรีเต็มวัยที่สามารถออกเรือนได้แล้ว ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ“เจ้ายังไม่ตอบข้าเลย ตกลงว่าข้าจะได้กิน…เกี๊ยวที่เจ้าทำใช่หรือไม่”เย่วซินหันไปมองหน้าบุรุษหนุ่มที่บัดนี้มองนางด้วยสายตาที่ไม่เหมือนกับเมื่อสี่ปีที่แล้ว นางเองก็ไม่รู้ว่าควรรู้สึกเช่นไรกับเขาดี ก่อนหน้านี้เห็นเขาเป็นเพียงท่านอาที่รับดูแลนางจากคนบ้านแตกแต่บัดนี้ดูเหมือนการมองพระพักตร์ของท่านอ๋องนั้นจะยากยิ่งกว่าเดิม หัวใจเจ้ากรรมนี้ก็เช่นกัน มันเต้นรัวไม่หยุดอย่างที่นางควบคุมไม่ได้ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน“นั่น…ย่อมแน่นอนเพคะ หม่อมฉันตั้งใจ…จะทำให้พระองค์เสวยนี่เพคะ”“ได้ เช่นนั้นก็รีบกลับไปทำเถิด ข้ารอแทบไม่ไหวแล้ว ออกศึกครั้งนี้นานเหลือเกิน รสชาติอาหารที่ทำสุกใหม่ๆเป็นเช่นไรก็แทบจะจำไม่ได้แล้ว”“พระองค์คงลำบากมากเลยสินะเพคะ”“แล้วเจ้าเล่าเยว่ซิน ไปอยู่ที่สำนักศึกษาเสียตั้งนาน เจ้า….ลำบากหรือไม่”“ไม่เลยเพคะ
“หม่อมฉัน…”“อย่าดื้อ เจ้าก็ยังเป็นเจ้า ไม่ค่อยเชื่อฟังข้าอยู่ร่ำไป มานี่”เขาจับแขนนางและพาเดินเข้าไปยังห้องด้านในเพื่อทำแผลให้ กล่องยาถูกนำมาวางโดยจงลี่ที่รู้หน้าที่ เขาจึงได้แกะผ้าที่เขาผูกเอาไว้ออกและเริ่มทาวยาให้นาง ใบหน้าน้อยๆนั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย“เจ็บหรือ ข้าทำแรงไปงั้นหรือ”“ปละ…เปล่าเพคะ หม่อมฉันทนได้”“ท่านอ๋องเพคะ คุณหนู เกี๊ยวพร้อมแล้วเพคะ”“เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ เจ้าลุกไหวหรือไม่”“ไหวเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่มีดบาดนิดเดียวเองนะเพคะเสด็จอา”“อ้อ เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”เยว่ซินทำหน้าไม่ถูก ปกติแล้วก่อนหน้านี้เสด็จอาเคยเป็นเช่นนี้กับนางด้วยงั้นหรือ แต่นั่นจะนับเป็นอะไรได้ นางมาอาศัยที่ตำหนักอ๋องเพียงหนึ่งปีก็ถูกส่งไปที่สำนักศึกษา และช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ท่านอ๋องไม่ค่อยว่างจากราชกิจในวังเลย เวลาพบหน้ากันก็พูดคุยและถกแค่การบ้านที่อาจารย์ที่เขาจัดมาสอนนางเท่านั้น เรื่องอื่นๆแทบจะไม่ได้คุยกันเลย“นี่คือเกี๊ยวที่เจ้าพูดสินะ ข้ากินได้เลยใช่หรือไม่”“เพคะ เสด็จอาลองชิมดูเพคะ”เขาตักเกี๊ยวที่พอดีคำขึ้นมาพร้อมกับชิมตามที่นางบอก สัมผัสของแผ่นเกี๊ยวที่พอดีคำเข้ากับน้ำต้มกระดูกหมอที่เคี่ยวจน
ท่านอ๋องจิบชาและลอบมองนางที่ทำสีหน้าไม่ใครสู้ดีนักอย่างนึกสนใจพร้อมกับวางถ้วยชาลง“ใช่ เยว่ซินของข้ากลับมาได้เดือนกว่าๆแล้ว น่าแปลกนะที่เจ้าไม่รู้ ทั้งๆที่ข้าพึ่งก้าวเข้าตำหนักไม่ถึงสองชั่วยาม แต่เจ้ากลับมาถึงหน้าตำหนักได้อย่างน่าแปลก”ซ่งเหมยลี่ทำหน้าตาเลิกลักพร้อมกับยิ้มด้วยท่าทางที่ฝืนเต็มที “เยว่ซินของข้า” งั้นหรือ นี่เขาลืมไปหรืออย่างไรว่านางมิได้เป็นอะไรกับเขาเสียหน่อย แค่เด็กที่เก็บมาเลี้ยงจากเมืองเหลียงเท่านั้นเอง“ต้องขอประทานอภัย ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไปถือศีลที่วัดและภาวนาขอให้พระองค์ออกรบและนำชัยชนะกลับมา พึ่งกลับมาถึงจวนไม่นานนี่เอง จึง…ไม่ทราบข่าวเรื่องที่คุณหนูหลันเยว่ซินกลับมาจึงมิได้มาเยี่ยมเพคะ”“ไม่จำเป็นหรอก เยว่ซินชอบอยู่อย่างสงบ ไม่ค่อยชอบรับแขกแปลกหน้าและไม่คุ้นเคย แต่ก็ต้องขอบใจเจ้าสำหรับน้ำแกงนี้ อ้อ อีกไม่กี่วันนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับนาง เช่นไรแล้วข้าจะส่งเทียบเชิญไปที่จวนสกุลซ่งด้วย”ซ่งเหมยลี่นั่งบิดผ้าเช็ดหน้าอย่างอดกลั้น ถึงกับจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับนางเชียวหรือ“แต่ว่าเมื่อครู่ ท่านอ๋องพึ่งตรัสว่า…ไม่ควรจัดงานเลี้ยงที่เอิกเกริก นี่จะไม่เป็นการ…สิ้
จมูกเขาแดงขึ้น ใบหน้าร้อนผ่าวซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะเขาแช่น้ำนานกว่าหนึ่งชั่วยาม ขึ้นๆลงๆอยู่ด้านหลังนั่นจนแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ด้านนอกแล้วจึงขึ้นมาและพบว่าจมูกเริ่มจะไม่ได้กลิ่นอะไรเพราะเขาสูดไอน้ำในห้องน้ำไปมากนั่นเองห้องบรรทม“เสด็จอาเพคะ นี่น้ำขิงเพคะ ดื่มเสียก่อนเถิดเพคะ”“อืม ขอบใจเจ้ามาก เยว่ซิน มานั่งนี่สิ”เยว่ซินเดินเข้าไปที่โต๊ะทรงอักษรของท่านอ๋องที่บัดนี้เขาสวมเพียงเสื้อนอนและมีชุดคลุมด้านนอกอยู่ “มีสิ่งใดหรือเพคะ”“รายชื่อแขกที่จะเชิญมางานเลี้ยงอีกห้าวันข้างหน้า เจ้าอยากจะเชิญผู้ใดเพิ่มอีกหรือไม่”“หม่อมฉันมีสหายในเมืองเฉินโจวนี้เพียงสองคนเพคะ สามารถเชิญพวกเขามาด้วยได้หรือไม่เพคะ”“ย่อมได้อยู่แล้ว ผู้ใดกัน”ท่านอ๋องถามพลางยกน้ำขิงที่นางต้มนั้นขึ้นมาจิบ“ก็ลี่หลานเฟิน และศิษย์พี่ฟู่หย่งเล่อเพคะ”“แค่ก แค่ก”ท่านอ๋องสำลักน้ำขิงที่พึ่งดื่มเข้าไปในทันทีที่นางเอ่ยถึงบุรุษหนุ่มที่เรียนสำนักศึกษาเดียวกัน แต่บัดนี้เยว่ ซินตกใจและหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปากให้เขา“แย่จริง น้ำร้อนเกินไปหรือเพคะ หม่อมฉันคงไม่ได้เตือนเสด็จอา…ก่อน….เอ่อ…”ใบหน้านางอยู่ใกล้เขาเพียงนิดเดียวเมื่อรีบพุ่
ท่านอ๋องรีบขยับตัวเพื่อให้นางได้จัดที่นอนของตัวเอง เขารีบหันไปมองหลันเยว่ซินที่เดินเอาหมอนและผ้าห่มในหีบที่ตั้งวางไว้เดินมา แต่ช่วงที่นางหันมา ท่านอ๋องเจ้าเล่ห์ก็พยายามทำสีหน้าเหมือนป่วยและไอถี่ๆพอเป็นพิธี“เสด็จอาแน่ใจนะเพคะว่าไม่ต้องการดื่มยาลดไข้ก่อนจะบรรทม”“ไม่ละ คงเพราะเดินทางมาไกลและอากาศเปลี่ยนกะทันหัน ก็เลยปรับตัวไม่ทัน เจ้าคงไม่รังเกียจคนแก่อย่างข้าหรอกกระมังเยว่ซิน”“เสด็จกล่าวเกินไปแล้วเพคะ อายุเพียงเท่านี้จะเรียกว่าแก่ได้เช่นไรเพคะ”“นั่นสิๆ ใช่ๆ ข้ากับเจ้าอายุห่างกันเพียงแค่แปดปีเอง เจ้าว่าหรือไม่ว่านี่มันช่าง….”“หม่อมฉันจะดับไฟแล้วนะเพคะ”“อ้อ….เช่นนั้นข้าจะนอนแล้ว”หลันเยว่ซินลุกขึ้นไปดับไฟพร้อมกับใช้ฝาครอบเพื่อมิให้มีควันออกมารบกวนท่านอ๋อง นางถอดชุดคลุมด้านนอกออกแล้วเดินมาที่เตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆเขาโดยมีหมอนข้างกั้นเอาไว้ระหว่างทั้งสอง ในตอนเด็กที่นางมาที่นี่ใหม่ๆ นางก็มักจะขอมานอนกับเขาเพราะฝันร้าย แม่นมเถียนจะพานางมาก่อนที่ท่านอ๋องจะบรรทม เขาก็จะอนุญาตให้นางนอนด้วยเพราะเห็นว่านางเป็นน้องสาว แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเขา…ไม่ได้คิดกับนางแค่น้องสาวเหมือนเมื
“น้องเล็ก เจ้าอย่าพูดเหลวไหล ข้าก็แค่…”“เอาล่ะๆไม่พูดแล้ว เราไปคุยกันที่สวนเถอะ พี่ใหญ่ท่านจะไปที่ใดก็รีบไปเถิดเจ้าค่ะ”“ข้า…วันนี้ข้าว่างแล้ว หากว่าคุณหนูหลันไม่รังเกียจ ให้พวกข้ารับรองท่านด้วยชาและของว่างดีๆกว่านี้เถิด”“ขอบคุณคุณชายลี่เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเชิญคุณหนูทางนี้เลย”เยว่ซินเดินตามพวกเขาไปที่สวนด้านหลังพร้อมกับหลานเฟินที่กระทุ้งเอวพี่ใหญ่ของตัวเอง“พี่ใหญ่ ข้ารู้นะว่าท่านคิดสิ่งใดอยู่”“น้องเล็กอย่าพูดเหลวไหล เจ้ารู้หรือไม่ว่าสหายเจ้าผู้นี้คือใคร หากรับรองไม่ดีจะเกิดข้อครหากับจวนมหาบัณฑิต ชื่อเสียงของท่านพ่อคงฝากเอาไว้ที่เจ้าไม่ได้”“พี่ใหญ่ อย่าทำเป็นเอาชื่อเสียงท่านพ่อมาอ้าง ข้ารู้ว่าท่านแอบมองสหายข้าอยู่ แต่ท่านรู้หรือไม่ว่านางน่ะ เป็นที่สนใจของบุรุษอื่นๆมากมาย คู่แข่งของท่าน ท้ายแถวคงอยู่ประตูเมืองเฉินโจวโน่นเลยล่ะ”“เพราะข้ามีเจ้าอย่างไรเล่า จึงไม่จำเป็นต้องไปต่อแถว”“ท่านมันร้ายกาจเกินไปแล้ว”“รีบพานางไปนั่งเถอะ ข้าจะไปบอกเด็กให้นำชาหลงจิ่งและทำของว่างมาให้”“ข้าคิดค่าลัดแถวของท่านแพงแน่ๆ”“ข้าจะจ่ายค่าชุดใหม่ให้เจ้าพร้อมเครื่องประดับสี่ชุด ว่าอย่างไร”“เจ้าค่ะ ได้เลยแ
จวินลู่หานเงยหน้าขึ้นมามองผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ แต่ก็รีบนั่งลงทันทีพร้อมกับปรับสีหน้าและเริ่มไอขึ้นมา“พระองค์ยังไม่หายดี เหตุใดยังมาประทับอยู่ที่นี่เพคะ เหตุใดจึงไม่ไปนอนพักเสียหน่อย”“เจ้า…กลับมาแล้วงั้นหรือ ออกไปเที่ยวมา สนุกหรือไม่เล่า”“หม่อมฉัน..เพียงแค่ไปส่งเทียบเชิญเท่านั้นเพคะ นั่งคุยกับหลานเฟินนานไปหน่อยก็เลยกลับมาช้าเพคะ”“แน่ใจว่ามีเพียงนางแค่คนเดียว”“ว่าอย่างไรนะเพคะ เสด็จอาหมายถึงอะไรเพคะ”“แค่ก แค่ก”“เสด็จอาเพคะ”“ข้าคอแห้ง รินชาให้ข้าที”“เพคะ”เยว่ซินหันมายิ้มและรินชาให้ท่านอ๋องและยกไปให้เขาพร้อมกับยกให้ เขารับขึ้นมาดื่มพร้อมกับลอบยิ้ม อย่างไรนางก็กลับมาแล้ว ความหงุดหงิดนั้นก็เริ่มเบาบางลง“เจ้า….เหตุใดไม่รีบเตรียมตัว อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานเลี้ยงแล้ว”“หม่อมฉันต้องเตรียมตัวอย่างไรเพคะ หม่อมฉันก็สั่งบ่าวไพร่ให้จัดแจงงานแล้ว อาหารและเสบียงที่เสด็จอาสั่งก็ตระเตรียมแล้ว และยุ้งฉางที่สั่งเปิดเพื่อแจกจ่ายเสบียงหม่อมฉันก็ไปตรวจนับจำนวนไว้แล้ว”“ข้ามิได้หมายถึงเรื่องพวกนั้น เอาเช่นนี้ พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปเอง”“แต่ว่าพรุ่งนี้…”“เจ้ามีธุระอะไรก็
หลานเฟินมองเขาที่ถูกนางนอนทับอยู่จึงได้จะลุกขึ้นแต่เขาดึงนางเข้ามาพร้อมกับประกบปากจูบอย่างรวดเร็วและผลักนางลงไปอยู่ด้านล่างแทนสายคาดเอวถูกปลดออกไปจนได้ด้วยมือเขาที่ดึงออกมา มือหนาเริ่มรุกล้ำไปที่ด้านในปกเสื้อผ่านชั้นในเข้าไป นางรู้ว่ามือเขาสั่นน้อยๆเมื่อสัมผัสถูกยอดปทุมด้านในนั้น“พี่หย่งเล่อ ท่าน…ตื่นเต้นหรือเจ้าคะ”“ข้า…อยากเห็นข้างใน เจ้า..จะอนุญาตหรือไม่”“เจ้าค่ะ ตัวข้า ใจข้าเป็นของท่านทั้งหมด ในเมื่อตกลงแล้วข้าย่อมยินยอม”“หลานเฟินเจ้าพูดเช่นนี้รู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าเช่นไร”“ข้าเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าในตอนนี้แผงอกกว้างของท่านยังเหมือนเดิมเหมือนครั้งที่อยู่ที่สำนักศึกษาหรือไม่”มือเรียวบางนั้นเอื้อมไปปลดเข็มขัดของเขาออกเช่นกัน ฟู่หย่งเล่อรู้งานทันที เขาถอดชุดคลุมด้านนอกออกและปูรองเอาไว้ที่พื้นและพาหลานเฟินไปนอนที่ชุดคลุมของเขาลิ้นที่ยังพัวพันกันไม่หยุดและเริ่มถอดชุดของนางออก เขาเริ่มเห็นเนินอกขาวเนียนนั้นแต่เขาอยากเห็นมากกว่านั้นเมื่อหลานเฟินเริ่มครางอย่างพอใจ“หลานเฟิน เจ้างามจริงๆ”ปากของเข้าเปลี่ยนมาครอบครองหน้าอกขาวตรงหน้าทันที ช่างพอเหมาะพอดีมือของเขาเสียยิ่งนัก เสียง
ทุ่งหญ้าแคว้นฮั่วซู“เบาๆหน่อย เจ้าอย่าดึงบังเหียนแรงเกินไปหลานเฟิน หากมันเจ็บมันจะดีดเจ้าเอา”“ข้ารู้ๆ อย่าพูดมากนัก ข้าตื่นเต้นจนลนลานไปหมดแล้ว”“เจ้าอย่าเกร็งจนหลังตรงเช่นนั้นปล่อยตัวตามสบาย”“หากท่านพูดอีกอีกคำเดียวนะฟู่หย่งเล่อ ข้าจะ ว๊าย…”“หลานเฟิน!! จับให้แน่นๆ”ม้าที่นางขี่เกิดตกใจเมื่อลี่หลานเฟินเผลอใช้เท้ากระแทกไปที่ลำตัวมันเพราะโมโหฟู่หย่งเล่อ มันจึงพานางวิ่งไปยังทุ่งหญ้ากว้างด้านล่าง ตัวนางเอนไปมาเพราะยังทรงตัวไม่ได้ ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าของเขาตามนางไป“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!!”“ข้ามาแล้ว เจ้าอยู่นิ่งๆ จับให้แน่นๆนะ”“พี่หย่งเล่อ ช่วยข้าด้วย มัน…มันวิ่งไม่หยุดเลยข้ากลัว”“เจ้าอย่าตะโกนมันจะตกใจข้ามาแล้ว”ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าและขี่เข้าไปใกล้ม้าพร้อมกับกระโดดไปที่ม้าตัวที่นางนั่งอยู่ เขาซ้อนตัวอยู่ด้านหลังของนางและเริ่มคุมบังเหียนม้าให้นิ่ง ใช้เวลาไม่นานมันก็ค่อยๆสงบลงและลดความเร็วลง “จับดีๆ ค่อยๆลุกขึ้นมาสิเจ้าปลอดภัยแล้ว”“ข้า…ข้าอยากลง”“หากเจ้ากลัวมัน เจ้าก็จะขี่มันไม่ได้ เจ้าลองลืมตาดูสิ”“ข้ากลัว ไม่เอา”นางลุกขึ้นได้ก็หันเข้าซบอกของเขาทันที ฟู่หย่งเล่อนั้นเร
สิบวันถัดมาพิธีอภิเษกท่านอ๋องและหลันเยว่ซินถูกจัดขึ้นหลังจากที่จัดการเรื่องกบฏซ่งเสวียนและลงโทษขุนนางที่เป็นผู้ร่วมมือซึ่งถูกจับมาได้หมด ทั้งหมดให้การรับสารภาพ แต่ก็ถูกปลดยศขุนนางและลงโทษเนรเทศออกจากเฉินโจว“พระชายาช่างงดงามยิ่งนัก”“ข้าเคยพบนางครั้งที่มาเดินตลาด ครั้งนั้นยังจ้องมองอยู่เลยแต่มิกล้าถามว่าเป็นบุตรสาวจวนใด ทั้งหน้าตาและผิวพรรณช่างแตกต่างกับชาวบ้านธรรมดาเหลือเกิน”“ช่างเหมาะสมกับท่านอ๋องยิ่งนัก”หลังพิธีอภิเษกที่ถูกจัดขึ้นที่ท้องพระโรงแล้ว ท่านอ๋องและพระชายาก็เดินออกมาพบปะกับประชาชนที่ระเบียงชั้นสามของวังหน้า ทั้งคู่ในชุดอภิเษกสีแดงสดยืนโบกมือให้กับประชาชนด้านล่าง“พระชายา วันนี้เจ้าเหนื่อยหรือไม่”“ไม่เพคะ เพียงแค่รอยยิ้มของทุกคนด้านล่างนั้นก็คุ้มค่าเพียงพอแล้วเพคะ”“ไปกันเถอะ เราต้องไปไหว้บรรพบุรุษและทำพิธีจารึกนามของพระชายาอีก”“เพคะ”ภารกิจหลายอย่างทั้งพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน แต่งตั้งพระชายาและจารึกชื่อในศาลบรรพชนสกุลจวินอ๋องผ่านไปด้วยดี จนเมื่อถึงเวลาส่งตัวเข้าห้องส่งตัวห้องส่งตัว“หลันเยว่ซิน ในที่สุดข้าก็ทิ้งฐานะเสด็จอาได้อย่างหมดสิ้นในวันนี้เอง”“ไม่คิดว่าพระองค์จะอย
จวินลู่หานถามชุนถง สาวใช้คนสนิทของเยว่ซินเมื่อเห็นนางเดินออกมาจากห้องของเยว่ซิน“ทูลท่านอ๋อง คุณหนูไปอาบน้ำเพคะ”“อ่อ งั้นหรือ เข้าใจแล้วเจ้าไปเถอะ”“เพคะ”เขาเดินตามเยว่ซินเข้าไปในห้องอาบน้ำทันที เมื่อเข้ามาก็เห็นว่านางนั่งพิงของสระอยู่ เขาจึงได้ค่อยๆเดินลงไปแช่น้ำกับนางทันที เมื่อลงไปแล้ว นางกลับไม่มีท่าทีตกใจหรือกล่าวว่าเขา อันที่จริง นางไม่พูดเลยต่างหาก“เยว่ซิน …เจ้ามาอาบน้ำนานแล้วงั้นหรือ”“…..”เยว่ซินมิได้ตอบเขานางหันข้างให้ท่านอ๋องเล็กน้อยแต่มิได้หนีไปที่ใด เขาจึงเดินไปอีกทางเพื่อดักนางเอาไว้“เยว่ซิน เหตุใดไม่ตอบข้า เจ้ายังโกรธข้าอยู่งั้นหรือ”นางเดินและเตรียมจะขึ้นเมื่อเขาดึงแขนนางเอาไว้ได้ทัน“เดี๋ยวสิอย่าพึ่งไป เจ้า….หากว่าเจ้าโกรธข้าจะด่าข้าก็ได้ หรือตีข้าก็ได้ แต่อย่าเดินหนีแล้วไม่คุยกับข้าเช่นนี้”หลันเยว่ซินหันไปมองท่านอ๋องแวบนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงที่เรียบไร้ความรู้สึก“รีบอาบแล้วตามขึ้นมา”“เยว่ซิน…”นางสลัดมือเขาออกและเดินขึ้นไปสวมเสื้อคลุมและเดินออกไปทันที ทิ้งให้ท่านอ๋องที่เริ่มทำตัวไม่ถูกกับท่าทีที่เย็นชานั้น เขาไม่เคยง้อสตรีที่มีอาการเช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าต
มีดปลายแหลมซึ่งเป็นอาวุธลับของแคว้นอวิ๋น ทำจากทองคำขาวบริสุทธิ์ ซึ่งอาวุธนี้มีเพียงคนของแคว้นอวิ๋นเท่านั้นที่มีใช้เพราะพวกเขาทำขึ้นมาเอง ทั้งร้ายแรงและคมดุจกระบี่และยังอาบยาพิษร้ายแรงอีกด้วย ซ่งเหมยลี่พุ่งตัวเข้าไปบังท่านอ๋องไว้ พร้อมกับมีดสั้นสีเงินด้านหลังที่พึ่งปักไปที่กลางหลังของซ่งเสวียน“เยว่ซิน!!”“แม่นางซ่ง!!”ซ่งเหมยลี่ใช้ตัวบังท่านอ๋องไว้ ครานี้นางได้ปกป้องชีวิตของเขาเอาไว้ตามแผนการที่บิดานางวางไว้เสียทีในที่สุด แต่อาวุธที่ปักที่อกของนางกลับเป็นมีดที่พ่อนางซัดใส่เองกับมือ“เหมย…เหมยลี่ ทำไม!!”ร่างของนางล้มลงพร้อมกับบาดแผลจากเลือดสีแดงสด เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำเพราะยาพิษที่อาบเอาไว้ที่มีด ท่านอ๋องรับซ่งเหมยลี่เอาไว้ในอ้อมแขน ซ่งเสวียนถูกฟู่หย่งเล่อจับตัวเอาไว้ แต่เขาเองก็กำลังหายใจรวยรินอยู่เช่นกันเพราะมีดของหลันเยว่ซินที่พุ่งมาปักกลางหลังของเขา“ท่านฆ่าพ่อข้าสินะ ข้าจะไม่กลายเป็นคนบ้านแตก หากมิใช่การกระทำของท่านในครั้งนั้น วันนี้ยังกล้าลอบสังหารท่านอ๋อง ท่านคิดว่าข้าจะยอมปล่อยให้ท่านทำเช่นนั้นหรือ!!”“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ นึกไม่ถึง….ว่าข้าจะถูกบุตรของศัตรูฆ่าเอาได้ เดิมทีคิดว่าจะตายเพร
“ตะ…แต่ว่า….”ท่านอ๋องเพียงแค่หันมาส่งสายตาเย็นให้เขาและเดินจากไปเมื่อทหารองครักษ์ควบคุมสองพ่อลูกเดินตามท่านอ๋องเข้าไปที่ท้องพระโรงด้านในท้องพระโรงเหล่าบรรดาขุนนาง กองทัพหลวงและขุนนางบางส่วนรอพวกเขาอยู่ด้านใน บางคนถูกเรียกเข้าเฝ้าโดยด่วน ส่วนใหญ่คือกรมคลัง สำนักหมอหลวง สำนักบัญชีและรองเจ้ากรมพิธีการ“พวกท่าน….”ซ่งเสวียนมองหน้าเหล่าขุนนางที่ยืนอยู่และมองมายังซ่งเสวียนสลับกับท่านอ๋องที่ขึ้นไปนั่งที่บัลลังก์แล้ว“วันนี้ข้าเรียกพวกท่านมาในเวลาเร่งด่วนเช่นนี้ ต้องขออภัยด้วย แต่ข้ามีเรื่องจำเป็นจะต้องแจ้งให้ทราบคิดว่าพวกท่านบางคน น่าจะพอทราบอยู่แล้วจากข่าวลือที่เป็นที่พูดถึงกันอยู่ในตอนนี้”“ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินชาวบ้านร่ำลือกันแล้วเรื่องพระชายาหลันเยว่ซิน”“ท่านอ๋อง!! แล้วบุตรีของกระหม่อมที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ ข่าวลือนี้…”“ใต้เท้าซ่งคงจะหมายถึง คนที่ท่านพยายามให้ไปป่าวประกาศเรื่องที่ซ่งเหมยลี่เสี่ยงชีวิตเข้าช่วยข้าจากคนร้ายสินะ”“ทะ…ท่านอ๋องตรัสสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่รู้เรื่อง”“งั้นหรือ เช่นนั้นก็…นำตัวนางเข้ามา!!”ฟู่หย่งเล่อพาต
เสียงนั้นดังไปทั่วจนคนเริ่มวิ่งหนีกันแตกตื่น คนร้ายล่าถอยไปจนหมดแล้วท่านอ๋องและเยว่ซินจึงเดินกลับมามอง จงลี่ประคองซ่งเหมยลี่เอาไว้ นางถูกแทงที่แขนขวา ซึ่งนางหันไปโดยรอบ“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องปลอดภัยดีหรือไม่”“แม่นางซ่ง ข้าปลอดภัยดี”“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันดีใจยิ่งนักที่พระองค์…..”“พานางขึ้นรถม้าไปสำนักหมอหลวง หย่งเล่อ เอาม้าให้ข้าตัวหนึ่งข้าจะพาเยว่ซินกลับตำหนัก”“พ่ะย่ะค่ะ”“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันจะตายหรือไม่เพคะ”ซ่งเหมยลี่เอื้อมมือมาที่ท่านอ๋องหมายจะให้เขาเห็นใจเพราะนางรับดาบแทนเขา แต่ท่านอ๋องทำเพียงหันไปมองนางเท่านั้น“บาดแผลเพียงแค่รอยถากนั่น คงไม่ถึงกับตายหรอกเจ้าเพียงแค่ตกใจเท่านั้น คุณชายลี่ ข้าฝากจัดการที่นี่ด้วย”“พ่ะย่ะค่ะ”“พี่ลู่หานนี่มันเกิดอะไรขึ้นเพคะ”“ขึ้นม้า กลับตำหนักกับข้าก่อน”“เพคะ”ท่านอ๋องพาเยว่ซินขึ้นม้าและวิ่งเข้าเมืองเฉินโจวไปทันที ท่ามกลางเสียงที่กระจายไปทั่วว่าซ่งเหมยลี่ช่วยชีวิตท่านอ๋องเอาไว้ ท่านอ๋องกำลังพานางกลับเข้าเมืองและคงจะแต่งตั้งพระชายาเร็วๆนี้ ข่าวนี้กระจายอย่างรวดเร็ว และคงจะเป็นที่พูดถึงอีกนานหากพระองค์ไม่ได้เสด็จเข้าประตูเมืองมาพร้อมกับหลันเยว่ซ
แม้ว่ายังไม่เข้าหน้าหนาว แต่อากาศที่ฮั่วซูในยามราตรีก็หนาวจนเยว่ซินตัวสั่น ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องกับนางจะพึ่งเสร็จสงครามรักที่เร่าร้อนบนเตียงมา แต่เมื่อผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามท่านอ๋องก็ต้องหาผ้าห่มมาเพิ่มให้นางและกอดนางเอาไว้“อุ่นหรือไม่”“อุ่นแล้วเพคะ เหตุใดถึงได้หนาวเช่นนี้”“เจ้าคงไม่จับไข้หรอกนะเยว่ซิน ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา”“ไม่เป็นไรเพคะ กอดแน่นๆหน่อย หม่อมฉันหนาว”แม้ว่าท่านอ๋องจะกอดนางแต่เยว่ซินก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหายตัวสั่น จวินลู่หานคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเขาที่รักนางหนักมากเกินไป เขาเองควรจะหยุดพักเสียบ้างเพราะร่างกายเยว่ซินอาจจะรับไม่ไหวเข้าสักวัน แม้ว่าความต้องการในตัวนางสำหรับเขานั้นไม่มีสิ้นสุดก็ตามห้าวันต่อมา“เสด็จพอ ครั้งนี้ข้าไปไม่นานจะรีบกลับ ไม่ต้องห่วงนะเพคะ”“เจ้าอย่าไปสร้างความวุ่นวายให้ท่านอ๋องกับพระชายาล่ะ”“ฝ่าบาทอย่าทรงเป็นห่วงเพคะ หม่อมฉันรักองค์หญิงดั่งน้องสาว ย่อมดูแลนางเป็นอย่างดีแน่เพคะ”“ท่านอ๋อง หลานสาวข้าฝากเข่ออ้ายด้วย อย่างน้อยมีเจ้าอยู่ นางก็คงจะยอมฟังบ้าง”“เพคะ”ภารกิจในเมืองกู่ที่เ่หลือหลังจากที่สองดินแดนลงนามสัญญาสร้างเขื่อนร่วมกันแล้ว ฝ่ายโยธาและ
หลันเยว่ซินที่ถูกคนข้างๆจ้องมองจนตาขวาง ในตอนนี้หลานเฟินและเข่ออ้ายเองก็เริ่มรู้สึกว่าเยว่ซินดูท่าจะลำบากไม่น้อยเมื่อท่านอ๋องดูท่าทางจะไม่ค่อยพอพระทัยเท่าใดนัก“พี่หลานเฟิน หรือนี่จะเป็น…เสด็จอาที่พี่เยว่ซินเคยพูดถึง”“ใช่ ผู้เดียวในใต้หล้าที่คว้าหัวใจสตรีอันดับหนึ่งของป๋อเหวิน และคนเดียวที่ทำให้เยว่ซินยอมได้ขนาดนี้”“แต่ว่าในตอนนั้นนางแทบจะไม่พูดถึงเสด็จอาเลย พวกเราได้รู้เรื่องก็เพราะพี่เยว่ซินไม่สบายแล้วเพ้อถึงเขา”“คืนนี้คงมีแค่เราสองคนแล้วล่ะ หากเจ้าอยากคุยกับเยว่ซินคงยากหน่อย ขนาดพวกข้าร่วมเดินทางมาพร้อมกันยังแทบจะไม่ได้พบหน้านางเลย เจ้าดูเอาเถอะ”“แล้วคนเช่นนี้นะหรือที่เสด็จพ่อจะส่งข้าไปแต่งกับเขา ไม่มีทางเสียล่ะ ก็ได้เช่นนั้นมีแค่เราสองคนก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้…ปรึกษาท่านเกี่ยวกับเรื่องของพี่ใหญ่ท่าน…”“หา นี่เข่ออ้าย เจ้าอย่าบอกข้านะว่า…เจ้ารู้สึกอะไรกับพี่ใหญ่ของข้าน่ะ”“ก็…เขาดูน่าสนใจกว่าท่านอ๋องผู้นั้นตั้งเยอะ ท่าทางที่เขาสู้กับข้าเมื่อครู่นี้ทำให้ข้ารู้สึกประทับใจยิ่งนัก”“เฮ้อ…เจ้านี่คงตาบอดโดยแท้ กล้าเอาเขาไปเทียบกับจวินอ๋องเชียวนะ ท่านอ๋องที่รูปงามดุจหยกประดับ กับ…เจ้าข