พิธีจบการศึกษาผ่านไปอย่างเต็มรูปแบบแต่ก็ไม่ได้มีความคึกคักเนื่องจากอยู่ในภาวะช่วงสงคราม แต่ละคนร่ำลาอาจารย์และทยอยลงเขา
ส่วนทางเยว่ซินนั้น ตำหนักอ๋องส่งจดหมายมาให้อาจารย์ที่สำนักและกำหนดวันที่จะมารับนางเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
“เยว่ซิน น่าเสียดายที่เจ้าต้องกลับไปกับรถม้าของตำหนัก ข้าอยากลงเขาไปกับเจ้า”
“เอาไว้พบกันที่เฉินโจวก็ได้ ข้าจะแวะไปเยี่ยมเจ้าบ่อยๆนะ”
“เจ้าพูดจริงนะ อย่าลืมเสียละ”
“ไม่ลืมแน่นอน รีบเก็บของเถอะ”
“เฮ้อ ต้องจากไปแล้วจริงๆ คงคิดถึงที่นี่ไม่น้อยเลยนะ”
“ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าพึ่งมาที่นี่เจ้าร้องไห้อยู่เดือนหนึ่งเต็มๆเพราะคิดถึงบ้าน”
“ก็ตอนนั้นข้ายังเด็ก ดูสิตอนนี้พวกเราโตแล้ว ดูเจ้าสิเยว่ซิน เจ้าไม่เคยส่งกระจกบ้างหรือว่าเจ้างดงามขนาดไหน สตรีอันดับหนึ่งของเฉินโจวคงต้องสะเทือนบ้างละหากเจ้ากลับไปครานี้”
“สตรีอันดับหนึ่ง คือสิ่งใดกันชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้น มีอะไรให้น่าชื่นชมกัน”
“ตายละเยว่ซิน เจ้าคงไม่คิดจะบวชเป็นแม่ชีหรอกนะ ดูพูดเข้าสิ เหตุใดเจ้าพูดแต่ละคำราวกับไม่สนใจทางโลกแล้วเช่นนี้เล่า ไม่เอาๆ หลังจากลงเขาไปแล้วเจ้าต้องมาหาข้า แล้วเราจะไปเที่ยวข้างล่างนั่นให้สะใจไปเลย ตกลงหรือไม่”
“ได้ เจ้าอยากไปที่ใดข้าก็จะไปเป็นเพื่อนเจ้าทุกที่เลยดีไหม แต่ตอนนี้เราต้องรีบเก็บของแล้วล่ะ พรุ่งนี้ต้องลงเขากันแล้ว”
วันลงเขา
เมื่อร่ำลาอาจารย์ทุกท่านแล้ว หลันเยว่ซินซึ่งเป็นศิษย์ที่เรียนเก่งที่สุดในรุ่นตามคาดก็ลงจากเขาพร้อมกับคนของตำหนักอ๋องทันที
เมื่อรถม้าเริ่มเข้าเมืองเฉินโจว ความคึกคักของตลาดที่นางไม่ได้เห็นมาในรอบหลายปีนั้นเหมือนจะยิ่งคึกคักมากกว่าเดิม ตอนนี้สงครามจบแล้ว แต่ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะยังกลับมาไม่ถึงเมืองเฉินโจวเพราะต้องเข้าเมืองหลวงรายงานสถานการณ์การรบกับฮ่องเต้ก่อนจะกลับมาที่นี่
ตำหนักท่านอ๋อง
ทุกคนล้วนตื่นเต้นดีใจที่คุณหนูหลันจะกลับมา จึงมายืนรออยู่ที่หน้าจวนอย่างจดจ่อเพื่อเฝ้ารอรถม้าของตำหนักมาถึง ไม่นานรถม้าก็จอดเทียบที่หน้าตำหนัก พร้อมกับประตูที่เปิดออกมา
หลันเยว่ซินที่รูปร่างสูงโปร่งสวมชุดสีขาวใบหน้าขาวอิ่มเอิบและงดงามตามวัยสาวสะพรั่งในวัยสิบเก้าปีเต็มเดินลงมาพร้อมกับความตกตะลึงของสาวใช้และบ่าวไพร่ในจวนอ๋อง
“คะ…คุณหนู คุณหนูหลันจริงๆด้วย งดงามราวบุบผาในสวนเซียน แม่นมเร็วเข้า แม่นมเถียนละ”
“คุณหนูเจ้าคะ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”
“แม่นม ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ รบกวนทุกคนแล้ว ขอบคุณที่ช่วยข้าดูแลแม่นม”
“คุณหนูอย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ รีบเข้าตำหนักก่อนเถิดเจ้าค่ะ พวกเรารอจัดงานต้อนรับคุณหนูอยู่ด้านในด้วยนะเจ้าคะ”
“ไม่น่าลำบากเลย ข้า…”
“พวกเราทุกคนคิดถึงคุณหนูมากๆเลยนะเจ้าคะ คุณหนูกลับมาครั้งนี้ อย่าไปไหนอีกนะเจ้าคะ”
“ขอบคุณทุกคนมากๆเลย ข้า…ซาบซึ้งใจมากๆ อ้อ ข้ามีของฝากมาให้ทุกคนเลย รบกวนท่านเอาลงมาทีนะเจ้าคะ”
“ขอรับคุณหนู เข้าไปพักก่อนเถิดขอรับ ทางนี้ไว้เป็นหน้าที่บ่าวจัดการเองขอรับ”
หลันเยว่ซินที่ยิ้มง่ายมากกว่าเดิมและเป็นมิตรกับทุกคนมากขึ้นทำให้ตำหนักอ๋องที่เงียบเหงามาแสนนานเริ่มคึกคักตั้งแต่นางกลับมา
เยว่ซินกลับมาที่เฉินโจวได้ร่วมเดือนแล้วแต่นางยังไม่เคยพบท่านอ๋องเลยสักครั้งเพราะเขายังเดินทางมาไม่ถึง ข่าวว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาถึงที่นี่ในอีกสามวันข้างหน้าทำให้ทั้งตำหนักเริ่มตื่นตัวและคึกคักอีกครั้ง
“คุณหนูเจ้าคะ เอาไว้ตรงไหนดีเจ้าคะ”
“ไม่ต้องจัดการอันใดมาก จัดแบบเรียบง่ายเพราะเราพึ่งผ่านสงครามมา”
“เจ้าค่ะ”
“ชุนถง ชุนถง…”
“คุณหนู ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
“ดูวิ่งเข้า เดี๋ยวก็ได้ชนของเข้าจนได้ ออกไปตลาดกับข้าหน่อย ข้าอยากได้ผักกาดเพิ่ม เอามาทำเกี๊ยว”
“เจ้าค่ะๆ ไปตลาดเจ้าค่ะ”
ชุนถงคือสาวใช้ที่ขอติดตามนางตั้งแต่เยว่ซินกลับมาที่นี่ นางแทบจะตัวติดกับเยว่ซินเพราะชื่นชอบเยว่ซินมาตั้งแต่นางออกไปศึกษาที่สำนักป๋อเหวิน ครั้งนั้นชุนถงพึ่งจะเข้ามาที่นี่ไม่นานเยว่ซินก็ถูกส่งไปที่สำนักศึกษา
ตลาดเมืองเฉินโจว
“ท่านป้า เอาผักกาดนี่เจ้าค่ะ ชุนถง…”
“เจ้าค่ะ นี่เจ้าค่ะค่าผัก คุณหนูเจ้าคะทางโน้นมีขนมอร่อยๆ ไปดูกันหรือไม่เจ้าคะ”
“ไปสิ เจ้านี่ออกมาไม่ได้เลยนะ หาขนมกินตลอด”
“นานๆจะได้ออกมาทีนี่เจ้าคะ ไปกันเจ้าค่ะ”
“ไปสิ”
ประตูเมืองเฉินโจว
“จงลี่ ให้ขบวนกลับไปที่ตำหนักก่อน ข้าอยากจะเข้าเมืองไปแบบคนธรรมดา จะสังเกตการณ์รอบๆเมืองด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องกลับมาถึงแล้ว แต่เขาเลือกจะเดินดูของในเมืองพร้อมกับองครักษ์แค่สองคนเพื่อตรวจสภาพเมืองหลังจากเสร็จศึกสงคราม เขาเดินมาจนถึงตลาดที่คึกคักก็รู้สึกพอใจที่เมืองกลับมาสงบลงอีกครั้ง
“คุณชาย ดูนั่นขอรับ”
บ่าวสกุลหวังชี้ให้ผู้เป็นนายที่พึ่งออกจากบ่อนดูสตรีที่งดงามข้างหน้าซึ่งพวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนหน้านี้
หวังเสิ่นอี้ คุณชายไม่ได้เรื่องของเสนาบดีหวังมองมายังสตรีโฉมงามที่เดินมากับสาวใช้เพื่อดูขนมและผลไม้เชื่อม เขามุ่งตรงไปที่นางทันทีด้วยความสนใจ เขาต้องรู้ให้ได้ว่านางคือบุตรจวนใดจะได้ให้บิดาทำเรื่องสู่ขอนาง
“แม่นางช้าก่อน”
หลันเยว่ซินมองบุรุษหนุ่มที่ยืนขวางทางอยู่อย่างไม่พอใจแต่ไม่ได้พูดสิ่งใด นางเพียงจะเดินเลี่ยงไปเท่านั้น
“เดี่ยวก่อนสิ ข้ายังไม่ได้อนุญาตให้เจ้าไปไหนเลย เหตุใดเจ้าไร้มารยาทเช่นนี้เล่า”
“ท่านต่างหากที่ไร้มารยาท คุณหนูข้าจะเดินไปท่านมาขวางเอาไว้”
“หุบปากนางบ่าวชั้นต่ำ กล้าดีอย่างไรมาตะคอกใส่ข้า ตบปากนาง!!”
“ช้าก่อน ท่านเป็นผู้ใด เหตุใดกล้ามาขู่ตบตีสาวใช้ของข้า”
“ดุเสียจริง แบบนี้ยิ่งถูกใจข้า แม่นาง ข้าไม่เคยพบเห็นเจ้ามาก่อน ไม่ทราบว่า…”
“ไม่พบก็ดีแล้ว ข้าเองคิดว่านั่นเป็นเรื่องดีในชีวิตข้า ขออภัย โปรดหลีกทาง”
“นี่!! ข้าพูดกับเจ้าดีๆ เหตุใดมาหยามเกียรติข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด”
หลันเยว่ซินมองบุรุษหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาเกลียดชังขึ้นเรื่อยๆ นางไม่เคยพบผู้ใดที่หลงตนเองเช่นนี้มาก่อนเลย
“ขออภัย ตัวท่านเองยังมิทราบว่าตัวเองคือผู้ใด แล้วจะให้ข้าทราบได้งั้นหรือ เรามิได้รู้จักกัน คุณชายโปรดหลีกทาง หาไม่แล้วอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจท่าน”
“จงลี่ เกิดอะไรขึ้น เหตุใดคนจึงมุงดูมากมายนัก”
“อ้อ ดูท่าคุณชายหวังไม่ได้เรื่องบุตรของเสนาบดีหวังจะก่อเรื่องอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ นั่นบ่าวสกุลหวัง ข้าเคยพบเขาไปส่งเสนาบดีหวังเข้าวัง”
“ไปดูหน่อยสิ”
ท่านอ๋องเดินไปยังที่ชุมนุมจึงได้ยินเสียงของบุตรชายเสนาบดีจอมโอ้อวด กำลังอวดตนต่อหน้าสตรีผู้หนึ่งซึ่งเขาเห็นเพียงด้านหลัง
“ข้าเป็นบุตรชายของเสนาบดีหวัง ว่าอย่างไร เจ้าจะยอมคุยกับข้าหรือยัง แม่นางคนงาม หากว่าเจ้าขอโทษข้า เรื่องนี้ข้าอาจจะให้อภัยเจ้าได้นะ”
ชาวบ้านต่างเอือมระอากับพฤติกรรมนี้ของบุตรชายเสนาบดีท่านนี้เต็มทีแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คุณชายหวังผู้ไม่ได้เรื่องนี้เป็นนักพนันและชายที่เอาแต่เที่ยวหอนางโลม ร่ำสุราเป็นนิจไม่ร่ำเรียนและใฝ่รู้ หลันเยว่ซิน มองเขาพร้อมหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยความรังเกียจ ใบหน้าและท่าทางที่นิ่งเฉยของนางทำให้จวินลู่หานรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
“หลีกทางไปเดี๋ยวนี้ เจ้าสุนัขปากเหม็นจอมโสโครก!!”
เมืองเหลียง / เฉินโจว“จะยอมบอกหรือไม่ ผู้ใดส่งเจ้ามาฆ่าล้างสกุลหลัน“ข้ายอมตายแต่ไม่มีทางยอมบอกเจ้า”“ได้ จงลี่ ตัดแขนซ้ายมันออก”“อยะ…นี่พวกเจ้า อย่านะ อ๊ากกก…….”เสียงที่ฟันฉับลงไปที่แขนนั้นทำให้ผู้ที่ถูกกระทำดิ้นพล่านจนแทบทนไม่ไหว สายตาเยือกเย็นดุจเพชฌฆาตหน้าหยกของท่านอ๋องและแม่ทัพหนุ่มแห่งเฉินโจวมองไปยังกบฏที่เขาจับตัวมาไตร่สวน คนที่เหลือเริ่มออกอาการสั่นกลัวจนตัวสั่น “ว่าอย่างไร ไม่มีผู้ใดกล้าพูดเลยงั้นหรือ ได้”ท่านอ๋อง “จวินลู่หาน” เดินไปลากตัวกบฏอีกคนออกมาพร้อมกับถีบเขาให้ล้มลงไปข้างๆศพที่ตายอยู่กับผู้ที่ถูกตัดแขนไป เขาก้มลงพร้อมกับเฉือนหูด้านขวาของกบฏออกไป เสียงร้องโหยหวนนั้นทำเอาเด็กน้อยที่อายุเพียงสิบสี่ที่มีแม่นมกอดอยู่ถึงกับไม่กล้ามอง“เจ้า…เจ้ามันโหดเหี้ยม ต่อหน้าเด็ก…ตัวเล็กๆ…เจ้ายังกล้าทำร้ายคน”“แล้วพวกเจ้าเล่า…พวกเจ้าฆ่าล้างตระกูลนาง ตอนนี้เจ้านับว่าเป็นอะไร ทางที่ดีบอกข้ามาดีๆว่าพวกเจ้ากบดานอยู่ที่ใด ไม่อย่างนั้น…แม้แต่ลูกเมียเจ้าข้าก็ไม่เว้น!!”“ข้ายอมแล้ว…ข้าบอก…ข้าบอกแล้ว”เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง เมื่อเห็นว่าหลายคนเริ่มตายลงไปพร้อมกับบาดเจ็บและนอนจมกองเล
“แต่ว่าท่านมิได้เป็นน้องชายบิดาข้า เหตุใดข้าถึงต้องเรียกท่านว่าท่านอาด้วย”“เช่นนั้นเจ้าอยากเรียกว่าอะไรเล่า”“ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ”“ข้ากับบิดาเจ้าสนิทสนมกันมาก ช่วงสงครามเคยติดตามเขาออกรบบ่อยๆ เขาเป็นแม่ทัพผู้กล้าที่ยากจะมีใครล้มได้ หากมิใช่แผนชั่วของซุนหวง เขาคง….”“พวกเขาเรียกท่านว่าท่านอ๋อง นั่นแสดงว่าท่านคือผู้ที่ปกครองเฉินโจว ท่านอ๋องจะมาเป็นท่านอาของข้าได้อย่างไรกัน”เขาหันมามองหน้าหลันเยว่ซิน นางฉลาดและมีความกล้าจริงๆ เขายิ้มให้นางเป็นยิ้มแรกที่ทำให้ หลันเยว่ซินมองแล้วรู้สึกอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ในยามเช้า แสงแรกที่ให้ชีวิตใหม่กับนาง แสงแรกที่เปิดออกจากห้องหนังสือตอนที่เขามาช่วยนางเอาไว้“ข้าอยากให้เจ้าเรียกท่านอา เจ้าก็เรียกท่านอา เอาไว้อีกหน่อยเจ้านึกได้แล้วว่าจะเปลี่ยนคำเรียก เราค่อยมาคุยกันใหม่ ดีหรือไม่”หลันเยว่ซินเงยหน้ามองท่านอ๋องที่ยืนสบตานาง สุดท้ายนางจึงคุกเข่าลง ท่านอ๋องตกใจเพราะนางทำเรื่องนี้กะทันหัน“หลันเยว่ซินคารวะท่านอา จากนี้ไปเยว่ซินจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านอาเจ้าค่ะ”จวินลู่หานถึงกับทำตัวไม่ถูก เขาพึ่งจะอายุยี่สิบสองแต่ต้องมาเป็นอาของเด็กที่อายุห่างจากเ
ท่านอ๋องมองหน้านางที่ยังเรียบสงบ แต่บรรยากาศรอบตัวเขากลับเย็นยะเยือกขึ้นอย่างน่าอึดอัดแปลกๆ เหมือนครั้งแรกที่เขาพบนางที่เมืองเหลียง นางมักจะทำให้เขาอึดอัดขึ้นมาจนน่าขนลุกได้เสมอโดยที่ตัวเขาก็ไม่ทราบสาเหตุ “เยว่ซิน เจ้าคิดดีแล้วแน่หรือเอาเก็บไปคิดอีกหน่อยดีหรือไม่ การไปที่สำนักศึกษานั่นต้องไปถึงสี่ปี กว่าจะได้กลับลงมา”“จะอยู่ที่ใดก็ไม่ต่างกันหรอกเพคะ หากไม่มีสิ่งใดแล้วหม่อมฉันขอตัวก่อน เรื่องกำหนดการรบกวนเสด็จ…เอ่อ ท่านอ๋องให้คนนำส่งให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”“หลันเยว่ซิน เหตุใดเจ้า…”“ขอบพระทัยที่ทรงดูแลตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีนี้นะเพคะ”“เยว่ซิน เดี๋ยวก่อนข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ ข้าแค่นำเรื่องนี้มาหารือกับเจ้า แต่เหตุใดเจ้า....”“ทูลลาเพคะ”เยว่ซินเดินถอยออกมาและคำนับให้เขาเต็มพิธีการและเดินออกจากห้องอักษรไป นางคิดถูกแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะตำหนักอ๋อง สำนักศึกษา หรือแม้กระทั่งข้างถนน ขอแค่นางยังมีชีวิตอยู่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับนางเรือนพักของเยว่ซิน“คุณหนู จะไปจริงๆหรือเจ้าคะ แล้ว…”“แม่นม ท่านเองก็ชรามากแล้ว ท่านรอข้าอยู่นี่เถิดเจ้าค่ะ อีกไม่นานข้าก็กลับ ไม่ต้องติด
พิธีจบการศึกษาผ่านไปอย่างเต็มรูปแบบแต่ก็ไม่ได้มีความคึกคักเนื่องจากอยู่ในภาวะช่วงสงคราม แต่ละคนร่ำลาอาจารย์และทยอยลงเขาส่วนทางเยว่ซินนั้น ตำหนักอ๋องส่งจดหมายมาให้อาจารย์ที่สำนักและกำหนดวันที่จะมารับนางเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว “เยว่ซิน น่าเสียดายที่เจ้าต้องกลับไปกับรถม้าของตำหนัก ข้าอยากลงเขาไปกับเจ้า”“เอาไว้พบกันที่เฉินโจวก็ได้ ข้าจะแวะไปเยี่ยมเจ้าบ่อยๆนะ”“เจ้าพูดจริงนะ อย่าลืมเสียละ”“ไม่ลืมแน่นอน รีบเก็บของเถอะ”“เฮ้อ ต้องจากไปแล้วจริงๆ คงคิดถึงที่นี่ไม่น้อยเลยนะ”“ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าพึ่งมาที่นี่เจ้าร้องไห้อยู่เดือนหนึ่งเต็มๆเพราะคิดถึงบ้าน”“ก็ตอนนั้นข้ายังเด็ก ดูสิตอนนี้พวกเราโตแล้ว ดูเจ้าสิเยว่ซิน เจ้าไม่เคยส่งกระจกบ้างหรือว่าเจ้างดงามขนาดไหน สตรีอันดับหนึ่งของเฉินโจวคงต้องสะเทือนบ้างละหากเจ้ากลับไปครานี้”“สตรีอันดับหนึ่ง คือสิ่งใดกันชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้น มีอะไรให้น่าชื่นชมกัน”“ตายละเยว่ซิน เจ้าคงไม่คิดจะบวชเป็นแม่ชีหรอกนะ ดูพูดเข้าสิ เหตุใดเจ้าพูดแต่ละคำราวกับไม่สนใจทางโลกแล้วเช่นนี้เล่า ไม่เอาๆ หลังจากลงเขาไปแล้วเจ้าต้องมาหาข้า แล้วเราจะไปเที่ยวข้างล่างนั่นให้สะใจไปเลย
ท่านอ๋องมองหน้านางที่ยังเรียบสงบ แต่บรรยากาศรอบตัวเขากลับเย็นยะเยือกขึ้นอย่างน่าอึดอัดแปลกๆ เหมือนครั้งแรกที่เขาพบนางที่เมืองเหลียง นางมักจะทำให้เขาอึดอัดขึ้นมาจนน่าขนลุกได้เสมอโดยที่ตัวเขาก็ไม่ทราบสาเหตุ “เยว่ซิน เจ้าคิดดีแล้วแน่หรือเอาเก็บไปคิดอีกหน่อยดีหรือไม่ การไปที่สำนักศึกษานั่นต้องไปถึงสี่ปี กว่าจะได้กลับลงมา”“จะอยู่ที่ใดก็ไม่ต่างกันหรอกเพคะ หากไม่มีสิ่งใดแล้วหม่อมฉันขอตัวก่อน เรื่องกำหนดการรบกวนเสด็จ…เอ่อ ท่านอ๋องให้คนนำส่งให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”“หลันเยว่ซิน เหตุใดเจ้า…”“ขอบพระทัยที่ทรงดูแลตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีนี้นะเพคะ”“เยว่ซิน เดี๋ยวก่อนข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ ข้าแค่นำเรื่องนี้มาหารือกับเจ้า แต่เหตุใดเจ้า....”“ทูลลาเพคะ”เยว่ซินเดินถอยออกมาและคำนับให้เขาเต็มพิธีการและเดินออกจากห้องอักษรไป นางคิดถูกแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะตำหนักอ๋อง สำนักศึกษา หรือแม้กระทั่งข้างถนน ขอแค่นางยังมีชีวิตอยู่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับนางเรือนพักของเยว่ซิน“คุณหนู จะไปจริงๆหรือเจ้าคะ แล้ว…”“แม่นม ท่านเองก็ชรามากแล้ว ท่านรอข้าอยู่นี่เถิดเจ้าค่ะ อีกไม่นานข้าก็กลับ ไม่ต้องติด
“แต่ว่าท่านมิได้เป็นน้องชายบิดาข้า เหตุใดข้าถึงต้องเรียกท่านว่าท่านอาด้วย”“เช่นนั้นเจ้าอยากเรียกว่าอะไรเล่า”“ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ”“ข้ากับบิดาเจ้าสนิทสนมกันมาก ช่วงสงครามเคยติดตามเขาออกรบบ่อยๆ เขาเป็นแม่ทัพผู้กล้าที่ยากจะมีใครล้มได้ หากมิใช่แผนชั่วของซุนหวง เขาคง….”“พวกเขาเรียกท่านว่าท่านอ๋อง นั่นแสดงว่าท่านคือผู้ที่ปกครองเฉินโจว ท่านอ๋องจะมาเป็นท่านอาของข้าได้อย่างไรกัน”เขาหันมามองหน้าหลันเยว่ซิน นางฉลาดและมีความกล้าจริงๆ เขายิ้มให้นางเป็นยิ้มแรกที่ทำให้ หลันเยว่ซินมองแล้วรู้สึกอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ในยามเช้า แสงแรกที่ให้ชีวิตใหม่กับนาง แสงแรกที่เปิดออกจากห้องหนังสือตอนที่เขามาช่วยนางเอาไว้“ข้าอยากให้เจ้าเรียกท่านอา เจ้าก็เรียกท่านอา เอาไว้อีกหน่อยเจ้านึกได้แล้วว่าจะเปลี่ยนคำเรียก เราค่อยมาคุยกันใหม่ ดีหรือไม่”หลันเยว่ซินเงยหน้ามองท่านอ๋องที่ยืนสบตานาง สุดท้ายนางจึงคุกเข่าลง ท่านอ๋องตกใจเพราะนางทำเรื่องนี้กะทันหัน“หลันเยว่ซินคารวะท่านอา จากนี้ไปเยว่ซินจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านอาเจ้าค่ะ”จวินลู่หานถึงกับทำตัวไม่ถูก เขาพึ่งจะอายุยี่สิบสองแต่ต้องมาเป็นอาของเด็กที่อายุห่างจากเ
เมืองเหลียง / เฉินโจว“จะยอมบอกหรือไม่ ผู้ใดส่งเจ้ามาฆ่าล้างสกุลหลัน“ข้ายอมตายแต่ไม่มีทางยอมบอกเจ้า”“ได้ จงลี่ ตัดแขนซ้ายมันออก”“อยะ…นี่พวกเจ้า อย่านะ อ๊ากกก…….”เสียงที่ฟันฉับลงไปที่แขนนั้นทำให้ผู้ที่ถูกกระทำดิ้นพล่านจนแทบทนไม่ไหว สายตาเยือกเย็นดุจเพชฌฆาตหน้าหยกของท่านอ๋องและแม่ทัพหนุ่มแห่งเฉินโจวมองไปยังกบฏที่เขาจับตัวมาไตร่สวน คนที่เหลือเริ่มออกอาการสั่นกลัวจนตัวสั่น “ว่าอย่างไร ไม่มีผู้ใดกล้าพูดเลยงั้นหรือ ได้”ท่านอ๋อง “จวินลู่หาน” เดินไปลากตัวกบฏอีกคนออกมาพร้อมกับถีบเขาให้ล้มลงไปข้างๆศพที่ตายอยู่กับผู้ที่ถูกตัดแขนไป เขาก้มลงพร้อมกับเฉือนหูด้านขวาของกบฏออกไป เสียงร้องโหยหวนนั้นทำเอาเด็กน้อยที่อายุเพียงสิบสี่ที่มีแม่นมกอดอยู่ถึงกับไม่กล้ามอง“เจ้า…เจ้ามันโหดเหี้ยม ต่อหน้าเด็ก…ตัวเล็กๆ…เจ้ายังกล้าทำร้ายคน”“แล้วพวกเจ้าเล่า…พวกเจ้าฆ่าล้างตระกูลนาง ตอนนี้เจ้านับว่าเป็นอะไร ทางที่ดีบอกข้ามาดีๆว่าพวกเจ้ากบดานอยู่ที่ใด ไม่อย่างนั้น…แม้แต่ลูกเมียเจ้าข้าก็ไม่เว้น!!”“ข้ายอมแล้ว…ข้าบอก…ข้าบอกแล้ว”เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง เมื่อเห็นว่าหลายคนเริ่มตายลงไปพร้อมกับบาดเจ็บและนอนจมกองเล