เมืองเหลียง / เฉินโจว
“จะยอมบอกหรือไม่ ผู้ใดส่งเจ้ามาฆ่าล้างสกุลหลัน
“ข้ายอมตายแต่ไม่มีทางยอมบอกเจ้า”
“ได้ จงลี่ ตัดแขนซ้ายมันออก”
“อยะ…นี่พวกเจ้า อย่านะ อ๊ากกก…….”
เสียงที่ฟันฉับลงไปที่แขนนั้นทำให้ผู้ที่ถูกกระทำดิ้นพล่านจนแทบทนไม่ไหว สายตาเยือกเย็นดุจเพชฌฆาตหน้าหยกของท่านอ๋องและแม่ทัพหนุ่มแห่งเฉินโจวมองไปยังกบฏที่เขาจับตัวมาไตร่สวน คนที่เหลือเริ่มออกอาการสั่นกลัวจนตัวสั่น
“ว่าอย่างไร ไม่มีผู้ใดกล้าพูดเลยงั้นหรือ ได้”
ท่านอ๋อง “จวินลู่หาน” เดินไปลากตัวกบฏอีกคนออกมาพร้อมกับถีบเขาให้ล้มลงไปข้างๆศพที่ตายอยู่กับผู้ที่ถูกตัดแขนไป เขาก้มลงพร้อมกับเฉือนหูด้านขวาของกบฏออกไป เสียงร้องโหยหวนนั้นทำเอาเด็กน้อยที่อายุเพียงสิบสี่ที่มีแม่นมกอดอยู่ถึงกับไม่กล้ามอง
“เจ้า…เจ้ามันโหดเหี้ยม ต่อหน้าเด็ก…ตัวเล็กๆ…เจ้ายังกล้าทำร้ายคน”
“แล้วพวกเจ้าเล่า…พวกเจ้าฆ่าล้างตระกูลนาง ตอนนี้เจ้านับว่าเป็นอะไร ทางที่ดีบอกข้ามาดีๆว่าพวกเจ้ากบดานอยู่ที่ใด ไม่อย่างนั้น…แม้แต่ลูกเมียเจ้าข้าก็ไม่เว้น!!”
“ข้ายอมแล้ว…ข้าบอก…ข้าบอกแล้ว”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง เมื่อเห็นว่าหลายคนเริ่มตายลงไปพร้อมกับบาดเจ็บและนอนจมกองเลือดข้างหน้า
“ดี งั้นเจ้า บอกข้ามา”
“ใต้…ใต้เท้าซุน…ซุนหวง แม่ทัพเมืองต้าเหลียง….เขา…สั่งให้พวกข้ามาจัดการสกุลหลันเพื่อจะได้บั่นทอนกำลังของเฉินโจว”
“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร ว่าที่พูดมานั่น มิได้โกหก และไม่ได้ใส่ความขุนนางต่างแคว้น”
“ข้า…ข้ามีหลักฐาน ท่านแม่ทัพโปรดดูนี่ นี่คือตราหยกของแม่ทัพซุน พวกเราได้รับคำสั่งจากเขา และเขาก็มีป้ายหยกนี่เช่นกันขอรับ”
“พวกมันอยู่ที่ใด”
“กองกำลังหลังจากปล้นอาวุธของสกุลหลันแล้ว พวก…พวกข้านัดกันว่าจะไปพบกันที่หลังเขาเซิ่งหวาง ชาย…ชายแดนของเฉินโจวและแคว้น..อะ….อวิ๋นขอรับ”
“ท่านอ๋อง”
“อืม”
ท่านอ๋องพยักหน้าให้จงลี่ทันที ข่าวนี้ตรงกับที่เขาได้รับเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนว่ากำลังปล้นอาวุธจากสกุลหลัน มุ่งหน้าไปที่นั่น
เขาพยักหน้าให้จงลี่เพื่อสั่งกองทัพให้ตามไปจัดการก่อนที่พวกมันจะส่งอาวุธข้ามชายแดนไปได้
“ในเมื่อสอบสวนเรียบร้อยแล้ว ส่วนครอบครัวของเจ้า ข้าจะไว้ชีวิต หลังจากนี้อย่าได้ให้ข้าเห็นหน้าเจ้าที่เฉินโจวอีก ไปเสีย”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ ขอบคุณ”
กบฏผู้นั้นรีบวิ่งออกไป ท่านอ๋องคว้าทวนข้างๆกายเขาและพุ่งตรงไปยังกบฏผู้นั้นทันที ทวนนั้นแทงทะลุจนเขาล้มลง พวกที่เหลือต่างร้องระงมเพราะความโกรธแต่ทำอะไรไม่ได้
“ท่านมันโหดเหี้ยม ไหนท่านรับปากว่าจะปล่อยเขา คนโกหก!! ไม่รักษาสัจจะ”
“ข้าบอกว่า….ไว้ชีวิตครอบครัวของเขา ไม่ได้พูดสักคำว่า…จะไว้ชีวิตเขา จงลี่…เก็บกวาดให้ที ที่นี่ต้องไม่มีสิ่งสกปรกของพวกแคว้นอวิ๋นอยู่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จงลี่และทหารที่เหลือเดินเข้าโอบล้อมพวกกบฏพร้อมๆกัน ท่านอ๋องเดินมาที่แม่นมเถียนที่ยืนกอดคุณหนู “หลันเยว่ซิน” อยู่ นางยังคงก้มหน้าซุกอกแม่นมอยู่
“เจ้า…พานางตามข้าออกมา”
กลิ่นเลือดคาวคละคลุ้งจนติดจมูก หลันเยว่ซินที่อายุเพียงสิบสี่ปีเต็มในปีนี้ต้องตื่นมาตอนดึกเมื่อพบว่าในจวนเกิดการบุกรุก และบิดาของนางให้นางและแม่นมมาหลบในห้องลับหลังห้องหนังสือ
“ซินเอ๋อร์ ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรห้ามร้อง ห้ามตะโกน และห้ามออกมาเป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่”
“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าจะไปกับท่านพ่อ”
“ซินเอ๋อร์ได้เวลาเข้านอนแล้ว แม่นมเถียนจะพาเจ้าเข้านอน วันนี้เปลี่ยนที่นอนก่อนนะ พรุ่งนี้พ่อจะมาปลุกเจ้า”
แต่พรุ่งนี้ของท่านพ่อไม่มีอีกแล้ว เมื่อกบฏแคว้นอวิ๋นที่อาศัยจังหวะที่ท่านพ่อนางไม่ทันตั้งตัว โอบล้อมเข้าโจมตีและปล้นเอาอาวุธจากคลังของสกุลหลันออกไปพร้อมกับฆ่าล้างตระกูลหลัน เหลือเพียงแม่นมที่ร้องไห้จวนจะขาดใจ
เสียงตู้หนังสือของบิดาขยับ ลำแสงของเช้าวันใหม่ส่องเข้ามา สายตาของนางหันไปมองเห็นบุรุษหนุ่มในชุดเกราะสีเงินแต่มองเห็นหน้าเขาไม่ชัด
“หลันเยว่ซิน ออกมาเถิด ข้ามาช่วยเจ้า”
“ท่านคือผู้ใด”
“ข้าคือท่านอ๋องจวิน จวินลู่หาน เป็นอ๋องปกครองเฉินโจวและแม่ทัพใหญ่ของเฉินโจว เป็น….สหายกับบิดาของเจ้า”
มือที่ชุ่มด้วยเลือดของศัตรูยื่นมาให้นางจับ มองดูก็รู้ว่าเขาคงฝ่าดงกบฏเพื่อมาถึงที่นี่ เมืองเหลียงที่นางอยู่เป็นด่านหน้า อยู่ติดชายแดนแคว้นอวิ๋น มีแม่ทัพหลันเว่ยบิดาของนางเป็นผู้ดูแลกองทัพ
นางค่อยๆยื่นมือไปจับเขาและเดินออกจากห้องหนังสือ จนเดินมายังลานกลางบ้านซึ่งบัดนี้ เต็มไปด้วยคนตาย
“กลัวหรือไม่”
“ไม่เจ้าค่ะ”
“ดีมาก เจ้าเป็นบุตรีท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ อย่าได้กลัวที่จะฆ่าศัตรู โดยเฉพาะศัตรูที่ปลิดชีพบิดาเจ้า”
“ข้าจะฆ่ามันเอง”
“เด็กน้อยใจเย็นๆ”
“ข้ามิใช่เด็กน้อย ข้าฝึกอาวุธกับอาจารย์มา วิชายุทธ์ข้าก็ร่ำเรียน อาวุธทั้งหลาย หอก ดาบ ธนู ทวน แส้ล้วนฝึกมาเพื่อการนี้ ข้าไม่กลัวพวกมัน มันฆ่าท่านพ่อของข้า”
“เด็ก…เอ่อ…หลันเยว่ซิน ข้ารู้ว่าเลือดแม่ทัพหลันในกายเจ้าช่างเข้มแข็งและห้าวหาญ เพียงแต่ว่าวันนี้ยังไม่ถึงเวลา มากับข้าเถิด”
เขาพานางมาและทรมานกบฏให้ดูทีละคน จนถึงตอนสุดท้ายที่แม่นมพานางเดินออกจากประตูจวนสกุลหลันนั่นเอง
“เจ้าเป็นแม่นมของนางใช่หรือไม่”
“เรียนท่านแม่ทัพ ใช่เจ้าค่ะ”
“เจ้าไปรอที่รถม้าก่อน ข้าขอคุยกับหลันเยว่ซินสักครู่”
“เหตุใดท่านต้องไล่แม่นมไปด้วย”
“ข้าไม่ได้ไล่เด็กน้อย ข้าเพียงแค่..”
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ใช่เด็ก ข้าอายุสิบสี่ปีเต็มมาสี่วันแล้ว อีกสามปีก็เข้าพิธีปักปิ่น ข้าโตแล้ว”
“ได้ ข้าผิดเอง เช่นนั้น ข้าขอคุยกับเจ้าตามลำพังได้หรือไม่…คุณหนูหลัน”
แม้ว่าจะยังไม่ได้โตเต็มที่ และไม่ใช่เด็กอย่างเช่นที่นางพูด สายตาและท่าทางของหลันเยว่ซินที่ท่านอ๋องเห็นตรงหน้าก็ทำให้เขานึกชื่นชมนางไม่น้อย
ความหยิ่งผยองและความกล้าหาญทั้งๆที่มือนางสั่นและแววตาที่พยายามจะหลบซ่อนความกลัวนั้นเอาไว้ให้ลึกที่สุดทำให้เขานึกสนใจ
“แม่นมไปเถิด ข้า…จะอยู่คุยกับท่านแม่ทัพ”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
“ท่านแม่ทัพเชิญกล่าวเจ้าค่ะ”
“เอ๊ะคุณหนู ท่านนี้หาใช่ท่านแม่ทัพไม่นะขอรับ พระองค์…”
ท่านอ๋องยกมือไม่ให้จงลี่พูดต่อ เขาเงียบลงทันทีพร้อมกับคำนับและเดินจากไป จวินลู่หานในวัยยี่สิบสองหันไปมองสบตาหลันเยว่ซิน เด็กสาวหน้าตามอมแมมตรงหน้าแต่จ้องเขาตาไม่กะพริบ มองแล้วก็อดนึกขำไม่ได้
“คุณหนูหลัน เชิญตามข้ามาทางนี้เถอะ”
เขาเดินนำนางไปที่สวนด้านหลัง ซึ่งเคยเป็นที่ฝึกวิชาและลานฝึกอาวุธของสกุลหลันมาก่อน แต่บัดนี้ไร้ผู้คน มีแต่อาวุธที่ใช้ฝึกที่ล้มเกลื่อนกราด
“ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยบิดาของเจ้า แต่ว่าน่าเสียดาย…”
“ท่านมาช้าไป….ท่านพ่อข้าจึงรอไม่ไหว”
“เจ้าจะตำหนิข้าก็ได้ แต่ว่าในตอนนี้เจ้าเหลือตัวคนเดียว และบัดนี้ข้าจะบอกเจ้าว่า จะรับเจ้าไปอยู่ที่เฉินโจวด้วย ส่งเจ้าร่ำเรียน หากอยากเรียนวิชาใด ข้าจะหาอาจารย์มาฝึกให้เจ้า ดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ตอบแทนแม่ทัพหลันที่สู้จนตัวตายเพื่อเฉินโจว”
“แล้วแม่นมของข้าเล่า”
“แน่นอน นางต้องตามไปดูแลเจ้า”
“ให้ข้าเรียกท่านว่าอย่างไร”
เขาหันไปมองหน้าเด็กสาวที่แววตาเริ่มอ่อนโยนลงหลังจากที่เขาบอกนางเรื่องเรียน นั่นแสดงว่านางคงเป็นเด็กที่รักเรียนและชอบการฝึกอาวุธ ไม่ต่างกับที่หลันเว่ยเคยบอกกับเขา
“เรียกข้าว่าท่านอาก็แล้วกัน”
“แต่ว่าท่านมิได้เป็นน้องชายบิดาข้า เหตุใดข้าถึงต้องเรียกท่านว่าท่านอาด้วย”“เช่นนั้นเจ้าอยากเรียกว่าอะไรเล่า”“ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ”“ข้ากับบิดาเจ้าสนิทสนมกันมาก ช่วงสงครามเคยติดตามเขาออกรบบ่อยๆ เขาเป็นแม่ทัพผู้กล้าที่ยากจะมีใครล้มได้ หากมิใช่แผนชั่วของซุนหวง เขาคง….”“พวกเขาเรียกท่านว่าท่านอ๋อง นั่นแสดงว่าท่านคือผู้ที่ปกครองเฉินโจว ท่านอ๋องจะมาเป็นท่านอาของข้าได้อย่างไรกัน”เขาหันมามองหน้าหลันเยว่ซิน นางฉลาดและมีความกล้าจริงๆ เขายิ้มให้นางเป็นยิ้มแรกที่ทำให้ หลันเยว่ซินมองแล้วรู้สึกอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ในยามเช้า แสงแรกที่ให้ชีวิตใหม่กับนาง แสงแรกที่เปิดออกจากห้องหนังสือตอนที่เขามาช่วยนางเอาไว้“ข้าอยากให้เจ้าเรียกท่านอา เจ้าก็เรียกท่านอา เอาไว้อีกหน่อยเจ้านึกได้แล้วว่าจะเปลี่ยนคำเรียก เราค่อยมาคุยกันใหม่ ดีหรือไม่”หลันเยว่ซินเงยหน้ามองท่านอ๋องที่ยืนสบตานาง สุดท้ายนางจึงคุกเข่าลง ท่านอ๋องตกใจเพราะนางทำเรื่องนี้กะทันหัน“หลันเยว่ซินคารวะท่านอา จากนี้ไปเยว่ซินจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านอาเจ้าค่ะ”จวินลู่หานถึงกับทำตัวไม่ถูก เขาพึ่งจะอายุยี่สิบสองแต่ต้องมาเป็นอาของเด็กที่อายุห่างจากเ
ท่านอ๋องมองหน้านางที่ยังเรียบสงบ แต่บรรยากาศรอบตัวเขากลับเย็นยะเยือกขึ้นอย่างน่าอึดอัดแปลกๆ เหมือนครั้งแรกที่เขาพบนางที่เมืองเหลียง นางมักจะทำให้เขาอึดอัดขึ้นมาจนน่าขนลุกได้เสมอโดยที่ตัวเขาก็ไม่ทราบสาเหตุ “เยว่ซิน เจ้าคิดดีแล้วแน่หรือเอาเก็บไปคิดอีกหน่อยดีหรือไม่ การไปที่สำนักศึกษานั่นต้องไปถึงสี่ปี กว่าจะได้กลับลงมา”“จะอยู่ที่ใดก็ไม่ต่างกันหรอกเพคะ หากไม่มีสิ่งใดแล้วหม่อมฉันขอตัวก่อน เรื่องกำหนดการรบกวนเสด็จ…เอ่อ ท่านอ๋องให้คนนำส่งให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”“หลันเยว่ซิน เหตุใดเจ้า…”“ขอบพระทัยที่ทรงดูแลตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีนี้นะเพคะ”“เยว่ซิน เดี๋ยวก่อนข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ ข้าแค่นำเรื่องนี้มาหารือกับเจ้า แต่เหตุใดเจ้า....”“ทูลลาเพคะ”เยว่ซินเดินถอยออกมาและคำนับให้เขาเต็มพิธีการและเดินออกจากห้องอักษรไป นางคิดถูกแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะตำหนักอ๋อง สำนักศึกษา หรือแม้กระทั่งข้างถนน ขอแค่นางยังมีชีวิตอยู่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับนางเรือนพักของเยว่ซิน“คุณหนู จะไปจริงๆหรือเจ้าคะ แล้ว…”“แม่นม ท่านเองก็ชรามากแล้ว ท่านรอข้าอยู่นี่เถิดเจ้าค่ะ อีกไม่นานข้าก็กลับ ไม่ต้องติด
พิธีจบการศึกษาผ่านไปอย่างเต็มรูปแบบแต่ก็ไม่ได้มีความคึกคักเนื่องจากอยู่ในภาวะช่วงสงคราม แต่ละคนร่ำลาอาจารย์และทยอยลงเขาส่วนทางเยว่ซินนั้น ตำหนักอ๋องส่งจดหมายมาให้อาจารย์ที่สำนักและกำหนดวันที่จะมารับนางเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว “เยว่ซิน น่าเสียดายที่เจ้าต้องกลับไปกับรถม้าของตำหนัก ข้าอยากลงเขาไปกับเจ้า”“เอาไว้พบกันที่เฉินโจวก็ได้ ข้าจะแวะไปเยี่ยมเจ้าบ่อยๆนะ”“เจ้าพูดจริงนะ อย่าลืมเสียละ”“ไม่ลืมแน่นอน รีบเก็บของเถอะ”“เฮ้อ ต้องจากไปแล้วจริงๆ คงคิดถึงที่นี่ไม่น้อยเลยนะ”“ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าพึ่งมาที่นี่เจ้าร้องไห้อยู่เดือนหนึ่งเต็มๆเพราะคิดถึงบ้าน”“ก็ตอนนั้นข้ายังเด็ก ดูสิตอนนี้พวกเราโตแล้ว ดูเจ้าสิเยว่ซิน เจ้าไม่เคยส่งกระจกบ้างหรือว่าเจ้างดงามขนาดไหน สตรีอันดับหนึ่งของเฉินโจวคงต้องสะเทือนบ้างละหากเจ้ากลับไปครานี้”“สตรีอันดับหนึ่ง คือสิ่งใดกันชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้น มีอะไรให้น่าชื่นชมกัน”“ตายละเยว่ซิน เจ้าคงไม่คิดจะบวชเป็นแม่ชีหรอกนะ ดูพูดเข้าสิ เหตุใดเจ้าพูดแต่ละคำราวกับไม่สนใจทางโลกแล้วเช่นนี้เล่า ไม่เอาๆ หลังจากลงเขาไปแล้วเจ้าต้องมาหาข้า แล้วเราจะไปเที่ยวข้างล่างนั่นให้สะใจไปเลย
เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อหลันเยว่ซินพูดจบ มีเสียงหัวเราะเกิดขึ้นโดยรอบแม้แต่ท่านอ๋องและจงลี่เองก็อดขำไม่ได้ คำนี้ดูจะเหมาะกับชายคนนี้เสียจริงหวังเสิ่นอี้ไม่พอใจและรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก เขาเงื้อมือขึ้นมาจะตบนาง เยว่ซินเองก็เตรียมอาวุธลับในมือแล้วเช่นกัน แต่พอเขายกมือขึ้นมา ท่านอ๋องดึงปลอกดาบของจงลี่พุ่งไปที่มือของหวังเสิ่นอี้ แรงนั้นทำให้แขนเขาพลิกไปทันที“โอ๊ย ใครลอบโจมตีข้า นี่เจ้า!! ฮึ้ย….”หวังเสิ่นอี้กำหมัดแน่นและพุ่งเข้าใส่หลันเยว่ซินแต่นางหลบทันพร้อมกับใช้ขาขวางทางเขาเอาไว้พร้อมกับดึงสายเสื้อเขาออกมาและรัดคอเขาและดึงไปรอบๆถนนและฟาดไปที่ต้นไม้อีกฝั่งหนึ่งทันทีพร้อมความสะใจของผู้ที่พบเห็น“ฝีมือไม่เลวนี่”“นี่เจ้า…เจ้า”“ทำไม คุณชายอยากจะลองอีกสักท่าหรือไม่”“เจ้า…หากว่าเจ้าไม่ยั่วยวนข้า ข้าก็คงไม่ต้องทำเช่นนี้ เจ้ามันหญิงแพศยา”“นี่เจ้า!!…..”“ผลัก!!..”หลันเยว่ซินไม่ทันได้ลงมือ ฝ่าเท้าท่านอ๋องพุ่งไปที่ใบหน้าของหวังเสิ่นอี้เต็มแรง ใบหน้าของเขาตอนนี้มีรอยเท้าของคนที่ส่งไปให้เต็มหน้า เลือดที่ออกจากทั้งปากและจมูกนั่นทำให้เขาสลบลงไปทันที“ขอบ…”“เขาพูดเรื่องจริงหรือไม่ที่แม่นางไปยั่วย
หญิงสาวได้แต่เดินไปโดยไม่ได้ตอบเขา เมื่อเห็นว่านางไม่ตอบ ผู้เป็นเสด็จอาจึงได้รั้งแขนนั้นเอาไว้ บัดนี้ดูเหมือนนางจะไม่ใช่เด็กสาวในวัยเยาว์ที่เขารับมาจากเมืองเหลียงอีกต่อไป หากแต่ตอนนี้นางเติบโตเป็นสตรีเต็มวัยที่สามารถออกเรือนได้แล้ว ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ“เจ้ายังไม่ตอบข้าเลย ตกลงว่าข้าจะได้กิน…เกี๊ยวที่เจ้าทำใช่หรือไม่”เย่วซินหันไปมองหน้าบุรุษหนุ่มที่บัดนี้มองนางด้วยสายตาที่ไม่เหมือนกับเมื่อสี่ปีที่แล้ว นางเองก็ไม่รู้ว่าควรรู้สึกเช่นไรกับเขาดี ก่อนหน้านี้เห็นเขาเป็นเพียงท่านอาที่รับดูแลนางจากคนบ้านแตกแต่บัดนี้ดูเหมือนการมองพระพักตร์ของท่านอ๋องนั้นจะยากยิ่งกว่าเดิม หัวใจเจ้ากรรมนี้ก็เช่นกัน มันเต้นรัวไม่หยุดอย่างที่นางควบคุมไม่ได้ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน“นั่น…ย่อมแน่นอนเพคะ หม่อมฉันตั้งใจ…จะทำให้พระองค์เสวยนี่เพคะ”“ได้ เช่นนั้นก็รีบกลับไปทำเถิด ข้ารอแทบไม่ไหวแล้ว ออกศึกครั้งนี้นานเหลือเกิน รสชาติอาหารที่ทำสุกใหม่ๆเป็นเช่นไรก็แทบจะจำไม่ได้แล้ว”“พระองค์คงลำบากมากเลยสินะเพคะ”“แล้วเจ้าเล่าเยว่ซิน ไปอยู่ที่สำนักศึกษาเสียตั้งนาน เจ้า….ลำบากหรือไม่”“ไม่เลยเพคะ
“หม่อมฉัน…”“อย่าดื้อ เจ้าก็ยังเป็นเจ้า ไม่ค่อยเชื่อฟังข้าอยู่ร่ำไป มานี่”เขาจับแขนนางและพาเดินเข้าไปยังห้องด้านในเพื่อทำแผลให้ กล่องยาถูกนำมาวางโดยจงลี่ที่รู้หน้าที่ เขาจึงได้แกะผ้าที่เขาผูกเอาไว้ออกและเริ่มทาวยาให้นาง ใบหน้าน้อยๆนั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย“เจ็บหรือ ข้าทำแรงไปงั้นหรือ”“ปละ…เปล่าเพคะ หม่อมฉันทนได้”“ท่านอ๋องเพคะ คุณหนู เกี๊ยวพร้อมแล้วเพคะ”“เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ เจ้าลุกไหวหรือไม่”“ไหวเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่มีดบาดนิดเดียวเองนะเพคะเสด็จอา”“อ้อ เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”เยว่ซินทำหน้าไม่ถูก ปกติแล้วก่อนหน้านี้เสด็จอาเคยเป็นเช่นนี้กับนางด้วยงั้นหรือ แต่นั่นจะนับเป็นอะไรได้ นางมาอาศัยที่ตำหนักอ๋องเพียงหนึ่งปีก็ถูกส่งไปที่สำนักศึกษา และช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ท่านอ๋องไม่ค่อยว่างจากราชกิจในวังเลย เวลาพบหน้ากันก็พูดคุยและถกแค่การบ้านที่อาจารย์ที่เขาจัดมาสอนนางเท่านั้น เรื่องอื่นๆแทบจะไม่ได้คุยกันเลย“นี่คือเกี๊ยวที่เจ้าพูดสินะ ข้ากินได้เลยใช่หรือไม่”“เพคะ เสด็จอาลองชิมดูเพคะ”เขาตักเกี๊ยวที่พอดีคำขึ้นมาพร้อมกับชิมตามที่นางบอก สัมผัสของแผ่นเกี๊ยวที่พอดีคำเข้ากับน้ำต้มกระดูกหมอที่เคี่ยวจน
ท่านอ๋องจิบชาและลอบมองนางที่ทำสีหน้าไม่ใครสู้ดีนักอย่างนึกสนใจพร้อมกับวางถ้วยชาลง“ใช่ เยว่ซินของข้ากลับมาได้เดือนกว่าๆแล้ว น่าแปลกนะที่เจ้าไม่รู้ ทั้งๆที่ข้าพึ่งก้าวเข้าตำหนักไม่ถึงสองชั่วยาม แต่เจ้ากลับมาถึงหน้าตำหนักได้อย่างน่าแปลก”ซ่งเหมยลี่ทำหน้าตาเลิกลักพร้อมกับยิ้มด้วยท่าทางที่ฝืนเต็มที “เยว่ซินของข้า” งั้นหรือ นี่เขาลืมไปหรืออย่างไรว่านางมิได้เป็นอะไรกับเขาเสียหน่อย แค่เด็กที่เก็บมาเลี้ยงจากเมืองเหลียงเท่านั้นเอง“ต้องขอประทานอภัย ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไปถือศีลที่วัดและภาวนาขอให้พระองค์ออกรบและนำชัยชนะกลับมา พึ่งกลับมาถึงจวนไม่นานนี่เอง จึง…ไม่ทราบข่าวเรื่องที่คุณหนูหลันเยว่ซินกลับมาจึงมิได้มาเยี่ยมเพคะ”“ไม่จำเป็นหรอก เยว่ซินชอบอยู่อย่างสงบ ไม่ค่อยชอบรับแขกแปลกหน้าและไม่คุ้นเคย แต่ก็ต้องขอบใจเจ้าสำหรับน้ำแกงนี้ อ้อ อีกไม่กี่วันนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับนาง เช่นไรแล้วข้าจะส่งเทียบเชิญไปที่จวนสกุลซ่งด้วย”ซ่งเหมยลี่นั่งบิดผ้าเช็ดหน้าอย่างอดกลั้น ถึงกับจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับนางเชียวหรือ“แต่ว่าเมื่อครู่ ท่านอ๋องพึ่งตรัสว่า…ไม่ควรจัดงานเลี้ยงที่เอิกเกริก นี่จะไม่เป็นการ…สิ้
จมูกเขาแดงขึ้น ใบหน้าร้อนผ่าวซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะเขาแช่น้ำนานกว่าหนึ่งชั่วยาม ขึ้นๆลงๆอยู่ด้านหลังนั่นจนแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ด้านนอกแล้วจึงขึ้นมาและพบว่าจมูกเริ่มจะไม่ได้กลิ่นอะไรเพราะเขาสูดไอน้ำในห้องน้ำไปมากนั่นเองห้องบรรทม“เสด็จอาเพคะ นี่น้ำขิงเพคะ ดื่มเสียก่อนเถิดเพคะ”“อืม ขอบใจเจ้ามาก เยว่ซิน มานั่งนี่สิ”เยว่ซินเดินเข้าไปที่โต๊ะทรงอักษรของท่านอ๋องที่บัดนี้เขาสวมเพียงเสื้อนอนและมีชุดคลุมด้านนอกอยู่ “มีสิ่งใดหรือเพคะ”“รายชื่อแขกที่จะเชิญมางานเลี้ยงอีกห้าวันข้างหน้า เจ้าอยากจะเชิญผู้ใดเพิ่มอีกหรือไม่”“หม่อมฉันมีสหายในเมืองเฉินโจวนี้เพียงสองคนเพคะ สามารถเชิญพวกเขามาด้วยได้หรือไม่เพคะ”“ย่อมได้อยู่แล้ว ผู้ใดกัน”ท่านอ๋องถามพลางยกน้ำขิงที่นางต้มนั้นขึ้นมาจิบ“ก็ลี่หลานเฟิน และศิษย์พี่ฟู่หย่งเล่อเพคะ”“แค่ก แค่ก”ท่านอ๋องสำลักน้ำขิงที่พึ่งดื่มเข้าไปในทันทีที่นางเอ่ยถึงบุรุษหนุ่มที่เรียนสำนักศึกษาเดียวกัน แต่บัดนี้เยว่ ซินตกใจและหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปากให้เขา“แย่จริง น้ำร้อนเกินไปหรือเพคะ หม่อมฉันคงไม่ได้เตือนเสด็จอา…ก่อน….เอ่อ…”ใบหน้านางอยู่ใกล้เขาเพียงนิดเดียวเมื่อรีบพุ่
หลานเฟินมองเขาที่ถูกนางนอนทับอยู่จึงได้จะลุกขึ้นแต่เขาดึงนางเข้ามาพร้อมกับประกบปากจูบอย่างรวดเร็วและผลักนางลงไปอยู่ด้านล่างแทนสายคาดเอวถูกปลดออกไปจนได้ด้วยมือเขาที่ดึงออกมา มือหนาเริ่มรุกล้ำไปที่ด้านในปกเสื้อผ่านชั้นในเข้าไป นางรู้ว่ามือเขาสั่นน้อยๆเมื่อสัมผัสถูกยอดปทุมด้านในนั้น“พี่หย่งเล่อ ท่าน…ตื่นเต้นหรือเจ้าคะ”“ข้า…อยากเห็นข้างใน เจ้า..จะอนุญาตหรือไม่”“เจ้าค่ะ ตัวข้า ใจข้าเป็นของท่านทั้งหมด ในเมื่อตกลงแล้วข้าย่อมยินยอม”“หลานเฟินเจ้าพูดเช่นนี้รู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าเช่นไร”“ข้าเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าในตอนนี้แผงอกกว้างของท่านยังเหมือนเดิมเหมือนครั้งที่อยู่ที่สำนักศึกษาหรือไม่”มือเรียวบางนั้นเอื้อมไปปลดเข็มขัดของเขาออกเช่นกัน ฟู่หย่งเล่อรู้งานทันที เขาถอดชุดคลุมด้านนอกออกและปูรองเอาไว้ที่พื้นและพาหลานเฟินไปนอนที่ชุดคลุมของเขาลิ้นที่ยังพัวพันกันไม่หยุดและเริ่มถอดชุดของนางออก เขาเริ่มเห็นเนินอกขาวเนียนนั้นแต่เขาอยากเห็นมากกว่านั้นเมื่อหลานเฟินเริ่มครางอย่างพอใจ“หลานเฟิน เจ้างามจริงๆ”ปากของเข้าเปลี่ยนมาครอบครองหน้าอกขาวตรงหน้าทันที ช่างพอเหมาะพอดีมือของเขาเสียยิ่งนัก เสียง
ทุ่งหญ้าแคว้นฮั่วซู“เบาๆหน่อย เจ้าอย่าดึงบังเหียนแรงเกินไปหลานเฟิน หากมันเจ็บมันจะดีดเจ้าเอา”“ข้ารู้ๆ อย่าพูดมากนัก ข้าตื่นเต้นจนลนลานไปหมดแล้ว”“เจ้าอย่าเกร็งจนหลังตรงเช่นนั้นปล่อยตัวตามสบาย”“หากท่านพูดอีกอีกคำเดียวนะฟู่หย่งเล่อ ข้าจะ ว๊าย…”“หลานเฟิน!! จับให้แน่นๆ”ม้าที่นางขี่เกิดตกใจเมื่อลี่หลานเฟินเผลอใช้เท้ากระแทกไปที่ลำตัวมันเพราะโมโหฟู่หย่งเล่อ มันจึงพานางวิ่งไปยังทุ่งหญ้ากว้างด้านล่าง ตัวนางเอนไปมาเพราะยังทรงตัวไม่ได้ ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าของเขาตามนางไป“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!!”“ข้ามาแล้ว เจ้าอยู่นิ่งๆ จับให้แน่นๆนะ”“พี่หย่งเล่อ ช่วยข้าด้วย มัน…มันวิ่งไม่หยุดเลยข้ากลัว”“เจ้าอย่าตะโกนมันจะตกใจข้ามาแล้ว”ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าและขี่เข้าไปใกล้ม้าพร้อมกับกระโดดไปที่ม้าตัวที่นางนั่งอยู่ เขาซ้อนตัวอยู่ด้านหลังของนางและเริ่มคุมบังเหียนม้าให้นิ่ง ใช้เวลาไม่นานมันก็ค่อยๆสงบลงและลดความเร็วลง “จับดีๆ ค่อยๆลุกขึ้นมาสิเจ้าปลอดภัยแล้ว”“ข้า…ข้าอยากลง”“หากเจ้ากลัวมัน เจ้าก็จะขี่มันไม่ได้ เจ้าลองลืมตาดูสิ”“ข้ากลัว ไม่เอา”นางลุกขึ้นได้ก็หันเข้าซบอกของเขาทันที ฟู่หย่งเล่อนั้นเร
สิบวันถัดมาพิธีอภิเษกท่านอ๋องและหลันเยว่ซินถูกจัดขึ้นหลังจากที่จัดการเรื่องกบฏซ่งเสวียนและลงโทษขุนนางที่เป็นผู้ร่วมมือซึ่งถูกจับมาได้หมด ทั้งหมดให้การรับสารภาพ แต่ก็ถูกปลดยศขุนนางและลงโทษเนรเทศออกจากเฉินโจว“พระชายาช่างงดงามยิ่งนัก”“ข้าเคยพบนางครั้งที่มาเดินตลาด ครั้งนั้นยังจ้องมองอยู่เลยแต่มิกล้าถามว่าเป็นบุตรสาวจวนใด ทั้งหน้าตาและผิวพรรณช่างแตกต่างกับชาวบ้านธรรมดาเหลือเกิน”“ช่างเหมาะสมกับท่านอ๋องยิ่งนัก”หลังพิธีอภิเษกที่ถูกจัดขึ้นที่ท้องพระโรงแล้ว ท่านอ๋องและพระชายาก็เดินออกมาพบปะกับประชาชนที่ระเบียงชั้นสามของวังหน้า ทั้งคู่ในชุดอภิเษกสีแดงสดยืนโบกมือให้กับประชาชนด้านล่าง“พระชายา วันนี้เจ้าเหนื่อยหรือไม่”“ไม่เพคะ เพียงแค่รอยยิ้มของทุกคนด้านล่างนั้นก็คุ้มค่าเพียงพอแล้วเพคะ”“ไปกันเถอะ เราต้องไปไหว้บรรพบุรุษและทำพิธีจารึกนามของพระชายาอีก”“เพคะ”ภารกิจหลายอย่างทั้งพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน แต่งตั้งพระชายาและจารึกชื่อในศาลบรรพชนสกุลจวินอ๋องผ่านไปด้วยดี จนเมื่อถึงเวลาส่งตัวเข้าห้องส่งตัวห้องส่งตัว“หลันเยว่ซิน ในที่สุดข้าก็ทิ้งฐานะเสด็จอาได้อย่างหมดสิ้นในวันนี้เอง”“ไม่คิดว่าพระองค์จะอย
จวินลู่หานถามชุนถง สาวใช้คนสนิทของเยว่ซินเมื่อเห็นนางเดินออกมาจากห้องของเยว่ซิน“ทูลท่านอ๋อง คุณหนูไปอาบน้ำเพคะ”“อ่อ งั้นหรือ เข้าใจแล้วเจ้าไปเถอะ”“เพคะ”เขาเดินตามเยว่ซินเข้าไปในห้องอาบน้ำทันที เมื่อเข้ามาก็เห็นว่านางนั่งพิงของสระอยู่ เขาจึงได้ค่อยๆเดินลงไปแช่น้ำกับนางทันที เมื่อลงไปแล้ว นางกลับไม่มีท่าทีตกใจหรือกล่าวว่าเขา อันที่จริง นางไม่พูดเลยต่างหาก“เยว่ซิน …เจ้ามาอาบน้ำนานแล้วงั้นหรือ”“…..”เยว่ซินมิได้ตอบเขานางหันข้างให้ท่านอ๋องเล็กน้อยแต่มิได้หนีไปที่ใด เขาจึงเดินไปอีกทางเพื่อดักนางเอาไว้“เยว่ซิน เหตุใดไม่ตอบข้า เจ้ายังโกรธข้าอยู่งั้นหรือ”นางเดินและเตรียมจะขึ้นเมื่อเขาดึงแขนนางเอาไว้ได้ทัน“เดี๋ยวสิอย่าพึ่งไป เจ้า….หากว่าเจ้าโกรธข้าจะด่าข้าก็ได้ หรือตีข้าก็ได้ แต่อย่าเดินหนีแล้วไม่คุยกับข้าเช่นนี้”หลันเยว่ซินหันไปมองท่านอ๋องแวบนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงที่เรียบไร้ความรู้สึก“รีบอาบแล้วตามขึ้นมา”“เยว่ซิน…”นางสลัดมือเขาออกและเดินขึ้นไปสวมเสื้อคลุมและเดินออกไปทันที ทิ้งให้ท่านอ๋องที่เริ่มทำตัวไม่ถูกกับท่าทีที่เย็นชานั้น เขาไม่เคยง้อสตรีที่มีอาการเช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าต
มีดปลายแหลมซึ่งเป็นอาวุธลับของแคว้นอวิ๋น ทำจากทองคำขาวบริสุทธิ์ ซึ่งอาวุธนี้มีเพียงคนของแคว้นอวิ๋นเท่านั้นที่มีใช้เพราะพวกเขาทำขึ้นมาเอง ทั้งร้ายแรงและคมดุจกระบี่และยังอาบยาพิษร้ายแรงอีกด้วย ซ่งเหมยลี่พุ่งตัวเข้าไปบังท่านอ๋องไว้ พร้อมกับมีดสั้นสีเงินด้านหลังที่พึ่งปักไปที่กลางหลังของซ่งเสวียน“เยว่ซิน!!”“แม่นางซ่ง!!”ซ่งเหมยลี่ใช้ตัวบังท่านอ๋องไว้ ครานี้นางได้ปกป้องชีวิตของเขาเอาไว้ตามแผนการที่บิดานางวางไว้เสียทีในที่สุด แต่อาวุธที่ปักที่อกของนางกลับเป็นมีดที่พ่อนางซัดใส่เองกับมือ“เหมย…เหมยลี่ ทำไม!!”ร่างของนางล้มลงพร้อมกับบาดแผลจากเลือดสีแดงสด เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำเพราะยาพิษที่อาบเอาไว้ที่มีด ท่านอ๋องรับซ่งเหมยลี่เอาไว้ในอ้อมแขน ซ่งเสวียนถูกฟู่หย่งเล่อจับตัวเอาไว้ แต่เขาเองก็กำลังหายใจรวยรินอยู่เช่นกันเพราะมีดของหลันเยว่ซินที่พุ่งมาปักกลางหลังของเขา“ท่านฆ่าพ่อข้าสินะ ข้าจะไม่กลายเป็นคนบ้านแตก หากมิใช่การกระทำของท่านในครั้งนั้น วันนี้ยังกล้าลอบสังหารท่านอ๋อง ท่านคิดว่าข้าจะยอมปล่อยให้ท่านทำเช่นนั้นหรือ!!”“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ นึกไม่ถึง….ว่าข้าจะถูกบุตรของศัตรูฆ่าเอาได้ เดิมทีคิดว่าจะตายเพร
“ตะ…แต่ว่า….”ท่านอ๋องเพียงแค่หันมาส่งสายตาเย็นให้เขาและเดินจากไปเมื่อทหารองครักษ์ควบคุมสองพ่อลูกเดินตามท่านอ๋องเข้าไปที่ท้องพระโรงด้านในท้องพระโรงเหล่าบรรดาขุนนาง กองทัพหลวงและขุนนางบางส่วนรอพวกเขาอยู่ด้านใน บางคนถูกเรียกเข้าเฝ้าโดยด่วน ส่วนใหญ่คือกรมคลัง สำนักหมอหลวง สำนักบัญชีและรองเจ้ากรมพิธีการ“พวกท่าน….”ซ่งเสวียนมองหน้าเหล่าขุนนางที่ยืนอยู่และมองมายังซ่งเสวียนสลับกับท่านอ๋องที่ขึ้นไปนั่งที่บัลลังก์แล้ว“วันนี้ข้าเรียกพวกท่านมาในเวลาเร่งด่วนเช่นนี้ ต้องขออภัยด้วย แต่ข้ามีเรื่องจำเป็นจะต้องแจ้งให้ทราบคิดว่าพวกท่านบางคน น่าจะพอทราบอยู่แล้วจากข่าวลือที่เป็นที่พูดถึงกันอยู่ในตอนนี้”“ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินชาวบ้านร่ำลือกันแล้วเรื่องพระชายาหลันเยว่ซิน”“ท่านอ๋อง!! แล้วบุตรีของกระหม่อมที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ ข่าวลือนี้…”“ใต้เท้าซ่งคงจะหมายถึง คนที่ท่านพยายามให้ไปป่าวประกาศเรื่องที่ซ่งเหมยลี่เสี่ยงชีวิตเข้าช่วยข้าจากคนร้ายสินะ”“ทะ…ท่านอ๋องตรัสสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่รู้เรื่อง”“งั้นหรือ เช่นนั้นก็…นำตัวนางเข้ามา!!”ฟู่หย่งเล่อพาต
เสียงนั้นดังไปทั่วจนคนเริ่มวิ่งหนีกันแตกตื่น คนร้ายล่าถอยไปจนหมดแล้วท่านอ๋องและเยว่ซินจึงเดินกลับมามอง จงลี่ประคองซ่งเหมยลี่เอาไว้ นางถูกแทงที่แขนขวา ซึ่งนางหันไปโดยรอบ“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องปลอดภัยดีหรือไม่”“แม่นางซ่ง ข้าปลอดภัยดี”“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันดีใจยิ่งนักที่พระองค์…..”“พานางขึ้นรถม้าไปสำนักหมอหลวง หย่งเล่อ เอาม้าให้ข้าตัวหนึ่งข้าจะพาเยว่ซินกลับตำหนัก”“พ่ะย่ะค่ะ”“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันจะตายหรือไม่เพคะ”ซ่งเหมยลี่เอื้อมมือมาที่ท่านอ๋องหมายจะให้เขาเห็นใจเพราะนางรับดาบแทนเขา แต่ท่านอ๋องทำเพียงหันไปมองนางเท่านั้น“บาดแผลเพียงแค่รอยถากนั่น คงไม่ถึงกับตายหรอกเจ้าเพียงแค่ตกใจเท่านั้น คุณชายลี่ ข้าฝากจัดการที่นี่ด้วย”“พ่ะย่ะค่ะ”“พี่ลู่หานนี่มันเกิดอะไรขึ้นเพคะ”“ขึ้นม้า กลับตำหนักกับข้าก่อน”“เพคะ”ท่านอ๋องพาเยว่ซินขึ้นม้าและวิ่งเข้าเมืองเฉินโจวไปทันที ท่ามกลางเสียงที่กระจายไปทั่วว่าซ่งเหมยลี่ช่วยชีวิตท่านอ๋องเอาไว้ ท่านอ๋องกำลังพานางกลับเข้าเมืองและคงจะแต่งตั้งพระชายาเร็วๆนี้ ข่าวนี้กระจายอย่างรวดเร็ว และคงจะเป็นที่พูดถึงอีกนานหากพระองค์ไม่ได้เสด็จเข้าประตูเมืองมาพร้อมกับหลันเยว่ซ
แม้ว่ายังไม่เข้าหน้าหนาว แต่อากาศที่ฮั่วซูในยามราตรีก็หนาวจนเยว่ซินตัวสั่น ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องกับนางจะพึ่งเสร็จสงครามรักที่เร่าร้อนบนเตียงมา แต่เมื่อผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามท่านอ๋องก็ต้องหาผ้าห่มมาเพิ่มให้นางและกอดนางเอาไว้“อุ่นหรือไม่”“อุ่นแล้วเพคะ เหตุใดถึงได้หนาวเช่นนี้”“เจ้าคงไม่จับไข้หรอกนะเยว่ซิน ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา”“ไม่เป็นไรเพคะ กอดแน่นๆหน่อย หม่อมฉันหนาว”แม้ว่าท่านอ๋องจะกอดนางแต่เยว่ซินก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหายตัวสั่น จวินลู่หานคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเขาที่รักนางหนักมากเกินไป เขาเองควรจะหยุดพักเสียบ้างเพราะร่างกายเยว่ซินอาจจะรับไม่ไหวเข้าสักวัน แม้ว่าความต้องการในตัวนางสำหรับเขานั้นไม่มีสิ้นสุดก็ตามห้าวันต่อมา“เสด็จพอ ครั้งนี้ข้าไปไม่นานจะรีบกลับ ไม่ต้องห่วงนะเพคะ”“เจ้าอย่าไปสร้างความวุ่นวายให้ท่านอ๋องกับพระชายาล่ะ”“ฝ่าบาทอย่าทรงเป็นห่วงเพคะ หม่อมฉันรักองค์หญิงดั่งน้องสาว ย่อมดูแลนางเป็นอย่างดีแน่เพคะ”“ท่านอ๋อง หลานสาวข้าฝากเข่ออ้ายด้วย อย่างน้อยมีเจ้าอยู่ นางก็คงจะยอมฟังบ้าง”“เพคะ”ภารกิจในเมืองกู่ที่เ่หลือหลังจากที่สองดินแดนลงนามสัญญาสร้างเขื่อนร่วมกันแล้ว ฝ่ายโยธาและ
หลันเยว่ซินที่ถูกคนข้างๆจ้องมองจนตาขวาง ในตอนนี้หลานเฟินและเข่ออ้ายเองก็เริ่มรู้สึกว่าเยว่ซินดูท่าจะลำบากไม่น้อยเมื่อท่านอ๋องดูท่าทางจะไม่ค่อยพอพระทัยเท่าใดนัก“พี่หลานเฟิน หรือนี่จะเป็น…เสด็จอาที่พี่เยว่ซินเคยพูดถึง”“ใช่ ผู้เดียวในใต้หล้าที่คว้าหัวใจสตรีอันดับหนึ่งของป๋อเหวิน และคนเดียวที่ทำให้เยว่ซินยอมได้ขนาดนี้”“แต่ว่าในตอนนั้นนางแทบจะไม่พูดถึงเสด็จอาเลย พวกเราได้รู้เรื่องก็เพราะพี่เยว่ซินไม่สบายแล้วเพ้อถึงเขา”“คืนนี้คงมีแค่เราสองคนแล้วล่ะ หากเจ้าอยากคุยกับเยว่ซินคงยากหน่อย ขนาดพวกข้าร่วมเดินทางมาพร้อมกันยังแทบจะไม่ได้พบหน้านางเลย เจ้าดูเอาเถอะ”“แล้วคนเช่นนี้นะหรือที่เสด็จพ่อจะส่งข้าไปแต่งกับเขา ไม่มีทางเสียล่ะ ก็ได้เช่นนั้นมีแค่เราสองคนก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้…ปรึกษาท่านเกี่ยวกับเรื่องของพี่ใหญ่ท่าน…”“หา นี่เข่ออ้าย เจ้าอย่าบอกข้านะว่า…เจ้ารู้สึกอะไรกับพี่ใหญ่ของข้าน่ะ”“ก็…เขาดูน่าสนใจกว่าท่านอ๋องผู้นั้นตั้งเยอะ ท่าทางที่เขาสู้กับข้าเมื่อครู่นี้ทำให้ข้ารู้สึกประทับใจยิ่งนัก”“เฮ้อ…เจ้านี่คงตาบอดโดยแท้ กล้าเอาเขาไปเทียบกับจวินอ๋องเชียวนะ ท่านอ๋องที่รูปงามดุจหยกประดับ กับ…เจ้าข