ครั้นย่างก้าวเข้าสู่ประตูคุกเซี่ยเฟยไถ เล่อจื่อเงยหน้าทอดมองท้องฟ้าอันมืดมัว
แม้เป็นเวลากลางวัน แต่ท้องฟ้ากลับหม่นเทา บ่งบอกว่าฝนห่าใหญ่กำลังก่อตัว
หยางเหิงนั่งตัวตรงอยู่กลางโถงคุกเซี่ยเฟยไถ ใบหน้าบึ้งตึง ดวงตาขุ่นมัว ริมฝีปากแห้งผากซีดขาว เห็นได้ชัดว่าพลังชีวิตถูกทำลายไปมาก เขากวาดสายตามองเหล่าผู้คุมที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า อย่างพินิจพิเคราะห์ว่ามีผู้ใดแอบเยาะเย้ยเขาอยู่หรือไม่
หากพบเห็นแม้เพียงน้อยนิด เขาจะฆ่าล้างโคตรให้หมดสิ้น!
หลังจากสูญเสียความเป็นชาย นิสัยของหยางเหิงก็ยิ่งโหดเหี้ยมขึ้น
ทหารยามคนหนึ่งเข้ามารายงานว่า พระชายาเสด็จมาถึงแล้ว
หยางเหิงมิได้ประหลาดใจ เขารู้ดีว่าฮั่วซู่มอบสิทธิ์ให้เล่อจื่อเข้าเยี่ยม หากนางมาในวันนี้ ก็คงเป็นโอกาสสุดท้ายของเดือนนี้
ช่างไร้ประโยชน์!
ระหว่างพักฟื้น หยางเหิงส่งสายลับฝีมือดีที่สุดออกไปสืบหาตัวผู้ที่ทำร้ายเขา แต่ก็ไร้วี่แวว ในฐานะรองแม่ทัพหน่วยปีกเทพ เขามีศัตรูมากมาย แต่เขาก็รู้ดีว่าคนเหล่านั้นมิกล้าทำอันใดเขา
ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว คนที่แค้นเขาลึกที่สุดในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นสองพี่น้องที่เสียแคว้นไปกระมัง?
ทว่า เล่อจินถูกคุมขังอยู่ที่นี่ ส่วนเล่อจื่อก็หวาดกลัวจนตัวสั่นในงานเลี้ยงสมรสของอ๋องจิ้งเซียน
เป็นไปไม่ได้!
เว้นเสียแต่...
หยางเหิงคาดเดาว่า เล่อจื่อใช้มารยาหญิงหลอกล่อฮั่วตู้ ให้ยาพิษ ก่อนจะให้ฮั่วตู้ลงมือทำร้ายเขา
ท้ายที่สุดแล้ว องค์ชายขาพิการผู้นี้ เป็นบุคคลที่ทั้งฮองเฮาและอ๋องจิ้งเซียนต่างก็กำจัดได้ยาก
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่อาจหยั่งถึงจิตใจของเขาได้ ฮั่วตู้เป็นดั่งปีศาจร้าย ซ่อนตัวในความมืด ไม่อาจมีผู้ใดล่วงรู้ มีเพียงความหวาดหวั่น
แต่หยางเหิงรู้ดีว่า วิธีการของฮั่วตู้โหดเหี้ยมไร้ปรานี มิเช่นนั้น เหล่าสายลับและองครักษ์เงาจะหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้ได้
บัดนี้ เล่อจื่อมาถึงพอดี เขาจะได้ลองสังเกตปฏิกิริยาของนาง
เหล่าผู้คุมที่คุกเข่าอยู่ ต่างสำนึกในบุญคุณของเล่อจื่อที่มาช่วยให้พวกเขาพ้นจากการคุกเข่า มิเช่นนั้น พวกเขาคงต้องคุกเข่าต่อไปอีกนานเท่าใดก็ไม่อาจรู้ได้ ทุกคนต่างคำนับเล่อจื่อด้วยความเคารพ ก่อนจะทยอยออกไป
ภายในโถงใหญ่พลันเงียบสงัด
แม้เซี่ยเฟยไถจะมีคำว่า ‘เซี่ย’ ซึ่งแปลว่าฤดูร้อน แต่กลับหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ
“ถวายบังคมพระชายา”
“ท่านแม่ทัพหยาง มิต้องมากพิธี” เล่อจื่อแสร้งเอ่ยด้วยความห่วงใย
“ข้าเห็นท่านดูไม่สบาย เหตุใดจึงไม่พักผ่อนบ้างเล่า”
หยางเหิงจ้องมองใบหน้างามล้ำเลิศที่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์ตรงหน้าอย่างเย็นชา เขายิ้มเยาะ
“รับเงินเดือนจากองค์ฮ่องเต้ ก็ต้องทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท ข้ามิกล้าพักผ่อนหรอก”
หยุดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “พระชายากับข้ารู้จักกันมานาน บัดนี้ข้าถูกส่งตัวมาที่นี่ คงต้องดูแลท่านหญิงเล่อจินเป็นพิเศษเสียหน่อยแล้ว”
เล่อจื่อพลันรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วร่าง นางกำกริชในแขนเสื้อแน่น
ช่างกล้าเอ่ยปากยั่วโทสะ!
แต่ในเซี่ยเฟยไถ หากนางลงมือ ณ บัดนี้ นางมิมีทางชนะ อีกทั้งเวลาเยี่ยมก็ใกล้หมดลง เล่อจื่อจำต้องยอมเอาใจเขาก่อน อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงยามเย็น มิเช่นนั้น หากเขาโกรธขึ้นมา ผู้ที่จะต้องรับเคราะห์ก็มีเพียงพี่หญิงเล่อจิน!
“เซี่ยเฟยไถมักหนาวเย็นตลอดทั้งปี เหมาะแก่การรักษาตัวของท่านแม่ทัพหยาง เหตุใดจึงไม่ลองขอให้ย้ายไปยังสถานที่อื่นเล่า” เล่อจื่อคิดจะล่อหลอกเขา จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“เมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้าเพิ่งได้ของวิเศษมาชิ้นหนึ่ง ปะการังทองคำแห่งทะเลเหนือ สิ่งนี้มีสรรพคุณช่วยสงบประสาท บำรุงสมอง ข้าจะให้คนนำไปส่งที่จวนของท่านในภายหลัง ถือเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้า”
น้ำเสียงอ่อนหวานเอาใจของเล่อจื่อ ทำให้หยางเหิงรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก
ดูท่าจะคิดมากเกินไป นางก็แค่เด็กสาวที่แคว้นล่มสลาย ครอบครัวพังทลายเท่านั้น
“ข้าเป็นคนหยาบกระด้าง ไม่อาจใช้ของล้ำค่าเช่นนั้นได้” หยางเหิงแค่นเสียงพลางหันไปมองหลี่เหยา กวาดสายตาขึ้นลง
“ในสภาพเช่นนี้ ข้าอยากได้เพียงคนดูแลเอาใจใส่เท่านั้น”
นี่คือสิ่งที่หยางเหิงต้องการ
โยนหินถามทาง ใช้เล่อจินข่มขู่เป็นเรื่องโกหก ต้องการหลี่เหยาต่างหากคือเรื่องจริง
เขาไม่ได้ต้องการใช้เล่อจินเพื่อทดสอบเล่อจื่อ ประการแรก ฮั่วซู่บอกนางแล้วว่าห้ามแตะต้องเล่อจิน ประการที่สอง เล่อจินสำคัญกับเล่อจื่อมากเกินไป เขาไม่อยากผลักไสนางจนมุม ท้ายที่สุดแล้ว กระต่ายที่จนตรอกก็ยังกัดคนได้
สาวใช้คนสนิท เพียงพอแล้วที่จะใช้ทดสอบนาง
ยิ่งไปกว่านั้น หลี่เหยาดูบริสุทธิ์น่ารักไร้เดียงสา ช่างยั่วยวนใจนัก...
แม้ว่าความเป็นชายจะถูกตัดไปแล้ว แต่ความปรารถนาในใจก็ยากที่จะดับสูญ เมื่อมองใบหน้าเล็ก ๆ ของหลี่เหยา หยางเหิงก็รู้สึกคันยุบยิบ ยิ่งไปกว่านั้น ขันทีก็มีกลเม็ดมากมาย เขาหลับตาจินตนาการ ร่างกายก็ร้อนรุ่มขึ้นมาโดยพลัน
สายตาของเขาดุดันราวกับงูพิษ ทำให้หลี่เหยารู้สึกอึดอัด นางหลุบตาลง ก้มหน้า กะพริบตา อย่างหวาดหวั่น
เล่อจื่อกำมือแน่น เพื่อระงับความรู้สึกคลื่นเหียนในท้อง นางแค่นเสียงในใจ ต่อให้ตอนไปก็ไร้ประโยชน์ มีชีวิตอยู่ไปก็รังแต่จะหม่นหมอง
ในเมื่อเขาอยากตายนัก ก็ช่วยให้นางไม่ต้องปลอมแปลงจดหมายล่อเขาเข้าสู่กับดัก...
“ข้าเข้าใจความหมายของท่านแม่ทัพหยางแล้ว” เล่อจื่อยื่นมือไปจับมือหลี่เหยาพลางเอ่ยว่า
“เช่นนั้น ท่านให้เวลาข้าสักหน่อย...”
นางไม่อาจตกลงทันที เพราะจะทำให้หยางเหิงสงสัย
ทันใดนั้น ผู้คุมคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามา คุกเข่ารายงานว่า
“ท่านแม่ทัพ อ๋องจิ้งเซียนเชิญท่านไปสนทนาที่จวนขอรับ”
เล่อจื่อถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ตกลง ข้ารอฟังข่าวดีจากพระชายา” น้ำเสียงหยางเหิงหนักแน่น
“ขออย่าให้ข้าต้องรอนานเกินไป”
หลี่เหยาเดินตามเล่อจื่อออกมาจากเซี่ยเฟยไถด้วยความรู้สึกสับสน
นางกับคุณหนูพบกันโดยบังเอิญ จากความเคลือบแคลงในตอนแรก จนกระทั่งร่วมเดินทางมาด้วยกัน... ในช่วงเวลาที่ผ่านมา คุณหนูดีต่อนางเพียงใด หลี่เหยาจำได้ขึ้นใจ คุณหนูช่วยนางล้างพิษ ดูแลร่างกาย แม้กระทั่งเสื้อผ้าอาหารก็ล้วนเป็นสิ่งที่ดีที่สุด... หลังจากท่านแม่สิ้นบุญ ก็ไม่มีผู้ใดปฏิบัติต่อนางเช่นนี้อีกเลย
แต่หลี่เหยาก็รู้ดีว่า คุณหนูมีเรื่องมากมายให้ต้องกังวล ยิ่งไปกว่านั้น นางรู้ซึ้งถึงความรู้สึกที่คุณหนูมีต่อพี่สาวของนาง หยางเหิงช่างน่ารังเกียจ ไร้ยางอาย กลับนำเรื่องนี้มาข่มขู่
หลี่เหยาครุ่นคิด นางไม่อาจทำให้คุณหนูต้องลำบากใจ...
“หลี่เหยา หลี่เหยา?”
หลังจากขึ้นรถม้า หลี่เหยายังคงนิ่งเงียบ เล่อจื่อรู้ดีว่า หญิงสาวผู้นี้ต้องคิดมากเป็นแน่
เล่อจื่อจับมือหลี่เหยา บีบเบา ๆ “อย่าคิดมาก อย่าใส่ใจคำพูดหยาบคายของหยางเหิงเมื่อครู่ เจ้าไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่ทั้งคน!”
ความอบอุ่นหลั่งไหลเข้าสู่หัวใจ หลี่เหยาตาแดงก่ำ พูดไม่ออก กลัวว่าหากเอ่ยปาก น้ำตาจะไหลออกมา
การได้รับความคุ้มครอง เป็นเช่นนี้เองหรือ
......
“หลี่เหยากลับมาแล้ว!”
ทันทีที่เข้าห้อง เสียงใสแจ๋วของหลินเยว่ก็ดังขึ้น หลี่เหยาถูกดึงตัวไปนั่งที่โต๊ะ แม้หลินเยว่และจิงซินจะไม่รู้เรื่องระหว่างหยางเหิงกับเล่อจื่ออย่างละเอียดเช่นหลี่เหยา แต่ก็พอจะทราบเรื่องราวคร่าว ๆ
เมื่อเห็นสีหน้าหลี่เหยาไม่สู้ดี จึงรีบถามว่า “มีปัญหาอะไรหรือไม่”
หลี่เหยาส่ายหน้า “ทุกอย่างเรียบร้อยดี”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” จิงซินยื่นมือไปแตะถ้วยยาบนโต๊ะ
“ยาบำรุงยังอุ่นอยู่ รีบดื่มเสียสิ”
หลินเยว่พยักหน้ารับ “คุณหนูกลัวเจ้าจะลืม จึงให้พวกเราดูเจ้าดื่มทุกวัน! ถึงจะขมไปหน่อย แต่อีกสองวันก็หายขมแล้ว!”
หลี่เหยาเปิดฝาถ้วย กลิ่นยาคุ้นเคยโชยออกมา หลังจากนางล้างพิษแล้ว เล่อจื่อให้คนมาตรวจชีพจร หมอว่าร่างกายนางอ่อนแอ ควรดื่มยาบำรุง...
นางดื่มจนหมด ใครว่ายาขม นางกลับไม่รู้สึกขมเลย กลับสัมผัสได้ถึงรสหวานจากความขมขื่นของยา
“ข้าเหนื่อยหน่อย ขอพักผ่อนก่อน”
“ตกลง เจ้าไปนอนก่อนเถิด” หลินเยว่ยิ้ม
“ตื่นแล้ว พวกเรามาเลือกไข่มุกกับปิ่นปักผมกัน!”
หลังจากหลินเยว่กับจิงซินออกไป หลี่เหยาไม่ได้พักผ่อน นางจ้องมองถ้วยยาที่ว่างเปล่าอย่างเหม่อลอย นางรู้ดีว่าคุณหนูกำลังจะลงมือจัดการหยางเหิง
แต่หยางเหิงเพิ่งเกิดเรื่องไม่นาน หากลงมือในตอนนี้ ย่อมอันตรายเกินไป นางไม่อยากให้คุณหนูต้องตกอยู่ในอันตราย นางทำตามความต้องการของหยางเหิง ยอมใช้ร่างกายเป็นเหยื่อล่อ จะสามารถขจัดภัยให้แก่คุณหนูได้หรือไม่?
ไม่นานนัก รอยยิ้มจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหลี่เหยา
นางตัดสินใจแล้ว จะไม่เสียใจภายหลัง
เล่อจื่อกำลังจัดลำดับความคิดในห้อง นางต้องการวางแผนให้รัดกุมที่สุด นางคลี่กระดาษออกมา บันทึกสิ่งที่ต้องทำในแต่ละชั่วโมงอย่างชัดเจน...
ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังมาจากนอกประตู
นางเงยหน้าขึ้น เห็นฮั่วตู้กำลังอุ้มก้อนหิมะ ค่อย ๆ เข็นรถเข็นเข้ามาในห้อง
ในเวลานี้ เล่อจื่อไม่มีเวลาสนใจเขาจริง ๆ นางจึงพูดตรง ๆ ว่า
“วันนี้หม่อมฉันมีธุระ...”
ความหมายของคำพูดนี้ชัดเจนยิ่งนัก
ไปหาความสำราญที่อื่นเถิด!
ฮั่วตู้หัวเราะเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “พระชายาช่างมีธุระยุ่ง จนไม่ทันสังเกตเห็นว่าสาวใช้หายไปหรือ”
ใจเล่อจื่อสั่นสะท้าน เกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
หลี่เหยา... เจ้ากำลังจะทำเรื่องโง่เขลาหรือ!?
จวนหยาง!
ต้องหยุดนาง!
เล่อจื่อยกขาพุ่งตัวออกจากห้อง แต่เมื่อวิ่งไปถึงข้างกายฮั่วตู้ ก็ถูกเขาดึงข้อมือไว้...
“ปล่อยหม่อมฉัน!” นางร้อนใจจนแทบขาดใจ น้ำตาคลอหน่วย “ไม่ทันแล้ว หม่อมฉันต้องไปช่วยนาง...”
ฮั่วตู้ขมวดคิ้ว ไม่ยอมปล่อยมือ “เจ้าตกใจอะไรกัน มีคนจับนางไว้แล้ว”
เรื่องแค่นี้ ทำราวกับฟ้าจะถล่ม
น่าขัน
หัวใจที่ลอยอยู่กลับคืนสู่ที่เดิม เล่อจื่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าร้อนรนสงบลง นางถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“คนอยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่โถงใหญ่” ฮั่วตู้ปล่อยมือ จ้องมองสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงของนางอย่างใจเย็น
เล่อจื่อหน้าบึ้งตึง นางย่อกายคำนับฮั่วตู้ “ขอบพระทัยพระองค์ ท่านทำให้พระองค์ต้องลำบากใจแล้ว”
กล่าวจบ นางก็ออกจากห้องนอน มุ่งหน้าไปยังโถงใหญ่...
ฮั่วตู้ไม่ได้ห้ามปราม เพียงจ้องมองแผ่นหลังของนางเงียบ ๆ แม้กระทั่งแผ่นหลัง ก็ยังเผยให้เห็นถึงความโกรธเกรี้ยวของนาง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางโกรธ
ดวงตาคมดุจดั่งหมาป่า ทอประกายวาวโรจน์น่ากลัว
หึ น่าหวาดหวั่นเสียจริง
ยามเที่ยงวัน ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับจะขาดใจเล่อจื่อรีบร้อนเดินออกมาจากโถงใหญ่ อันซวนยืนอยู่หน้าประตู กราบทูลด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม“ถวายบังคมพระชายา บ่าวจับตัวหลี่เหยาได้ ห่างจากจวนหยางไปหนึ่งลี้ ตรัสว่าเป็นสาวใช้ของพระชายา จะจัดการอย่างไรก็สุดแล้วแต่พิจารณาเพคะ”“ตกลง เจ้าถอยไปก่อน”อันซวนพยักหน้ารับ ก่อนจะพาองครักษ์ออกไปลมแรงพัดโชย ความหนาวเหน็บพัดผ่านเข้ามาในโถงใหญ่ กระทบแผ่นหลังหลี่เหยาที่คุกเข่าอยู่ เล่อจื่อมองแผ่นหลังเล็ก ของนาง กดกลั้นความปวดร้าวในอก ก้าวเข้าไปในโถงใหญ่นั่งลงบนเก้าอี้ครู่หนึ่ง นายบ่าวต่างเงียบงันบรรยากาศอึดอัดเช่นนี้ หลี่เหยาจึงทนไม่ไหว นางเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำ“คุณหนู ข้า...”เพียงสามคำ เสียงก็สำลัก“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเจ้าทำผิดสิ่งใด”น้ำเสียงเย็นชาของเล่อจื่อ ทำให้หลี่เหยาใจหาย นางร้องไห้โฮ“บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวไม่ควรตัดสินใจเอง... แต่คุณหนู โปรดเชื่อใจบ่าวเถิด บ่าวสามารถเอาชีวิตหยางเหิงได้”หลี่เหยารู้ดีว่า
วันนี้เล่อจื่อสวมชุดกระโปรงสีเหลืองอมชมพู นางยิ้มน้อย ๆ อย่างรู้สึกผิด แก้มแดงระเรื่อ ดวงตาสดใสฮั่วตู้หยิบไม้เท้าข้างกาย ลุกขึ้นยืน เล่อจื่อรีบเข้าไปประคอง พลางเปลี่ยนเรื่อง“เหตุใดพระองค์จึงให้พวกนางย้ายไปที่อื่นเพคะ”“เจ้าว่าอย่างไรเล่า”เล่อจื่อเม้มริมฝีปาก นางจะไปรู้ได้อย่างไร!“แค่ขว้างถ้วยชา ยังไม่พอ” ฮั่วตู้มองตรงไปข้างหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม“รื้อเรือนนี้เป็นอย่างไร”น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย ราวกับกำลังพูดเรื่องธรรมดาสามัญทว่า เล่อจื่อกลับไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ คิ้วขมวดมุ่น ริมฝีปากแดงอิ่มเผยอเล็กน้อยด้วยความตกใจรื้อเรือน... ไม่จำเป็น!ฮั่วตู้ถามต่อ “เจ้าอยากลงมือเอง หรือดูคนอื่นรื้อ”นางเลือกไม่ทำได้หรือไม่?“แน่นอน ยังมีตัวเลือกที่สาม”เล่อจื่อถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดว่าคนบ้าผู้นี้คงแค่พูดเล่น ทว่า ชั่วพริบตาต่อมา“หรือจะรื้อสาวใช้ของเจ้า”“…”ไม่มีทางเลือกใดป
ทันทีที่ย่างกรายเข้าสู่ตำหนักน้ำพุร้อน กลิ่นหอมของมวลดอกไม้ก็โชยมาแตะจมูกแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง หยางเหิงกลับรู้สึกหวาดกลัว ความเย็นยะเยียบแล่นเข้าสู่หัวใจ เขาหันกลับไปมอง เห็นองครักษ์เงาซ่อนตัวอยู่ใต้ชายคา จึงค่อยวางใจเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย เขาสบถเบา ๆ ด่าตัวเองว่าขี้ขลาด“ท่านแม่ทัพหยางมาถึงแล้ว”เสียงใสกังวานดึงสติหยางเหิงกลับมา ไม่นานนัก ก็เห็นเล่อจื่อในชุดแดงเพลิง เดินออกมาจากมุมหนึ่ง โคมไฟส่องสว่างทั่วลานและทางเดิน ใบหน้างามของเล่อจื่อดูเปล่งปลั่งหยางเหิงชะงัก มองดวงตาเล่อจื่อที่แดงระเรื่อ หัวใจสั่นไหวช่างงดงามราวกับปีศาจแม้หยางเหิงจะชอบหญิงสาวอ่อนหวานน่ารัก แต่ชายใดเล่าจะต้านทานมารยาเช่นนี้ได้ หรือจะพูดอีกอย่างว่า ต่อให้ไม่ใช่บุรุษ ก็ยังต้องหลงใหล แม้เตือนตัวเองว่าอย่ามอง อย่าแตะต้องหญิงผู้นี้ แต่ใจเขาก็ยังคงหวั่นไหวเล่อจื่อยกยิ้ม เดินเข้ามาใกล้ เอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพหยาง”หยางเหิงได้สติ ไอเบา ๆ เห็นว่ารอบกายเล่อจื่อไม่มีผู้ใด จึงถามว่า“พระชายา หลี่เหยาอยู่ที่ใด&rdqu
บ่อน้ำพุร้อนในตำหนักหลังนี้ช่างมีรูปแบบแปลกตา บ่อกว้างขวางยิ่งนัก แต่กลับถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยม่านไหมเนื้อบางเบา มองลอดผ่านไปได้เลือนรางเล่อจื่อปลดอาภรณ์ที่เปียกชื้นออกจนหมด ก้าวลงสู่บ่อน้ำพุร้อน ก่อนจะแช่กายลงไปครึ่งตัว ชั่วครู่หนึ่งสติสัมปชัญญะของนางก็ค่อยๆ กลับคืนมานางนึกถึงคำถามของฮั่วตู้เมื่อครู่ น้ำเสียงนั้นราวกับต้องมนตร์ นางเกือบจะเผลอตอบออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า"ทางลัด"แล้วฮั่วตู้ก็พานางมายังที่แห่งนี้เนื่องจากอ้อมกอดแน่นเมื่อครู่ อาภรณ์ของฮั่วตู้จึงเปียกชื้นไปด้วย เล่อจื่อเห็นว่าพระองค์เดินไม่สะดวก จึงคิดจะช่วยถอดอาภรณ์ให้ แต่เมื่อปลายนิ้วแตะต้องสายคาดเอว ก็ถูกมือของพระองค์รั้งไว้ฮั่วตู้ใช้มือที่วางอยู่บนบ่านาง ดันร่างนางเบาๆ เข้าไปในบ่อครึ่งหนึ่งที่อยู่ด้านใน...เล่อจื่อได้ยินเสียงจากอีกฟากของม่านไหม ดังช้าๆ และชัดเจน นางนึกขึ้นได้ว่า ดูเหมือนฮั่วตู้จะไม่เคยให้ผู้ใดถอดอาภรณ์ให้เหตุใดเล่า?ครู่หนึ่ง ผิวน้ำกระเพื่อมขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับสงบนิ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างมิได้เอ่ยวาจาใดๆ ผ่านม่านไหมกั้นกลาง
ในเขตชานเมืองหลังฝนตก ดอกไม้ป่าและวัชพืชต่างก็มีหยดน้ำเกาะพราว เมฆดำสลายไป แสงตะวันยามเช้าค่อยๆ ส่องสว่าง ปลุกทุกสรรพสิ่งในโลกหลังจากเงียบอยู่นาน แขนของเล่อจื่อก็เริ่มปวดเมื่อย นางไม่มีแรงเหลืออยู่ในร่างกายแล้วจริงๆ หลังจากกอดฮั่วตู้มานาน พระองค์ก็ไม่ตอบสนองใดๆนางกำลังบอกพระองค์อย่างชัดเจนด้วยการกระทำว่า นางไม่ได้รังเกียจพระองค์!ด้วยสติปัญญาของฮั่วตู้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เข้าใจความหมายของนางแต่พระองค์กลับไม่ตอบสนอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระองค์ไม่เชื่อนาง และอาจคิดว่านางกำลังแสดงละครเล่อจื่อค่อยๆ เลื่อนมืออย่างช้าๆ แต่เมื่อฝ่ามือของนางแตะลงบนเอวของฮั่วตู้ พระองค์ก็เอื้อมมือออกมากุมไว้อุณหภูมิฝ่ามือของฮั่วตู้เย็นอยู่เสมอ เล่อจื่อนึกถึงความรู้สึกทุกครั้งที่นางสัมผัสฝ่ามือของพระองค์ รู้สึกว่าวันนี้เย็นที่สุดพระองค์กุมมือนางไว้เช่นนี้ แล้วหันกลับมา จ้องมองนางด้วยดวงตาคม ราวกับกำลังมองหาบางสิ่งในดวงตาของนาง...เวลานี้ อันซวนก็มาถึงพร้อมกับรถม้า เขาจอดรถม้าไว้ไม่ไกลจากพวกเขา และไม่ได้เข้าไปรบกวนฮั่วตู้มองเล่อจื่อ หางตาแดงก
ตำหนักจิ้งเซียน“อะไรนะ!”หลินอวี้เซียนตบโต๊ะพลางลุกขึ้นยืนด้วยความตกตะลึงเสิ่นชิงเหยียนรีบคว้าข้อมือของนางไว้ด้วยความรวดเร็ว เกรงว่าหลินอวี้เซียนจะทำสิ่งใดที่รุนแรงเกินไปหลินอวี้เซียนขมวดคิ้ว นางได้ยินว่าชิงเหยียนป่วย จึงมาเยี่ยมเยียนในวันนี้ แต่กลับได้ยินเรื่องราวอันน่าเศร้าของสหายรักแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีข่าวลือว่าฮั่วซู่รับอนุเข้าตำหนัก แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจ คิดว่าเป็นเพียงข่าวลอยลมแต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง!“น่าโมโห! พวกเจ้าแต่งงานกันได้ไม่นาน เหตุใดฝ่าบาทถึงได้หลงใหลได้ปลื้มสตรีอื่นได้ง่ายเช่นนี้!” หลินอวี้เซียนกัดริมฝีปาก ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วเอ่ยถาม“ท่านป้าว่าอย่างไรบ้าง? ท่านไม่สนใจบ้างหรือไร?”เสิ่นชิงเหยียนได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้าซีดเซียวราวกับกระดาษ ไร้ซึ่งเลือดฝาดหลังจากคืนนั้น เสิ่นชิงเหยียนคิดว่าฮั่วซู่มีใจให้นางจริง แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยอนุคนนั้นไป แถมยังเก็บนางไว้ในตำหนัก...ยิ่งนานวัน นางก็ยิ่งหดหู่ใจ แต่ฮั่
“อะไรนะ?”เล่อจื่อเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ นางมองใบหน้าของฮั่วตู้ด้วยความเคลือบแคลงสงสัยหลินอวี้เซียน ฝ่าบาท ฝ่าบาทกลับไม่รู้จักนาง?เป็นไปได้อย่างไร? เล่อจื่อไม่เชื่อ แต่จากสีหน้าของฮั่วตู้แล้ว ไม่มีวี่แววของการโกหกเลยแม้แต่น้อย“หลินอวี้เซียน... นางเป็นญาติผู้น้องของฮั่วซู่ หลานสาวของฮองเฮา” เล่อจื่อขมวดคิ้ว ยังคงรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างไร้สาระสิ้นดี“และบิดาของนางยังเป็นไท่เว่ยแห่งราชวงศ์ต้าฉี ฝ่าบาทไม่รู้จักจริงๆ หรือ?”ฮั่วตู้ได้ยินดังนั้นก็แค่นเสียง พูดเยาะเย้ย“ที่แท้ก็เป็นบุตรสาวของหลินฉี...”ตระกูลหลินมีรากฐานที่มั่นคงในแคว้นต้าฉี บรรพบุรุษเคยมีตำแหน่งอัครเสนาบดีถึงสามคน แต่ในรุ่นของหลินฉี คนในตระกูลส่วนใหญ่ล้วนปานกลาง แม้แต่ตระกูลเสิ่นที่เพิ่งมีชื่อเสียงก็ยังเทียบไม่ติดหากมิใช่เพราะมีพี่สาวเป็นฮองเฮา คอยหาหนทางให้ตระกูลหลิน หลินฉี คนสารเลวนี่ คงรักษาตำแหน่งไท่เว่ยไว้ไม่ได้หลินฉีไม่เพียงแต่มีความสามารถ ยังมักมากในกามและชอบเล่นการพนัน จำนวนอนุในจวนไท่เว่ย
ในห้องนอนมีเตาผิงกำลังลุกไหม้ หลังจากที่เล่อจื่อได้รับบาดเจ็บ ก็มีการวางเตาผิงไว้ทั่วทั้งตำหนักแต่ในเวลานี้ เล่อจื่อที่มักจะขี้หนาว กลับรู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องสูงเกินไป มือทั้งสองข้างที่ห้อยอยู่ข้างกาย วางตัวไม่ถูก นางมองฮั่วตู้ นิ่งเงียบไปชั่วขณะนางควรจะมีความสุขหรือไม่?แววตาของเขา ช่างชัดเจนและไม่ปิดบัง มิได้หมายความว่านางประสบความสำเร็จแล้วหรือ?เล่อจื่อไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความรักระหว่างบุรุษและสตรี ในวันแต่งงาน บิดามอบนางให้กับฮั่วซู่ ในตอนนั้น ใจของนางไม่ได้หวั่นไหว เพียงแต่คิดว่า สามีภรรยาในโลกนี้ คงเป็นเช่นนี้เคารพซึ่งกันและกัน เรียบง่ายและยืนยาวแต่ระหว่างนางกับฮั่วตู้เล่า?เดิมที เล่อจื่อรู้ดีว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของพวกเขา เป็นเพียงแผนการของฮ่องเต้แคว้นฉี และการใช้ประโยชน์ของฮั่วตู้ ทุกย่างก้าวของนาง ล้วนระมัดระวัง ราวกับเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆการทำให้ฮั่วตู้ชอบนาง ในตอนแรก ก็เพื่อรักษาชีวิตของนาง ต่อมา ก็เพื่อให้เส้นทางของเขาราบรื่นยิ่งขึ้น ตามที่เล่อจื่อคาดหวัง นางหวังว่า การที่ฮั่วตู้ชอบนางบ้าง ก็
นางแค่อยากจะแนบชิดเขา ไม่อยากปล่อยมือ...เมื่อร่างทั้งร่างถูกดึงเข้าสู่ความมืดมิด ร่างกายก็เหมือนถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งถูกแช่ในน้ำแข็ง อีกส่วนหนึ่งตกลงไปในกองเพลิง แต่ความคิดของเล่อจื่อกลับแจ่มชัด...ท่ามกลางความร้อนและความหนาว ร่างกายของนางถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดที่คุ้นเคย นางแนบชิดอกของเขา ฟังเสียงหัวใจของเขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ไหลเข้าสู่ร่างกาย รวมตัวกันที่หัวใจที่เต้นผิดจังหวะ ค่อยๆ สงบลงคนโง่...แม้จะมีพลังภายในสูงส่งเพียงใด ก็ไม่ควรใช้อย่างไม่ระมัดระวังเล่อจื่ออยากจะห้ามเขา จึงพยายามจะเอ่ยปาก แต่กลับพบว่า นางส่งเสียงไม่ออก หากนางจำไม่ผิด ไข้ลมพิษร้าย ทำให้เกิดอาการพูดไม่ได้เช่นนั้น นางจะพูดไม่ได้อีกแล้วหรือทันใดนั้น ริมฝีปากอุ่นๆ ก็ทาบทับลงมา แนบริมฝีปากของนางอย่างแผ่วเบา ราวกับปลอบโยน และลูบไล้ไปพร้อมๆ กัน ท่ามกลางความเจ็บปวดและชาหนึบ นางรู้สึกถึงริมฝีปากของเขาที่กำลังจูบความเจ็บปวดค่อยๆ บรรเทาลง เล่อจื่อรู้สึกเพียงว่า ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เสื้อผ้าบางๆ ติดผิวหนัง เหนียวเหนอะหนะ นางรู้สึกว่
ภายในห้องเงียบสงัด แม้แต่เสียงน้ำตาที่หยดลงบนหน้าตักก็ยังได้ยินอย่างชัดเจนเล่อจื่อยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า แล้วหันไปจุดเทียนสีแดงบนโต๊ะ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ"ฝ่าบาทไม่ควรมา"ฮั่วตู้ไม่พูด สีหน้าก็ไม่เปลี่ยน แต่มือที่จับไม้เท้าหยกขาวกลับกำแน่น จากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะอย่างช้าๆ หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากกองกระดาษมากมาย..."เสิ่นหวยยังคงต้องใช้แผนการนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อฝ่าบาทมาก" เล่อจื่อเห็นว่าเขาหยิบแผ่นไหนขึ้นมา จึงอธิบายแผนการของนางเบาๆ"และหากท่านต้องการดึงเสิ่นหวยมาเป็นพวก ต้องเริ่มจากเสิ่นชิงเหยียน ฝ่าบาทสามารถ..."กระดาษทั้งแผ่นถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในมือของฮั่วตู้ ร่วงหล่นลงพื้น มองไม่ออกว่าเขียนอะไรไว้ เล่อจื่อเบิกตากว้าง รู้สึกโกรธ คำพูดทั้งหมดที่อยากจะพูดถูกปิดกั้น"เหตุใดจึงไม่บอก" ฮั่วตู้นั่งลง หันหน้าเข้าหานาง ดวงตาคมจ้องมองนาง รออยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่านางไม่พูด เขาก็เบนสายตาไปที่กระดาษที่เหลืออยู่บนโต๊ะ กวาดตามอง...หืม นี่อะไรกัน จดหมายลาตาย?และเมื่อครู่ น้ำเสียงของ
จิงซินที่ยืนอยู่ข้างๆ ตกใจกับโทสะของฮั่วตู้ นางมองแผ่นหลังตรงของคุณหนู นึกถึงความร้อนผิดปกติจากแขนของคุณหนูตอนที่พยุงเมื่อครู่ ยิ่งรู้สึกกังวลใจนางอยากพยุงคุณหนูไปพักผ่อนที่ห้อง แต่ฝ่าบาทยืนขวางทางอยู่ ทั้งสองต่าง ไม่มีใครยอมหลีกทาง...เอาไงดี!นางเหลือบมองอันซวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ฝ่าบาท พบว่าเขาก็กำลังมองนางอยู่เช่นกัน นางอดตกใจไม่ได้ท่านอันซวน... จิงซินจำได้ว่าช่วงนี้นางยุ่งมาก จึงมักบังเอิญเจอท่านอันบ่อยๆ แม้ท่านอันจะไม่ค่อยพูด แต่ก็ช่วยนางไว้มากมาย นางจึงทำขนมไปขอบคุณเขาเป็นครั้งคราวนางคิดว่า นางกับอันซวนก็นับว่ามีความสัมพันธ์ฉันมิตรใช่หรือไม่?นางจึงลองส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากอันซวนอันซวนเข้าใจความหมายของนางในทันที ใบหน้าของเขาเรียบเฉย แต่ในใจกลับปั่นป่วนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ก่อนที่นางจะความจำเสื่อมจนถึงตอนนี้ นางลืมทุกอย่าง แม้ในยามยากลำบากที่สุด จิงซินก็ไม่เคยขอร้องใคร...นี่เป็นครั้งแรกอันซวนไม่อาจปฏิเสธที่จะช่วยนางได้เขาก้าวไปข้างหน้า กราบทูลฝ่าบาทผู้เอาแน่เอานอนไม่ได้ "ถอยไป..."
ลมหายใจอุ่นๆ รินรด เล่อจื่อก้มหน้าลงอย่างขวยเขิน จุมพิตของเขาร่วงลงบนหน้าผากของนาง...แผ่วเบา ทิ้งไว้เพียงความอบอุ่นแม้ในห้องจะมีเตาผิง แต่ยามค่ำคืนอากาศก็ยังคงหนาวเย็น ฮั่วตู้โอบกอดเล่อจื่อเบาๆ นอนลงเคียงข้างกัน แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมกายทั้งสอง ผ้าห่มในวัดค่อนข้างหยาบ ไม่นุ่มนวลเหมือนในจวน เล่อจื่อพลิกตัว ขมวดคิ้วเล็กน้อยผ้าห่มหยาบเสียดสีกับลำคอ ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวเมื่อเห็นดังนั้น ฮั่วตู้จึงดึงผ้าห่มออกจากตัวนาง จ้องมองลำคอขาวเนียน เพียงชั่วครู่ ผิวขาวผ่องก็แดงระเรื่อ เขาไม่ลังเลที่จะถอดเสื้อคลุมสีแดงเข้มออก คลุมลำคอที่โผล่พ้นผ้าห่มของนาง ก่อนจะห่มผ้าให้เรียบร้อยเสื้อผ้าของเขาคลุมกายนาง กลิ่นหอมคุ้นเคยอบอวลอยู่ปลายจมูก ทำให้นางรู้สึกเคลิบเคลิ้ม... แต่นางไม่อยากคิดถึงสาเหตุที่ทำให้นางรู้สึกเช่นนั้นเล่อจื่อหลับตาลงเบาๆ แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางครุ่นคิดถึงเรื่องของเสิ่นชิงเหยียน นางร่ายแผนการทั้งหมดในใจออกมา แล้วเปรียบเทียบอย่างรอบคอบ"...แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ หากเสิ่นชิงเหยียนเปลี่ยนใจกลางคัน พวกเราจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ..."
ม่านเตียงทิ้งตัวลง ปิดบังร่างสองร่างที่แนบชิด เล่อจื่อผละออกจากอ้อมกอดของฮั่วตู้ หายใจหอบปร่า ดวงตาเหลือบไปเห็นปลายขาของทั้งสองที่แนบชิดกัน ผ่านเนื้อผ้าบางเบานางสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายเย็นเยียบของเขา ก่อนจะยกนิ้วมือขึ้นแตะริมฝีปากอย่างเผลอไผล ความอบอุ่นจากจุมพิตยังคงติดตรึงอยู่"ยังคงรำลึกถึงรสจุมพิตอยู่รึ" เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างเย้าหยอกเล่อจื่อหันไปมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ เขาก็กำลังจ้องมองนางเช่นกัน แถมยังเลียนแบบนาง ยกนิ้วมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอีกด้วยช่าง.. เจ้าเล่ห์นัก!"วันนี้ชดใช้หนี้หมดแล้วหรือยังเพคะ" นางเม้มริมฝีปาก แก้มแดงระเรื่อ เอื้อมมือไปคว้าชายแขนเสื้อของเขา ดึงเบาๆ"ฝ่าบาท กลับมาเถิดเพคะ!"ฮั่วตู้จ้องมองนาง ความขัดเขินของนางทำให้เขาพึงพอใจยิ่งนัก รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าคมคายเขาจับมือนางไว้ ดึงเข้ามาในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม "ไล่ข้าไปรึ"เล่อจื่อวางมือบนอกเขา พยายามผลักออก แต่เมื่อรู้ว่าไร้ผล นางจึงยอมแพ้"หม่อมฉันไหนเลยจะกล้าไล่ฝ่าบาทเพคะ" นางพูดอย่างงอนๆเขามักจะเอ
เสิ่นชิงเหยียนกลับไร้อารมณ์ นางจัดปกเสื้อผ้าให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย แล้วนั่งลง จากนั้นก็ยิ้มให้เล่อจื่อที่กำลังตกตะลึง"เจ้าเห็นชัดเจนแล้วหรือ นี่คือคนที่เจ้าคอยช่วยเหลือ"เล่อจื่อรู้สึกตัว ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ"ฮั่ว... ฮั่วซู่ทำหรือ"รอยแดงเข้มเหล่านั้นน่าตกใจ ดูไม่เหมือนถูกตี...แต่ทำไมถึงดูคุ้นๆความทรงจำผุดขึ้นในหัว เล่อจื่อนึกถึงหนังสือที่แม่นมนำมาให้นางดูก่อนวันแต่งงาน... ในนั้นวาดภาพมากมาย ล้วนบิดเบี้ยวและน่าเกลียด ทำให้นางหวาดกลัวในคืนแต่งงานร่องรอยบนร่างกายของผู้หญิงในหนังสือเล่มนั้นคล้ายกับรอยแดงบนตัวของเสิ่นชิงเหยียนมากดังนั้น ไม่ใช่ถูกตี แต่ถูกทารุณตอนร่วมรัก..."ในเมื่อเจ้ากับข้าต่างก็แต่งงานแล้ว ย่อมต้องเข้าใจเรื่องบางเรื่อง" เสิ่นชิงเหยียนแสยะยิ้มอย่างดูถูกตัวเอง จากนั้นก็มองเล่อจื่อ"ข้าตาบอด แต่เจ้า..."ในแววตาของเสิ่นชิงเหยียนเต็มไปด้วยความสงสัย นางไม่เข้าใจความแค้นจากการทำลายล้างแค้วนและการฆ่าล้างตระกูล ในสายตาขององค์หญิงแห่งแคว้นหลี่คนนี้ นางเทียบไม่ได้กับผู้ชายคนหนึ่งหรือแต่...นางม
ฮั่วตู้ยอมรับว่าข้อเสนอของตาแก่หยินนั้นเย้ายวนใจมากจริงๆเล่อจื่อภายใต้แสงแดด อบอุ่นและสดใส เขาตกตะลึงครู่หนึ่ง ถึงกับเริ่มพิจารณาข้อเสนอนี้อย่างจริงจังแต่เพียงชั่วครู่เท่านั้นคนสองคนที่เอาชีวิตรอดด้วยความเกลียดชัง จะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับจินตนาการได้อย่างไรฮั่วตู้หัวเราะ ไม่ตอบคำถามของหยินฉางซั่วความเงียบและสีหน้าของเขาก็เป็นคำตอบสำหรับหยินฉางซั่วแล้วเขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปข้างๆ เล่อจื่อ มองตามสายตาของนางไปยังภาพวาดดอกบัวหิมะในตำราแพทย์ เงาของเขาทาบทับ ดอกบัวหิมะที่สดใสบนหน้ากระดาษพลันมืดมัวลง...สายลมพัดพากลิ่นหอมของดอกมิ้นท์ เล่อจื่อจึงปิดตำราแพทย์ลง ลุกขึ้นยืน มองฮั่วตู้ เพราะคำพูดของลุงหยิน ทำให้นางพิจารณาใบหน้าของเขาอย่างละเอียดโดยไม่รู้ตัว นางวาดภาพน้องสาวฝาแฝดของเขาในใจเล่อจื่อไม่มีวันลืมรอยเลือดบนร่างของพี่ชาย ทุกครั้งที่นึกถึง นางก็เจ็บปวด... พี่น้องเชื่อมต่อกันด้วยสายเลือด สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของกันและกันจริงๆ หรือเช่นนั้น สายสัมพันธ์ระหว่างฝาแฝดก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นไปอีก?"ไปกันเถอะ"
เสียงเล่อจื่อจึงเปิดม่านรถม้า มองออกไปข้างนอกหลังจากออกจากประตูเมือง เสียงข้างนอกก็ค่อยๆ จางหายไป ในเขตชานเมือง มีเพียงเสียงต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกลมพัด ภายในรถม้าเงียบสงัด เล่อจื่อละสายตา หันไปมองฮั่วตู้ที่อยู่ข้างๆนางสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขายิ่งเย็นชาลงเรื่อยๆ แม้แต่มือที่นางจับก็เริ่มเย็นขึ้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่พูดอะไร เล่อจื่อก็สัมผัสได้ว่าเขาต่อต้านจุดหมายปลายทางนางวางมืออีกข้างลงบนหลังมือของเขาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นเขามองมา นางก็พูดเบาๆ ว่า"ที่ที่จะไปเอายา... หรือว่าอย่าไปเลยเพคะฝ่าบาท ให้ท่านอันซวนไปกับหม่อมฉันก็พอ"ในที่สุดดวงตาของฮั่วตู้ก็มีรอยยิ้ม เขาถอนหายใจในใจ ถอนหายใจกับความละเอียดอ่อนของนาง และถอนหายใจที่เขาไม่รู้ว่าจะปิดบังตัวเองต่อหน้านางอย่างไร นางถึงได้มองทะลุเขาได้ง่ายดายเช่นนี้เขาลูบหัวของนาง "อย่าคิดมาก"เล่อจื่อจึงหยุดพูด นางก้มหน้าลง ครุ่นคิดต่อไปฮั่วตู้มองรอยคล้ำใต้ตาของนาง จางๆ จางมาก มองไม่เห็นหากไม่สังเกต เขารู้มานานแล้วว่านางเป็นคนคิดมาก ถึงแม้ว่าเขาจะแอบใส่สมุนไพรบำรุงในอาหารของนาง แต่ปมในใจ
แสงแดดส่องกระทบดวงตาของฮั่วตู้ แม้แต่ดวงตาคมดุจเหล็กที่ไร้อารมณ์ก็ดูอบอุ่นเล่อจื่อตกตะลึง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของเขา หรือเพราะความอ่อนโยนที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา"เช่นนั้นหม่อมฉันจะไป ทานอาหารกับฝ่าบาท ดีหรือไม่เพคะ" เล่อจื่อเม้มริมฝีปาก รู้สึกผิดเล็กน้อยตั้งแต่พี่สาวออกมาจากเซี่ยเฟยไท่ นางก็ใส่ใจพี่สาวเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องธุรกิจของร้านค้าและการตามหาพี่สะใภ้กับหยูเอ๋อร์นอกจากมื้อเย็นและเวลานอนแล้ว นางกับฮั่วตู้แทบไม่มีเวลาคุยกัน...ฮั่วตู้ครางรับเบาๆ เห็นด้วยกับข้อเสนอของนางเล่อจื่อเงยหน้าขึ้นมองแสงแดด ไม่ได้เข็นเขาไปที่ห้องอาหาร แต่เรียกหลี่เหยา ให้นางนำอาหารมาที่สวนพลาดแสงแดดอบอุ่นในฤดูหนาวไม่ได้ระหว่างมื้ออาหาร คนทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรมากมาย แค่กินอย่างเงียบๆ หลี่เหยาถือซุปหวานๆ เห็นภาพที่สงบสุขและงดงามนี้จากระยะไกล นางก็หยุดอยู่กับที่ ไม่ต้องการเข้าไปรบกวนพวกเขาในเวลานี้ หลินเยว่เดินผ่านมาเห็นหลี่เหยา นางก็เดินไปหานาง มองดูภาพตรงกลางสวนด้วยกันใครเห็นภาพเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดมอ