“วันนี้พี่คิณนอนค้างที่นี่นะคะ” สาวเจ้ายังคงกอดพี่ชายของเธอไม่ยอมปล่อยทำเอาคนที่ถือตะกร้ามะม่วงอยู่ถึงกับวางตะกร้าลงบนแคร่ไม้ใต้ถุนบ้านอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก
“ไม่ได้หรอกแพรพี่มีประชุมต่อที่แวะมาก็ทักทายยายกับน้าพิมเท่านั้น” ที่คนินทร์มาที่นี่เพราะเขามีธุระผ่านมาจึงแวะมาทักทายทุกคน
“ทำไมล่ะคะประชุมเสร็จก็กลับมานอนที่นี่ไม่ได้เหรอเราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะคะ” ผ้าแพรบ่นอู้อี้เพราะเมื่องานแต่งเธอคนินทร์ก็ไม่ว่างมาวันนี้ก็ยังไม่ว่างอยู่คุยกับเธออีก
“เราโตจนมีลูกมีสามีแล้วนะแพรจะอ้อนพี่เค้าเป็นเด็กๆได้ยังไง” พิกุลปรามหลานสาวของเธอด้วยตอนนี้ต่างคนต่างโตมีหน้าที่รับผิดชอบจะให้ผ้าแพรมาอ้อนคนินทร์เป็นเด็กๆจะไม่ได้
“ขอโทษทีนะคะพอดีสองคนนี้เค้าเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ” พิมพรรณเห็นโสพิศเริ่มมองพฤติกรรมของผ้าแพรและคนินทร์อย่างไม่พอใจเธอจึงต้องอธิบายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้โสพิศฟังว่าทั้งคู่ไมได้คิดอะไรเกินเลยกว่าพี่น้องแน่นอนแค่สนิทกันมากเพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆเท่านั้น
“ฉันจะพยายามเข้าใจค่ะ” โสพิศพยักหน้าเบาๆและจะพยายามทำความเข้าใจแต่เหมือนลูกชายของเธอจะไม่เข้าใจเพราะเดินหน้าหงิกหน้างอหนีเข้าไปในสวนหลังบ้านแล้ว
ครู่ต่อมา
หลังจากที่คนินทร์อยู่คุยเล่นพักใหญ่เขาก็ต้องขอตัวกลับเพราะยังต้องมีประชุมเรื่องคดีอีกหลายคดีต่อก่อนคนินทร์กลับผ้าแพรก็ได้จัดการห่อมะม่วงสิบกว่าลูกที่ภูผาเก็บมาให้กับคนินทร์ไปเพื่อที่จะไปฝากกรุณาแม่ของคนินทร์ด้วย
“แพรกับพี่คิณเล่นด้วยกันนอนด้วยกันตั้งแต่เด็กๆแล้วค่ะพี่คิณพึ่งย้ายบ้านไปอยู่อีกอำเภอเมื่อตอนที่แพรจบม.ปลาย” ผ้าแพรนั่งปอกมะม่วงไปอธิบายความสัมพันธ์ของเธอกับคนินทร์ให้โสพิศและสายทองได้ฟังไปพรางๆ
“ย่าถึงว่าเราสนิทกันจังเลย” สายทองรู้แบบนี้ก็สบายใจนึกว่าผ้าแพรจะสนใจผู้ชายคนอื่นมากกว่าหลานเธอเสียแล้วแบบนั้นคงไม่ดีแน่เพราะเธอจะไม่ยอมเสียหลานสะใภ้แบบผ้าแพรไปเด็ดขาด
“แต่เราก็โตแล้วนะแพรจับมือถือแขนผู้ชายคนอื่นแม้จะเป็นพี่ที่สนิทแต่ก็ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆมันดูไม่ดีเท่าไร” โสพิศถือโอกาสตักเตือนสะใภ้เธอเสียตอนนี้เลย
“หนูจะจำไว้ค่ะคุณแม่..แต่ถ้าในบ้านคงไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” ผ้าแพรพยักหน้ารับคำครั้งหน้าเธอจะระวังแต่ถ้าหากเป็นในบ้านตัวเองเธอก็อยากจะขอข้อยกเว้น
“ก็อย่าไปทำข้างนอกแล้วกัน” โสพิศจำต้องยอมในข้อเรียกน้องของผ้าแพร
“คุณภูมาทานมะม่วงสิคะหวานมากเลย” ดวงตากลมเหลือบไปเห็นอคิณเดินออกมาจากสวนจึงรีบเรียกให้เขามาทานมะม่วงที่เธอพึ่งปอกเสร็จ
“นึกว่าให้พี่คิณของเธอไปหมดแล้วซะอีก” ภูผาเอ่ยเสียงห้วนสีหน้าของเขายังดูอารมณ์ไม่ดีเช่นเดิม
“แพรให้พี่คิณไปบ้างค่ะแต่ไม่ได้ให้หมด”
“ฉันไม่หิว” เอ่ยจบก็เดินหนีหญิงสาวไปนอนเปลที่ผูกกับเสาบ้านไม่ใกล้ไม่ไกลแคร่ไม้ที่หญิงสาวนั่ง
“อ้าว...เมื่อตอนที่เก็บมะม่วงยังบอกน่าทานอยู่เลยค่ะคุณย่า” ผ้าแพรเห็นภูผาอารมณ์ไม่ดีจึงหันมาหน้าหงอยกับสายทอง
“ตาภูก็อย่างนี้แหละเราก็ปอกเก็บใส่กล่องไว้ให้พี่เค้าก็แล้วกัน” สายทองเห็นว่าภูผาอาจจะแค่ไม่พอใจเรื่องที่ผ้าแพรนั้นไม่สนใจตนตอนคนินทร์มาเท่านั้นอีกไม่นานเดี๋ยวก็หาย
“ค่ะคุณย่า” สาวเจ้าเหลือบสายตามองภูผาครู่หนึ่งอย่างไม่เข้าใจแล้วจึงหันกลับมาปอกมะม่วงใส่กล่องพลาสติกเพื่อจะจะเก็บเอาไว้ให้เขา
เย็นของวัน
โต๊ะอาหาร
ผ้าแพรพยายามพูดคุยกับภูผาหลายครั้งดูเหมือนเขาจะเฉยกับเธอโดยไม่มีเหตุผลแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะละความพยายามจนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็นหญิงสาวก็ยังคงคอยคุยจ้อแนะนำอาหารให้เขาอยู่ไม่ขาด
“คุณภูลองทานหมูพะโล้หรือยังคะแพรเป็นคนตุ๋นเองเลยนะคะ” ผ้าแพรเห็นว่าภูผากำลังยื่นมือไปที่จานหมูตุ๋นเธอจึงรีบบอกกับเขาทันทีว่านั่นเป็นฝีมือของเธอ
“......” จบคำพูดคนข้างๆมือหนาของภูผาก็ละจากช้อนกลางจานหมูตุ๋นมาเป็นผัดผักข้างๆ
“ผัดผักนั่นแพรก็ทำเองเหมือนกันค่ะ”
“นี่ล่ะเธอทำหรือเปล่า” เป็นอีกครั้งที่ภูผาเลือกที่จะไม่ทานอาหารฝีมือผ้าแพรเมือเห็นถ้วยต้มจืดวุ้นเส้นก่อนจะลงมือตักขึ้นมาจึงถามหญิงสาวก่อนว่าเป็นของเธอหรือไม่
“ต้มจืดน้าพิมทำค่ะ” หญิงสาวตอบคำถามด้วยสีหน้าเจื่อนๆเล็กน้อยพอจะมองออกแล้วว่าเขาคงไม่อยากทานฝีมือของเธอและมันก็เป็นเช่นนั้นอย่างที่หญิงสาวคิด
“อืม..” ภูผาค่อยๆตักต้มจืดใส่จานของตนและทานอย่างเงียบๆไม่สนใจที่จะหันมามองเธอแม้แต่น้อย
“คุณภูเป็นแบบนี้เพราะเรื่องคิณหรือเปล่าคะ” หลังจากที่ทุกคนทานอาหารเย็นกันเรียบร้อยแล้วพิมพรรณก็เอ่ยปากถึงเรื่องของหลานทั้งสองหลังจากที่สองคนนั้นเข้าห้องไปพักผ่อนกันแล้ว
“ก็คงจะอย่างนั้นค่ะ” โสพิศพยักหน้าอย่างอ่อนใจ
“คิณกับแพรสนิทกันมากเสียด้วยสิวันหลังฉันจะบอกหลานฉันให้แล้วกันนะคะ” พิมพรรณเอ่ยด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“ฉันเตือนแกไปแล้วล่ะค่ะแกก็ฟังอยู่เหมือนกันแต่น่าจะไม่รู้ตัวมากกว่าว่าตาภูเคืองเรื่องอะไร”
“หนุ่มสาวอยู่ด้วยกันตลอดเดี๋ยวเค้าก็ปรับความเข้าใจกันเองนั่นแหละ” สายทองเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเห็นว่าเรื่องนี้สองคนนั้นน่าจะเข้าใจกันได้ในเวลาไม่นานนัก
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นเราเป็นผู้ใหญ่ก็แค่คอยดูกันไป” พิกุลเอ่ยเสริมเรื่องของเด็กๆนั้นให้พวกเขาเรียนรู้กันเองจะดีกว่าลิ้นกับฟันอยู่ใกล้กันกระทบกระทั่งเป็นเรื่องปกติ
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณภูหน้าคุณไม่สบอารมณ์เลยตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้ว” ผ้าแพรอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็มานั่งข้างๆกับภูผาที่นั่งอยุ่ในชุดนอนบนเตียง เธอถามเขาด้วยสีหน้าที่สงสัยอยากจะรู้เหตุผลของอาการที่เขาเป็นอยู่เพราะหากเขาเป็นอยู่แบบนี้เธอคงอึดอัดที่จะอยู่ใกล้ๆ“เปล่า” ภูผาส่ายหัวเบาๆทั้งยังไม่ยอมมองหน้าคนที่คุยด้วยดีๆ“คุณภูแน่ใจนะคะว่าไม่ได้โกรธอะไรแพร” สาวเจ้าเอียงใบหน้าขมวดคิ้วถามคนข้างๆอีกรอบ“เธอยังไม่รู้ตัวอีกหรือไง..ไปกอดกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าฉันได้ยังไงรู้ไหมว่ามันทำให้ฉันดูเสียหน้า” ภูผาถอนหายใจพร้อมพ่นเรื่องเคืองใจออกมาเพราะหากไม่พูดชาตินี้แม่คนซื่อที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาคงจะไม่รู้ “พี่คิณไม่ใช่คนอื่นนะคะเค้าเป็นพี่ชายแพร” ผ้าแพรค่อยโล่งใจเมื่อรู้ว่าภูผาไม่พอใจเรื่องอะไร“ถึงเป็นพี่ชายแต่ก็ไม่ใช่พี่แท้ๆมันไม่ควร” “อ๋อ.. เห็นเมื่อกลางวันคุณแม่ก็เตือนเรื่องนี้อยู่เหมือนกันยังไงฉันก็ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณไม่พอใจคราวหลังฉันจะห้ามใจเอาไว้ค่ะ” ร่างบางก้มหน้างุด“ดีแล้วผู้ชายที่เธอจะกอดต่อหน้าคนอื่นได้มีแค่ฉันเท่านั
กลางดึกภูผานอนมองคนในอ้อมแขนที่หลับไปพักใหญ่แล้วแต่เขานี่สิยังคงหลับตาไม่ลงแม้แต่น้อยยิ่งหญิงสาวกอดก่ายเขาในขณะที่เธอไม่รู้ตัวมากเท่าไรยิ่งทำให้อะไรๆของเขาตื่นไม่ยอมนอนและไม่รู้ได้เลยว่าเขาจะหลับลงในเวลาไหนกันในคืนนี้วันต่อมาภูผาตื่นขึ้นมาในช่วงสายเพราะเมื่อคืนกว่าจะทำใจหลับลงได้ก็เกือบรุ่งเช้าเมื่อตื่นมาก็เห็นผ้าแพรนั่งง่วนอยู่ตรงหน้าตู้กระจก“นั่นอะไร” “สร้อยแม่แพรค่ะสวยหรือเปล่าคะ” ร่างบางหันมาตอบชายหนุ่มในขณะที่เธอกำลังดึงสร้อยคอกระดูกงูเส้นเล็กสีเงินมีจี้รูปตัวทีออกจากกล่องพร้อมชูให้ภูผาได้ดู“สวยสิแต่ทำไมจี้เป็นตัวทีล่ะ” เมื่อหญิงสาวยื่นสร้อยใส่มือของเขาชายหนุ่มก็เพ่งดูอย่างพิจารณาเพราะเขาเห็นแวบแรกก็ดูออกว่าตัวที่เป็นจี้มันฝังด้วยเพชรของจริง“แม่แพรชื่อพรทิพย์ค่ะน่าจะมาจากคำว่าทิพย์” ผ้าแพรรู้ว่าแม่ของเธอชื่อเล่นว่าพรแต่ตัวทีน่าจะมาจากคำว่าทิพย์จากชื่อจริงของแม่เธอ“นี่เพชรของจริงนะแพรแม่เธอสั่งทำเองเหรอ” สายตาคมมองหน้าผ้าแพรอย่างสงสัย“ของจริงเหรอคะแพรนึกว่าไม่ใช่มาตลอดเลย” ผ้าแพรจำต้องเพ่งมองเจ้าเม็ดเพชรที่ฝังอยู่ในจี้อย่างแปลกใจเธอคิดว่าเพชรที่ฝังอยู่นั้นอาจจะเป็นแค่ของปล
“ก็คิดถึงเราด้วยนั่นแหละ” ธีรดลยื่นมือหนายีหัวลูกของเขาเล่นเบาๆที่ทำเป็นงอนไปได้ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าเขานั้นเห็นลูกตนเองสำคัญที่สุดในชีวิตอยู่แล้ว“คุณย่ากับน้าโสก็มาที่นี่ด้วยนะคะพรุ่งนี้ฟ้าว่าจะเข้าไปหาอยู่พอดี”“พ่อไปด้วยสิไม่ได้เจอพวกเค้านานแล้ว” ธีรดลพยักหน้าเบาๆหลังจากที่คุยกันเรื่องถอนหมั้นภูผากับเพียงฟ้าเรียบร้อยแล้วเขาก็ยุ่งๆไม่ได้ไปมาหาสู่กับครอบครัวของสายทองอีกเลย“ฟ้าถามจริงๆนะคะคุณพ่อไม่โกรธพี่ภูจริงใช่หรือเปล่าคะ” เพียงฟ้ายังคงสงสัยเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยที่พ่อของเธอไม่มีทีท่าที่จะโกรธภูผาเลยสักนิดเรื่องที่ภูผามีปัญหาเรื่องผู้หญิงกันจนต้องถอนหมั้น“พ่อควรจะถามฟ้ามากกว่าตัวพ่อเองไม่ได้ติดใจอะไรทั้งนั้น” ธีรดลส่ายหัวเบาๆแม้ลูกของเขากับสุรัตน์จะไม่ได้แต่งงานกันตามคำมั่นแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องโกรธเกลียดอีกฝ่ายเพราะถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงเป็นคนที่ดูไม่มีความเป็นผู้ใหญ่พอ“ฟ้าก็ไม่ได้ติดใจค่ะอีกอย่างฟ้าก็มีบางเรื่องอยากจะบอกคุณพ่อเหมือนกัน” ใบหน้ากลมมีสีหน้ากังวลเธอค่อนข้างไม่สบายใจเรื่องนี้มานานและอยากจะสารภาพความผิดบาปนี้ให้พ่อของเธอได้ฟัง“อะไรเหรอ” ธีรดลมองออกว่าเพีย
“นึกยังไงอยากจะมาทำรีสอร์ทที่นี่ล่ะคะ” โสพิศเอ่ยเพราะเมื่อก่นเห็นธีรดลเคยพูดกับสามีเธอตอนที่สามีเธอยังอยู่บ่อยๆว่าไม่อยากสร้างอะไรที่ต่างจังหวัดเพราะจะดูแลยากเนื่องจากงานที่กรุงเทพก็เยอะมากพอแล้ว“มีคนเสนอที่ดินแปลงสวยผมก็เลยซื้อไว้จะปล่อยว่างก็เปล่าประโยชน์ก็เลยเลือกทำรีสอร์ทซะเลยไหนๆที่นี่ก็มีคนให้ไหว้วานช่วยดูแลแล้ว” คราแรกธีรดลเองก็ไมได้อยากจะสร้างอะไรขึ้นมาเท่าไรแต่ก็ไม่อยากจะมีที่ดินสวยแล้วปล่อยทิ้งเปล่าประโยชน์อีกอย่างลูกสาวของเขาก็อยู่ที่นี่หากจะไหว้วานให้ช่วยดูแลก็คงจะไม่มีปัญหา“กะหางานให้ฟ้าเพิ่มใช่ไหมคะเนี่ย” เพียงฟ้าหลี่สายตามองคนเป็นพ่อที่กะจะหางานให้เธอแต่ก็ไม่ยอมบอกตรงๆแต่แรก“เราล่ะไม่คิดจะหาที่ทางแถวนี้ขยายกิจการบ้างเหรอ” ธีรดลหันไปถามภูผาเขาเห็นว่าภูผานั้นมีศักยภาพพอที่จะสร้างอะไรใหม่ๆขึ้นมาต่อยอดกิจการของครอบครัว“เท่าที่มีก็เหนื่อยแล้วครับคุณพ่อ” ภูผาอมยิ้มอ่อน“พ่อว่ามีที่นี่ก็ดีนะอีกอย่างเราก็มีทายาทแล้วเก็บไว้เป็นสมบัติไว้ให้ลูกตอนโต”“ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกันครับ” เรื่องนี้ภูผาขอให้มันเป็นเรื่องในอนาคตก็แล้วกันเพราะเขายังไม่มั่นใจในฝีมือตัวเองมากพอที่จะบริหารงาน
“หลานฉันเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อยไม่มีพ่อก็เห็นอยู่ได้ดังนั้นก็ไม่จำเป็น” พิกุลเอ่ยเสียงแข็งทั้งยังเชิดหน้าหนีธีรดลอย่างหยิ่งทระนง“แพร..พ่อขอโทษนะลูก” ธีรดลเอื้อมมือหมายจะกอดปลอบลูกสาวของตนที่ยืนสะอึกสะอื้นไม่พูดไม่จา“คุณพ่อ” ผ้าแพรเอ่ยเสียงอ่อนอยากจะเข้าไปหาพ่อของเธอแต่ก็ถูกยายของเธอขวางเอาไว้เสียก่อน“ถ้ารักยายอย่ายุ่งกับคนๆนี้” พิกุลเอ่ยเสียงแข็ง“ยายคะ” ไม่ทันขาดคำของพิกุลผ้าแพรก็สะอื้นหนักเธออยากเข้าไปกอดคนที่พึ่งรู้ว่าเป็นพ่อแท้ๆใจจะขาดแต่เธอก็รักและเคารพยายเธอมากกว่าจะขัดคำสั่งตอนนี้จึงทำอะไรไม่ถูกได้แต่วิ่งหนีเข้าห้องของเธอไป“แพร” ภูผาเห็นดังนั้นจึงรีบตามผ้าแพรไปติดๆเพราะตอนนี้เขาเป็นห่วงความรู้สึกของเธอเป็นที่สุด“ฮือๆๆๆ..” ผ้าแพรนั่งพิงหัวเตียงกอดหมอนสะอื้นใจจะขาด“แพร..” ภูผาเข้ามานั่งข้างๆคนที่กำลังสะอื้นสีหน้าของเขาไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรเมื่อเห็นเธอเสียใจหนักแบบนี้“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย..ฮือ.ๆๆ” แขนเรียวกอดกระชับหมอนจนแน่น“เธอโกรธคุณพ่อหรือเปล่า” ภูผาอยากจะรู้นักว่าตอนนี้ในใจของผ้าแพรคิดยังไงกับเรื่องที่พึ่งรู้เผื่อเขาจะได้ช่วยจัดการกับความรู้สึกของเธอถูก“ไม่..ฮือๆๆ..ถึง
วันต่อมา“คุณยายครับผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วย” ภูผาตัดสินใจจะคุยกับพิกุลในรุ่งเช้าของอีกวันเพราะเขาจะปล่อยให้ผ้าแพรเครียดแบบนี้อยู่ไม่ได้มันจะไม่เป็นผลดีต่อตัวผ้าแพรเองและลูกในท้องเขาเชื่อว่าพิกุลนั้นต้องรับฟังเขาแน่นอน แต่แค่เมื่อคืนนี้แค่โมโหมากเพราะพึ่งรู้เรื่องราวเก่าๆที่ไม่ดีเท่านั้น“ว่ามาสิ” พิกุลมองหน้าหลานเขยของเธอด้วยสายตาสงสัยว่าเขานั้นมีเรื่องอะไรจะคุยกับเธอแต่เช้า“แพรเธอต้องการพ่อนะครับคุณยาย...แต่เธอรักคุณยายมากเกินกว่าที่จะพูดตรงๆเพราะกลัวว่าจะทำร้ายจิตใจคุณยาย” ชายหนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลงนั่งลงตรงหน้าหญิงชราได้ก็เอ่ยสิ่งที่ต้องการจะพูดทันทีที่เขามาพูดเพราะรู้ดีว่าผ้าแพรคงไม่กล้าพูดกับยายของตนแน่นอนและเขาก็เชื่อว่าพิกุลรักผ้าแพรมากพอที่จะยอมรับในการตัดสินใจของผ้าแพร“ฉันทำร้ายหลานฉันสินะ...ถ้าเราเป็นยายเราจะทำยังไง” พิกุลเชิดหน้าหนีภูผาเล็กน้อย“ผมรู้ครับว่าคุณยายเจ็บปวดแต่ถ้าเป็นผม..ผมจะเคารพในการตัดสินใจของคนที่ผมรัก”“ลองให้หนูแพรตัดสินใจเอาเองนะคะแม่” พิมพรรณที่ได้ยินภูผาเอ่ยมาตั้งแต่แรกครั้งนี้เธอจึงช่วยเอ่ยเสริมเพราะเธอก็รักผ้าแพรมากเสียจนไม่อยากให้หลานของเธอที่เลี้ย
“พวกพี่อยู่แถวนี้เหรอคะ” ผ้าแพรเห็นชายฉกรรจ์สองคนสวมใส่เสื้อผ้ามิดชิดโพกผ้าข่าวม้าปิดหน้าเหลือเพียงแค่ดวงตาแตกต่างจากคนงานที่นี่ยืนมองพวกเธอนานสองนานไม่ใกล้ไม่ไกลนักจึงเดินเข้าไปถามเผื่อจะเป็นคนแถวพื้นที่นี้ แต่สองคนนั้นพอเห็นผ้าแพรเดินเข้ามาหาก็รีบเดินหนีกลับกันไปทันที“อะไรเหรอแพร” เพียงฟ้าเห็นผ้าแพรเดินแยกออกมาจึงเดินมาตาม“แพรเห็นพวกพี่เค้านั่งดูเรานานแล้วพอเดินไปถามก็หนีไปเลย” ผ้าแพรขมวดคิ้วเล็กน้อย“คงเป็นคนที่ไร่แถวนี้ล่ะมั้ง” เพียงฟ้าไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะคนที่เดินผ่านทางนี้ก็ไม่พ้นคนในไร่ใดไร่หนึ่งที่อยู่ข้างๆที่ผืนนี้เมื่อเดินดูพื้นที่กันพักใหญ่จนเริ่มร้อนมากแล้วทุกคนก็มานั่งพักที่เต้นสนามใต้ต้นไม้ใหญ่“ข้าวผัดกับขนมค่ะ” ผ้าแพรหยิบกล่องอาหารที่เธอเตรียมมาเผื่อทุกคนออกจากถุงผ้าและยื่นให้ทุกคนคนละกล่องในนั้นเป็นข้าวผัดไข่ที่เธอเป็นคนเตรียมเอง“ร้อนหรือเปล่า” เมื่อร่างบางหย่อนก้นลงนั่งข้างๆภูผาจึงแกะห่อผ้าเย็นซับหน้าผากให้กับผ้าแพรเพราะตอนนี้เธอเหงื่อออกจนไรผมเปียกไปหมด“ไม่เท่าไรค่ะ” ใบหน้าหวานหันไปยิ้มขอบคุณคนข้างๆมือน้อยก็คอยแกะกล่องข้างให้กับเขาธีรดลนั่งมองพฤติกรรมของทั้งสอ
เมื่อพิกุลรู้ว่าภูผาถูกหมามุ่ยมาจึงให้เขาถอดเสื้อผ้าออกให้หมดใส่แต่ผ้าขาวม้าผูกเอวเอาไว้แล้วนั่งที่แคร่ใต้ถุนบ้านแล้วจึงใช้เทียนขี้ผึ้งลนไฟจนอ่อนคลึงไปตามเนื้อตัวเพื่อให้ขนหมามุ่ยนั้นหลุดออกจากผิวหนัง“อีกเดี๋ยวก็จะเบาแล้วล่ะ”พิกุลใช้เทียนคลึงตามเนื้อตัวหลานเขยพร้อมกับผ้าแพรโดยพิกุลคลึงด้านหลังและผ้าแพรนั้นจัดการคลึงที่แผงอกด้านหน้า“ดีนะที่ยังรู้ตัวทันไม่งั้นคงเกาเป็นลิงล่ะทีนี้” พิกุลพูดไปอมยิ้มไปสงสารหลานก็สงสารแต่ก็ยังรู้สึกขบขันที่ภูผานั้นไม่ระวังจนเจอพิษของหมามุ่ยจนได้“เอ..ย่าว่าโดนที่ตัวแต่ทำไมแดงที่หน้าล่ะ” สายทองยืนมองหลานเธออยู่ครู่หนึ่งแล้วรู้สึกว่าหน้าของหลานเธอจะแดงเป็นพิเศษทั้งที่ไม่ใช่จะถูกหมามุ่ยคงจะเป็นพิษความเขินคนที่ก้มๆเงยๆตรงหน้ามากกว่า“ที่หน้าก็โดนหมามุ่ยเหมือนกันเหรอคะ” ใบหน้านวลได้ยินสายทองว่าเช่นนั้นจึงหยุดมือจากการคลึงเทียนขี้ผึ้งบนหน้าอกของภูผาและเงยหน้ามาจับจ้องผิวหน้าของภูผาใกล้ๆจนคนตัวโตเบนหน้าหนี“อ๋อ..เปล่าไม่มีอะไรหรอก” ภูผาเอ่ยเสียงเรียบทั้งเพ่งมองไปยังต้นไม้ต้นหญ้าใกล้ๆที่ไม่ใช่ใบหน้าหวานของหญิงสาว“จะว่าไปมันก็แดงอย่างที่คุณย่าว่าจริงๆนะคะ” มือน้อ