“ผอมเยอะเลยไหนดูซิมีลูกกี่ตัว...ตั้งสองตัวแน่ะอ้วนมากเลย..เจ้าอ้วน” ผ้าแพรเห็นเจ้าข้าวเหนียวก้รีบพุ่งเข้าไปหาทั้งลูบหัวมันด้วยความเอ็นดูและนั่งอุ้มลูกของเจ้าข้าวเหนียวทั้งสองตัวมาไว้ในอ้อมอกกอดเล่นอย่างหมั่นเขี้ยว
แฮ่ๆๆๆ
“มันจะกัดฉันหรือเปล่าเนี่ย” ภูผาได้แต่ยืนตัวเกร็งเพราะดูเจ้าข้าวเหนียวจะไม่เป็นมิตรกับเขาเท่าไร
“คุณภูรีบเทข้าวกับน้ำให้มันสิคะ”
“โอเค..” คนตัวโตหยิบกะละมังสองใบที่วางอยู่ตรงหน้าเจ้าข้าวเหนียวเขารับเทข้าวให้มันจนเต็มกะละมังและเทน้ำตามอีกกะละมังอย่างรวดเร็วพอเจ้าข้าวเหนียวเห็นว่าเขาเป็นคนให้อาหารก็เริ่มกระดิกหางให้จึงทำให้ภูผาค่อยกล้าเข้าใกล้มันหน่อย
“คุณภูว่าฉันจะตั้งชื่อลูกหมาว่าอะไรดีคะ” ผ้าแพรชูลูกหมาตัวอ้วนกลมสีขาวกับสีน้ำตาลทองทั้งสองให้ภูผาได้ดูหากเธอเดาม่ผิดพ่อของเจ้าสองตัวคงเป็นสีขาวแน่นอนเพราะไม่อย่างนันเจ้าตัวสีขาวนี้จะออกมาเป็นสีนี้ได้อย่างไร
“ไหนฉันขอดูหน่อยตัวนี้สีทองก็ชื่อทองตัวนี้สีขาวก็ชื่อขาวไงไม่เห็นยาก”
“คิดให้เยอะกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอคะเหมือนคุณพูดออกมาแบบไม่ต้องคิดอะไรเลย” ใบหน้าหวานเริ่มขมวดคิ้วเป็นปมที่รู้สึกว่าภูผาจะตอบผ่านๆ
“นี่ถ้าฉันไม่เห็นว่าเธอซื่อฉันคงคิดว่าเธอด่าฉันอยู่” ภูผาเหลือบสายตามองผ้าแพรอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“คุณภูก็...อืม..แม่ชื่อข้าวเหนียวลูกชื่อข้าวขาวกับข้าวทองดีไหม” สาวเจ้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มออกและถามความเห็นจากภูผาถึงความคิดของเธอ
“มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับที่ฉันพูดเมื่อกี้เลยนะแพร” ใบหน้าคมหันมองคนข้างๆด้วยความทึ่งที่เธอช่างคิดได้ไม่ต่างจากเขาเลยสักนิด
“ต่างสิคะมีข้าวนำหน้าเหมือนกับแม่ของมัน” ผ้าแพรเถียงอีกฝ่ายเสียงดังฟังชัดเธอคิดว่าสิ่งที่เธอคิดมันต่างจากชายหนุ่มอยู่มาก
“หึ่...” ภูผาสบถในลำคอทั้งส่ายหัวเล็กน้อยหากเขาเถียงกับหญิงสาวไปคงจะไม่ชนะอยู่ดีจึงหยุดพูดให้เธอภูมิใจกับความคิดของเธอไปคนเดียว
“อิ่มแล้วเหรอข้าวเหนียวพรุ่งนี้ฉันจะเอามาให้อีกนะ” ผ้าแพรและภูผานั่งเล่นเจ้าลูกหมาสองตัวอยู่พักใหญ่จนแม่ของมันเริ่มเข้ามาคลอเคลียกับเธอเพราะอยากจะเล่นด้วยบ้าง
“เมื่อกี้ยังขู่ฉันอยู่เลย” เจ้าข้าวเหนียวกระดิกหางไปมาซบใบหน้าคลอเคลียผ้าแพรครู่หนึ่งแล้วจึงมากระดิกหางตรงหน้าภูผาจนเขาอดยิ้มไม่ได้
“หมาแม่ลูกอ่อนก็แบบนี้แหละค่ะขี้ระแวงเป็นธรรมดาถ้าคุณให้อาหารมันแล้วมันก็จะจำไปตลอดจะไม่ระแวงอีกต่อไป” ผ้าแพรรู้ดีว่าเจ้าข้าวเหนียวฉลาดแค่ไหนมาที่บ้านแรกๆมันก็ขู่เธอเหมือนกันแต่พอเธอแบ่งกล้วยให้มันก็เริ่มเป็นมิตรกับเธอตั้งแต่วันนั้น
หลังจากทานข้าวเย็นกันเรียบร้อยฟ้าก็เริ่มมืดแล้วเหล่าคนโตก็นั่งคุยเล่นที่ชานบ้านกันตามประสาส่วนสองสามีภรรยาอย่างภูผาและผ้าแพรก็เดินออกมาดูดาวในยามค่ำคืนที่ฟ้าโปร่ง
“ไม่หนาวหรือไงคืนนี้อากาศเย็นพอสมควรนะ” ภูผารู้สึกว่าอากาศที่นี่เย็นพอสมควรทั้งที่ยังไม่มืดดีทั้งหญิงสาวยังสวมแค่ชุดนอนผ้าฝ้ายตัวโคร่งเขาจึงกลัวเธอจะหนาว
“ตัวแพรใกล้กับตัวคุณภูแบบนี้ก็ไม่ค่อยหนาวหรอกค่ะ” ร่างบางเงยหน้ามองชายหนุ่มเธอยิ้มร่าและค่อยๆเขยิบเข้าใกล้ตัวของภูผาแต่ก็ไม่ได้ใกล้จนแนบชิดแค่นี้ก็ใช้ความอบอุ่นจากตัวของเขาบรรเทาความเย็นให้เธอได้แล้ว
ริมฝีปากหนายิ้มอ่อนหากเขาไม่รู้ว่าเธอเป็นคนพูดตรงไปตรงมาคงคิดว่าเธอกำลังหยอดคำหวานเขาอยู่เป็นแน่
“ที่คุณภูมาพักที่นี่ทำให้คุณเสียงานหรือเปล่าคะ” ดวงตากลมมองวาดไปทั่วท้องฟ้าทั้งนึกขึ้นได้กะทันหันว่าภูผามาที่นี่ก็ต้องหยุดงานจึงหันกลับมาถามภูผา
“ไม่หรอกฉันมีคนดูแลให้อยู่แล้ว” คนตัวโตตอบพร้อมเขยิบตัวแนบชิดหญิงสาวอีกนิดเพื่อที่จะให้เธอนั้นอุ่นยิ่งขึ้น
“รู้แบบนี้ค่อยสบายใจ...ถ้าคืนนี้มีดาวตกก็ดีสิคะคุณภูแพรจะได้อธิษฐาน” ได้รู้คำตอบเช่นนี้ผ้าแพรเองก็ยิ้มออกสบายใจแล้วหันหน้าไปจดจ่อบนท้องฟ้าที่มีกลุ่มดาวระยิบระยับอีกครั้ง
“เธอจะอธิษฐานอะไร” ภูผาหันหน้ามองหญิงสาวด้วยแววตาสงสัย
“ขอให้ลูกเราแข็งแรงค่ะแล้วก็ขอให้ความสุขอยู่กับเรานานๆ” มือน้อยลูบหน้าท้องนูนของเธอทั้งมองด้วยสายตาเอ็นดูไม่ใช่แค่เธอที่ยิ้มแต่พฤติกรรมของหญิงสาวตอนนี้ทำเอาภูผายิ้มไปด้วย
วันต่อมา
ช่วงสายของวันนี้หลังจากที่ภูผาและผ้าแพรให้ข้าวให้น้ำเจ้าข้าวเหนียวที่กอกล้วยท้ายสวนมะม่วงเรียบร้อยแล้วจึงเดินดิ่งพร้อมตะกร้าหวายใบไม่ใหญ่มากนักมาที่ต้นมะม่วงเพื่อที่จะเก็บมะม่วงสุกที่เห็นเมื่อวาน
“ลูกนั้นค่ะ” มือน้อยของผ้าแพรชี้ซ้ายชี้ขวาให้ภูผานั้นเด็ดมะม่วงใส่ตะกร้าด้วยความสูงของเขาจึงเอื้อมมือหยิบลูกมะม่วงห้อยตามต้นได้อย่างไม่ลำบาก
“เหลืองอร่ามน่าทานมากเลย” ภูผามองมะม่วงในตะกร้าที่ตนถือระหว่างเดินกลับก็อดที่จะน้ำลายไหลกับมะม่วงพวกนี้ไม่ได้เพราะทั้งสีที่เหลืองอร่ามและกลิ่นหอมมันเตะจมูกจนอยากจะลิ้มรสสัมผัส
“นั่นไงสองคนนั้นมาพอดี” พิกุลกำลังยืนคุยกับคนินทร์ชายหนุ่มวัยสามสิบที่เป็นสารวัตรประจำสำนักงานตำรวจอีกอำเภอไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
“พี่คิณคะ...คิดถึงจังเลยค่ะ..พี่คิณมาพอดีเมื่อกี้แพรไปเก็บมะม่วงกับคุณภูมาพี่คิณเอากลับไปทานนะคะเผื่อป้านาด้วย” ผ้าแพรเห็นหน้าคนินทร์เธอก็ยิ้มร่าวิ่งแจ้นเข้าไปกอดพี่ชายที่เธอคิดถึงใจจะขาดเพราะนานๆทีคนินทร์จะแวะมาที่นี่ด้วยมีงานไม่ค่อยว่าง
“ขอบคุณนะแพร” คนินทร์กอดร่างบางเอาไว้หลวมๆเพราะตอนนี้สายตาของคนที่เขาไม่คุ้นเคยกำลังจับจ้องเขามาเป็นตาเดียว
“วันนี้พี่คิณนอนค้างที่นี่นะคะ” สาวเจ้ายังคงกอดพี่ชายของเธอไม่ยอมปล่อยทำเอาคนที่ถือตะกร้ามะม่วงอยู่ถึงกับวางตะกร้าลงบนแคร่ไม้ใต้ถุนบ้านอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก“ไม่ได้หรอกแพรพี่มีประชุมต่อที่แวะมาก็ทักทายยายกับน้าพิมเท่านั้น” ที่คนินทร์มาที่นี่เพราะเขามีธุระผ่านมาจึงแวะมาทักทายทุกคน“ทำไมล่ะคะประชุมเสร็จก็กลับมานอนที่นี่ไม่ได้เหรอเราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะคะ” ผ้าแพรบ่นอู้อี้เพราะเมื่องานแต่งเธอคนินทร์ก็ไม่ว่างมาวันนี้ก็ยังไม่ว่างอยู่คุยกับเธออีก“เราโตจนมีลูกมีสามีแล้วนะแพรจะอ้อนพี่เค้าเป็นเด็กๆได้ยังไง” พิกุลปรามหลานสาวของเธอด้วยตอนนี้ต่างคนต่างโตมีหน้าที่รับผิดชอบจะให้ผ้าแพรมาอ้อนคนินทร์เป็นเด็กๆจะไม่ได้“ขอโทษทีนะคะพอดีสองคนนี้เค้าเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ” พิมพรรณเห็นโสพิศเริ่มมองพฤติกรรมของผ้าแพรและคนินทร์อย่างไม่พอใจเธอจึงต้องอธิบายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้โสพิศฟังว่าทั้งคู่ไมได้คิดอะไรเกินเลยกว่าพี่น้องแน่นอนแค่สนิทกันมากเพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆเท่านั้น“ฉันจะพยายามเข้าใจค่ะ” โสพิศพยักหน้าเบาๆและจะพยายามทำความเข้าใจแต่เหมือนลูกชายของเธอจะไม่เข้าใจเพราะเดินหน้าหงิกหน้างอหนีเข้าไปใน
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณภูหน้าคุณไม่สบอารมณ์เลยตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้ว” ผ้าแพรอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็มานั่งข้างๆกับภูผาที่นั่งอยุ่ในชุดนอนบนเตียง เธอถามเขาด้วยสีหน้าที่สงสัยอยากจะรู้เหตุผลของอาการที่เขาเป็นอยู่เพราะหากเขาเป็นอยู่แบบนี้เธอคงอึดอัดที่จะอยู่ใกล้ๆ“เปล่า” ภูผาส่ายหัวเบาๆทั้งยังไม่ยอมมองหน้าคนที่คุยด้วยดีๆ“คุณภูแน่ใจนะคะว่าไม่ได้โกรธอะไรแพร” สาวเจ้าเอียงใบหน้าขมวดคิ้วถามคนข้างๆอีกรอบ“เธอยังไม่รู้ตัวอีกหรือไง..ไปกอดกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าฉันได้ยังไงรู้ไหมว่ามันทำให้ฉันดูเสียหน้า” ภูผาถอนหายใจพร้อมพ่นเรื่องเคืองใจออกมาเพราะหากไม่พูดชาตินี้แม่คนซื่อที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาคงจะไม่รู้ “พี่คิณไม่ใช่คนอื่นนะคะเค้าเป็นพี่ชายแพร” ผ้าแพรค่อยโล่งใจเมื่อรู้ว่าภูผาไม่พอใจเรื่องอะไร“ถึงเป็นพี่ชายแต่ก็ไม่ใช่พี่แท้ๆมันไม่ควร” “อ๋อ.. เห็นเมื่อกลางวันคุณแม่ก็เตือนเรื่องนี้อยู่เหมือนกันยังไงฉันก็ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณไม่พอใจคราวหลังฉันจะห้ามใจเอาไว้ค่ะ” ร่างบางก้มหน้างุด“ดีแล้วผู้ชายที่เธอจะกอดต่อหน้าคนอื่นได้มีแค่ฉันเท่านั
กลางดึกภูผานอนมองคนในอ้อมแขนที่หลับไปพักใหญ่แล้วแต่เขานี่สิยังคงหลับตาไม่ลงแม้แต่น้อยยิ่งหญิงสาวกอดก่ายเขาในขณะที่เธอไม่รู้ตัวมากเท่าไรยิ่งทำให้อะไรๆของเขาตื่นไม่ยอมนอนและไม่รู้ได้เลยว่าเขาจะหลับลงในเวลาไหนกันในคืนนี้วันต่อมาภูผาตื่นขึ้นมาในช่วงสายเพราะเมื่อคืนกว่าจะทำใจหลับลงได้ก็เกือบรุ่งเช้าเมื่อตื่นมาก็เห็นผ้าแพรนั่งง่วนอยู่ตรงหน้าตู้กระจก“นั่นอะไร” “สร้อยแม่แพรค่ะสวยหรือเปล่าคะ” ร่างบางหันมาตอบชายหนุ่มในขณะที่เธอกำลังดึงสร้อยคอกระดูกงูเส้นเล็กสีเงินมีจี้รูปตัวทีออกจากกล่องพร้อมชูให้ภูผาได้ดู“สวยสิแต่ทำไมจี้เป็นตัวทีล่ะ” เมื่อหญิงสาวยื่นสร้อยใส่มือของเขาชายหนุ่มก็เพ่งดูอย่างพิจารณาเพราะเขาเห็นแวบแรกก็ดูออกว่าตัวที่เป็นจี้มันฝังด้วยเพชรของจริง“แม่แพรชื่อพรทิพย์ค่ะน่าจะมาจากคำว่าทิพย์” ผ้าแพรรู้ว่าแม่ของเธอชื่อเล่นว่าพรแต่ตัวทีน่าจะมาจากคำว่าทิพย์จากชื่อจริงของแม่เธอ“นี่เพชรของจริงนะแพรแม่เธอสั่งทำเองเหรอ” สายตาคมมองหน้าผ้าแพรอย่างสงสัย“ของจริงเหรอคะแพรนึกว่าไม่ใช่มาตลอดเลย” ผ้าแพรจำต้องเพ่งมองเจ้าเม็ดเพชรที่ฝังอยู่ในจี้อย่างแปลกใจเธอคิดว่าเพชรที่ฝังอยู่นั้นอาจจะเป็นแค่ของปล
“ก็คิดถึงเราด้วยนั่นแหละ” ธีรดลยื่นมือหนายีหัวลูกของเขาเล่นเบาๆที่ทำเป็นงอนไปได้ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าเขานั้นเห็นลูกตนเองสำคัญที่สุดในชีวิตอยู่แล้ว“คุณย่ากับน้าโสก็มาที่นี่ด้วยนะคะพรุ่งนี้ฟ้าว่าจะเข้าไปหาอยู่พอดี”“พ่อไปด้วยสิไม่ได้เจอพวกเค้านานแล้ว” ธีรดลพยักหน้าเบาๆหลังจากที่คุยกันเรื่องถอนหมั้นภูผากับเพียงฟ้าเรียบร้อยแล้วเขาก็ยุ่งๆไม่ได้ไปมาหาสู่กับครอบครัวของสายทองอีกเลย“ฟ้าถามจริงๆนะคะคุณพ่อไม่โกรธพี่ภูจริงใช่หรือเปล่าคะ” เพียงฟ้ายังคงสงสัยเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยที่พ่อของเธอไม่มีทีท่าที่จะโกรธภูผาเลยสักนิดเรื่องที่ภูผามีปัญหาเรื่องผู้หญิงกันจนต้องถอนหมั้น“พ่อควรจะถามฟ้ามากกว่าตัวพ่อเองไม่ได้ติดใจอะไรทั้งนั้น” ธีรดลส่ายหัวเบาๆแม้ลูกของเขากับสุรัตน์จะไม่ได้แต่งงานกันตามคำมั่นแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องโกรธเกลียดอีกฝ่ายเพราะถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงเป็นคนที่ดูไม่มีความเป็นผู้ใหญ่พอ“ฟ้าก็ไม่ได้ติดใจค่ะอีกอย่างฟ้าก็มีบางเรื่องอยากจะบอกคุณพ่อเหมือนกัน” ใบหน้ากลมมีสีหน้ากังวลเธอค่อนข้างไม่สบายใจเรื่องนี้มานานและอยากจะสารภาพความผิดบาปนี้ให้พ่อของเธอได้ฟัง“อะไรเหรอ” ธีรดลมองออกว่าเพีย
“นึกยังไงอยากจะมาทำรีสอร์ทที่นี่ล่ะคะ” โสพิศเอ่ยเพราะเมื่อก่นเห็นธีรดลเคยพูดกับสามีเธอตอนที่สามีเธอยังอยู่บ่อยๆว่าไม่อยากสร้างอะไรที่ต่างจังหวัดเพราะจะดูแลยากเนื่องจากงานที่กรุงเทพก็เยอะมากพอแล้ว“มีคนเสนอที่ดินแปลงสวยผมก็เลยซื้อไว้จะปล่อยว่างก็เปล่าประโยชน์ก็เลยเลือกทำรีสอร์ทซะเลยไหนๆที่นี่ก็มีคนให้ไหว้วานช่วยดูแลแล้ว” คราแรกธีรดลเองก็ไมได้อยากจะสร้างอะไรขึ้นมาเท่าไรแต่ก็ไม่อยากจะมีที่ดินสวยแล้วปล่อยทิ้งเปล่าประโยชน์อีกอย่างลูกสาวของเขาก็อยู่ที่นี่หากจะไหว้วานให้ช่วยดูแลก็คงจะไม่มีปัญหา“กะหางานให้ฟ้าเพิ่มใช่ไหมคะเนี่ย” เพียงฟ้าหลี่สายตามองคนเป็นพ่อที่กะจะหางานให้เธอแต่ก็ไม่ยอมบอกตรงๆแต่แรก“เราล่ะไม่คิดจะหาที่ทางแถวนี้ขยายกิจการบ้างเหรอ” ธีรดลหันไปถามภูผาเขาเห็นว่าภูผานั้นมีศักยภาพพอที่จะสร้างอะไรใหม่ๆขึ้นมาต่อยอดกิจการของครอบครัว“เท่าที่มีก็เหนื่อยแล้วครับคุณพ่อ” ภูผาอมยิ้มอ่อน“พ่อว่ามีที่นี่ก็ดีนะอีกอย่างเราก็มีทายาทแล้วเก็บไว้เป็นสมบัติไว้ให้ลูกตอนโต”“ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกันครับ” เรื่องนี้ภูผาขอให้มันเป็นเรื่องในอนาคตก็แล้วกันเพราะเขายังไม่มั่นใจในฝีมือตัวเองมากพอที่จะบริหารงาน
“หลานฉันเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อยไม่มีพ่อก็เห็นอยู่ได้ดังนั้นก็ไม่จำเป็น” พิกุลเอ่ยเสียงแข็งทั้งยังเชิดหน้าหนีธีรดลอย่างหยิ่งทระนง“แพร..พ่อขอโทษนะลูก” ธีรดลเอื้อมมือหมายจะกอดปลอบลูกสาวของตนที่ยืนสะอึกสะอื้นไม่พูดไม่จา“คุณพ่อ” ผ้าแพรเอ่ยเสียงอ่อนอยากจะเข้าไปหาพ่อของเธอแต่ก็ถูกยายของเธอขวางเอาไว้เสียก่อน“ถ้ารักยายอย่ายุ่งกับคนๆนี้” พิกุลเอ่ยเสียงแข็ง“ยายคะ” ไม่ทันขาดคำของพิกุลผ้าแพรก็สะอื้นหนักเธออยากเข้าไปกอดคนที่พึ่งรู้ว่าเป็นพ่อแท้ๆใจจะขาดแต่เธอก็รักและเคารพยายเธอมากกว่าจะขัดคำสั่งตอนนี้จึงทำอะไรไม่ถูกได้แต่วิ่งหนีเข้าห้องของเธอไป“แพร” ภูผาเห็นดังนั้นจึงรีบตามผ้าแพรไปติดๆเพราะตอนนี้เขาเป็นห่วงความรู้สึกของเธอเป็นที่สุด“ฮือๆๆๆ..” ผ้าแพรนั่งพิงหัวเตียงกอดหมอนสะอื้นใจจะขาด“แพร..” ภูผาเข้ามานั่งข้างๆคนที่กำลังสะอื้นสีหน้าของเขาไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรเมื่อเห็นเธอเสียใจหนักแบบนี้“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย..ฮือ.ๆๆ” แขนเรียวกอดกระชับหมอนจนแน่น“เธอโกรธคุณพ่อหรือเปล่า” ภูผาอยากจะรู้นักว่าตอนนี้ในใจของผ้าแพรคิดยังไงกับเรื่องที่พึ่งรู้เผื่อเขาจะได้ช่วยจัดการกับความรู้สึกของเธอถูก“ไม่..ฮือๆๆ..ถึง
วันต่อมา“คุณยายครับผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วย” ภูผาตัดสินใจจะคุยกับพิกุลในรุ่งเช้าของอีกวันเพราะเขาจะปล่อยให้ผ้าแพรเครียดแบบนี้อยู่ไม่ได้มันจะไม่เป็นผลดีต่อตัวผ้าแพรเองและลูกในท้องเขาเชื่อว่าพิกุลนั้นต้องรับฟังเขาแน่นอน แต่แค่เมื่อคืนนี้แค่โมโหมากเพราะพึ่งรู้เรื่องราวเก่าๆที่ไม่ดีเท่านั้น“ว่ามาสิ” พิกุลมองหน้าหลานเขยของเธอด้วยสายตาสงสัยว่าเขานั้นมีเรื่องอะไรจะคุยกับเธอแต่เช้า“แพรเธอต้องการพ่อนะครับคุณยาย...แต่เธอรักคุณยายมากเกินกว่าที่จะพูดตรงๆเพราะกลัวว่าจะทำร้ายจิตใจคุณยาย” ชายหนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลงนั่งลงตรงหน้าหญิงชราได้ก็เอ่ยสิ่งที่ต้องการจะพูดทันทีที่เขามาพูดเพราะรู้ดีว่าผ้าแพรคงไม่กล้าพูดกับยายของตนแน่นอนและเขาก็เชื่อว่าพิกุลรักผ้าแพรมากพอที่จะยอมรับในการตัดสินใจของผ้าแพร“ฉันทำร้ายหลานฉันสินะ...ถ้าเราเป็นยายเราจะทำยังไง” พิกุลเชิดหน้าหนีภูผาเล็กน้อย“ผมรู้ครับว่าคุณยายเจ็บปวดแต่ถ้าเป็นผม..ผมจะเคารพในการตัดสินใจของคนที่ผมรัก”“ลองให้หนูแพรตัดสินใจเอาเองนะคะแม่” พิมพรรณที่ได้ยินภูผาเอ่ยมาตั้งแต่แรกครั้งนี้เธอจึงช่วยเอ่ยเสริมเพราะเธอก็รักผ้าแพรมากเสียจนไม่อยากให้หลานของเธอที่เลี้ย
“พวกพี่อยู่แถวนี้เหรอคะ” ผ้าแพรเห็นชายฉกรรจ์สองคนสวมใส่เสื้อผ้ามิดชิดโพกผ้าข่าวม้าปิดหน้าเหลือเพียงแค่ดวงตาแตกต่างจากคนงานที่นี่ยืนมองพวกเธอนานสองนานไม่ใกล้ไม่ไกลนักจึงเดินเข้าไปถามเผื่อจะเป็นคนแถวพื้นที่นี้ แต่สองคนนั้นพอเห็นผ้าแพรเดินเข้ามาหาก็รีบเดินหนีกลับกันไปทันที“อะไรเหรอแพร” เพียงฟ้าเห็นผ้าแพรเดินแยกออกมาจึงเดินมาตาม“แพรเห็นพวกพี่เค้านั่งดูเรานานแล้วพอเดินไปถามก็หนีไปเลย” ผ้าแพรขมวดคิ้วเล็กน้อย“คงเป็นคนที่ไร่แถวนี้ล่ะมั้ง” เพียงฟ้าไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะคนที่เดินผ่านทางนี้ก็ไม่พ้นคนในไร่ใดไร่หนึ่งที่อยู่ข้างๆที่ผืนนี้เมื่อเดินดูพื้นที่กันพักใหญ่จนเริ่มร้อนมากแล้วทุกคนก็มานั่งพักที่เต้นสนามใต้ต้นไม้ใหญ่“ข้าวผัดกับขนมค่ะ” ผ้าแพรหยิบกล่องอาหารที่เธอเตรียมมาเผื่อทุกคนออกจากถุงผ้าและยื่นให้ทุกคนคนละกล่องในนั้นเป็นข้าวผัดไข่ที่เธอเป็นคนเตรียมเอง“ร้อนหรือเปล่า” เมื่อร่างบางหย่อนก้นลงนั่งข้างๆภูผาจึงแกะห่อผ้าเย็นซับหน้าผากให้กับผ้าแพรเพราะตอนนี้เธอเหงื่อออกจนไรผมเปียกไปหมด“ไม่เท่าไรค่ะ” ใบหน้าหวานหันไปยิ้มขอบคุณคนข้างๆมือน้อยก็คอยแกะกล่องข้างให้กับเขาธีรดลนั่งมองพฤติกรรมของทั้งสอ