เสื้อเชิ้ตบนเรือนร่างของเซิ่งหวยอานหลวมโพรก กระดุมถูกปลดไปแล้วครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นลายเส้นกล้ามเนื้อที่สวยงาม ของร่างกายที่ผ่านการฟิตเนสมาตลอดทั้งปีฉันเหลือบมองครู่หนึ่ง แล้วละสายตาไปทางอื่นอย่างสงบนิ่งหลังจากความขมขื่นในคืนวันเข้าหอ เซิ่งหวยอานก็ไม่เคยซื่อสัตย์กับฉันอีกเลยเขาไม่สนใจที่จะแตะตัวฉัน เหล่าสาวๆข้างกายก็ไม่เคยขาดเช่นกันด้วยหตุนี้ เด็กที่ลุงเซิ่งอยากได้หนักหนา ก็ยังไม่มีโอกาสเช่นกัน“เสิ่นหนานอี้”เซิ่งหวยอานเรียกชื่อฉันด้วยเสียงแผ่วเบาเป็นน้ำเสียงอบอุ่นที่หาได้ยากฉันเงยมอง เขาจ้องมาที่ฉัน เก็บซ่อนความหยอกล้อในแววตาไว้ไม่อยู่:“บางที คุณก็ควรลิ้มลองคนใหม่บ้างนะ”“คนหนุ่มสาวมีชีวิตชีวา ยังไงก็ต่างออกไป”ฉันฉีกยิ้ม หันกายเดินออกมาด้านนอกในใจรู้ดีว่าการที่เขาพูดเช่นนี้ เพียงอยากให้ฉันลำบากใจหากไปหาจริงๆ เขาก็จะสติแตกอีก“เสิ่นหนานอี้”จู่ๆเซิ่งหวยอานเรียกฉันไว้จากด้านหลังฉันหันหน้ากลับไปมองเขาด้วยความสงสัยเขายกโทรศัพท์หันมาทางฉัน สื่อว่าให้อ่านข้อความด้านบน“คืนนี้มีงานเลี้ยง อย่าลืมแต่งตัวให้ดูดีหน่อยล่ะ”......ฉันสงสัยอย่างมาก ที่ผ่านมาไม่ว่างา
สมัยมัธยมปลาย ฉันกับเฉินมั่วไป๋นั่งข้างกันมาสามปีเต็มๆที่ฉันจำได้มาถึงตอนนี้คือ ตอนที่เฉินมั่วไป๋เลือกที่จะเรียนสายภาษาครูที่ปรึกษามองคะแนนสายวิทยาศาสตร์ที่สูงลิบลิ่วของเขาด้วยความไม่เข้าใจเฉินมั่วไป๋ปรายตามองฉันเล็กน้อย บอกว่าเขาอยากถ่ายทอดเรื่องราวฉันกลับนิ่งเงียบตอนนั้น ฉันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แม้กระทั่งความฝันวัยรุ่นที่มากมายก็พูดออกมาไม่ได้หลังจากนั้น เฉินมั่วไป๋ก็นำบทความที่ฉันเขียนเข้าร่วมการแข่งขันแทนฉันเขานำประกาศนียบัตรที่ได้รับ มากองไว้ตรงหน้าฉัน ชี้ไปตรงด้านบนที่เขียนว่า “เสิ่นหนานอี้” แล้วกล่าวว่า:“ไม่ต้องกลัว เสิ่นหนานอี้ เธอดูสิ เธอยอดเยี่ยมมากเลยนะ”ช่วงเวลานั้น ตอนที่แสงอาทิตย์สาดส่องลงมา เขามักจะชอบเอนตัวงีบหลับมาทางฉันเสมอหากวันใดที่ฉันเขียนโครงเรื่อง เขาก็จะหรี่ตาแล้วพูดพึมพำว่า:“ต่อจากนี้เธอเขียนเรื่องราว ฉันถ่ายทอดเรื่องราว พวกเราจะอยู่ด้วยกันนิจนิรันดร์”ตอนนั้นยังเด็ก หลังจากที่คิดวาดฝันอย่างเป็นจริงเป็นจังฉันเองก็คิดอยู่ช่วงหนึ่งว่า นั่นจะเป็นอนาคตของพวกเราวันที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จสิ้น วันนั้นฝนตกอย่างหนักตอนที่ฉันเดินออกมาจาก
เซิ่งหวยอานเทเหล้าใส่แก้วแล้วส่งมาให้ฉัน บุ้ยปากมาทางฉัน:“เพื่อนเก่ากลับมาเจอกัน ยังไม่รีบดื่มให้เขาสักแก้วอีก”เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเฉินมั่วไป๋ที่ปกติเย็นชาและสง่างาม กลับเผยความดุร้ายขึ้นมาเขายื่นมือมากดแก้วเหล้าของฉัน:“ไม่ต้องหรอก เธอเป็นผู้หญิง อย่าให้เธอดื่มเหล้าเลย”ฉันกะพริบดวงตาที่โศกเศร้าอย่างแรง ยกแก้วเหล้าขึ้นมา:“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ฉันดื่มเหล้าได้แล้ว”เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง อมยิ้มพลางยกแก้วเหล้าที่บริกรส่งมา พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างมาก:“อืม ตอนนี้โตแล้วสินะ”มือของเซิ่งหวยอานโอบเอวฉันแรงขึ้นเล็กน้อย เขาก้มลงมามองฉันแววตาที่จ้องเขม็งแฝงไปด้วยความเย้าหยอกและรังเกียจเดียดฉันท์“ท่านประธานเฉิน”เขาแสยะยิ้ม โน้มตัวมาจูบฉัน:“ผมกับหนานอี้ยังมีเรื่องสวยงามที่ต้องทำ ขอตัวก่อนนะครับ”เซิ่งหวยอานพูดคำนี้ออกมาอย่างมีเลศนัยใบหน้าของฉันซีดเผือดเฉินมั่วไป๋ยื่นมือไปบีบแขนของเซิ่งหวยอานเอาไว้หลังมือตึงจนเส้นเลือดปูดอย่างเห็นได้ชัดล้วนแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเดือดดาลเพียงใดทว่าตอนที่หันหน้ามามองฉัน น้ำเสียงกลับอ่อนโยนลงอย่างมาก:“หนานอี้ เธอยอมที่
เซิ่งหวยอานโยนฉันเข้าไปในรถด้วยความโมโห ฉันคิดจะหนีตามสัญชาตญาณทว่าข้อมือกลับถูกเขาคว้าไว้อย่างแรงวินาทีต่อมา ฉันถูกล็อกมือทั้งสองข้างไว้ ผลักลงไปที่เบาะด้านหลัง“คุณจะหนีไปไหน?”เซิ่งหวยอานฉีกยิ้มไปจนถึงแก้มของเขา ยิ้มพลางกดเสียงพูดให้ต่ำลง:“ทำไมล่ะ แค่เจอหน้าคนรักเก่านิดหน่อย ระริกระรี้แล้วงั้นหรือ?”ฉันมองเขาที่กำลังบ้าคลั่ง ใช้แรงต่อสู้ดิ้นรนอยู่หลายครั้ง “เซิ่งหวยอาน คุณใจเย็นหน่อยสิ อย่าทำแบบนี้”“เสแสร้งอะไรเล่า? ไม่ใช่ว่าไม่เคยนอนด้วยกันเสียหน่อย”“แสร้งเป็นหญิงสาวพรหมจรรย์ไปทำไมกัน? แสดงให้เฉินมั่วไป๋ดูงั้นหรือ?”เซิ่งหวยอานบีบคอฉัน บังคับให้ฉันสบตากับเขาเขาใช้แรงเยอะจนฉันเจ็บปวด จนน้ำตาที่ปวดประจำเดือนไหลออกมา“เสิ่นหนานอี้ อยากให้ผมทำให้คุณหวนรำลึกถึงไหมว่า คุณมันสกปรกเพียงใด?”สมองของฉันมีเสียงวิ้งดังขึ้นราวกับกลับไปในคืนที่แสนน่ากลัวเมื่อเจ็ดปีก่อนอีกครั้งครบรอบวันเกิดอายุสิบแปดของฉันนั้น เฉินมั่วไป๋นัดหมายกับฉันไว้เรียบร้อยแล้วต้องการขี่รถพาฉันไปรับลมตรงทางหลวงที่ติดกับชายทะเลเขาบอกกับฉันด้วยกกหูที่แดงก่ำ บางทีอาจมีเรื่องเซอร์ไพรส์อะไรรอฉันอยู่ก็
ตอนที่หัวสมองฉันว่างเปล่าจวนจะสิ้นหวัง ร่างกายก็เบาหวิวทันควันเซิ่งหวยอานที่ทับร่างฉันถูกเหวี่ยงออกไปนอกรถอย่างแรงเขาเดินเซไปมาสองสามก้าว เสียหลักล้มลงกับพื้นฉันน้ำตาไหล อารมณ์หวาดกลัวไม่มั่นคง หายใจกระหืดกระหอบเฉินมั่วไป๋ถอดเสื้อสูทตัวนอกมาคลุมตัวฉันไว้ในดวงตาของเขาราวกับมีพายุกำลังโหมกระหน่ำอยู่ ทว่าการกระทำกลับนุ่มนวลเป็นพิเศษมือใหญ่และหนาวางลงบนแผ่นหลังของฉัน แล้วตบเบาๆ“อย่ากลัวไปเลยนะ หนานอี้ ผมอยู่ตรงนี้”กลิ่นที่คุ้นเคยทำให้ฉันที่หายใจกระหืดกระหอบ ค่อยๆสงบสติอารมณ์ลงได้“โอ้ ที่แท้ก็เป็นท่านประเฉินนี่เอง”เซิ่งหวยอานยิ้มอย่างไม่แยแส ค่อยๆลุกขึ้นยืนเขาปัดกางเกง ยกมือชี้นิ้วมาทางฉันพลางกล่าวว่า:“เฉินมั่วไป๋ คุณอย่าบอกผมมนะว่า คุณยังอาลัยอาวรณ์ในตัวเธออยู่น่ะ?”“คุณไม่รู้หรือว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคุณคนนี้ ที่จริงแล้วน่าสะอิดสะเอียนเพียงใด?”“แม่ของเธอ ทำลายครอบครัวของผม และกอบโกยเงินของบ้านผมหนีไป”“ส่วนเสิ่นหนานอี้ ในคืนเข้าหอยังคิดเพ้อเจ้อปีนขึ้นมาบนเตียงผม อยากจะมีลูกให้ผมอยู่เลย”เฉินมั่วไป๋ไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด ทำเพียงแค่ก้มสายตาลงชี้รอยจ้ำแดงตรงข้อ
สีหน้าเซิ่งหวยอานเคร่งขรึมลง ทว่าปากยังคงพูดถากถากอย่างชั่วร้าย:“ไม่หรอกมั้ง ของที่เน่าเฟะแบบนี้ คุณยังจะอยากได้อีกหรือ?”เฉินมั่วไป๋ค่อยๆหันกายมาช้าๆ หัวเราะออกมาเบาๆ:“เซิ่งหวยอาน ตอนนั้น เธอก็เป็นเพียงแค่เด็กอายุเจ็ดขวบคนหนึ่งเท่านั้น”“คุณก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ของคุณพังทลายไปตั้งนานแล้ว”“พวกเขาก็นอกใจกันทั้งคู่ เรื่องนี้ คุณยังจะกล้าพูดว่าไม่รู้เรื่องงั้นหรือ?”เพราะว่าเดือดดาลถึงขีดสุด รัศมีและความน่าเกรงขามบนร่างของเฉินมั่วไป๋ในตอนนี้ เปิดเผยออกมาอย่างเต็มที่ภายใต้แรงกดดันที่มองไม่เห็น เซิ่งหวยอานก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวสายตามองไปรอบๆ และมาหยุดอยู่ที่ฉันพอดีราวกับว่าเจอเครื่องระบายอารมณ์แล้วเขาพูดอย่างโหดเหี้ยม:“ต่อให้รู้แล้วอย่างไร เรื่องที่แม่เธอทำลายครอบครัวผมเป็นความจริง”“ที่เสิ่นหนานอี้คิดจะขึ้นมาบนเตียงผม ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน”ราวกับว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ เซิ่งหวยอานพลันยิ้มขึ้นมาทันที:“แต่ว่า พูดก็พูดเถอะ ลีลาบนเตียงของเสิ่นหนานอี้ ก็ไม่เลวเลยนะ——”คำพูดที่เหลือยังพูดไม่ทันจบเฉินมั่วไป๋ต่อยท้องเขาไปหนึ่งหมัดสองมือ
เฉินมั่วไป๋พาฉันไปโรงแรมที่ใกล้ที่สุด เปิดห้องให้ฉันพักผ่อนเขานั่งยองถอดรองเท้าส้นสูงออกให้ฉัน ถามฉันด้วยเสียงที่นุ่มนวลอย่างมาก:“เมื่อครู่ตกใจหรือป่าว?”ฉันเม้มปาก กลั้นน้ำตาตรงขอบตาไว้ ค่อยๆส่ายหน้ามือที่สั่นเทาสัมผัสกับใบหน้าของเขานี่เป็นการสบตากันครั้งแรกหลังจากที่แยกจากกันไปเจ็ดปีเต็ม “เจ็ดปีมานี้ ลำบากมากเลยสินะ เฉินมั่วไป๋”ฉันพูดหนึ่งคำหยุดหนึ่งคำ แทบจะไร้เรี่ยวแรงขอบตาของเขาแดงก่ำ“ห้ามใจไม่ให้คิดถึงตอนที่ไม่ได้เจอเธอ ลำบากมากเลยล่ะ”หยุดพูดไปสองสามวินาที จากนั้นเขาก็ปริปากพูดอย่างระมัดระวัง:“หนานอี้ ขอโทษนะ”ฉันตกตะลึงไปเล็กน้อย“ตอนนั้น ฉันควรจะอยู่ข้างกายเธอ ไม่ว่าเธอจะปฎิเสธเราอย่างไร——”“เฉินมั่วไป๋” ฉันพูดขัดเขา “นายกอดฉันหน่อย”เขาหยุดพูดไปด้วยความเหลือเชื่อ“นายกอดฉันหน่อย” ฉันพูดซ้ำอีกหนึ่งครั้งอ้อมอกที่อบอุ่นโอบกอดฉันไว้ ยิ่งกอดยิ่งแน่นฉันรู้สึกได้ถึงว่ามือทั้งสองที่กำลังโอบกอดฉันอยู่ สั่นเทาเล็กน้อยเจ็ดปีก่อน เฉินมั่วไป๋หอบดอกกุหลาบหนึ่งช่อ ในใจเปี่ยมไปด้วยความปีติ ยืนรออยู่ที่ทางหลวงริมทะเลตั้งแต่รุ่งสางจนตะวันลาลับ ฉันก็ยังคงไม่มาเส
ตกดึก ฉันลากเฉินมั่วไป๋ลงมานั่งที่พรมของโรงแรม ดื่มเหล้าปรับทุกข์หลังดื่มไประยะหนึ่ง เขาดื่มหนักเกินไป แก้มเป็นสีแดงระเรื่อ สายตาพร่ามัวฉันลุกขึ้นไปเปิดเพลงในโทรทัศน์ตอนที่กลับมานั่ง เขาเอนตัวมาพิงฉันเงียบๆระยะห่างระหว่างพวกเราเหลือเพียงคืบเดียวแล้วตอนที่แขนทั้งสองเหมือนจะสัมผัสแต่ก็ไม่ได้สัมผัสกัน ทำให้ใจของฉันร้อนผ่าว“เฉินมั่วไป๋ พรุ่งนี้ฉันต้องกลับไปอีกรอบ”มือที่ถือแก้วเหล้าของเขาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดเสียงเบา:“เสิ่นหนานอี้ ตอนนี้เธอเหมือนกับตอนที่ปฏิเสธฉันตอนนั้นไม่มีมีผิด”เสียงเพลงดังกึกก้อง มีเพียงโลกของเราสองคน ที่ราวกับมีฉากกั้นฉันได้ยินทุกคำที่เขาพูดเขาเอนตัวไปพิงเตียงด้านหลังของเขา หันหน้ามาน้ำเสียงแหบพร่าอย่างมาก:“เธอจะจากฉันไปอีกแล้วใช่ไหม?”ตอนนั้น กำแพงทางความรู้สึกที่ฉันสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก พังทลายราบเป็นหน้ากองทันทีเขาคือเฉินมั่วไป๋ เป็นความอบอุ่นหนึ่งเดียวในชีวิตที่ทุกข์ระทมและสิ้นหวังของฉันและยังเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียว เมื่อฉันตกอยู่ในสภาวะสิ้นหวังสองสามปีมานี้ เพียงแค่เอ่ยชื่อเขา หัวใจก็สั่นสะเทือนด้วยความเจ็บปวดฉ