ในคืนเข้าหอ ฉันยื่นมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเซิ่งหวยอานหลังจากที่สัมผัสเนื้อผ้า เป็นลายเส้นกล้ามเนื้อที่ล่ำสันเรียบเนียนตอนที่จะปลดกระดุมเม็ดสุดท้าย เซิ่งหวยอานจับมือของฉันไว้ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ ทว่าใช้กำลังยับยั้งการกระทำของฉันอย่างป่าเถื่อน:“เสิ่นหนานอี้ คุณรู้ตัวไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่?”ฉันพยักหน้า เงยหน้ามองเขา:“คุณอาอยากให้พวกเราใช้ชีวิตร่วมกันให้ดี และให้กำเนิดลูกหนึ่งคน”เซิ่งหวยอานค่อยๆแกะมือของฉันออกเขาอมยิ้มมองมาที่ฉัน แววตากลับแฝงไปด้วยความเย็นยะเยือกราวน้ำค้างแข็ง:“คุณช่างเลวทรามต่ำช้าเหมือนแม่ของคุณไม่มีผิด”“แต่ก็ถูกต้องแล้ว คนที่ประพฤติตนผิดธรรมนองคลองธรรม จะให้กำเนิดคนดีมาได้อย่างไรกัน?”เขาสะบัดฉันออก นำแก้วน้ำบนโต๊ะขว้างใส่ฉันแก้วแตกกระจายเต็มพื้นฉันเดินโซซัดโซเซ ไปชนกับโต๊ะวางน้ำชาด้านหลังอย่างแรงเขายกเท้าเหยียบนิ้วมือของฉัน มองฉันด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์:“อย่าคิดเพ้อเจ้อว่าตั้งท้องลูกเป็นการไถ่โทษแล้ว ก็จะไปจากผมได้ล่ะ”“เสิ่นหนานอี้ ชาตินี้ไม่มีใครมารักคุณหรอก”“คุณควรจะทำตัวให้เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ที่ต้องคอยรับใช้อยู่ข้างกาย
เสื้อเชิ้ตบนเรือนร่างของเซิ่งหวยอานหลวมโพรก กระดุมถูกปลดไปแล้วครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นลายเส้นกล้ามเนื้อที่สวยงาม ของร่างกายที่ผ่านการฟิตเนสมาตลอดทั้งปีฉันเหลือบมองครู่หนึ่ง แล้วละสายตาไปทางอื่นอย่างสงบนิ่งหลังจากความขมขื่นในคืนวันเข้าหอ เซิ่งหวยอานก็ไม่เคยซื่อสัตย์กับฉันอีกเลยเขาไม่สนใจที่จะแตะตัวฉัน เหล่าสาวๆข้างกายก็ไม่เคยขาดเช่นกันด้วยหตุนี้ เด็กที่ลุงเซิ่งอยากได้หนักหนา ก็ยังไม่มีโอกาสเช่นกัน“เสิ่นหนานอี้”เซิ่งหวยอานเรียกชื่อฉันด้วยเสียงแผ่วเบาเป็นน้ำเสียงอบอุ่นที่หาได้ยากฉันเงยมอง เขาจ้องมาที่ฉัน เก็บซ่อนความหยอกล้อในแววตาไว้ไม่อยู่:“บางที คุณก็ควรลิ้มลองคนใหม่บ้างนะ”“คนหนุ่มสาวมีชีวิตชีวา ยังไงก็ต่างออกไป”ฉันฉีกยิ้ม หันกายเดินออกมาด้านนอกในใจรู้ดีว่าการที่เขาพูดเช่นนี้ เพียงอยากให้ฉันลำบากใจหากไปหาจริงๆ เขาก็จะสติแตกอีก“เสิ่นหนานอี้”จู่ๆเซิ่งหวยอานเรียกฉันไว้จากด้านหลังฉันหันหน้ากลับไปมองเขาด้วยความสงสัยเขายกโทรศัพท์หันมาทางฉัน สื่อว่าให้อ่านข้อความด้านบน“คืนนี้มีงานเลี้ยง อย่าลืมแต่งตัวให้ดูดีหน่อยล่ะ”......ฉันสงสัยอย่างมาก ที่ผ่านมาไม่ว่างา
สมัยมัธยมปลาย ฉันกับเฉินมั่วไป๋นั่งข้างกันมาสามปีเต็มๆที่ฉันจำได้มาถึงตอนนี้คือ ตอนที่เฉินมั่วไป๋เลือกที่จะเรียนสายภาษาครูที่ปรึกษามองคะแนนสายวิทยาศาสตร์ที่สูงลิบลิ่วของเขาด้วยความไม่เข้าใจเฉินมั่วไป๋ปรายตามองฉันเล็กน้อย บอกว่าเขาอยากถ่ายทอดเรื่องราวฉันกลับนิ่งเงียบตอนนั้น ฉันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แม้กระทั่งความฝันวัยรุ่นที่มากมายก็พูดออกมาไม่ได้หลังจากนั้น เฉินมั่วไป๋ก็นำบทความที่ฉันเขียนเข้าร่วมการแข่งขันแทนฉันเขานำประกาศนียบัตรที่ได้รับ มากองไว้ตรงหน้าฉัน ชี้ไปตรงด้านบนที่เขียนว่า “เสิ่นหนานอี้” แล้วกล่าวว่า:“ไม่ต้องกลัว เสิ่นหนานอี้ เธอดูสิ เธอยอดเยี่ยมมากเลยนะ”ช่วงเวลานั้น ตอนที่แสงอาทิตย์สาดส่องลงมา เขามักจะชอบเอนตัวงีบหลับมาทางฉันเสมอหากวันใดที่ฉันเขียนโครงเรื่อง เขาก็จะหรี่ตาแล้วพูดพึมพำว่า:“ต่อจากนี้เธอเขียนเรื่องราว ฉันถ่ายทอดเรื่องราว พวกเราจะอยู่ด้วยกันนิจนิรันดร์”ตอนนั้นยังเด็ก หลังจากที่คิดวาดฝันอย่างเป็นจริงเป็นจังฉันเองก็คิดอยู่ช่วงหนึ่งว่า นั่นจะเป็นอนาคตของพวกเราวันที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จสิ้น วันนั้นฝนตกอย่างหนักตอนที่ฉันเดินออกมาจาก
เซิ่งหวยอานเทเหล้าใส่แก้วแล้วส่งมาให้ฉัน บุ้ยปากมาทางฉัน:“เพื่อนเก่ากลับมาเจอกัน ยังไม่รีบดื่มให้เขาสักแก้วอีก”เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเฉินมั่วไป๋ที่ปกติเย็นชาและสง่างาม กลับเผยความดุร้ายขึ้นมาเขายื่นมือมากดแก้วเหล้าของฉัน:“ไม่ต้องหรอก เธอเป็นผู้หญิง อย่าให้เธอดื่มเหล้าเลย”ฉันกะพริบดวงตาที่โศกเศร้าอย่างแรง ยกแก้วเหล้าขึ้นมา:“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ฉันดื่มเหล้าได้แล้ว”เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง อมยิ้มพลางยกแก้วเหล้าที่บริกรส่งมา พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างมาก:“อืม ตอนนี้โตแล้วสินะ”มือของเซิ่งหวยอานโอบเอวฉันแรงขึ้นเล็กน้อย เขาก้มลงมามองฉันแววตาที่จ้องเขม็งแฝงไปด้วยความเย้าหยอกและรังเกียจเดียดฉันท์“ท่านประธานเฉิน”เขาแสยะยิ้ม โน้มตัวมาจูบฉัน:“ผมกับหนานอี้ยังมีเรื่องสวยงามที่ต้องทำ ขอตัวก่อนนะครับ”เซิ่งหวยอานพูดคำนี้ออกมาอย่างมีเลศนัยใบหน้าของฉันซีดเผือดเฉินมั่วไป๋ยื่นมือไปบีบแขนของเซิ่งหวยอานเอาไว้หลังมือตึงจนเส้นเลือดปูดอย่างเห็นได้ชัดล้วนแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเดือดดาลเพียงใดทว่าตอนที่หันหน้ามามองฉัน น้ำเสียงกลับอ่อนโยนลงอย่างมาก:“หนานอี้ เธอยอมที่
เซิ่งหวยอานโยนฉันเข้าไปในรถด้วยความโมโห ฉันคิดจะหนีตามสัญชาตญาณทว่าข้อมือกลับถูกเขาคว้าไว้อย่างแรงวินาทีต่อมา ฉันถูกล็อกมือทั้งสองข้างไว้ ผลักลงไปที่เบาะด้านหลัง“คุณจะหนีไปไหน?”เซิ่งหวยอานฉีกยิ้มไปจนถึงแก้มของเขา ยิ้มพลางกดเสียงพูดให้ต่ำลง:“ทำไมล่ะ แค่เจอหน้าคนรักเก่านิดหน่อย ระริกระรี้แล้วงั้นหรือ?”ฉันมองเขาที่กำลังบ้าคลั่ง ใช้แรงต่อสู้ดิ้นรนอยู่หลายครั้ง “เซิ่งหวยอาน คุณใจเย็นหน่อยสิ อย่าทำแบบนี้”“เสแสร้งอะไรเล่า? ไม่ใช่ว่าไม่เคยนอนด้วยกันเสียหน่อย”“แสร้งเป็นหญิงสาวพรหมจรรย์ไปทำไมกัน? แสดงให้เฉินมั่วไป๋ดูงั้นหรือ?”เซิ่งหวยอานบีบคอฉัน บังคับให้ฉันสบตากับเขาเขาใช้แรงเยอะจนฉันเจ็บปวด จนน้ำตาที่ปวดประจำเดือนไหลออกมา“เสิ่นหนานอี้ อยากให้ผมทำให้คุณหวนรำลึกถึงไหมว่า คุณมันสกปรกเพียงใด?”สมองของฉันมีเสียงวิ้งดังขึ้นราวกับกลับไปในคืนที่แสนน่ากลัวเมื่อเจ็ดปีก่อนอีกครั้งครบรอบวันเกิดอายุสิบแปดของฉันนั้น เฉินมั่วไป๋นัดหมายกับฉันไว้เรียบร้อยแล้วต้องการขี่รถพาฉันไปรับลมตรงทางหลวงที่ติดกับชายทะเลเขาบอกกับฉันด้วยกกหูที่แดงก่ำ บางทีอาจมีเรื่องเซอร์ไพรส์อะไรรอฉันอยู่ก็
ตอนที่หัวสมองฉันว่างเปล่าจวนจะสิ้นหวัง ร่างกายก็เบาหวิวทันควันเซิ่งหวยอานที่ทับร่างฉันถูกเหวี่ยงออกไปนอกรถอย่างแรงเขาเดินเซไปมาสองสามก้าว เสียหลักล้มลงกับพื้นฉันน้ำตาไหล อารมณ์หวาดกลัวไม่มั่นคง หายใจกระหืดกระหอบเฉินมั่วไป๋ถอดเสื้อสูทตัวนอกมาคลุมตัวฉันไว้ในดวงตาของเขาราวกับมีพายุกำลังโหมกระหน่ำอยู่ ทว่าการกระทำกลับนุ่มนวลเป็นพิเศษมือใหญ่และหนาวางลงบนแผ่นหลังของฉัน แล้วตบเบาๆ“อย่ากลัวไปเลยนะ หนานอี้ ผมอยู่ตรงนี้”กลิ่นที่คุ้นเคยทำให้ฉันที่หายใจกระหืดกระหอบ ค่อยๆสงบสติอารมณ์ลงได้“โอ้ ที่แท้ก็เป็นท่านประเฉินนี่เอง”เซิ่งหวยอานยิ้มอย่างไม่แยแส ค่อยๆลุกขึ้นยืนเขาปัดกางเกง ยกมือชี้นิ้วมาทางฉันพลางกล่าวว่า:“เฉินมั่วไป๋ คุณอย่าบอกผมมนะว่า คุณยังอาลัยอาวรณ์ในตัวเธออยู่น่ะ?”“คุณไม่รู้หรือว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคุณคนนี้ ที่จริงแล้วน่าสะอิดสะเอียนเพียงใด?”“แม่ของเธอ ทำลายครอบครัวของผม และกอบโกยเงินของบ้านผมหนีไป”“ส่วนเสิ่นหนานอี้ ในคืนเข้าหอยังคิดเพ้อเจ้อปีนขึ้นมาบนเตียงผม อยากจะมีลูกให้ผมอยู่เลย”เฉินมั่วไป๋ไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด ทำเพียงแค่ก้มสายตาลงชี้รอยจ้ำแดงตรงข้อ
สีหน้าเซิ่งหวยอานเคร่งขรึมลง ทว่าปากยังคงพูดถากถากอย่างชั่วร้าย:“ไม่หรอกมั้ง ของที่เน่าเฟะแบบนี้ คุณยังจะอยากได้อีกหรือ?”เฉินมั่วไป๋ค่อยๆหันกายมาช้าๆ หัวเราะออกมาเบาๆ:“เซิ่งหวยอาน ตอนนั้น เธอก็เป็นเพียงแค่เด็กอายุเจ็ดขวบคนหนึ่งเท่านั้น”“คุณก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ของคุณพังทลายไปตั้งนานแล้ว”“พวกเขาก็นอกใจกันทั้งคู่ เรื่องนี้ คุณยังจะกล้าพูดว่าไม่รู้เรื่องงั้นหรือ?”เพราะว่าเดือดดาลถึงขีดสุด รัศมีและความน่าเกรงขามบนร่างของเฉินมั่วไป๋ในตอนนี้ เปิดเผยออกมาอย่างเต็มที่ภายใต้แรงกดดันที่มองไม่เห็น เซิ่งหวยอานก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวสายตามองไปรอบๆ และมาหยุดอยู่ที่ฉันพอดีราวกับว่าเจอเครื่องระบายอารมณ์แล้วเขาพูดอย่างโหดเหี้ยม:“ต่อให้รู้แล้วอย่างไร เรื่องที่แม่เธอทำลายครอบครัวผมเป็นความจริง”“ที่เสิ่นหนานอี้คิดจะขึ้นมาบนเตียงผม ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน”ราวกับว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ เซิ่งหวยอานพลันยิ้มขึ้นมาทันที:“แต่ว่า พูดก็พูดเถอะ ลีลาบนเตียงของเสิ่นหนานอี้ ก็ไม่เลวเลยนะ——”คำพูดที่เหลือยังพูดไม่ทันจบเฉินมั่วไป๋ต่อยท้องเขาไปหนึ่งหมัดสองมือ
เฉินมั่วไป๋พาฉันไปโรงแรมที่ใกล้ที่สุด เปิดห้องให้ฉันพักผ่อนเขานั่งยองถอดรองเท้าส้นสูงออกให้ฉัน ถามฉันด้วยเสียงที่นุ่มนวลอย่างมาก:“เมื่อครู่ตกใจหรือป่าว?”ฉันเม้มปาก กลั้นน้ำตาตรงขอบตาไว้ ค่อยๆส่ายหน้ามือที่สั่นเทาสัมผัสกับใบหน้าของเขานี่เป็นการสบตากันครั้งแรกหลังจากที่แยกจากกันไปเจ็ดปีเต็ม “เจ็ดปีมานี้ ลำบากมากเลยสินะ เฉินมั่วไป๋”ฉันพูดหนึ่งคำหยุดหนึ่งคำ แทบจะไร้เรี่ยวแรงขอบตาของเขาแดงก่ำ“ห้ามใจไม่ให้คิดถึงตอนที่ไม่ได้เจอเธอ ลำบากมากเลยล่ะ”หยุดพูดไปสองสามวินาที จากนั้นเขาก็ปริปากพูดอย่างระมัดระวัง:“หนานอี้ ขอโทษนะ”ฉันตกตะลึงไปเล็กน้อย“ตอนนั้น ฉันควรจะอยู่ข้างกายเธอ ไม่ว่าเธอจะปฎิเสธเราอย่างไร——”“เฉินมั่วไป๋” ฉันพูดขัดเขา “นายกอดฉันหน่อย”เขาหยุดพูดไปด้วยความเหลือเชื่อ“นายกอดฉันหน่อย” ฉันพูดซ้ำอีกหนึ่งครั้งอ้อมอกที่อบอุ่นโอบกอดฉันไว้ ยิ่งกอดยิ่งแน่นฉันรู้สึกได้ถึงว่ามือทั้งสองที่กำลังโอบกอดฉันอยู่ สั่นเทาเล็กน้อยเจ็ดปีก่อน เฉินมั่วไป๋หอบดอกกุหลาบหนึ่งช่อ ในใจเปี่ยมไปด้วยความปีติ ยืนรออยู่ที่ทางหลวงริมทะเลตั้งแต่รุ่งสางจนตะวันลาลับ ฉันก็ยังคงไม่มาเส
เจ็ดปีก่อน วันที่เฉินมั่วไป๋ไปต่างประเทศ ฉันแอบไปส่งเขาที่สนามบินในสองชั่วโมงนั้น ฉันเฝ้ามองเขา อารมณ์เปลี่ยนจากรอคอยเป็นสิ้นหวังหัวใจราวกับถูกมือหนึ่งบีบรัดเอาไว้เจ็บปวดจนฉันแทบจะหายใจไม่ออกตอนที่ฉันไม่สนใจอะไรอีก อยากจะโถมตัวไปกอดเขาเซิ่งหวยอานก็ปรากฎตัวขึ้นเขาเดินมาข้างๆฉัน ยิ้มพลางจับไหล่ฉันไว้ สีหน้าอ่อนโยน:“คุณอยากไปกับเขาหรือ? น้องสาวที่แสนดีของผม”ฉันตัวเหยียดตรงแข็งทื่อ ส่ายหน้าอย่างไม่รู้ตัวเซิ่งหวยอานกลับไม่เชื่อ เขาดึงผมของฉัน ชี้ไปทางเฉินมั่วไป๋พลางพูดว่า:“คุณดูสิ เขายอดเยี่ยมมากเลยนะ”“ผลการเรียนล้ำเลิศ ตอนนี้สามารถเรียนต่อต่างประเทศได้อีก”“แล้วคุณล่ะ”ระหว่างที่พูด เขาหัวเราะอย่างสะใจ ฉันกลับรู้สึกว่าเปี่ยมไปด้วยเจตนาร้าย“ก็แค่คนเลวทรามคนหนึ่งที่สมควรถูกทุกคนทอดทิ้ง”“เสิ่นหนานอี้ คนแบบคุณ คุณคิดว่าคู่ควรกับเขางั้นหรือ?”หลังจากวันนั้น อนาคตของเฉินมั่วไป๋รุ่งโรจน์ทว่าฉันดำดิ่งสู่โคลนตม ไม่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร เซิ่งหวยอานก็ควบคุมฉันได้ตามอำเภอใจจนถึงค่ำคืนต้นฤดูร้อนที่เงียบสงบวันนั้นในห้องโถงใหญ่ที่โอ่อ่าหรูหรา ชายหญิงที่สวมชุดแต่งงานสง่า
ระหว่างทางกลับ ฉันตั้งใจขอให้เฉินมั่วไป๋มาเดินเล่นกับฉันแม่น้ำข้างทางสะท้อนแสงไฟที่อยู่โดยรอบให้เปล่งประกายระยิบระยับเดินไปเรื่อยๆ เฉินมั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น:“ตอนนั้น ฉันเตรียมที่จะสารภาพรักกับเธอที่นี้ล่ะ”ทว่าตอนนั้น เขารอฉันไม่ไหวหัวใจถูกเติมเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่บอกไม่ถูกทันทีกระตุ้นให้ขอบตาของฉันร้อนผ่าว น้ำตาแทบจะไหลออกมาฉันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน:“ตอนนี้นายจะคิดบัญชีย้อนหลังกับฉันหรือไง?”เฉินมั่วไป๋มองตาฉันอย่างไม่หลบเลี่ยง มีฉันตัวน้อยสะท้อนอยู่ในตาของเขาลำคอของเขาหลุดเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขออกมา พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า:“เสิ่นหนานอี้ เหมือนว่าฉันจะติดค้างการสารภาพรักกับเธอนะ”เฉินมั่วไป๋หยุดฝีเท้าลง โน้มตัวโอบกอดฉันเข้าไปในอ้อมอกทั้งตัวหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ก้มหน้าลงมาจูบหน้าผากฉันรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อยกลิ่นหอมสดชื่นของแมกไม้ที่ปลายจมูก ปลุกเร้าประสาทสัมผัสทั่วเรือนร่างของฉันเสียงที่กระทบโสตประสาท แฝงไปด้วยฝุ่นละอองของกาลเวลาทว่าเต็มไปด้วยความรักที่ไม่สิ้นสุดฉันได้ยินเสียงที่เขาพูด:“ฉันรักเธอนะ เสิ่นหนานอี้”
ได้ยินดังนั้น เซิ่งหวยอานสีหน้าซีดเผือด ลมหายใจถี่ขึ้นทันทีทรวงอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ริมฝีปากขยับขึ้นลงแต่ท้ายที่สุด ก็พูดประโยคที่สมบูรณ์ออกมาไม่ได้อยู่ดี“เซิ่งหวยอาน ผมขอร้องคุณ ต่อจากนี้อย่ามายุ่งกับชีวิตของพวกเราอีก”ราวกับว่าเขาทำใจยอมรับไม่ได้ ทรุดตัวลง หายใจกระหืดกระหอบแววตาพลันปรากฏความอาลัยอาวรณ์ที่ไร้รูปร่าง และความเศร้าโศกที่ไม่สามารถจะเอื้อนเอ่ย“ผมผิดไปแล้ว หนานอี้ คุณให้อภัยผมได้ไหม?”“ผมขอโทษ ต่อจากนี้ ผมจะดีกับคุณอย่างแน่นอน”“ถ้าคุณไม่สบอารมณ์ คุณจะทำอะไรกับผมก็ได้”“ขอเพียงแค่คุณกลับมา ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ ผมเสียใจจริงๆนะ”เสียงลมที่แฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก พัดผ่านปลายนิ้วพวกเราไปฉันนึกถึงประโยคนั้นที่เคยเห็นขึ้นมาได้ทันที:“คนที่ถูกทำร้าย รอยแผลบาดเจ็บสาหัสเหล่านั้น ไม่ควรค่าที่จะถูกเปิดออกเลย”“สิ่งที่น่ายกย่องคือความกล้าหาญในสภาวะที่สิ้นหวัง”ภูเขาลูกใหญ่ลูกนั้นที่เคยตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าฉันตั้งแต่ตอนที่เฉินมั่วไป๋กลับมา ก็ถูกฉันก้าวข้ามได้แล้ว“พอแค่นี้เถอะ เซิ่งหวยอาน หยุดก่อความวุ่นวายได้แล้ว”“พวกเราต่างคนต่างอยู่ อย่าม
ตอนที่พบเจอเซิ่งหวยอานอีกครั้ง ฉันและเฉินมั่วไป๋เพิ่งจะซื้อของเสร็จตรงลานจอดรถที่แสงไฟสลัว เซิ่งหวยอานเรียกฉันไว้ใบหน้าของเขาซีดเผือด ก้นบุหรี่ที่ปลายนิ้วตกลงมาแม้ลวกใส่หลังมือ เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อยรู้จักกันมานานขนาดนี้ เหมือนว่าฉันไม่เคยเห็นเขา ไม่สนใจการแต่งเนื้อแต่งตัวเช่นนี้มาก่อนเซิ่งหวยอานยื่นมือ จะดึงฉันไป ทว่าถูกเฉินมั่วไป๋ขัดขวางไว้สีหน้าของเขาหม่นหมองทันที ราวกับมีข้อสงสัยที่ไม่เข้าใจจริงๆ:“เฉินมั่วไป๋ อย่างไรคุณก็เป็นถึงประธานของกลุ่มบริษัท”“เก็บคนที่เคยนอนกับผมไป ไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนบ้างหรือไง?”“ถ้าคนอื่นรู้ คุณจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน——”เฉินมั่วไป๋ควงแขนฉันอย่างเป็นธรรมชาติ“สำหรับผมแล้ว เสิ่นหนานอี้ เป็นความภาคภูมิใจสูงสุดมาโดยตลอด”“ผมไม่กลัวเรื่องพวกนี้หรอกครับ เพราะผมรักเธอ”เขามองเซิ่งหวยอานอย่างเรียบนิ่ง ทว่าน้ำเสียงกลับหนักแน่นเป็นพิเศษ:“ผมกลัวแค่ว่าเสิ่นหนานอี้จะไม่มีความสุข”เซิ่งหวยอานถอยหลังไปหนึ่งก้าว แสดงสีหน้าเหลือเชื่อเขารุดหน้าขึ้นมาราวกับควบคุมตัวเองไม่ได้ เสียงแหบพร่าอย่างมาก:“เสิ่นหนานอี้ คุณเชื่อไหมว่าผมสามารถทำลายชีวิ
ก้าวสุดท้ายของฉัน หันไปโบกมือให้เซิ่งหวยอาน กล่าวคำลาอย่างจริงใจ:“ลาก่อนนะ พี่หวยอาน”หลังจากนั้นก็วิ่งขึ้นรถไป เฉินมั่วไป๋หันข้างมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้ฉัน:“วันนี้ตื่นเช้าขนาดนี้ ยังไม่ได้กินข้าวเช้าใช่ไหม?”ฉันโน้มตัวไปด้านข้าง เงยหน้าไปจุ๊บเขาเฉินมั่วไป๋สะดุ้งโหยง หัวเกือบจะชนหลังคารถ กกหูแดงก่ำ“หนานอี้ เธอ......”ฉันอมยิ้ม:“เจ็ดปีก่อน ฉันก็อยากทำแบบนี้แหละ”เขาหันหน้าไปทางอื่น ไม่มองฉัน ทว่าก็กลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่“ยังไม่ได้ถามนายเลย ทำไมจู่ๆถึงกลับประเทศมาล่ะ?”“เพราะอยากเจอเธอไง” ม่านฝนปกคลุม ทำให้ดวงตาเขาเปียกชื้นเป็นพิเศษ“หลายปีมานี้ เธอใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และไม่มีความสุขด้วย” “ฉันคิดว่า เธอต้องการฉันอย่างแน่นอน” เขาน้ำเสียงหนักแน่น:“ตราบใดที่เธอต้องการฉัน ฉันก็สามารถละทิ้งทุกสิ่งได้” ตอนนั้น ราวกับว่าย้อนกลับไปในช่วงมัธยมปลายชายหนุ่มที่งดงามสดใส เป็นดั่งจันทราที่หลายคนแอบเก็บไว้ในใจทว่าเขากลับส่องสว่างมาที่ฉันเพียงผู้เดียวเขายังคงเป็นคนนั้น ที่หลังจากพักเที่ยงแล้วฟุบบนโต๊ะนักเรียน ชายหนุ่มที่พูดเสียงแผ่วเบา “พวกเราจะอยู่ด้วยกันไปนิจนิรันดร์
ตอนที่ถือใบหย่าไว้ในมือ หัวใจของฉันจึงสบายใจได้อย่างแท้จริงตอนที่เดินออกมา เซิ่งหวยอานหยุดฝีเท้าไปครู่หนึ่งเขาพึมพำขึ้นว่า:“พวกเรา จะหย่ากันแบบนี้จริงๆหรือ......”ตอนที่ฉันหันหลังกลับไป เอกสารเล่มเล็กๆในมือเขาก็บีบจนมีรอยยับแล้วจิกเล็บอย่างแรงจนปลายเล็บเป็นสีขาวเซิ่งหวยอานยังคงยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม มองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ดึงดันขอบตาของเขาแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นเทาราวกับอยู่ในสภาวะหมดอาลัยตายอยากดูแล้ว คล้ายกับว่ามีเรื่องอีกมากมายที่อยากจะพูดท้ายที่สุด กลับรู้สึกหมดแรงพูดอะไรไม่ออกสักอย่าง“ไม่หรอก” ฉันพูดขึ้นอย่างกะทันหันเซิ่งหวยอานมึนงงไปครู่หนึ่ง: “อะไรนะ?”ฉันเม้มริมฝีปากท้ายที่สุดยังคงตอบคำถามของเขาอย่างจริงจังอีกครั้ง“ต่อให้คุณไม่ได้หยาบคายขนาดนั้น พวกเราก็ไม่สามารถไปได้ตลอดรอดฝั่งหรอก”“คุณจะเป็นพี่ชายที่ฉันเคารพ ทว่าไม่ใช่คนรักเด็ดขาด”ฉันหันหน้ากลับไปมองใครบางคนที่ยืนรออยู่เงียบๆไม่ไกลยิ้มจนคิ้วยกขึ้น:“ตำแหน่งคนรักนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ เก็บไว้ให้เขาคนเดียวเท่านั้น”
สภาพอากาศเดือนหกบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน ระหว่างที่ไปสำนักงานเขต ฝนตกลงมาอย่างหนักบนทางแยกสุดท้าย ในช่วงเวลาสิบกว่าวินาทีที่รอไฟแดงบรรยากาศในรถเงียบสงัด จนน่าอึดอัดเล็กน้อย เซิ่งหวยอานหันหน้ามามองฉันเขาปริปากพูดอย่างกะทันหัน ไม่มีการปะทะและไม่มีการพูดจาเหน็บแนม“เสิ่นหนานอี้ ถ้าตอนแรกผมไม่หยาบคายขนาดนั้น”“พวกเรา......”“จะสามารถเดินไปได้ตลอดรอดฝั่งใช่ไหม?”ฉันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง หวนรำลึกถึงช่วงเวลาหลายปี ที่อยู่ร่วมกับเซิ่งหวยอานโดยละเอียดเรื่องที่เขาทำดีกับฉันแทบจะนึกไม่ออก แม้แต่เรื่องเดียวก็ไม่มีนับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนสมรสเรียบร้อย ข้างกายเขาก็ไม่เคยขาดบรรดาสาวๆเลยเขากระตือรือร้นที่จะเอาใจผู้หญิงเหล่านั้นเพื่อยั่วยุฉันแต่ไหนแต่ไรมา ฉันทำเพียงมองเขาแล้วอมยิ้ม ในใจไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อยทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ เขาก็มักจะระเบิดอารมณ์โมหออกมาต้องให้ฉันอับอายจนโมโหหรือน้ำตาไหล เขาจึงจะเต็มใจยอมรามือเมื่อคิดได้ดังนี้ ฉันสมเพชตัวเอง ไม่ได้พูดตอบเขาคนส่วนใหญ่เมื่อจวนจะสูญเสียอะไรบางอย่าง ก็มักจะอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาอย่างง่ายดายซึ่งนี่ไม่ใช่การเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปในต
เซิ่งหวยอานรับรู้เรื่องที่พ่อแม่แอบนอกใจกันมาโดยตลอดทว่าในใจของเขา ก็ยังไม่อาจยอมรับได้ตอนที่เขารู้ว่าอาเซิ่งหย่ากับน้าเซิ่งเพราะแม่ของฉันความแค้นที่อัดแน่นอยู่ในใจของเขาตอนนั้นราวกับหาที่ระบายอารมณ์เจอแล้วหลังจากที่แม่ฉันจากไป เขาก็เอาความแค้นถ่ายโอนมาที่ฉันเขาทรมานฉัน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกละอายใจต่อฉันไปด้วยทว่าความละอายใจนี้ ตอนที่รู้ว่าฉันกับเฉินมั่วไป๋ชอบพอกันก็กลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นความเกลียดชังอีกครั้งเพราะเกิดในครอบครัวที่ไร้ซึ่งความสุข เซิ่งหวยอานจึงขาดแคลนความรักเหมือนกับฉันเขาในตอนนั้น คิดว่าในเมื่อเป็นคนที่โชคร้ายเหมือนกันฉันมีสิทธิ์อะไรที่จะได้รับความรักในความคิดของเขา ฉันควรจะดำดิ่งสู่หายนะไปพร้อมกับเขาตลอดกาลทรมานซึ่งกันและกัน และอยู่เป็นเพื่อนกันดังนั้นตอนที่เขารับรู้การมีอยู่ของเฉินมั่วไป๋ เขาก็ประสาทเสียทันทีไม่ว่าอย่างไร ก็จะต้องบ่อนทำลายฉันให้ได้เขาปิดตายเส้นทางชีวิตของฉันทั้งหมด เขาหวังว่าโลกใบนี้จะไม่มีใครรักฉันเช่นนี้ ฉันก็จำต้องอยู่ข้างกายเขา อ้อนวอนให้เขารักฉันทว่าเขาไม่รู้เลยว่าฉันไม่เคยรักเขาแม้แต่วินาทีเดียว“เซิ่งหวยอาน
ตอนนั้น ชีวิตคู่ระหว่างอาเซิ่งและน้าเซิ่ง เป็นการแต่งในนามมานานแล้วถึงขั้นที่ว่าคนที่นอกใจก่อน ก็เป็นน้าเซิ่งด้วยซ้ำตอนที่เจอกับแม่ของฉัน อาเซิ่งแต่งเรื่องโกหกว่าตัวเองอยู่ในสถานะโสดหล่อนรังเกียจการเข้าไปแทรกในความสัมพันธ์ของคนอื่นเป็นที่สุด พ่อของฉันประสบอุบัติเสียชีวิต เพราะพาคนรักออกไปเที่ยวฉันดีใจมากที่หล่อนไม่กล้าเป็นคนประเภทที่หล่อนรังเกียจที่สุดทว่าฉันกลับต้องยอมรับแต่ไหนแต่ไรมาแม่ของฉัน หล่อนไม่เคยรักฉันเลยดังนั้น เมื่อหล่อนรู้ว่าถูกหลอก ก็หอบเงินหนีไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยกลับไม่ยอมพาฉันไปด้วย และไม่ยอมบอกความจริงกับฉันเช่นกัน“เซิ่งหวยอาน ถ้าจะติดค้าง บางทีฉันอาจจะติดค้างอาเซิ่ง แต่ฉันไม่ได้ติดค้างคุณ”“หลายปีมานี้ คุณพร่ำบอกฉันตลอดเวลา”“ฉันอยู่เพื่อให้คนรังเกียจ ฉันควรจะชดใช้ความผิดให้แม่ฉัน”“แล้วมันไม่ใช่หรือไง?”เสียงของเขากลบเสียงของฉัน แววตาพลันปรากฎการควบคุมสติไม่อยู่“หากไม่ใช่ให้คุณชดใช้ความผิด แล้วทำไมพวกเราต้องทนอยู่ด้วยกันล่ะ?”สมองมีเสียง “ปิ๊ง” ดังขึ้นมาที่แท้ความคิดเขา ก็เป็นเช่นนี้เองหรือ?พ่อแม่แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางในฐานะท