เฉินมั่วไป๋พาฉันไปโรงแรมที่ใกล้ที่สุด เปิดห้องให้ฉันพักผ่อนเขานั่งยองถอดรองเท้าส้นสูงออกให้ฉัน ถามฉันด้วยเสียงที่นุ่มนวลอย่างมาก:“เมื่อครู่ตกใจหรือป่าว?”ฉันเม้มปาก กลั้นน้ำตาตรงขอบตาไว้ ค่อยๆส่ายหน้ามือที่สั่นเทาสัมผัสกับใบหน้าของเขานี่เป็นการสบตากันครั้งแรกหลังจากที่แยกจากกันไปเจ็ดปีเต็ม “เจ็ดปีมานี้ ลำบากมากเลยสินะ เฉินมั่วไป๋”ฉันพูดหนึ่งคำหยุดหนึ่งคำ แทบจะไร้เรี่ยวแรงขอบตาของเขาแดงก่ำ“ห้ามใจไม่ให้คิดถึงตอนที่ไม่ได้เจอเธอ ลำบากมากเลยล่ะ”หยุดพูดไปสองสามวินาที จากนั้นเขาก็ปริปากพูดอย่างระมัดระวัง:“หนานอี้ ขอโทษนะ”ฉันตกตะลึงไปเล็กน้อย“ตอนนั้น ฉันควรจะอยู่ข้างกายเธอ ไม่ว่าเธอจะปฎิเสธเราอย่างไร——”“เฉินมั่วไป๋” ฉันพูดขัดเขา “นายกอดฉันหน่อย”เขาหยุดพูดไปด้วยความเหลือเชื่อ“นายกอดฉันหน่อย” ฉันพูดซ้ำอีกหนึ่งครั้งอ้อมอกที่อบอุ่นโอบกอดฉันไว้ ยิ่งกอดยิ่งแน่นฉันรู้สึกได้ถึงว่ามือทั้งสองที่กำลังโอบกอดฉันอยู่ สั่นเทาเล็กน้อยเจ็ดปีก่อน เฉินมั่วไป๋หอบดอกกุหลาบหนึ่งช่อ ในใจเปี่ยมไปด้วยความปีติ ยืนรออยู่ที่ทางหลวงริมทะเลตั้งแต่รุ่งสางจนตะวันลาลับ ฉันก็ยังคงไม่มาเส
ตกดึก ฉันลากเฉินมั่วไป๋ลงมานั่งที่พรมของโรงแรม ดื่มเหล้าปรับทุกข์หลังดื่มไประยะหนึ่ง เขาดื่มหนักเกินไป แก้มเป็นสีแดงระเรื่อ สายตาพร่ามัวฉันลุกขึ้นไปเปิดเพลงในโทรทัศน์ตอนที่กลับมานั่ง เขาเอนตัวมาพิงฉันเงียบๆระยะห่างระหว่างพวกเราเหลือเพียงคืบเดียวแล้วตอนที่แขนทั้งสองเหมือนจะสัมผัสแต่ก็ไม่ได้สัมผัสกัน ทำให้ใจของฉันร้อนผ่าว“เฉินมั่วไป๋ พรุ่งนี้ฉันต้องกลับไปอีกรอบ”มือที่ถือแก้วเหล้าของเขาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดเสียงเบา:“เสิ่นหนานอี้ ตอนนี้เธอเหมือนกับตอนที่ปฏิเสธฉันตอนนั้นไม่มีมีผิด”เสียงเพลงดังกึกก้อง มีเพียงโลกของเราสองคน ที่ราวกับมีฉากกั้นฉันได้ยินทุกคำที่เขาพูดเขาเอนตัวไปพิงเตียงด้านหลังของเขา หันหน้ามาน้ำเสียงแหบพร่าอย่างมาก:“เธอจะจากฉันไปอีกแล้วใช่ไหม?”ตอนนั้น กำแพงทางความรู้สึกที่ฉันสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก พังทลายราบเป็นหน้ากองทันทีเขาคือเฉินมั่วไป๋ เป็นความอบอุ่นหนึ่งเดียวในชีวิตที่ทุกข์ระทมและสิ้นหวังของฉันและยังเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียว เมื่อฉันตกอยู่ในสภาวะสิ้นหวังสองสามปีมานี้ เพียงแค่เอ่ยชื่อเขา หัวใจก็สั่นสะเทือนด้วยความเจ็บปวดฉ
ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมา เฉินมั่วไป๋ยังหลับอยู่ มือข้างหนึ่งจับแขนเสื้อฉันไว้แน่นฉันแกะมือของเขาออก ค่อยๆย่องลงจากเตียงในโทรศัพท์มีห้าสิบสายที่ไม่ได้รับ ทั้งหมดล้วนมาจากเซิ่งหวยอานตอนที่ถึงบ้าน ก็จวนจะเที่ยงวันแล้วตอนที่ฉันเปิดประตู ถึงได้เห็นเซิงหวยอานนั่งพิงโซฟาอยู่ เสื้อผ้าผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อยมือยังคงวางไว้บนโทรศัพท์ของเขาฉันเดินไปยื่นมือตบไหล่เขากลับถูกเขาคว้าไว้อย่างไม่ทันตั้งตัวเซิ่งหวยอานลืมตา ในตานั้นเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ:“กลับมาได้แล้วหรือ?”“เป็นไง เมื่อคืนสนุกไหมล่ะ?”ฉันอมยิ้ม ไม่ได้สนใจคำพูดถากถางของเขาหยิบเอกสารที่เพิ่งจะหาทนายความระหว่างทางที่กลับมาเมื่อครู่ออกจากกระเป๋า วางไว้ตรงหน้าเขา:“ใบหย่า คุณเซ็นชื่อเถอะ”เซิ่งหวยอานไม่ชายตาอ่านแม้แต่น้อย ฉีกออกเป็นชิ้นๆเสียอย่างนั้นเขาผ่อนลมหายใจแรง จ้องมาที่ฉัน แววตาโหดเหี้ยมวินาทีถัดมา เสื้อผ้าที่บางเฉียบของฉันถูกฉีกออกดิ้นรนไปครู่หนึ่ง กลับถูกเซิ่งหวยอานเอาเนคไทด้านข้างมามัดมือไว้แน่น......“ไหนดูซิ ถอดให้ผมดูหน่อยว่า เมื่อคืนพวกคุณทำกันเร่าร้อนขนาดไหน......”
“เซิ่งหวยอาน คุณอยากมีความผิดโทษฐานทำร้ายร่างกายในขณะสมรสหรือไม่?”ฉันใช้แรงทั้งหมดต่อต้านเขาชะงักไป หยุดการเคลื่อนไหว แล้วตวาดใส่ฉันด้วยความโกรธอย่างน่าเหลือเชื่อ:“หมายความว่าอย่างไร? นอนกับเขาคืนเดียว ผมก็แตะต้องคุณไม่ได้แล้วงั้นหรือ?”เซิ่งหวยอานโมโหจนสติแตกกระเจิง ไม่เหลือความพอดีที่แต่ก่อนเคยมีอีกแล้ว“แค่เขากระดิกนิ้ว คุณก็ระริกระรี้ตามไปแล้วละสิ?”“เสิ่นหนานอี้ คุณช่างเป็น——”“น่ารังเกียจ” ฉันสีหน้าเรียบนิ่ง “ที่คุณอยากพูดก็คือเรื่องนี้หรือ?”เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย:“แล้วมันไม่ใช่หรือไง?”“คุณก็เหมือนแม่ของคุณ ช่างน่ารังเกียจ”ฉันค่อยๆส่ายหน้า เป็นครั้งแรกที่ฉันกล้าตอบโต้การตำหนิและการระเบิดอารมณ์ของเขา:“ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ฉันไม่ได้ติดค้างคุณแล้ว เซิ่งหวยอาน”“ตอนแรกฉันไม่รู้ความจริง จึงทำให้ฉันไม่กล้าต่อต้านคุณ”หลายปีมานี้ อาเซิ่งดีกับฉันมากจริงๆทว่าเซิ่งหวยอานมักจะพร่ำบอกว่ าฉันติดค้างเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าคำพูดเหล่านั้น ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความละอายใจให้หยั่งรากลึกลงไปในใจฉันและตอนที่อายุครบสิบแปดปีในวันนั้น หลังจากที่ถูกเซิ่งหวยอานล่วง
ตอนนั้น ชีวิตคู่ระหว่างอาเซิ่งและน้าเซิ่ง เป็นการแต่งในนามมานานแล้วถึงขั้นที่ว่าคนที่นอกใจก่อน ก็เป็นน้าเซิ่งด้วยซ้ำตอนที่เจอกับแม่ของฉัน อาเซิ่งแต่งเรื่องโกหกว่าตัวเองอยู่ในสถานะโสดหล่อนรังเกียจการเข้าไปแทรกในความสัมพันธ์ของคนอื่นเป็นที่สุด พ่อของฉันประสบอุบัติเสียชีวิต เพราะพาคนรักออกไปเที่ยวฉันดีใจมากที่หล่อนไม่กล้าเป็นคนประเภทที่หล่อนรังเกียจที่สุดทว่าฉันกลับต้องยอมรับแต่ไหนแต่ไรมาแม่ของฉัน หล่อนไม่เคยรักฉันเลยดังนั้น เมื่อหล่อนรู้ว่าถูกหลอก ก็หอบเงินหนีไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยกลับไม่ยอมพาฉันไปด้วย และไม่ยอมบอกความจริงกับฉันเช่นกัน“เซิ่งหวยอาน ถ้าจะติดค้าง บางทีฉันอาจจะติดค้างอาเซิ่ง แต่ฉันไม่ได้ติดค้างคุณ”“หลายปีมานี้ คุณพร่ำบอกฉันตลอดเวลา”“ฉันอยู่เพื่อให้คนรังเกียจ ฉันควรจะชดใช้ความผิดให้แม่ฉัน”“แล้วมันไม่ใช่หรือไง?”เสียงของเขากลบเสียงของฉัน แววตาพลันปรากฎการควบคุมสติไม่อยู่“หากไม่ใช่ให้คุณชดใช้ความผิด แล้วทำไมพวกเราต้องทนอยู่ด้วยกันล่ะ?”สมองมีเสียง “ปิ๊ง” ดังขึ้นมาที่แท้ความคิดเขา ก็เป็นเช่นนี้เองหรือ?พ่อแม่แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางในฐานะท
เซิ่งหวยอานรับรู้เรื่องที่พ่อแม่แอบนอกใจกันมาโดยตลอดทว่าในใจของเขา ก็ยังไม่อาจยอมรับได้ตอนที่เขารู้ว่าอาเซิ่งหย่ากับน้าเซิ่งเพราะแม่ของฉันความแค้นที่อัดแน่นอยู่ในใจของเขาตอนนั้นราวกับหาที่ระบายอารมณ์เจอแล้วหลังจากที่แม่ฉันจากไป เขาก็เอาความแค้นถ่ายโอนมาที่ฉันเขาทรมานฉัน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกละอายใจต่อฉันไปด้วยทว่าความละอายใจนี้ ตอนที่รู้ว่าฉันกับเฉินมั่วไป๋ชอบพอกันก็กลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นความเกลียดชังอีกครั้งเพราะเกิดในครอบครัวที่ไร้ซึ่งความสุข เซิ่งหวยอานจึงขาดแคลนความรักเหมือนกับฉันเขาในตอนนั้น คิดว่าในเมื่อเป็นคนที่โชคร้ายเหมือนกันฉันมีสิทธิ์อะไรที่จะได้รับความรักในความคิดของเขา ฉันควรจะดำดิ่งสู่หายนะไปพร้อมกับเขาตลอดกาลทรมานซึ่งกันและกัน และอยู่เป็นเพื่อนกันดังนั้นตอนที่เขารับรู้การมีอยู่ของเฉินมั่วไป๋ เขาก็ประสาทเสียทันทีไม่ว่าอย่างไร ก็จะต้องบ่อนทำลายฉันให้ได้เขาปิดตายเส้นทางชีวิตของฉันทั้งหมด เขาหวังว่าโลกใบนี้จะไม่มีใครรักฉันเช่นนี้ ฉันก็จำต้องอยู่ข้างกายเขา อ้อนวอนให้เขารักฉันทว่าเขาไม่รู้เลยว่าฉันไม่เคยรักเขาแม้แต่วินาทีเดียว“เซิ่งหวยอาน
สภาพอากาศเดือนหกบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน ระหว่างที่ไปสำนักงานเขต ฝนตกลงมาอย่างหนักบนทางแยกสุดท้าย ในช่วงเวลาสิบกว่าวินาทีที่รอไฟแดงบรรยากาศในรถเงียบสงัด จนน่าอึดอัดเล็กน้อย เซิ่งหวยอานหันหน้ามามองฉันเขาปริปากพูดอย่างกะทันหัน ไม่มีการปะทะและไม่มีการพูดจาเหน็บแนม“เสิ่นหนานอี้ ถ้าตอนแรกผมไม่หยาบคายขนาดนั้น”“พวกเรา......”“จะสามารถเดินไปได้ตลอดรอดฝั่งใช่ไหม?”ฉันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง หวนรำลึกถึงช่วงเวลาหลายปี ที่อยู่ร่วมกับเซิ่งหวยอานโดยละเอียดเรื่องที่เขาทำดีกับฉันแทบจะนึกไม่ออก แม้แต่เรื่องเดียวก็ไม่มีนับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนสมรสเรียบร้อย ข้างกายเขาก็ไม่เคยขาดบรรดาสาวๆเลยเขากระตือรือร้นที่จะเอาใจผู้หญิงเหล่านั้นเพื่อยั่วยุฉันแต่ไหนแต่ไรมา ฉันทำเพียงมองเขาแล้วอมยิ้ม ในใจไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อยทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ เขาก็มักจะระเบิดอารมณ์โมหออกมาต้องให้ฉันอับอายจนโมโหหรือน้ำตาไหล เขาจึงจะเต็มใจยอมรามือเมื่อคิดได้ดังนี้ ฉันสมเพชตัวเอง ไม่ได้พูดตอบเขาคนส่วนใหญ่เมื่อจวนจะสูญเสียอะไรบางอย่าง ก็มักจะอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาอย่างง่ายดายซึ่งนี่ไม่ใช่การเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปในต
ตอนที่ถือใบหย่าไว้ในมือ หัวใจของฉันจึงสบายใจได้อย่างแท้จริงตอนที่เดินออกมา เซิ่งหวยอานหยุดฝีเท้าไปครู่หนึ่งเขาพึมพำขึ้นว่า:“พวกเรา จะหย่ากันแบบนี้จริงๆหรือ......”ตอนที่ฉันหันหลังกลับไป เอกสารเล่มเล็กๆในมือเขาก็บีบจนมีรอยยับแล้วจิกเล็บอย่างแรงจนปลายเล็บเป็นสีขาวเซิ่งหวยอานยังคงยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม มองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ดึงดันขอบตาของเขาแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นเทาราวกับอยู่ในสภาวะหมดอาลัยตายอยากดูแล้ว คล้ายกับว่ามีเรื่องอีกมากมายที่อยากจะพูดท้ายที่สุด กลับรู้สึกหมดแรงพูดอะไรไม่ออกสักอย่าง“ไม่หรอก” ฉันพูดขึ้นอย่างกะทันหันเซิ่งหวยอานมึนงงไปครู่หนึ่ง: “อะไรนะ?”ฉันเม้มริมฝีปากท้ายที่สุดยังคงตอบคำถามของเขาอย่างจริงจังอีกครั้ง“ต่อให้คุณไม่ได้หยาบคายขนาดนั้น พวกเราก็ไม่สามารถไปได้ตลอดรอดฝั่งหรอก”“คุณจะเป็นพี่ชายที่ฉันเคารพ ทว่าไม่ใช่คนรักเด็ดขาด”ฉันหันหน้ากลับไปมองใครบางคนที่ยืนรออยู่เงียบๆไม่ไกลยิ้มจนคิ้วยกขึ้น:“ตำแหน่งคนรักนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ เก็บไว้ให้เขาคนเดียวเท่านั้น”