ได้ยินดังนั้น เซิ่งหวยอานสีหน้าซีดเผือด ลมหายใจถี่ขึ้นทันทีทรวงอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ริมฝีปากขยับขึ้นลงแต่ท้ายที่สุด ก็พูดประโยคที่สมบูรณ์ออกมาไม่ได้อยู่ดี“เซิ่งหวยอาน ผมขอร้องคุณ ต่อจากนี้อย่ามายุ่งกับชีวิตของพวกเราอีก”ราวกับว่าเขาทำใจยอมรับไม่ได้ ทรุดตัวลง หายใจกระหืดกระหอบแววตาพลันปรากฏความอาลัยอาวรณ์ที่ไร้รูปร่าง และความเศร้าโศกที่ไม่สามารถจะเอื้อนเอ่ย“ผมผิดไปแล้ว หนานอี้ คุณให้อภัยผมได้ไหม?”“ผมขอโทษ ต่อจากนี้ ผมจะดีกับคุณอย่างแน่นอน”“ถ้าคุณไม่สบอารมณ์ คุณจะทำอะไรกับผมก็ได้”“ขอเพียงแค่คุณกลับมา ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ ผมเสียใจจริงๆนะ”เสียงลมที่แฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก พัดผ่านปลายนิ้วพวกเราไปฉันนึกถึงประโยคนั้นที่เคยเห็นขึ้นมาได้ทันที:“คนที่ถูกทำร้าย รอยแผลบาดเจ็บสาหัสเหล่านั้น ไม่ควรค่าที่จะถูกเปิดออกเลย”“สิ่งที่น่ายกย่องคือความกล้าหาญในสภาวะที่สิ้นหวัง”ภูเขาลูกใหญ่ลูกนั้นที่เคยตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าฉันตั้งแต่ตอนที่เฉินมั่วไป๋กลับมา ก็ถูกฉันก้าวข้ามได้แล้ว“พอแค่นี้เถอะ เซิ่งหวยอาน หยุดก่อความวุ่นวายได้แล้ว”“พวกเราต่างคนต่างอยู่ อย่าม
ระหว่างทางกลับ ฉันตั้งใจขอให้เฉินมั่วไป๋มาเดินเล่นกับฉันแม่น้ำข้างทางสะท้อนแสงไฟที่อยู่โดยรอบให้เปล่งประกายระยิบระยับเดินไปเรื่อยๆ เฉินมั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น:“ตอนนั้น ฉันเตรียมที่จะสารภาพรักกับเธอที่นี้ล่ะ”ทว่าตอนนั้น เขารอฉันไม่ไหวหัวใจถูกเติมเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่บอกไม่ถูกทันทีกระตุ้นให้ขอบตาของฉันร้อนผ่าว น้ำตาแทบจะไหลออกมาฉันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน:“ตอนนี้นายจะคิดบัญชีย้อนหลังกับฉันหรือไง?”เฉินมั่วไป๋มองตาฉันอย่างไม่หลบเลี่ยง มีฉันตัวน้อยสะท้อนอยู่ในตาของเขาลำคอของเขาหลุดเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขออกมา พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า:“เสิ่นหนานอี้ เหมือนว่าฉันจะติดค้างการสารภาพรักกับเธอนะ”เฉินมั่วไป๋หยุดฝีเท้าลง โน้มตัวโอบกอดฉันเข้าไปในอ้อมอกทั้งตัวหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ก้มหน้าลงมาจูบหน้าผากฉันรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อยกลิ่นหอมสดชื่นของแมกไม้ที่ปลายจมูก ปลุกเร้าประสาทสัมผัสทั่วเรือนร่างของฉันเสียงที่กระทบโสตประสาท แฝงไปด้วยฝุ่นละอองของกาลเวลาทว่าเต็มไปด้วยความรักที่ไม่สิ้นสุดฉันได้ยินเสียงที่เขาพูด:“ฉันรักเธอนะ เสิ่นหนานอี้”
เจ็ดปีก่อน วันที่เฉินมั่วไป๋ไปต่างประเทศ ฉันแอบไปส่งเขาที่สนามบินในสองชั่วโมงนั้น ฉันเฝ้ามองเขา อารมณ์เปลี่ยนจากรอคอยเป็นสิ้นหวังหัวใจราวกับถูกมือหนึ่งบีบรัดเอาไว้เจ็บปวดจนฉันแทบจะหายใจไม่ออกตอนที่ฉันไม่สนใจอะไรอีก อยากจะโถมตัวไปกอดเขาเซิ่งหวยอานก็ปรากฎตัวขึ้นเขาเดินมาข้างๆฉัน ยิ้มพลางจับไหล่ฉันไว้ สีหน้าอ่อนโยน:“คุณอยากไปกับเขาหรือ? น้องสาวที่แสนดีของผม”ฉันตัวเหยียดตรงแข็งทื่อ ส่ายหน้าอย่างไม่รู้ตัวเซิ่งหวยอานกลับไม่เชื่อ เขาดึงผมของฉัน ชี้ไปทางเฉินมั่วไป๋พลางพูดว่า:“คุณดูสิ เขายอดเยี่ยมมากเลยนะ”“ผลการเรียนล้ำเลิศ ตอนนี้สามารถเรียนต่อต่างประเทศได้อีก”“แล้วคุณล่ะ”ระหว่างที่พูด เขาหัวเราะอย่างสะใจ ฉันกลับรู้สึกว่าเปี่ยมไปด้วยเจตนาร้าย“ก็แค่คนเลวทรามคนหนึ่งที่สมควรถูกทุกคนทอดทิ้ง”“เสิ่นหนานอี้ คนแบบคุณ คุณคิดว่าคู่ควรกับเขางั้นหรือ?”หลังจากวันนั้น อนาคตของเฉินมั่วไป๋รุ่งโรจน์ทว่าฉันดำดิ่งสู่โคลนตม ไม่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร เซิ่งหวยอานก็ควบคุมฉันได้ตามอำเภอใจจนถึงค่ำคืนต้นฤดูร้อนที่เงียบสงบวันนั้นในห้องโถงใหญ่ที่โอ่อ่าหรูหรา ชายหญิงที่สวมชุดแต่งงานสง่า
ตอนที่กลับมาจากด้านนอก ห้องนอนชั้นสองมีเสียงหัวเราะสนุกสนานดังขึ้นเป็นระยะๆฉันถอดเสื้อคลุมออก นำมาคล้องไว้ที่แขน ฝีเท้าชะงักลงท้ายที่สุด ก็ลากฝีเท้าที่หนักอึ่งเดินมุ่งไปที่ห้องนอนผลักประตูไม้ที่แกะสลักอย่างประณีตให้เปิดออก สิ่งแรกที่ฉันเห็นคือเซิ่งหวยอานเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้มถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง เนคไทหายไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้วหญิงสาวที่ถูกกอดรัดอยู่ในอ้อมอกผู้นั้น กำลังนำองุ่นที่ปอกเสร็จแล้วป้อนใส่ปากเขาถึงแม้เขาจะยื่นมือไปปัดป้อง แต่ดูสีหน้าแล้วกลับสบายอารมณ์อย่างมากได้ยินเสียงฝีเท้า หญิงสาวยิ้มพลางหันหน้ามา:“นี่ พี่หวยอาน คุณป้าทำซุปแก้อาการเมาค้างเสร็จแล้วหรือ——”คำพูดที่ยังไม่ทันจบอันตรธานหายลงไปในลำคอ องุ่นในมือตกลงไปบนพรมตอนที่หล่อนเห็นฉัน หน้าซีดเผือดสุดขีด เรียกชื่อฉันอย่างตะกุกตะกัก:“คุณ คุณเสิ่น......”สายตาของฉันจับจ้องไปที่ช่วงคอและไหล่ของหล่อน รอยจ้ำสีแดงเป็นแถบเด่นสะดุดตาอย่างยิ่งราวกับว่าลำคอมีสิ่งของติดอยู่ น้ำเสียงแหบแห้งอย่างมาก“เซิ่งหวยอาน นี่คุณกำลังทำอะไรอยู่?”เขาลืมตาชำเลืองมองฉันหนึ่งครั้ง ทำเสียง “ถุยน้ำลาย” อย่างหมดความอดทนนิ้วม
ฉันรู้จักเซิ่งหวยอานมาสิบแปดปีแล้ว และเขาเองก็อาฆาตแค้นฉันมาสิบแปดปีเหมือนกันตอนที่ฉันอายุสิบเจ็ดปี แม่ฉันแทรกเข้าไปในครอบครัวที่แต่เดิมดีงามของเขาทว่าหลังจากเวลาสองปีสั้นๆ กอบโกยเงินทั้งหมดของอาเซิ่งไปลูกติดอย่างฉันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ถูกทิ้งไว้ฉันเสนอตัวจะออกไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ทว่าถูกเซิ่งหวยอานกล่าวปฏิเสธเขาดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้าง มือทั้งคู่บีบรัดแขนฉันจนเจ็บปวด:“เสิ่นอี้หนาน คุณล้มเลิกความคิดเถอะ ชาตินี้คุณต้องชดเชยความผิด อยู่กับผมไปทั้งชีวิต”ฉันพยักหน้า คิดว่าสิ่งที่เขาอยากได้ สิ่งที่ต้องการทั้งหมดเพียงแค่ให้ฉันทำงานตรากตำอยู่ข้างกาย จนกว่าเขาจะพอใจไม่คิดเลยว่าหลังจากที่สำเร็จการศึกษา เขาก็พาฉันไปจดทะเบียนสมรสวันที่รู้ว่าพวกเราแต่งงานนั้น อาเซิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟหลังจากที่ใจเย็นลงแล้ว เขาก็ลากฉันไปพลางร่ำไห้อย่างขมขื่น:“หนานอี้ เรื่องนี้หวยอานทำได้เลวทรามจริงๆ หนูอย่าโกรธเขาเลยนะ”อาเซิ่งหยุดพูดไปครู่หนึ่ง จึงสั่งเสียกับฉัน:“ในเมื่อพวกหนูแต่งงานกันแล้ว ก็ใช้ชีวิตร่วมกันให้ดี——”“เสี่ยวอี้ ให้กำเนิดทายาทกับครอบครัวเซิ่งสักคนเถอะ”ประโยคสุดท้าย
ในคืนเข้าหอ ฉันยื่นมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเซิ่งหวยอานหลังจากที่สัมผัสเนื้อผ้า เป็นลายเส้นกล้ามเนื้อที่ล่ำสันเรียบเนียนตอนที่จะปลดกระดุมเม็ดสุดท้าย เซิ่งหวยอานจับมือของฉันไว้ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ ทว่าใช้กำลังยับยั้งการกระทำของฉันอย่างป่าเถื่อน:“เสิ่นหนานอี้ คุณรู้ตัวไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่?”ฉันพยักหน้า เงยหน้ามองเขา:“คุณอาอยากให้พวกเราใช้ชีวิตร่วมกันให้ดี และให้กำเนิดลูกหนึ่งคน”เซิ่งหวยอานค่อยๆแกะมือของฉันออกเขาอมยิ้มมองมาที่ฉัน แววตากลับแฝงไปด้วยความเย็นยะเยือกราวน้ำค้างแข็ง:“คุณช่างเลวทรามต่ำช้าเหมือนแม่ของคุณไม่มีผิด”“แต่ก็ถูกต้องแล้ว คนที่ประพฤติตนผิดธรรมนองคลองธรรม จะให้กำเนิดคนดีมาได้อย่างไรกัน?”เขาสะบัดฉันออก นำแก้วน้ำบนโต๊ะขว้างใส่ฉันแก้วแตกกระจายเต็มพื้นฉันเดินโซซัดโซเซ ไปชนกับโต๊ะวางน้ำชาด้านหลังอย่างแรงเขายกเท้าเหยียบนิ้วมือของฉัน มองฉันด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์:“อย่าคิดเพ้อเจ้อว่าตั้งท้องลูกเป็นการไถ่โทษแล้ว ก็จะไปจากผมได้ล่ะ”“เสิ่นหนานอี้ ชาตินี้ไม่มีใครมารักคุณหรอก”“คุณควรจะทำตัวให้เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ที่ต้องคอยรับใช้อยู่ข้างกาย
เสื้อเชิ้ตบนเรือนร่างของเซิ่งหวยอานหลวมโพรก กระดุมถูกปลดไปแล้วครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นลายเส้นกล้ามเนื้อที่สวยงาม ของร่างกายที่ผ่านการฟิตเนสมาตลอดทั้งปีฉันเหลือบมองครู่หนึ่ง แล้วละสายตาไปทางอื่นอย่างสงบนิ่งหลังจากความขมขื่นในคืนวันเข้าหอ เซิ่งหวยอานก็ไม่เคยซื่อสัตย์กับฉันอีกเลยเขาไม่สนใจที่จะแตะตัวฉัน เหล่าสาวๆข้างกายก็ไม่เคยขาดเช่นกันด้วยหตุนี้ เด็กที่ลุงเซิ่งอยากได้หนักหนา ก็ยังไม่มีโอกาสเช่นกัน“เสิ่นหนานอี้”เซิ่งหวยอานเรียกชื่อฉันด้วยเสียงแผ่วเบาเป็นน้ำเสียงอบอุ่นที่หาได้ยากฉันเงยมอง เขาจ้องมาที่ฉัน เก็บซ่อนความหยอกล้อในแววตาไว้ไม่อยู่:“บางที คุณก็ควรลิ้มลองคนใหม่บ้างนะ”“คนหนุ่มสาวมีชีวิตชีวา ยังไงก็ต่างออกไป”ฉันฉีกยิ้ม หันกายเดินออกมาด้านนอกในใจรู้ดีว่าการที่เขาพูดเช่นนี้ เพียงอยากให้ฉันลำบากใจหากไปหาจริงๆ เขาก็จะสติแตกอีก“เสิ่นหนานอี้”จู่ๆเซิ่งหวยอานเรียกฉันไว้จากด้านหลังฉันหันหน้ากลับไปมองเขาด้วยความสงสัยเขายกโทรศัพท์หันมาทางฉัน สื่อว่าให้อ่านข้อความด้านบน“คืนนี้มีงานเลี้ยง อย่าลืมแต่งตัวให้ดูดีหน่อยล่ะ”......ฉันสงสัยอย่างมาก ที่ผ่านมาไม่ว่างา
สมัยมัธยมปลาย ฉันกับเฉินมั่วไป๋นั่งข้างกันมาสามปีเต็มๆที่ฉันจำได้มาถึงตอนนี้คือ ตอนที่เฉินมั่วไป๋เลือกที่จะเรียนสายภาษาครูที่ปรึกษามองคะแนนสายวิทยาศาสตร์ที่สูงลิบลิ่วของเขาด้วยความไม่เข้าใจเฉินมั่วไป๋ปรายตามองฉันเล็กน้อย บอกว่าเขาอยากถ่ายทอดเรื่องราวฉันกลับนิ่งเงียบตอนนั้น ฉันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แม้กระทั่งความฝันวัยรุ่นที่มากมายก็พูดออกมาไม่ได้หลังจากนั้น เฉินมั่วไป๋ก็นำบทความที่ฉันเขียนเข้าร่วมการแข่งขันแทนฉันเขานำประกาศนียบัตรที่ได้รับ มากองไว้ตรงหน้าฉัน ชี้ไปตรงด้านบนที่เขียนว่า “เสิ่นหนานอี้” แล้วกล่าวว่า:“ไม่ต้องกลัว เสิ่นหนานอี้ เธอดูสิ เธอยอดเยี่ยมมากเลยนะ”ช่วงเวลานั้น ตอนที่แสงอาทิตย์สาดส่องลงมา เขามักจะชอบเอนตัวงีบหลับมาทางฉันเสมอหากวันใดที่ฉันเขียนโครงเรื่อง เขาก็จะหรี่ตาแล้วพูดพึมพำว่า:“ต่อจากนี้เธอเขียนเรื่องราว ฉันถ่ายทอดเรื่องราว พวกเราจะอยู่ด้วยกันนิจนิรันดร์”ตอนนั้นยังเด็ก หลังจากที่คิดวาดฝันอย่างเป็นจริงเป็นจังฉันเองก็คิดอยู่ช่วงหนึ่งว่า นั่นจะเป็นอนาคตของพวกเราวันที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จสิ้น วันนั้นฝนตกอย่างหนักตอนที่ฉันเดินออกมาจาก