“เซิ่งหวยอาน คุณอยากมีความผิดโทษฐานทำร้ายร่างกายในขณะสมรสหรือไม่?”ฉันใช้แรงทั้งหมดต่อต้านเขาชะงักไป หยุดการเคลื่อนไหว แล้วตวาดใส่ฉันด้วยความโกรธอย่างน่าเหลือเชื่อ:“หมายความว่าอย่างไร? นอนกับเขาคืนเดียว ผมก็แตะต้องคุณไม่ได้แล้วงั้นหรือ?”เซิ่งหวยอานโมโหจนสติแตกกระเจิง ไม่เหลือความพอดีที่แต่ก่อนเคยมีอีกแล้ว“แค่เขากระดิกนิ้ว คุณก็ระริกระรี้ตามไปแล้วละสิ?”“เสิ่นหนานอี้ คุณช่างเป็น——”“น่ารังเกียจ” ฉันสีหน้าเรียบนิ่ง “ที่คุณอยากพูดก็คือเรื่องนี้หรือ?”เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย:“แล้วมันไม่ใช่หรือไง?”“คุณก็เหมือนแม่ของคุณ ช่างน่ารังเกียจ”ฉันค่อยๆส่ายหน้า เป็นครั้งแรกที่ฉันกล้าตอบโต้การตำหนิและการระเบิดอารมณ์ของเขา:“ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ฉันไม่ได้ติดค้างคุณแล้ว เซิ่งหวยอาน”“ตอนแรกฉันไม่รู้ความจริง จึงทำให้ฉันไม่กล้าต่อต้านคุณ”หลายปีมานี้ อาเซิ่งดีกับฉันมากจริงๆทว่าเซิ่งหวยอานมักจะพร่ำบอกว่ าฉันติดค้างเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าคำพูดเหล่านั้น ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความละอายใจให้หยั่งรากลึกลงไปในใจฉันและตอนที่อายุครบสิบแปดปีในวันนั้น หลังจากที่ถูกเซิ่งหวยอานล่วง
ตอนนั้น ชีวิตคู่ระหว่างอาเซิ่งและน้าเซิ่ง เป็นการแต่งในนามมานานแล้วถึงขั้นที่ว่าคนที่นอกใจก่อน ก็เป็นน้าเซิ่งด้วยซ้ำตอนที่เจอกับแม่ของฉัน อาเซิ่งแต่งเรื่องโกหกว่าตัวเองอยู่ในสถานะโสดหล่อนรังเกียจการเข้าไปแทรกในความสัมพันธ์ของคนอื่นเป็นที่สุด พ่อของฉันประสบอุบัติเสียชีวิต เพราะพาคนรักออกไปเที่ยวฉันดีใจมากที่หล่อนไม่กล้าเป็นคนประเภทที่หล่อนรังเกียจที่สุดทว่าฉันกลับต้องยอมรับแต่ไหนแต่ไรมาแม่ของฉัน หล่อนไม่เคยรักฉันเลยดังนั้น เมื่อหล่อนรู้ว่าถูกหลอก ก็หอบเงินหนีไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยกลับไม่ยอมพาฉันไปด้วย และไม่ยอมบอกความจริงกับฉันเช่นกัน“เซิ่งหวยอาน ถ้าจะติดค้าง บางทีฉันอาจจะติดค้างอาเซิ่ง แต่ฉันไม่ได้ติดค้างคุณ”“หลายปีมานี้ คุณพร่ำบอกฉันตลอดเวลา”“ฉันอยู่เพื่อให้คนรังเกียจ ฉันควรจะชดใช้ความผิดให้แม่ฉัน”“แล้วมันไม่ใช่หรือไง?”เสียงของเขากลบเสียงของฉัน แววตาพลันปรากฎการควบคุมสติไม่อยู่“หากไม่ใช่ให้คุณชดใช้ความผิด แล้วทำไมพวกเราต้องทนอยู่ด้วยกันล่ะ?”สมองมีเสียง “ปิ๊ง” ดังขึ้นมาที่แท้ความคิดเขา ก็เป็นเช่นนี้เองหรือ?พ่อแม่แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางในฐานะท
เซิ่งหวยอานรับรู้เรื่องที่พ่อแม่แอบนอกใจกันมาโดยตลอดทว่าในใจของเขา ก็ยังไม่อาจยอมรับได้ตอนที่เขารู้ว่าอาเซิ่งหย่ากับน้าเซิ่งเพราะแม่ของฉันความแค้นที่อัดแน่นอยู่ในใจของเขาตอนนั้นราวกับหาที่ระบายอารมณ์เจอแล้วหลังจากที่แม่ฉันจากไป เขาก็เอาความแค้นถ่ายโอนมาที่ฉันเขาทรมานฉัน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกละอายใจต่อฉันไปด้วยทว่าความละอายใจนี้ ตอนที่รู้ว่าฉันกับเฉินมั่วไป๋ชอบพอกันก็กลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นความเกลียดชังอีกครั้งเพราะเกิดในครอบครัวที่ไร้ซึ่งความสุข เซิ่งหวยอานจึงขาดแคลนความรักเหมือนกับฉันเขาในตอนนั้น คิดว่าในเมื่อเป็นคนที่โชคร้ายเหมือนกันฉันมีสิทธิ์อะไรที่จะได้รับความรักในความคิดของเขา ฉันควรจะดำดิ่งสู่หายนะไปพร้อมกับเขาตลอดกาลทรมานซึ่งกันและกัน และอยู่เป็นเพื่อนกันดังนั้นตอนที่เขารับรู้การมีอยู่ของเฉินมั่วไป๋ เขาก็ประสาทเสียทันทีไม่ว่าอย่างไร ก็จะต้องบ่อนทำลายฉันให้ได้เขาปิดตายเส้นทางชีวิตของฉันทั้งหมด เขาหวังว่าโลกใบนี้จะไม่มีใครรักฉันเช่นนี้ ฉันก็จำต้องอยู่ข้างกายเขา อ้อนวอนให้เขารักฉันทว่าเขาไม่รู้เลยว่าฉันไม่เคยรักเขาแม้แต่วินาทีเดียว“เซิ่งหวยอาน
สภาพอากาศเดือนหกบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน ระหว่างที่ไปสำนักงานเขต ฝนตกลงมาอย่างหนักบนทางแยกสุดท้าย ในช่วงเวลาสิบกว่าวินาทีที่รอไฟแดงบรรยากาศในรถเงียบสงัด จนน่าอึดอัดเล็กน้อย เซิ่งหวยอานหันหน้ามามองฉันเขาปริปากพูดอย่างกะทันหัน ไม่มีการปะทะและไม่มีการพูดจาเหน็บแนม“เสิ่นหนานอี้ ถ้าตอนแรกผมไม่หยาบคายขนาดนั้น”“พวกเรา......”“จะสามารถเดินไปได้ตลอดรอดฝั่งใช่ไหม?”ฉันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง หวนรำลึกถึงช่วงเวลาหลายปี ที่อยู่ร่วมกับเซิ่งหวยอานโดยละเอียดเรื่องที่เขาทำดีกับฉันแทบจะนึกไม่ออก แม้แต่เรื่องเดียวก็ไม่มีนับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนสมรสเรียบร้อย ข้างกายเขาก็ไม่เคยขาดบรรดาสาวๆเลยเขากระตือรือร้นที่จะเอาใจผู้หญิงเหล่านั้นเพื่อยั่วยุฉันแต่ไหนแต่ไรมา ฉันทำเพียงมองเขาแล้วอมยิ้ม ในใจไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อยทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ เขาก็มักจะระเบิดอารมณ์โมหออกมาต้องให้ฉันอับอายจนโมโหหรือน้ำตาไหล เขาจึงจะเต็มใจยอมรามือเมื่อคิดได้ดังนี้ ฉันสมเพชตัวเอง ไม่ได้พูดตอบเขาคนส่วนใหญ่เมื่อจวนจะสูญเสียอะไรบางอย่าง ก็มักจะอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาอย่างง่ายดายซึ่งนี่ไม่ใช่การเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปในต
ตอนที่ถือใบหย่าไว้ในมือ หัวใจของฉันจึงสบายใจได้อย่างแท้จริงตอนที่เดินออกมา เซิ่งหวยอานหยุดฝีเท้าไปครู่หนึ่งเขาพึมพำขึ้นว่า:“พวกเรา จะหย่ากันแบบนี้จริงๆหรือ......”ตอนที่ฉันหันหลังกลับไป เอกสารเล่มเล็กๆในมือเขาก็บีบจนมีรอยยับแล้วจิกเล็บอย่างแรงจนปลายเล็บเป็นสีขาวเซิ่งหวยอานยังคงยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม มองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ดึงดันขอบตาของเขาแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นเทาราวกับอยู่ในสภาวะหมดอาลัยตายอยากดูแล้ว คล้ายกับว่ามีเรื่องอีกมากมายที่อยากจะพูดท้ายที่สุด กลับรู้สึกหมดแรงพูดอะไรไม่ออกสักอย่าง“ไม่หรอก” ฉันพูดขึ้นอย่างกะทันหันเซิ่งหวยอานมึนงงไปครู่หนึ่ง: “อะไรนะ?”ฉันเม้มริมฝีปากท้ายที่สุดยังคงตอบคำถามของเขาอย่างจริงจังอีกครั้ง“ต่อให้คุณไม่ได้หยาบคายขนาดนั้น พวกเราก็ไม่สามารถไปได้ตลอดรอดฝั่งหรอก”“คุณจะเป็นพี่ชายที่ฉันเคารพ ทว่าไม่ใช่คนรักเด็ดขาด”ฉันหันหน้ากลับไปมองใครบางคนที่ยืนรออยู่เงียบๆไม่ไกลยิ้มจนคิ้วยกขึ้น:“ตำแหน่งคนรักนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ เก็บไว้ให้เขาคนเดียวเท่านั้น”
ก้าวสุดท้ายของฉัน หันไปโบกมือให้เซิ่งหวยอาน กล่าวคำลาอย่างจริงใจ:“ลาก่อนนะ พี่หวยอาน”หลังจากนั้นก็วิ่งขึ้นรถไป เฉินมั่วไป๋หันข้างมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้ฉัน:“วันนี้ตื่นเช้าขนาดนี้ ยังไม่ได้กินข้าวเช้าใช่ไหม?”ฉันโน้มตัวไปด้านข้าง เงยหน้าไปจุ๊บเขาเฉินมั่วไป๋สะดุ้งโหยง หัวเกือบจะชนหลังคารถ กกหูแดงก่ำ“หนานอี้ เธอ......”ฉันอมยิ้ม:“เจ็ดปีก่อน ฉันก็อยากทำแบบนี้แหละ”เขาหันหน้าไปทางอื่น ไม่มองฉัน ทว่าก็กลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่“ยังไม่ได้ถามนายเลย ทำไมจู่ๆถึงกลับประเทศมาล่ะ?”“เพราะอยากเจอเธอไง” ม่านฝนปกคลุม ทำให้ดวงตาเขาเปียกชื้นเป็นพิเศษ“หลายปีมานี้ เธอใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และไม่มีความสุขด้วย” “ฉันคิดว่า เธอต้องการฉันอย่างแน่นอน” เขาน้ำเสียงหนักแน่น:“ตราบใดที่เธอต้องการฉัน ฉันก็สามารถละทิ้งทุกสิ่งได้” ตอนนั้น ราวกับว่าย้อนกลับไปในช่วงมัธยมปลายชายหนุ่มที่งดงามสดใส เป็นดั่งจันทราที่หลายคนแอบเก็บไว้ในใจทว่าเขากลับส่องสว่างมาที่ฉันเพียงผู้เดียวเขายังคงเป็นคนนั้น ที่หลังจากพักเที่ยงแล้วฟุบบนโต๊ะนักเรียน ชายหนุ่มที่พูดเสียงแผ่วเบา “พวกเราจะอยู่ด้วยกันไปนิจนิรันดร์
ตอนที่พบเจอเซิ่งหวยอานอีกครั้ง ฉันและเฉินมั่วไป๋เพิ่งจะซื้อของเสร็จตรงลานจอดรถที่แสงไฟสลัว เซิ่งหวยอานเรียกฉันไว้ใบหน้าของเขาซีดเผือด ก้นบุหรี่ที่ปลายนิ้วตกลงมาแม้ลวกใส่หลังมือ เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อยรู้จักกันมานานขนาดนี้ เหมือนว่าฉันไม่เคยเห็นเขา ไม่สนใจการแต่งเนื้อแต่งตัวเช่นนี้มาก่อนเซิ่งหวยอานยื่นมือ จะดึงฉันไป ทว่าถูกเฉินมั่วไป๋ขัดขวางไว้สีหน้าของเขาหม่นหมองทันที ราวกับมีข้อสงสัยที่ไม่เข้าใจจริงๆ:“เฉินมั่วไป๋ อย่างไรคุณก็เป็นถึงประธานของกลุ่มบริษัท”“เก็บคนที่เคยนอนกับผมไป ไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนบ้างหรือไง?”“ถ้าคนอื่นรู้ คุณจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน——”เฉินมั่วไป๋ควงแขนฉันอย่างเป็นธรรมชาติ“สำหรับผมแล้ว เสิ่นหนานอี้ เป็นความภาคภูมิใจสูงสุดมาโดยตลอด”“ผมไม่กลัวเรื่องพวกนี้หรอกครับ เพราะผมรักเธอ”เขามองเซิ่งหวยอานอย่างเรียบนิ่ง ทว่าน้ำเสียงกลับหนักแน่นเป็นพิเศษ:“ผมกลัวแค่ว่าเสิ่นหนานอี้จะไม่มีความสุข”เซิ่งหวยอานถอยหลังไปหนึ่งก้าว แสดงสีหน้าเหลือเชื่อเขารุดหน้าขึ้นมาราวกับควบคุมตัวเองไม่ได้ เสียงแหบพร่าอย่างมาก:“เสิ่นหนานอี้ คุณเชื่อไหมว่าผมสามารถทำลายชีวิ
ได้ยินดังนั้น เซิ่งหวยอานสีหน้าซีดเผือด ลมหายใจถี่ขึ้นทันทีทรวงอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ริมฝีปากขยับขึ้นลงแต่ท้ายที่สุด ก็พูดประโยคที่สมบูรณ์ออกมาไม่ได้อยู่ดี“เซิ่งหวยอาน ผมขอร้องคุณ ต่อจากนี้อย่ามายุ่งกับชีวิตของพวกเราอีก”ราวกับว่าเขาทำใจยอมรับไม่ได้ ทรุดตัวลง หายใจกระหืดกระหอบแววตาพลันปรากฏความอาลัยอาวรณ์ที่ไร้รูปร่าง และความเศร้าโศกที่ไม่สามารถจะเอื้อนเอ่ย“ผมผิดไปแล้ว หนานอี้ คุณให้อภัยผมได้ไหม?”“ผมขอโทษ ต่อจากนี้ ผมจะดีกับคุณอย่างแน่นอน”“ถ้าคุณไม่สบอารมณ์ คุณจะทำอะไรกับผมก็ได้”“ขอเพียงแค่คุณกลับมา ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ ผมเสียใจจริงๆนะ”เสียงลมที่แฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก พัดผ่านปลายนิ้วพวกเราไปฉันนึกถึงประโยคนั้นที่เคยเห็นขึ้นมาได้ทันที:“คนที่ถูกทำร้าย รอยแผลบาดเจ็บสาหัสเหล่านั้น ไม่ควรค่าที่จะถูกเปิดออกเลย”“สิ่งที่น่ายกย่องคือความกล้าหาญในสภาวะที่สิ้นหวัง”ภูเขาลูกใหญ่ลูกนั้นที่เคยตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าฉันตั้งแต่ตอนที่เฉินมั่วไป๋กลับมา ก็ถูกฉันก้าวข้ามได้แล้ว“พอแค่นี้เถอะ เซิ่งหวยอาน หยุดก่อความวุ่นวายได้แล้ว”“พวกเราต่างคนต่างอยู่ อย่าม