Share

บทที่ 10

Author: ฉื่อฮวน
last update Last Updated: 2024-10-29 19:42:56
เฉินมั่วไป๋พาฉันไปโรงแรมที่ใกล้ที่สุด เปิดห้องให้ฉันพักผ่อน

เขานั่งยองถอดรองเท้าส้นสูงออกให้ฉัน ถามฉันด้วยเสียงที่นุ่มนวลอย่างมาก:

“เมื่อครู่ตกใจหรือป่าว?”

ฉันเม้มปาก กลั้นน้ำตาตรงขอบตาไว้ ค่อยๆส่ายหน้า

มือที่สั่นเทาสัมผัสกับใบหน้าของเขา

นี่เป็นการสบตากันครั้งแรกหลังจากที่แยกจากกันไปเจ็ดปีเต็ม

“เจ็ดปีมานี้ ลำบากมากเลยสินะ เฉินมั่วไป๋”

ฉันพูดหนึ่งคำหยุดหนึ่งคำ แทบจะไร้เรี่ยวแรง

ขอบตาของเขาแดงก่ำ

“ห้ามใจไม่ให้คิดถึงตอนที่ไม่ได้เจอเธอ ลำบากมากเลยล่ะ”

หยุดพูดไปสองสามวินาที จากนั้นเขาก็ปริปากพูดอย่างระมัดระวัง:

“หนานอี้ ขอโทษนะ”

ฉันตกตะลึงไปเล็กน้อย

“ตอนนั้น ฉันควรจะอยู่ข้างกายเธอ ไม่ว่าเธอจะปฎิเสธเราอย่างไร——”

“เฉินมั่วไป๋” ฉันพูดขัดเขา “นายกอดฉันหน่อย”

เขาหยุดพูดไปด้วยความเหลือเชื่อ

“นายกอดฉันหน่อย” ฉันพูดซ้ำอีกหนึ่งครั้ง

อ้อมอกที่อบอุ่นโอบกอดฉันไว้ ยิ่งกอดยิ่งแน่น

ฉันรู้สึกได้ถึงว่ามือทั้งสองที่กำลังโอบกอดฉันอยู่ สั่นเทาเล็กน้อย

เจ็ดปีก่อน เฉินมั่วไป๋หอบดอกกุหลาบหนึ่งช่อ ในใจเปี่ยมไปด้วยความปีติ ยืนรออยู่ที่ทางหลวงริมทะเล

ตั้งแต่รุ่งสางจนตะวันลาลับ ฉันก็ยังคงไม่มาเส
Locked Chapter
Continue to read this book on the APP

Related chapters

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 11

    ตกดึก ฉันลากเฉินมั่วไป๋ลงมานั่งที่พรมของโรงแรม ดื่มเหล้าปรับทุกข์หลังดื่มไประยะหนึ่ง เขาดื่มหนักเกินไป แก้มเป็นสีแดงระเรื่อ สายตาพร่ามัวฉันลุกขึ้นไปเปิดเพลงในโทรทัศน์ตอนที่กลับมานั่ง เขาเอนตัวมาพิงฉันเงียบๆระยะห่างระหว่างพวกเราเหลือเพียงคืบเดียวแล้วตอนที่แขนทั้งสองเหมือนจะสัมผัสแต่ก็ไม่ได้สัมผัสกัน ทำให้ใจของฉันร้อนผ่าว“เฉินมั่วไป๋ พรุ่งนี้ฉันต้องกลับไปอีกรอบ”มือที่ถือแก้วเหล้าของเขาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดเสียงเบา:“เสิ่นหนานอี้ ตอนนี้เธอเหมือนกับตอนที่ปฏิเสธฉันตอนนั้นไม่มีมีผิด”เสียงเพลงดังกึกก้อง มีเพียงโลกของเราสองคน ที่ราวกับมีฉากกั้นฉันได้ยินทุกคำที่เขาพูดเขาเอนตัวไปพิงเตียงด้านหลังของเขา หันหน้ามาน้ำเสียงแหบพร่าอย่างมาก:“เธอจะจากฉันไปอีกแล้วใช่ไหม?”ตอนนั้น กำแพงทางความรู้สึกที่ฉันสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก พังทลายราบเป็นหน้ากองทันทีเขาคือเฉินมั่วไป๋ เป็นความอบอุ่นหนึ่งเดียวในชีวิตที่ทุกข์ระทมและสิ้นหวังของฉันและยังเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียว เมื่อฉันตกอยู่ในสภาวะสิ้นหวังสองสามปีมานี้ เพียงแค่เอ่ยชื่อเขา หัวใจก็สั่นสะเทือนด้วยความเจ็บปวดฉ

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 12

    ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมา เฉินมั่วไป๋ยังหลับอยู่ มือข้างหนึ่งจับแขนเสื้อฉันไว้แน่นฉันแกะมือของเขาออก ค่อยๆย่องลงจากเตียงในโทรศัพท์มีห้าสิบสายที่ไม่ได้รับ ทั้งหมดล้วนมาจากเซิ่งหวยอานตอนที่ถึงบ้าน ก็จวนจะเที่ยงวันแล้วตอนที่ฉันเปิดประตู ถึงได้เห็นเซิงหวยอานนั่งพิงโซฟาอยู่ เสื้อผ้าผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อยมือยังคงวางไว้บนโทรศัพท์ของเขาฉันเดินไปยื่นมือตบไหล่เขากลับถูกเขาคว้าไว้อย่างไม่ทันตั้งตัวเซิ่งหวยอานลืมตา ในตานั้นเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ:“กลับมาได้แล้วหรือ?”“เป็นไง เมื่อคืนสนุกไหมล่ะ?”ฉันอมยิ้ม ไม่ได้สนใจคำพูดถากถางของเขาหยิบเอกสารที่เพิ่งจะหาทนายความระหว่างทางที่กลับมาเมื่อครู่ออกจากกระเป๋า วางไว้ตรงหน้าเขา:“ใบหย่า คุณเซ็นชื่อเถอะ”เซิ่งหวยอานไม่ชายตาอ่านแม้แต่น้อย ฉีกออกเป็นชิ้นๆเสียอย่างนั้นเขาผ่อนลมหายใจแรง จ้องมาที่ฉัน แววตาโหดเหี้ยมวินาทีถัดมา เสื้อผ้าที่บางเฉียบของฉันถูกฉีกออกดิ้นรนไปครู่หนึ่ง กลับถูกเซิ่งหวยอานเอาเนคไทด้านข้างมามัดมือไว้แน่น......“ไหนดูซิ ถอดให้ผมดูหน่อยว่า เมื่อคืนพวกคุณทำกันเร่าร้อนขนาดไหน......”

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 13

    “เซิ่งหวยอาน คุณอยากมีความผิดโทษฐานทำร้ายร่างกายในขณะสมรสหรือไม่?”ฉันใช้แรงทั้งหมดต่อต้านเขาชะงักไป หยุดการเคลื่อนไหว แล้วตวาดใส่ฉันด้วยความโกรธอย่างน่าเหลือเชื่อ:“หมายความว่าอย่างไร? นอนกับเขาคืนเดียว ผมก็แตะต้องคุณไม่ได้แล้วงั้นหรือ?”เซิ่งหวยอานโมโหจนสติแตกกระเจิง ไม่เหลือความพอดีที่แต่ก่อนเคยมีอีกแล้ว“แค่เขากระดิกนิ้ว คุณก็ระริกระรี้ตามไปแล้วละสิ?”“เสิ่นหนานอี้ คุณช่างเป็น——”“น่ารังเกียจ” ฉันสีหน้าเรียบนิ่ง “ที่คุณอยากพูดก็คือเรื่องนี้หรือ?”เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย:“แล้วมันไม่ใช่หรือไง?”“คุณก็เหมือนแม่ของคุณ ช่างน่ารังเกียจ”ฉันค่อยๆส่ายหน้า เป็นครั้งแรกที่ฉันกล้าตอบโต้การตำหนิและการระเบิดอารมณ์ของเขา:“ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ฉันไม่ได้ติดค้างคุณแล้ว เซิ่งหวยอาน”“ตอนแรกฉันไม่รู้ความจริง จึงทำให้ฉันไม่กล้าต่อต้านคุณ”หลายปีมานี้ อาเซิ่งดีกับฉันมากจริงๆทว่าเซิ่งหวยอานมักจะพร่ำบอกว่ าฉันติดค้างเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าคำพูดเหล่านั้น ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความละอายใจให้หยั่งรากลึกลงไปในใจฉันและตอนที่อายุครบสิบแปดปีในวันนั้น หลังจากที่ถูกเซิ่งหวยอานล่วง

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 14

    ตอนนั้น ชีวิตคู่ระหว่างอาเซิ่งและน้าเซิ่ง เป็นการแต่งในนามมานานแล้วถึงขั้นที่ว่าคนที่นอกใจก่อน ก็เป็นน้าเซิ่งด้วยซ้ำตอนที่เจอกับแม่ของฉัน อาเซิ่งแต่งเรื่องโกหกว่าตัวเองอยู่ในสถานะโสดหล่อนรังเกียจการเข้าไปแทรกในความสัมพันธ์ของคนอื่นเป็นที่สุด พ่อของฉันประสบอุบัติเสียชีวิต เพราะพาคนรักออกไปเที่ยวฉันดีใจมากที่หล่อนไม่กล้าเป็นคนประเภทที่หล่อนรังเกียจที่สุดทว่าฉันกลับต้องยอมรับแต่ไหนแต่ไรมาแม่ของฉัน หล่อนไม่เคยรักฉันเลยดังนั้น เมื่อหล่อนรู้ว่าถูกหลอก ก็หอบเงินหนีไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยกลับไม่ยอมพาฉันไปด้วย และไม่ยอมบอกความจริงกับฉันเช่นกัน“เซิ่งหวยอาน ถ้าจะติดค้าง บางทีฉันอาจจะติดค้างอาเซิ่ง แต่ฉันไม่ได้ติดค้างคุณ”“หลายปีมานี้ คุณพร่ำบอกฉันตลอดเวลา”“ฉันอยู่เพื่อให้คนรังเกียจ ฉันควรจะชดใช้ความผิดให้แม่ฉัน”“แล้วมันไม่ใช่หรือไง?”เสียงของเขากลบเสียงของฉัน แววตาพลันปรากฎการควบคุมสติไม่อยู่“หากไม่ใช่ให้คุณชดใช้ความผิด แล้วทำไมพวกเราต้องทนอยู่ด้วยกันล่ะ?”สมองมีเสียง “ปิ๊ง” ดังขึ้นมาที่แท้ความคิดเขา ก็เป็นเช่นนี้เองหรือ?พ่อแม่แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางในฐานะท

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 15

    เซิ่งหวยอานรับรู้เรื่องที่พ่อแม่แอบนอกใจกันมาโดยตลอดทว่าในใจของเขา ก็ยังไม่อาจยอมรับได้ตอนที่เขารู้ว่าอาเซิ่งหย่ากับน้าเซิ่งเพราะแม่ของฉันความแค้นที่อัดแน่นอยู่ในใจของเขาตอนนั้นราวกับหาที่ระบายอารมณ์เจอแล้วหลังจากที่แม่ฉันจากไป เขาก็เอาความแค้นถ่ายโอนมาที่ฉันเขาทรมานฉัน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกละอายใจต่อฉันไปด้วยทว่าความละอายใจนี้ ตอนที่รู้ว่าฉันกับเฉินมั่วไป๋ชอบพอกันก็กลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นความเกลียดชังอีกครั้งเพราะเกิดในครอบครัวที่ไร้ซึ่งความสุข เซิ่งหวยอานจึงขาดแคลนความรักเหมือนกับฉันเขาในตอนนั้น คิดว่าในเมื่อเป็นคนที่โชคร้ายเหมือนกันฉันมีสิทธิ์อะไรที่จะได้รับความรักในความคิดของเขา ฉันควรจะดำดิ่งสู่หายนะไปพร้อมกับเขาตลอดกาลทรมานซึ่งกันและกัน และอยู่เป็นเพื่อนกันดังนั้นตอนที่เขารับรู้การมีอยู่ของเฉินมั่วไป๋ เขาก็ประสาทเสียทันทีไม่ว่าอย่างไร ก็จะต้องบ่อนทำลายฉันให้ได้เขาปิดตายเส้นทางชีวิตของฉันทั้งหมด เขาหวังว่าโลกใบนี้จะไม่มีใครรักฉันเช่นนี้ ฉันก็จำต้องอยู่ข้างกายเขา อ้อนวอนให้เขารักฉันทว่าเขาไม่รู้เลยว่าฉันไม่เคยรักเขาแม้แต่วินาทีเดียว“เซิ่งหวยอาน

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 16

    สภาพอากาศเดือนหกบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน ระหว่างที่ไปสำนักงานเขต ฝนตกลงมาอย่างหนักบนทางแยกสุดท้าย ในช่วงเวลาสิบกว่าวินาทีที่รอไฟแดงบรรยากาศในรถเงียบสงัด จนน่าอึดอัดเล็กน้อย เซิ่งหวยอานหันหน้ามามองฉันเขาปริปากพูดอย่างกะทันหัน ไม่มีการปะทะและไม่มีการพูดจาเหน็บแนม“เสิ่นหนานอี้ ถ้าตอนแรกผมไม่หยาบคายขนาดนั้น”“พวกเรา......”“จะสามารถเดินไปได้ตลอดรอดฝั่งใช่ไหม?”ฉันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง หวนรำลึกถึงช่วงเวลาหลายปี ที่อยู่ร่วมกับเซิ่งหวยอานโดยละเอียดเรื่องที่เขาทำดีกับฉันแทบจะนึกไม่ออก แม้แต่เรื่องเดียวก็ไม่มีนับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนสมรสเรียบร้อย ข้างกายเขาก็ไม่เคยขาดบรรดาสาวๆเลยเขากระตือรือร้นที่จะเอาใจผู้หญิงเหล่านั้นเพื่อยั่วยุฉันแต่ไหนแต่ไรมา ฉันทำเพียงมองเขาแล้วอมยิ้ม ในใจไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อยทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ เขาก็มักจะระเบิดอารมณ์โมหออกมาต้องให้ฉันอับอายจนโมโหหรือน้ำตาไหล เขาจึงจะเต็มใจยอมรามือเมื่อคิดได้ดังนี้ ฉันสมเพชตัวเอง ไม่ได้พูดตอบเขาคนส่วนใหญ่เมื่อจวนจะสูญเสียอะไรบางอย่าง ก็มักจะอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาอย่างง่ายดายซึ่งนี่ไม่ใช่การเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปในต

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 17

    ตอนที่ถือใบหย่าไว้ในมือ หัวใจของฉันจึงสบายใจได้อย่างแท้จริงตอนที่เดินออกมา เซิ่งหวยอานหยุดฝีเท้าไปครู่หนึ่งเขาพึมพำขึ้นว่า:“พวกเรา จะหย่ากันแบบนี้จริงๆหรือ......”ตอนที่ฉันหันหลังกลับไป เอกสารเล่มเล็กๆในมือเขาก็บีบจนมีรอยยับแล้วจิกเล็บอย่างแรงจนปลายเล็บเป็นสีขาวเซิ่งหวยอานยังคงยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม มองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ดึงดันขอบตาของเขาแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นเทาราวกับอยู่ในสภาวะหมดอาลัยตายอยากดูแล้ว คล้ายกับว่ามีเรื่องอีกมากมายที่อยากจะพูดท้ายที่สุด กลับรู้สึกหมดแรงพูดอะไรไม่ออกสักอย่าง“ไม่หรอก” ฉันพูดขึ้นอย่างกะทันหันเซิ่งหวยอานมึนงงไปครู่หนึ่ง: “อะไรนะ?”ฉันเม้มริมฝีปากท้ายที่สุดยังคงตอบคำถามของเขาอย่างจริงจังอีกครั้ง“ต่อให้คุณไม่ได้หยาบคายขนาดนั้น พวกเราก็ไม่สามารถไปได้ตลอดรอดฝั่งหรอก”“คุณจะเป็นพี่ชายที่ฉันเคารพ ทว่าไม่ใช่คนรักเด็ดขาด”ฉันหันหน้ากลับไปมองใครบางคนที่ยืนรออยู่เงียบๆไม่ไกลยิ้มจนคิ้วยกขึ้น:“ตำแหน่งคนรักนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ เก็บไว้ให้เขาคนเดียวเท่านั้น”

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 18

    ก้าวสุดท้ายของฉัน หันไปโบกมือให้เซิ่งหวยอาน กล่าวคำลาอย่างจริงใจ:“ลาก่อนนะ พี่หวยอาน”หลังจากนั้นก็วิ่งขึ้นรถไป เฉินมั่วไป๋หันข้างมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้ฉัน:“วันนี้ตื่นเช้าขนาดนี้ ยังไม่ได้กินข้าวเช้าใช่ไหม?”ฉันโน้มตัวไปด้านข้าง เงยหน้าไปจุ๊บเขาเฉินมั่วไป๋สะดุ้งโหยง หัวเกือบจะชนหลังคารถ กกหูแดงก่ำ“หนานอี้ เธอ......”ฉันอมยิ้ม:“เจ็ดปีก่อน ฉันก็อยากทำแบบนี้แหละ”เขาหันหน้าไปทางอื่น ไม่มองฉัน ทว่าก็กลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่“ยังไม่ได้ถามนายเลย ทำไมจู่ๆถึงกลับประเทศมาล่ะ?”“เพราะอยากเจอเธอไง” ม่านฝนปกคลุม ทำให้ดวงตาเขาเปียกชื้นเป็นพิเศษ“หลายปีมานี้ เธอใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และไม่มีความสุขด้วย” “ฉันคิดว่า เธอต้องการฉันอย่างแน่นอน” เขาน้ำเสียงหนักแน่น:“ตราบใดที่เธอต้องการฉัน ฉันก็สามารถละทิ้งทุกสิ่งได้” ตอนนั้น ราวกับว่าย้อนกลับไปในช่วงมัธยมปลายชายหนุ่มที่งดงามสดใส เป็นดั่งจันทราที่หลายคนแอบเก็บไว้ในใจทว่าเขากลับส่องสว่างมาที่ฉันเพียงผู้เดียวเขายังคงเป็นคนนั้น ที่หลังจากพักเที่ยงแล้วฟุบบนโต๊ะนักเรียน ชายหนุ่มที่พูดเสียงแผ่วเบา “พวกเราจะอยู่ด้วยกันไปนิจนิรันดร์

Latest chapter

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 22

    เจ็ดปีก่อน วันที่เฉินมั่วไป๋ไปต่างประเทศ ฉันแอบไปส่งเขาที่สนามบินในสองชั่วโมงนั้น ฉันเฝ้ามองเขา อารมณ์เปลี่ยนจากรอคอยเป็นสิ้นหวังหัวใจราวกับถูกมือหนึ่งบีบรัดเอาไว้เจ็บปวดจนฉันแทบจะหายใจไม่ออกตอนที่ฉันไม่สนใจอะไรอีก อยากจะโถมตัวไปกอดเขาเซิ่งหวยอานก็ปรากฎตัวขึ้นเขาเดินมาข้างๆฉัน ยิ้มพลางจับไหล่ฉันไว้ สีหน้าอ่อนโยน:“คุณอยากไปกับเขาหรือ? น้องสาวที่แสนดีของผม”ฉันตัวเหยียดตรงแข็งทื่อ ส่ายหน้าอย่างไม่รู้ตัวเซิ่งหวยอานกลับไม่เชื่อ เขาดึงผมของฉัน ชี้ไปทางเฉินมั่วไป๋พลางพูดว่า:“คุณดูสิ เขายอดเยี่ยมมากเลยนะ”“ผลการเรียนล้ำเลิศ ตอนนี้สามารถเรียนต่อต่างประเทศได้อีก”“แล้วคุณล่ะ”ระหว่างที่พูด เขาหัวเราะอย่างสะใจ ฉันกลับรู้สึกว่าเปี่ยมไปด้วยเจตนาร้าย“ก็แค่คนเลวทรามคนหนึ่งที่สมควรถูกทุกคนทอดทิ้ง”“เสิ่นหนานอี้ คนแบบคุณ คุณคิดว่าคู่ควรกับเขางั้นหรือ?”หลังจากวันนั้น อนาคตของเฉินมั่วไป๋รุ่งโรจน์ทว่าฉันดำดิ่งสู่โคลนตม ไม่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร เซิ่งหวยอานก็ควบคุมฉันได้ตามอำเภอใจจนถึงค่ำคืนต้นฤดูร้อนที่เงียบสงบวันนั้นในห้องโถงใหญ่ที่โอ่อ่าหรูหรา ชายหญิงที่สวมชุดแต่งงานสง่า

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 21

    ระหว่างทางกลับ ฉันตั้งใจขอให้เฉินมั่วไป๋มาเดินเล่นกับฉันแม่น้ำข้างทางสะท้อนแสงไฟที่อยู่โดยรอบให้เปล่งประกายระยิบระยับเดินไปเรื่อยๆ เฉินมั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น:“ตอนนั้น ฉันเตรียมที่จะสารภาพรักกับเธอที่นี้ล่ะ”ทว่าตอนนั้น เขารอฉันไม่ไหวหัวใจถูกเติมเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่บอกไม่ถูกทันทีกระตุ้นให้ขอบตาของฉันร้อนผ่าว น้ำตาแทบจะไหลออกมาฉันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน:“ตอนนี้นายจะคิดบัญชีย้อนหลังกับฉันหรือไง?”เฉินมั่วไป๋มองตาฉันอย่างไม่หลบเลี่ยง มีฉันตัวน้อยสะท้อนอยู่ในตาของเขาลำคอของเขาหลุดเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขออกมา พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า:“เสิ่นหนานอี้ เหมือนว่าฉันจะติดค้างการสารภาพรักกับเธอนะ”เฉินมั่วไป๋หยุดฝีเท้าลง โน้มตัวโอบกอดฉันเข้าไปในอ้อมอกทั้งตัวหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ก้มหน้าลงมาจูบหน้าผากฉันรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อยกลิ่นหอมสดชื่นของแมกไม้ที่ปลายจมูก ปลุกเร้าประสาทสัมผัสทั่วเรือนร่างของฉันเสียงที่กระทบโสตประสาท แฝงไปด้วยฝุ่นละอองของกาลเวลาทว่าเต็มไปด้วยความรักที่ไม่สิ้นสุดฉันได้ยินเสียงที่เขาพูด:“ฉันรักเธอนะ เสิ่นหนานอี้”

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 20

    ได้ยินดังนั้น เซิ่งหวยอานสีหน้าซีดเผือด ลมหายใจถี่ขึ้นทันทีทรวงอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ริมฝีปากขยับขึ้นลงแต่ท้ายที่สุด ก็พูดประโยคที่สมบูรณ์ออกมาไม่ได้อยู่ดี“เซิ่งหวยอาน ผมขอร้องคุณ ต่อจากนี้อย่ามายุ่งกับชีวิตของพวกเราอีก”ราวกับว่าเขาทำใจยอมรับไม่ได้ ทรุดตัวลง หายใจกระหืดกระหอบแววตาพลันปรากฏความอาลัยอาวรณ์ที่ไร้รูปร่าง และความเศร้าโศกที่ไม่สามารถจะเอื้อนเอ่ย“ผมผิดไปแล้ว หนานอี้ คุณให้อภัยผมได้ไหม?”“ผมขอโทษ ต่อจากนี้ ผมจะดีกับคุณอย่างแน่นอน”“ถ้าคุณไม่สบอารมณ์ คุณจะทำอะไรกับผมก็ได้”“ขอเพียงแค่คุณกลับมา ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ ผมเสียใจจริงๆนะ”เสียงลมที่แฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก พัดผ่านปลายนิ้วพวกเราไปฉันนึกถึงประโยคนั้นที่เคยเห็นขึ้นมาได้ทันที:“คนที่ถูกทำร้าย รอยแผลบาดเจ็บสาหัสเหล่านั้น ไม่ควรค่าที่จะถูกเปิดออกเลย”“สิ่งที่น่ายกย่องคือความกล้าหาญในสภาวะที่สิ้นหวัง”ภูเขาลูกใหญ่ลูกนั้นที่เคยตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าฉันตั้งแต่ตอนที่เฉินมั่วไป๋กลับมา ก็ถูกฉันก้าวข้ามได้แล้ว“พอแค่นี้เถอะ เซิ่งหวยอาน หยุดก่อความวุ่นวายได้แล้ว”“พวกเราต่างคนต่างอยู่ อย่าม

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 19

    ตอนที่พบเจอเซิ่งหวยอานอีกครั้ง ฉันและเฉินมั่วไป๋เพิ่งจะซื้อของเสร็จตรงลานจอดรถที่แสงไฟสลัว เซิ่งหวยอานเรียกฉันไว้ใบหน้าของเขาซีดเผือด ก้นบุหรี่ที่ปลายนิ้วตกลงมาแม้ลวกใส่หลังมือ เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อยรู้จักกันมานานขนาดนี้ เหมือนว่าฉันไม่เคยเห็นเขา ไม่สนใจการแต่งเนื้อแต่งตัวเช่นนี้มาก่อนเซิ่งหวยอานยื่นมือ จะดึงฉันไป ทว่าถูกเฉินมั่วไป๋ขัดขวางไว้สีหน้าของเขาหม่นหมองทันที ราวกับมีข้อสงสัยที่ไม่เข้าใจจริงๆ:“เฉินมั่วไป๋ อย่างไรคุณก็เป็นถึงประธานของกลุ่มบริษัท”“เก็บคนที่เคยนอนกับผมไป ไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนบ้างหรือไง?”“ถ้าคนอื่นรู้ คุณจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน——”เฉินมั่วไป๋ควงแขนฉันอย่างเป็นธรรมชาติ“สำหรับผมแล้ว เสิ่นหนานอี้ เป็นความภาคภูมิใจสูงสุดมาโดยตลอด”“ผมไม่กลัวเรื่องพวกนี้หรอกครับ เพราะผมรักเธอ”เขามองเซิ่งหวยอานอย่างเรียบนิ่ง ทว่าน้ำเสียงกลับหนักแน่นเป็นพิเศษ:“ผมกลัวแค่ว่าเสิ่นหนานอี้จะไม่มีความสุข”เซิ่งหวยอานถอยหลังไปหนึ่งก้าว แสดงสีหน้าเหลือเชื่อเขารุดหน้าขึ้นมาราวกับควบคุมตัวเองไม่ได้ เสียงแหบพร่าอย่างมาก:“เสิ่นหนานอี้ คุณเชื่อไหมว่าผมสามารถทำลายชีวิ

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 18

    ก้าวสุดท้ายของฉัน หันไปโบกมือให้เซิ่งหวยอาน กล่าวคำลาอย่างจริงใจ:“ลาก่อนนะ พี่หวยอาน”หลังจากนั้นก็วิ่งขึ้นรถไป เฉินมั่วไป๋หันข้างมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้ฉัน:“วันนี้ตื่นเช้าขนาดนี้ ยังไม่ได้กินข้าวเช้าใช่ไหม?”ฉันโน้มตัวไปด้านข้าง เงยหน้าไปจุ๊บเขาเฉินมั่วไป๋สะดุ้งโหยง หัวเกือบจะชนหลังคารถ กกหูแดงก่ำ“หนานอี้ เธอ......”ฉันอมยิ้ม:“เจ็ดปีก่อน ฉันก็อยากทำแบบนี้แหละ”เขาหันหน้าไปทางอื่น ไม่มองฉัน ทว่าก็กลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่“ยังไม่ได้ถามนายเลย ทำไมจู่ๆถึงกลับประเทศมาล่ะ?”“เพราะอยากเจอเธอไง” ม่านฝนปกคลุม ทำให้ดวงตาเขาเปียกชื้นเป็นพิเศษ“หลายปีมานี้ เธอใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และไม่มีความสุขด้วย” “ฉันคิดว่า เธอต้องการฉันอย่างแน่นอน” เขาน้ำเสียงหนักแน่น:“ตราบใดที่เธอต้องการฉัน ฉันก็สามารถละทิ้งทุกสิ่งได้” ตอนนั้น ราวกับว่าย้อนกลับไปในช่วงมัธยมปลายชายหนุ่มที่งดงามสดใส เป็นดั่งจันทราที่หลายคนแอบเก็บไว้ในใจทว่าเขากลับส่องสว่างมาที่ฉันเพียงผู้เดียวเขายังคงเป็นคนนั้น ที่หลังจากพักเที่ยงแล้วฟุบบนโต๊ะนักเรียน ชายหนุ่มที่พูดเสียงแผ่วเบา “พวกเราจะอยู่ด้วยกันไปนิจนิรันดร์

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 17

    ตอนที่ถือใบหย่าไว้ในมือ หัวใจของฉันจึงสบายใจได้อย่างแท้จริงตอนที่เดินออกมา เซิ่งหวยอานหยุดฝีเท้าไปครู่หนึ่งเขาพึมพำขึ้นว่า:“พวกเรา จะหย่ากันแบบนี้จริงๆหรือ......”ตอนที่ฉันหันหลังกลับไป เอกสารเล่มเล็กๆในมือเขาก็บีบจนมีรอยยับแล้วจิกเล็บอย่างแรงจนปลายเล็บเป็นสีขาวเซิ่งหวยอานยังคงยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม มองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ดึงดันขอบตาของเขาแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นเทาราวกับอยู่ในสภาวะหมดอาลัยตายอยากดูแล้ว คล้ายกับว่ามีเรื่องอีกมากมายที่อยากจะพูดท้ายที่สุด กลับรู้สึกหมดแรงพูดอะไรไม่ออกสักอย่าง“ไม่หรอก” ฉันพูดขึ้นอย่างกะทันหันเซิ่งหวยอานมึนงงไปครู่หนึ่ง: “อะไรนะ?”ฉันเม้มริมฝีปากท้ายที่สุดยังคงตอบคำถามของเขาอย่างจริงจังอีกครั้ง“ต่อให้คุณไม่ได้หยาบคายขนาดนั้น พวกเราก็ไม่สามารถไปได้ตลอดรอดฝั่งหรอก”“คุณจะเป็นพี่ชายที่ฉันเคารพ ทว่าไม่ใช่คนรักเด็ดขาด”ฉันหันหน้ากลับไปมองใครบางคนที่ยืนรออยู่เงียบๆไม่ไกลยิ้มจนคิ้วยกขึ้น:“ตำแหน่งคนรักนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ เก็บไว้ให้เขาคนเดียวเท่านั้น”

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 16

    สภาพอากาศเดือนหกบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน ระหว่างที่ไปสำนักงานเขต ฝนตกลงมาอย่างหนักบนทางแยกสุดท้าย ในช่วงเวลาสิบกว่าวินาทีที่รอไฟแดงบรรยากาศในรถเงียบสงัด จนน่าอึดอัดเล็กน้อย เซิ่งหวยอานหันหน้ามามองฉันเขาปริปากพูดอย่างกะทันหัน ไม่มีการปะทะและไม่มีการพูดจาเหน็บแนม“เสิ่นหนานอี้ ถ้าตอนแรกผมไม่หยาบคายขนาดนั้น”“พวกเรา......”“จะสามารถเดินไปได้ตลอดรอดฝั่งใช่ไหม?”ฉันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง หวนรำลึกถึงช่วงเวลาหลายปี ที่อยู่ร่วมกับเซิ่งหวยอานโดยละเอียดเรื่องที่เขาทำดีกับฉันแทบจะนึกไม่ออก แม้แต่เรื่องเดียวก็ไม่มีนับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนสมรสเรียบร้อย ข้างกายเขาก็ไม่เคยขาดบรรดาสาวๆเลยเขากระตือรือร้นที่จะเอาใจผู้หญิงเหล่านั้นเพื่อยั่วยุฉันแต่ไหนแต่ไรมา ฉันทำเพียงมองเขาแล้วอมยิ้ม ในใจไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อยทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ เขาก็มักจะระเบิดอารมณ์โมหออกมาต้องให้ฉันอับอายจนโมโหหรือน้ำตาไหล เขาจึงจะเต็มใจยอมรามือเมื่อคิดได้ดังนี้ ฉันสมเพชตัวเอง ไม่ได้พูดตอบเขาคนส่วนใหญ่เมื่อจวนจะสูญเสียอะไรบางอย่าง ก็มักจะอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาอย่างง่ายดายซึ่งนี่ไม่ใช่การเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปในต

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 15

    เซิ่งหวยอานรับรู้เรื่องที่พ่อแม่แอบนอกใจกันมาโดยตลอดทว่าในใจของเขา ก็ยังไม่อาจยอมรับได้ตอนที่เขารู้ว่าอาเซิ่งหย่ากับน้าเซิ่งเพราะแม่ของฉันความแค้นที่อัดแน่นอยู่ในใจของเขาตอนนั้นราวกับหาที่ระบายอารมณ์เจอแล้วหลังจากที่แม่ฉันจากไป เขาก็เอาความแค้นถ่ายโอนมาที่ฉันเขาทรมานฉัน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกละอายใจต่อฉันไปด้วยทว่าความละอายใจนี้ ตอนที่รู้ว่าฉันกับเฉินมั่วไป๋ชอบพอกันก็กลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นความเกลียดชังอีกครั้งเพราะเกิดในครอบครัวที่ไร้ซึ่งความสุข เซิ่งหวยอานจึงขาดแคลนความรักเหมือนกับฉันเขาในตอนนั้น คิดว่าในเมื่อเป็นคนที่โชคร้ายเหมือนกันฉันมีสิทธิ์อะไรที่จะได้รับความรักในความคิดของเขา ฉันควรจะดำดิ่งสู่หายนะไปพร้อมกับเขาตลอดกาลทรมานซึ่งกันและกัน และอยู่เป็นเพื่อนกันดังนั้นตอนที่เขารับรู้การมีอยู่ของเฉินมั่วไป๋ เขาก็ประสาทเสียทันทีไม่ว่าอย่างไร ก็จะต้องบ่อนทำลายฉันให้ได้เขาปิดตายเส้นทางชีวิตของฉันทั้งหมด เขาหวังว่าโลกใบนี้จะไม่มีใครรักฉันเช่นนี้ ฉันก็จำต้องอยู่ข้างกายเขา อ้อนวอนให้เขารักฉันทว่าเขาไม่รู้เลยว่าฉันไม่เคยรักเขาแม้แต่วินาทีเดียว“เซิ่งหวยอาน

  • ดั่งฝุ่นธุลีพบพานประภาคาร   บทที่ 14

    ตอนนั้น ชีวิตคู่ระหว่างอาเซิ่งและน้าเซิ่ง เป็นการแต่งในนามมานานแล้วถึงขั้นที่ว่าคนที่นอกใจก่อน ก็เป็นน้าเซิ่งด้วยซ้ำตอนที่เจอกับแม่ของฉัน อาเซิ่งแต่งเรื่องโกหกว่าตัวเองอยู่ในสถานะโสดหล่อนรังเกียจการเข้าไปแทรกในความสัมพันธ์ของคนอื่นเป็นที่สุด พ่อของฉันประสบอุบัติเสียชีวิต เพราะพาคนรักออกไปเที่ยวฉันดีใจมากที่หล่อนไม่กล้าเป็นคนประเภทที่หล่อนรังเกียจที่สุดทว่าฉันกลับต้องยอมรับแต่ไหนแต่ไรมาแม่ของฉัน หล่อนไม่เคยรักฉันเลยดังนั้น เมื่อหล่อนรู้ว่าถูกหลอก ก็หอบเงินหนีไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยกลับไม่ยอมพาฉันไปด้วย และไม่ยอมบอกความจริงกับฉันเช่นกัน“เซิ่งหวยอาน ถ้าจะติดค้าง บางทีฉันอาจจะติดค้างอาเซิ่ง แต่ฉันไม่ได้ติดค้างคุณ”“หลายปีมานี้ คุณพร่ำบอกฉันตลอดเวลา”“ฉันอยู่เพื่อให้คนรังเกียจ ฉันควรจะชดใช้ความผิดให้แม่ฉัน”“แล้วมันไม่ใช่หรือไง?”เสียงของเขากลบเสียงของฉัน แววตาพลันปรากฎการควบคุมสติไม่อยู่“หากไม่ใช่ให้คุณชดใช้ความผิด แล้วทำไมพวกเราต้องทนอยู่ด้วยกันล่ะ?”สมองมีเสียง “ปิ๊ง” ดังขึ้นมาที่แท้ความคิดเขา ก็เป็นเช่นนี้เองหรือ?พ่อแม่แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางในฐานะท

DMCA.com Protection Status