เซิ่งหวยอานโยนฉันเข้าไปในรถด้วยความโมโห ฉันคิดจะหนีตามสัญชาตญาณทว่าข้อมือกลับถูกเขาคว้าไว้อย่างแรงวินาทีต่อมา ฉันถูกล็อกมือทั้งสองข้างไว้ ผลักลงไปที่เบาะด้านหลัง“คุณจะหนีไปไหน?”เซิ่งหวยอานฉีกยิ้มไปจนถึงแก้มของเขา ยิ้มพลางกดเสียงพูดให้ต่ำลง:“ทำไมล่ะ แค่เจอหน้าคนรักเก่านิดหน่อย ระริกระรี้แล้วงั้นหรือ?”ฉันมองเขาที่กำลังบ้าคลั่ง ใช้แรงต่อสู้ดิ้นรนอยู่หลายครั้ง “เซิ่งหวยอาน คุณใจเย็นหน่อยสิ อย่าทำแบบนี้”“เสแสร้งอะไรเล่า? ไม่ใช่ว่าไม่เคยนอนด้วยกันเสียหน่อย”“แสร้งเป็นหญิงสาวพรหมจรรย์ไปทำไมกัน? แสดงให้เฉินมั่วไป๋ดูงั้นหรือ?”เซิ่งหวยอานบีบคอฉัน บังคับให้ฉันสบตากับเขาเขาใช้แรงเยอะจนฉันเจ็บปวด จนน้ำตาที่ปวดประจำเดือนไหลออกมา“เสิ่นหนานอี้ อยากให้ผมทำให้คุณหวนรำลึกถึงไหมว่า คุณมันสกปรกเพียงใด?”สมองของฉันมีเสียงวิ้งดังขึ้นราวกับกลับไปในคืนที่แสนน่ากลัวเมื่อเจ็ดปีก่อนอีกครั้งครบรอบวันเกิดอายุสิบแปดของฉันนั้น เฉินมั่วไป๋นัดหมายกับฉันไว้เรียบร้อยแล้วต้องการขี่รถพาฉันไปรับลมตรงทางหลวงที่ติดกับชายทะเลเขาบอกกับฉันด้วยกกหูที่แดงก่ำ บางทีอาจมีเรื่องเซอร์ไพรส์อะไรรอฉันอยู่ก็
ตอนที่หัวสมองฉันว่างเปล่าจวนจะสิ้นหวัง ร่างกายก็เบาหวิวทันควันเซิ่งหวยอานที่ทับร่างฉันถูกเหวี่ยงออกไปนอกรถอย่างแรงเขาเดินเซไปมาสองสามก้าว เสียหลักล้มลงกับพื้นฉันน้ำตาไหล อารมณ์หวาดกลัวไม่มั่นคง หายใจกระหืดกระหอบเฉินมั่วไป๋ถอดเสื้อสูทตัวนอกมาคลุมตัวฉันไว้ในดวงตาของเขาราวกับมีพายุกำลังโหมกระหน่ำอยู่ ทว่าการกระทำกลับนุ่มนวลเป็นพิเศษมือใหญ่และหนาวางลงบนแผ่นหลังของฉัน แล้วตบเบาๆ“อย่ากลัวไปเลยนะ หนานอี้ ผมอยู่ตรงนี้”กลิ่นที่คุ้นเคยทำให้ฉันที่หายใจกระหืดกระหอบ ค่อยๆสงบสติอารมณ์ลงได้“โอ้ ที่แท้ก็เป็นท่านประเฉินนี่เอง”เซิ่งหวยอานยิ้มอย่างไม่แยแส ค่อยๆลุกขึ้นยืนเขาปัดกางเกง ยกมือชี้นิ้วมาทางฉันพลางกล่าวว่า:“เฉินมั่วไป๋ คุณอย่าบอกผมมนะว่า คุณยังอาลัยอาวรณ์ในตัวเธออยู่น่ะ?”“คุณไม่รู้หรือว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคุณคนนี้ ที่จริงแล้วน่าสะอิดสะเอียนเพียงใด?”“แม่ของเธอ ทำลายครอบครัวของผม และกอบโกยเงินของบ้านผมหนีไป”“ส่วนเสิ่นหนานอี้ ในคืนเข้าหอยังคิดเพ้อเจ้อปีนขึ้นมาบนเตียงผม อยากจะมีลูกให้ผมอยู่เลย”เฉินมั่วไป๋ไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด ทำเพียงแค่ก้มสายตาลงชี้รอยจ้ำแดงตรงข้อ
สีหน้าเซิ่งหวยอานเคร่งขรึมลง ทว่าปากยังคงพูดถากถากอย่างชั่วร้าย:“ไม่หรอกมั้ง ของที่เน่าเฟะแบบนี้ คุณยังจะอยากได้อีกหรือ?”เฉินมั่วไป๋ค่อยๆหันกายมาช้าๆ หัวเราะออกมาเบาๆ:“เซิ่งหวยอาน ตอนนั้น เธอก็เป็นเพียงแค่เด็กอายุเจ็ดขวบคนหนึ่งเท่านั้น”“คุณก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ของคุณพังทลายไปตั้งนานแล้ว”“พวกเขาก็นอกใจกันทั้งคู่ เรื่องนี้ คุณยังจะกล้าพูดว่าไม่รู้เรื่องงั้นหรือ?”เพราะว่าเดือดดาลถึงขีดสุด รัศมีและความน่าเกรงขามบนร่างของเฉินมั่วไป๋ในตอนนี้ เปิดเผยออกมาอย่างเต็มที่ภายใต้แรงกดดันที่มองไม่เห็น เซิ่งหวยอานก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวสายตามองไปรอบๆ และมาหยุดอยู่ที่ฉันพอดีราวกับว่าเจอเครื่องระบายอารมณ์แล้วเขาพูดอย่างโหดเหี้ยม:“ต่อให้รู้แล้วอย่างไร เรื่องที่แม่เธอทำลายครอบครัวผมเป็นความจริง”“ที่เสิ่นหนานอี้คิดจะขึ้นมาบนเตียงผม ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน”ราวกับว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ เซิ่งหวยอานพลันยิ้มขึ้นมาทันที:“แต่ว่า พูดก็พูดเถอะ ลีลาบนเตียงของเสิ่นหนานอี้ ก็ไม่เลวเลยนะ——”คำพูดที่เหลือยังพูดไม่ทันจบเฉินมั่วไป๋ต่อยท้องเขาไปหนึ่งหมัดสองมือ
เฉินมั่วไป๋พาฉันไปโรงแรมที่ใกล้ที่สุด เปิดห้องให้ฉันพักผ่อนเขานั่งยองถอดรองเท้าส้นสูงออกให้ฉัน ถามฉันด้วยเสียงที่นุ่มนวลอย่างมาก:“เมื่อครู่ตกใจหรือป่าว?”ฉันเม้มปาก กลั้นน้ำตาตรงขอบตาไว้ ค่อยๆส่ายหน้ามือที่สั่นเทาสัมผัสกับใบหน้าของเขานี่เป็นการสบตากันครั้งแรกหลังจากที่แยกจากกันไปเจ็ดปีเต็ม “เจ็ดปีมานี้ ลำบากมากเลยสินะ เฉินมั่วไป๋”ฉันพูดหนึ่งคำหยุดหนึ่งคำ แทบจะไร้เรี่ยวแรงขอบตาของเขาแดงก่ำ“ห้ามใจไม่ให้คิดถึงตอนที่ไม่ได้เจอเธอ ลำบากมากเลยล่ะ”หยุดพูดไปสองสามวินาที จากนั้นเขาก็ปริปากพูดอย่างระมัดระวัง:“หนานอี้ ขอโทษนะ”ฉันตกตะลึงไปเล็กน้อย“ตอนนั้น ฉันควรจะอยู่ข้างกายเธอ ไม่ว่าเธอจะปฎิเสธเราอย่างไร——”“เฉินมั่วไป๋” ฉันพูดขัดเขา “นายกอดฉันหน่อย”เขาหยุดพูดไปด้วยความเหลือเชื่อ“นายกอดฉันหน่อย” ฉันพูดซ้ำอีกหนึ่งครั้งอ้อมอกที่อบอุ่นโอบกอดฉันไว้ ยิ่งกอดยิ่งแน่นฉันรู้สึกได้ถึงว่ามือทั้งสองที่กำลังโอบกอดฉันอยู่ สั่นเทาเล็กน้อยเจ็ดปีก่อน เฉินมั่วไป๋หอบดอกกุหลาบหนึ่งช่อ ในใจเปี่ยมไปด้วยความปีติ ยืนรออยู่ที่ทางหลวงริมทะเลตั้งแต่รุ่งสางจนตะวันลาลับ ฉันก็ยังคงไม่มาเส
ตกดึก ฉันลากเฉินมั่วไป๋ลงมานั่งที่พรมของโรงแรม ดื่มเหล้าปรับทุกข์หลังดื่มไประยะหนึ่ง เขาดื่มหนักเกินไป แก้มเป็นสีแดงระเรื่อ สายตาพร่ามัวฉันลุกขึ้นไปเปิดเพลงในโทรทัศน์ตอนที่กลับมานั่ง เขาเอนตัวมาพิงฉันเงียบๆระยะห่างระหว่างพวกเราเหลือเพียงคืบเดียวแล้วตอนที่แขนทั้งสองเหมือนจะสัมผัสแต่ก็ไม่ได้สัมผัสกัน ทำให้ใจของฉันร้อนผ่าว“เฉินมั่วไป๋ พรุ่งนี้ฉันต้องกลับไปอีกรอบ”มือที่ถือแก้วเหล้าของเขาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดเสียงเบา:“เสิ่นหนานอี้ ตอนนี้เธอเหมือนกับตอนที่ปฏิเสธฉันตอนนั้นไม่มีมีผิด”เสียงเพลงดังกึกก้อง มีเพียงโลกของเราสองคน ที่ราวกับมีฉากกั้นฉันได้ยินทุกคำที่เขาพูดเขาเอนตัวไปพิงเตียงด้านหลังของเขา หันหน้ามาน้ำเสียงแหบพร่าอย่างมาก:“เธอจะจากฉันไปอีกแล้วใช่ไหม?”ตอนนั้น กำแพงทางความรู้สึกที่ฉันสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก พังทลายราบเป็นหน้ากองทันทีเขาคือเฉินมั่วไป๋ เป็นความอบอุ่นหนึ่งเดียวในชีวิตที่ทุกข์ระทมและสิ้นหวังของฉันและยังเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียว เมื่อฉันตกอยู่ในสภาวะสิ้นหวังสองสามปีมานี้ เพียงแค่เอ่ยชื่อเขา หัวใจก็สั่นสะเทือนด้วยความเจ็บปวดฉ
ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมา เฉินมั่วไป๋ยังหลับอยู่ มือข้างหนึ่งจับแขนเสื้อฉันไว้แน่นฉันแกะมือของเขาออก ค่อยๆย่องลงจากเตียงในโทรศัพท์มีห้าสิบสายที่ไม่ได้รับ ทั้งหมดล้วนมาจากเซิ่งหวยอานตอนที่ถึงบ้าน ก็จวนจะเที่ยงวันแล้วตอนที่ฉันเปิดประตู ถึงได้เห็นเซิงหวยอานนั่งพิงโซฟาอยู่ เสื้อผ้าผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อยมือยังคงวางไว้บนโทรศัพท์ของเขาฉันเดินไปยื่นมือตบไหล่เขากลับถูกเขาคว้าไว้อย่างไม่ทันตั้งตัวเซิ่งหวยอานลืมตา ในตานั้นเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ:“กลับมาได้แล้วหรือ?”“เป็นไง เมื่อคืนสนุกไหมล่ะ?”ฉันอมยิ้ม ไม่ได้สนใจคำพูดถากถางของเขาหยิบเอกสารที่เพิ่งจะหาทนายความระหว่างทางที่กลับมาเมื่อครู่ออกจากกระเป๋า วางไว้ตรงหน้าเขา:“ใบหย่า คุณเซ็นชื่อเถอะ”เซิ่งหวยอานไม่ชายตาอ่านแม้แต่น้อย ฉีกออกเป็นชิ้นๆเสียอย่างนั้นเขาผ่อนลมหายใจแรง จ้องมาที่ฉัน แววตาโหดเหี้ยมวินาทีถัดมา เสื้อผ้าที่บางเฉียบของฉันถูกฉีกออกดิ้นรนไปครู่หนึ่ง กลับถูกเซิ่งหวยอานเอาเนคไทด้านข้างมามัดมือไว้แน่น......“ไหนดูซิ ถอดให้ผมดูหน่อยว่า เมื่อคืนพวกคุณทำกันเร่าร้อนขนาดไหน......”
“เซิ่งหวยอาน คุณอยากมีความผิดโทษฐานทำร้ายร่างกายในขณะสมรสหรือไม่?”ฉันใช้แรงทั้งหมดต่อต้านเขาชะงักไป หยุดการเคลื่อนไหว แล้วตวาดใส่ฉันด้วยความโกรธอย่างน่าเหลือเชื่อ:“หมายความว่าอย่างไร? นอนกับเขาคืนเดียว ผมก็แตะต้องคุณไม่ได้แล้วงั้นหรือ?”เซิ่งหวยอานโมโหจนสติแตกกระเจิง ไม่เหลือความพอดีที่แต่ก่อนเคยมีอีกแล้ว“แค่เขากระดิกนิ้ว คุณก็ระริกระรี้ตามไปแล้วละสิ?”“เสิ่นหนานอี้ คุณช่างเป็น——”“น่ารังเกียจ” ฉันสีหน้าเรียบนิ่ง “ที่คุณอยากพูดก็คือเรื่องนี้หรือ?”เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย:“แล้วมันไม่ใช่หรือไง?”“คุณก็เหมือนแม่ของคุณ ช่างน่ารังเกียจ”ฉันค่อยๆส่ายหน้า เป็นครั้งแรกที่ฉันกล้าตอบโต้การตำหนิและการระเบิดอารมณ์ของเขา:“ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ฉันไม่ได้ติดค้างคุณแล้ว เซิ่งหวยอาน”“ตอนแรกฉันไม่รู้ความจริง จึงทำให้ฉันไม่กล้าต่อต้านคุณ”หลายปีมานี้ อาเซิ่งดีกับฉันมากจริงๆทว่าเซิ่งหวยอานมักจะพร่ำบอกว่ าฉันติดค้างเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าคำพูดเหล่านั้น ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความละอายใจให้หยั่งรากลึกลงไปในใจฉันและตอนที่อายุครบสิบแปดปีในวันนั้น หลังจากที่ถูกเซิ่งหวยอานล่วง
ตอนนั้น ชีวิตคู่ระหว่างอาเซิ่งและน้าเซิ่ง เป็นการแต่งในนามมานานแล้วถึงขั้นที่ว่าคนที่นอกใจก่อน ก็เป็นน้าเซิ่งด้วยซ้ำตอนที่เจอกับแม่ของฉัน อาเซิ่งแต่งเรื่องโกหกว่าตัวเองอยู่ในสถานะโสดหล่อนรังเกียจการเข้าไปแทรกในความสัมพันธ์ของคนอื่นเป็นที่สุด พ่อของฉันประสบอุบัติเสียชีวิต เพราะพาคนรักออกไปเที่ยวฉันดีใจมากที่หล่อนไม่กล้าเป็นคนประเภทที่หล่อนรังเกียจที่สุดทว่าฉันกลับต้องยอมรับแต่ไหนแต่ไรมาแม่ของฉัน หล่อนไม่เคยรักฉันเลยดังนั้น เมื่อหล่อนรู้ว่าถูกหลอก ก็หอบเงินหนีไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยกลับไม่ยอมพาฉันไปด้วย และไม่ยอมบอกความจริงกับฉันเช่นกัน“เซิ่งหวยอาน ถ้าจะติดค้าง บางทีฉันอาจจะติดค้างอาเซิ่ง แต่ฉันไม่ได้ติดค้างคุณ”“หลายปีมานี้ คุณพร่ำบอกฉันตลอดเวลา”“ฉันอยู่เพื่อให้คนรังเกียจ ฉันควรจะชดใช้ความผิดให้แม่ฉัน”“แล้วมันไม่ใช่หรือไง?”เสียงของเขากลบเสียงของฉัน แววตาพลันปรากฎการควบคุมสติไม่อยู่“หากไม่ใช่ให้คุณชดใช้ความผิด แล้วทำไมพวกเราต้องทนอยู่ด้วยกันล่ะ?”สมองมีเสียง “ปิ๊ง” ดังขึ้นมาที่แท้ความคิดเขา ก็เป็นเช่นนี้เองหรือ?พ่อแม่แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางในฐานะท