ผู้บัญชาการหวังเดินออกไปจากร้านของเธอด้วยสายตาอ้อยอิ่ง ราวกับไม่ต้องการห่างกายของเธอเลยแม้แต่เสี้ยววินาที ส่วนเธอนั้นได้แต่ส่งรอยยิ้มให้กับเขาพร้อมกับโบกมือไปมา เพื่อบอกว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เจอกันอยู่ดี
วันนี้เป็นวันจัดงานเลี้ยงของกองทัพ เขาในฐานะผู้บัญชาการจะไม่เข้าร่วมได้อย่างไรกัน หวังซานเย่จึงล่วงหน้าไปก่อนเพราะต้องจัดการดูแลคนในกองทัพตามหน้าที่ ส่วนเธอในฐานะว่าที่ภรรยาของเขาก็ต้องเข้าร่วมด้วยเช่นเดียวกัน ฉินเจินเจินรู้สึกว่างานเลี้ยงในวันนี้นั้นเปรียบเสมือนการเปิดตัวของเธอ ให้สามารถยืนข้างกายของนายทหารยศสูงได้อย่างภาคภูมิและเหมาะสมไม่ว่าจะด้วยฐานะและหน้าตา ร่างระหงที่เริ่มมีน้ำมีนวลไม่ได้เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเหมือนหกเดือนก่อน ด้วยเพราะเธอนั้นไม่ต้องอดอยากและไม่ต้องตรากตรำทำงานหนักเพื่อเลี้ยงปากท้องหรือสนองความต้องการของมารดาอีกต่อไป เธอนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้งที่มีเครื่องประทินโฉมวางอยู่เรียงราย กระจกเงาสะท้อนใบหน้าของเด็กสาวที่เปี่ยมไปด้วยความสุขจนเอ่อล้นทะลักผ่านดวงตาคู่สวยจนเปล่งประกาย ฉินเจินเจินเริ่มลงมือแต่งหน้าด้วยความชำนาญ ใบหน้าที่ขาวซีดเริ่มมีสีสันแต่ไม่จัดจ้าน ก่อนที่เธอจะวาดพู่กันลงบนกลีบปากอ่อนนุ่มจนกลายเป็นสีแดงสด ส่วนเส้นผมที่เป็นเกลียวคลื่นคล้ายกับระลอกน้ำถูกมวยต่ำดูเรียบหรู ก่อนที่เธอจะหยิบปิ่นปักผมรูปดอกโบตั๋นสีฟ้าครามขึ้นมาปักเอาไว้ แล้วลุกไปสวมใส่เสื้อผ้าที่เขาสั่งตัดให้เธอเป็นพิเศษ กี่เพ้าราคาแพงที่ทำจากผ้าไหมชั้นดีสีเขียวมรกต บนผืนผ้าปักด้วยเส้นไหมฝีมือประณีตรูปดอกโบตั๋นสีฟ้าครามดอกใหญ่ และดอกเล็กผสมกันไปอย่างลงตัว อีกทั้งยังเข้ากับรูปร่างของเธอได้เป็นอย่างดี ดวงตากลมโตกวาดมองไปเห็นกล่องเครื่องประดับที่ดูไม่คุ้นตาวางอยู่ทางด้านซ้ายมือ เธอจึงหยิบขึ้นมาและพบว่ามีการ์ดใบเล็กเขียนเอาไว้ ข้อความบนนั้นทำให้เธอยิ้มออกมาประหนึ่งคนบ้า ‘เครื่องประดับสำหรับคุณภรรยาของผม’ ที่แท้ก็เป็นฝีมือของว่าที่สามีนั่นเอง เขาเป็นคนที่ใจรายละเอียดในทุก ๆ เรื่องของเธอ และมักจะมีเรื่องให้เธอต้องทึ่งกับเขาตลอด ผู้ชายที่เพอร์เฟกต์ทั้งหน้าตาและนิสัยเช่นเขา เธอจะปล่อยให้หลุดมือไปได้เช่นไรกัน “ซานเย่ คุณทำให้ฉันรู้สึกประทับใจในทุกช่วงเวลาจริง ๆ” เธอพึมพำ ก่อนจะเปิดกล่องเครื่องประดับออกจนพบกับสร้อยไข่มุกและต่างหูเข้าชุดกัน ช่างเป็นไข่มุกที่เรืองรองถูกใจเธอเหลือเกิน ฉินเจินเจินสวมใส่มันในทันที และยิ่งส่งให้เธองดงามไร้ที่ติ เธอหมุนตัวหน้ากระจกอยู่นาน ฉินเจินเจินในวันนี้สวยงามเป็นพิเศษ แต่เมื่อรู้สึกว่าใกล้เวลาที่ห่าวอู๋จะมารับ เธอก็รีบสวมรองเท้าคัทชูส้นสูงสีขาวที่คนยุโรปกำลังนิยม พร้อมกับหยิบพัดลายดอกไม้ขึ้นมาถือเอาไว้ โดยไม่ลืมเพิ่มความหอมด้วยน้ำหอมนำเข้าที่เขาเป็นคนจัดเตรียมเอาไว้ให้ จนร่างกายของเธอนั้นหอมฟุ้งไปทั่วทั้งห้อง และที่เธอจะลืมไม่ได้อีกหนึ่งสิ่งก็คือ ผ้าคลุมขนเฟอร์สีขาว ที่แม้ไม่ใช่ฤดูหนาวก็สามารถใช้ได้ ทำให้เธอในตอนนี้อยู่ในมาดของคุณนายผู้บัญชาการไปโดยปริยาย “เชิญครับ คุณนาย” ห่าวอู๋ส่งยิ้มให้กับเธอในทันทีที่เจอหน้า พร้อมกับเปิดประตูรถให้เธอ ทำให้เธอรู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่น้อย “ชมเกินไปแล้วห่าวอู๋” เธอพูดคุยกับเขาด้วยท่าทางอารมณ์ดี ก่อนจะนั่งอยู่ในรถเงียบ ๆ แล้วมองออกไปนอกบานหน้าต่างด้วยใจจดจ่อ เธอรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้ไปยืนอยู่ข้างเขาต่อหน้าผู้คนมากมาย สถานที่ตั้งของกองทัพนั้นอยู่ไกลออกไปจากเมืองไม่น้อย การเดินทางจึงต้องใช้เวลา จากบรรยากาศที่เต็มไปด้วยที่อยู่อาศัยและผู้คน ค่อย ๆ เงียบสงบ จนเข้าสู่แนวเขตป่าที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่สะอาดตา แต่ทว่าท้องฟ้าที่มีสีสันสดใส จู่ ๆ ก็มืดครึ้มขึ้นมาโดยไม่มีสัญญาณใดมาก่อน ตอนนี้ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีเทาทะมึน แสงแดดถูกบดบังจนแทบไม่เหลือความสว่าง ฟ้าร้องครืนครั่นในระยะไกล จนฝนพรำละอองบาง ๆ ตกลงมาไม่ขาดสาย ก่อนที่สายฝนจะเทกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา “ฝนตกหนักมากเลยครับคุณนาย” เขาบอกกับเธอ “ห่าวอู๋ เธอยังมองเห็นทางอยู่ใช่ไหม ค่อย ๆ ขับไปนะ ไม่ต้องรีบร้อน” สายฝนที่กระหน่ำเท ทำให้เธอทำได้เพียงบอกกับห่าวอู๋ให้มีสติและไม่ต้องรีบร้อนที่จะเดินทางเพียงเท่านั้น ดวงตาคู่สวยที่มองออกจากบานหน้าต่างของรถรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่น้อย เดิมทีเธอก็ไม่ชอบเสียงฟ้าร้องอยู่แล้ว เอี๊ยด เสียงเสียดสีของล้อยางดังขึ้นแข่งกับสายฝน เหมือนมีอะไรบางอย่างตัดหน้ารถของเธอ ห่าวอู๋จึงเบรกกะทันหัน เธอจึงหลับตาแน่นด้วยความหวาดกลัว ปึก ปึก เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้นทั้งสี่ด้าน ฉินเจินเจินมองเห็นกลุ่มคนที่มีรูปร่างใหญ่โตห้อมล้อมรถของเธอพร้อมกับอาวุธครบมือ 'นี่มันอะไรกัน' “คุณนาย ระวังตัวด้วยนะครับ ดูเหมือนว่าเรากำลังถูกโจมตี คุณนายอย่าลงจากรถเด็ดขาด” ห่าวอู๋หยิบปืนของตัวเองขึ้นมาและทำท่าจะออกจากรถไป “ห่าวอู๋ นั่นเธอจะไปไหน อย่าลงไป มันอันตรายมากนะ” เธอร้องห้ามเขาเอาไว้ ด้วยเพราะกลัวว่าเขาจะมีอันตรายเช่นเดียวกัน “คุณนาย คุณขับรถเป็นหรือไม่” เขาหันมาถามเธอด้วยสายตาที่จริงจัง จนเธอรู้สึกหวั่นวิตกไม่น้อย “อืม ฉันขับได้” “หากมีอะไรเกิดขึ้นกับผม คุณนายขับรถหนีไปได้เลยนะครับ” ปัง ปัง กรี๊ด เธอส่งเสียงร้องขึ้นเมื่อชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นสาดกระสุนใส่ล้อรถของเธออย่างบ้าคลั่งราวกับต้องการชีวิต ก่อนจะมีอีกหลายคนเริ่มทุบกระจกรถของเธอ หัวใจของเธอในตอนนี้เต้นระส่ำไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ห่าวอู๋ย้ายตัวเองมาอยู่ข้างกายของเธอ เขาลดกระจกลงและสาดกระสุนใส่คนเหล่านั้นจนหงายหลังเลือดอาบไปหลายนาย ก่อนที่เขาจะคว้าข้อมือเล็กของเธอแล้วลงจากรถไป หากยังรั้งอยู่ภายในรถก็เปรียบเสมือนเป็นเป้านิ่งให้ถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว ซ่า สายฝนยังคงโปรยปรายลงมาจนเธอเปียกปอน รองเท้าที่เคยสวมใส่ถูกถอดออกเพื่อให้คล่องแคล่วในการหนี โดยมีห่าวอู๋ยิงคุ้มกันอยู่เป็นระยะ “ห่าวอู๋บอกฉันทีว่านี่มันอะไรกัน” “ผมก็ไม่รู้เช่นกันครับ คุณนาย เราถูกโจมตี” เขาตอบเพียงเท่านั้น ก่อนจะพาเธอวิ่งหนีเข้าไปในป่าที่อยู่ข้างทาง ส่วนเธอนั้นวิ่งตามเขาไปโดยไม่รีรอ ก่อนที่เธอจะหันไปดูก็ยังพบว่าคนพวกนั้นวิ่งไล่ล่าเธออย่างเอาเป็นเอาตาย ปัง! อั่ก ร่างสูงใหญ่ของห่าวอู๋ทรุดลงไปกองกับพื้น ก่อนที่เธอจะเห็นเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากเครื่องแบบทหารของเขา “ห่าวอู๋!” เธอตกใจจนตัวสั่น ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าเธอจะต้องมาพบเจอเหตุการณ์เขย่าขวัญถึงเพียงนี้ “คะ...คุณนาย คุณวิ่งตรงไปให้สุดทางจนกว่าจะเจอป้อมเฝ้าระวังของกองทัพ คุณบอกชื่อของผู้บัญชาการไป นายทหารพวกนั้นจะช่วยคุณ ไป!” ห่าวอู๋ผลักเธอให้หนีไป “แต่เธอถูกยิง หะ...ห่าวอู๋” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา และไร้สติ “ผมยังไหว คุณรีบหนีไป ผมจะสกัดพวกมันให้คุณเอง ไป!” เธอเริ่มออกวิ่งไปข้างหน้าตามที่ห่าวอู๋บอก โดยที่เสียงปืนยังคงดังขึ้นเป็นระยะ น้ำตาของเธอไหลออกมาเป็นสายแข่งกับสายฝนที่โปรยปราย เสื้อผ้าและใบหน้าที่สวยงามนั้นเลอะเปรอะเปื้อนไปหมดแล้ว ในใจของเธอรู้สึกห่วงห่าวอู๋ไม่น้อย แต่เธอไม่รู้จะทำเช่นไรจริง ๆ “ตามนังนั่นไป ใครจับได้ก่อน ก็ได้นังนั่นเป็นเมียก่อน ฮ่า สวยชะมัดเลยว่ะ” เสียงที่ฟังดูน่าขยะแขยงของคนพวกนั้น ทำให้เธอออกแรงวิ่งอย่างสุดกำลัง สายฝนที่เทลงมาทำให้เธอมองไม่เห็นทางข้างหน้า แต่ในใจก็หวังว่าเธอจะมาถูกทางตามที่ห่าวอู๋บอกเอาไว้ ‘ซานเย่ ฉันกลัวเหลือเกิน’ ฉินเจินเจินคิดถึงเขาขึ้นมาจนใจเจ็บ แม้เธอจะเข้มแข็ง แต่กับชายฉกรรจ์หลายคนเช่นนี้ เธอจะหนีรอดได้อย่างไรกัน ฝ่ามือบางปาดน้ำตาออกไปทั้งที่ใจยังสั่นไหว ก่อนจะหลับหูหลับตาวิ่งหนีไปอย่างสุดกำลังผู้บัญชาการหวัง จัดการความเรียบร้อยของงานเลี้ยงด้วยตัวเอง นาน ๆ ที กองทัพจะจัดงานเลี้ยงเพื่อขอบคุณนายทหารทุกนายที่ร่วมมือกันทำหน้าที่กันเต็มความสามารถเมื่อถึงเวลาที่งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ผู้เข้าร่วมงานก็เดินทางมากันอย่างคับคั่ง หวังซานเย่ชะเง้อคอมองหาว่าที่ภรรยาของเขาด้วยใจจดจ่อ ด้วยเพราะอยากเห็นเต็มแก่ว่าเธอจะงดงามเฉิดฉายเพียงใดในค่ำคืนนี้“ผู้บัญชาการมองหาใครหรือครับ” รองเวินคนสนิทเอ่ยทักทาย เมื่อเห็นว่านายของเขายืนคอยืดคอยาวปานนกกระจอกเทศอยู่นานแล้ว“ว่าที่เมียน่ะรองเวิน ห่าวอู๋ไปนานแล้วไม่มาเสียที”เขากระซิบกระซาบกับรองเวินอย่างไร้ความอาย ที่แม้แต่คนฟังยังหน้าเหวอไปเมื่อคนเป็นนายมีท่าทีที่เปลี่ยนไป“คุณมีความกล้าขึ้นเยอะเลยนะครับ ตั้งแต่มีภรรยาเด็ก ฮ่า”แม้เขาจะอยู่ใต้บังคับบัญชาของหวังซานเย่ แต่เขาคนนี้เห็นผู้บัญชาการมาตั้งแต่ที่ยังเป็นนายทหารยศน้อย จนตอนนี้นายทหารคนนั้นเติบโตและผ่านเรื่องราวในชีวิตมามากเสียเหลือเกิน ดูท่าแล้วเด็กสาวคนสวยคงจะทำให้หัวใจของหวังซานเย่เบ่งบานขึ้นอีกครั้ง“ครับรองเวิน ฮ่า”เขาหัวเราะกลบเกลื่อนความเขินอาย ไม่คิดว่าเด็กสาวที่อ่อนวัยกว่าเขาเกือบเท่าตัวจะเร
ท่ามกลางผืนป่าที่รกชัฏและมืดครึ้ม อีกทั้งยังมีสายฝนที่โปรยกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายกับเสียงฟาดฟันของสายฟ้าที่สาดลงมาจนบรรยากาศที่มืดมิดรอบกายสว่างวาบอย่างน่ากลัวด้านหลังของฉินเจินเจินยังคงมีชายฉกรรจ์ร่างกายใหญ่โตวิ่งตามเธอมาด้วยความบ้าคลั่งราวกับซอมบี้ในซีรีส์ที่เธอเคยดู พวกมันไม่แม้แต่จะลั่นไกปืนเพราะกลัวว่าเธอจะไร้ลมหายใจ ดูเหมือนว่ารางวัลจากการไล่ล่าของพวกมันคือร่างกายของเธอ‘ใครกันที่โหดเหี้ยมกับฉันได้อย่างเลือดเย็นเช่นนี้’ เธอคิดไม่ตกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอเป็นฝีมือของผู้ใดกัน ชีวิตใหม่ของฉินเจินเจินคือการได้อยู่อย่างสงบสุขกับผู้ชายดี ๆ สักคน แต่เหตุใดทุกอย่างถึงได้ดูยากเย็นไปเสียหมดอุตส่าห์ก่อตั้งธุรกิจให้เติบโตเพื่อหวังว่าสักวันจะได้ยืนเคียงข้างเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เหตุไฉนถึงได้กลับตาลปัตรมากถึงเพียงนี้“แม่สาวน้อย เธอวิ่งนานเกินไปแล้วกระมัง เหนื่อยเปล่า ๆ น่า ไม่สู้มานอนรอรับความสนุกจากพวกเราจะดีกว่านะ” หนึ่งในคนร้ายพวกนั้นตะโกนบอกเธอด้วยน้ำเสียงป่าเถื่อน“หยุดให้โง่น่ะสิ ไอ้พวกเวร! ฉันไปทำอะไรให้แก”ฉินเจินเจินยังคงออกแรงวิ่งอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยและโชคดีที่ร่างใหม่ของเธ
บ้านพักตากอากาศของผู้บัญชาการ...สามวันแล้วที่เจินเจินของเขานอนหลับไป อาการเบื้องต้นของเธอคือความอ่อนล้า และได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนัก หวังซานเย่จึงเลือกที่จะพาเธอมายังบ้านพักตากอากาศที่น้อยคนนักจะรู้ว่าเขามีบ้านพักอยู่นอกชานเมืองดวงตาคู่คมมองฝ่าเท้าที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนด้วยความรู้สึกผิด เขาไม่คิดเลยว่ามารดาของตัวเองจะร้ายกาจมากถึงเพียงนี้ ผู้บัญชาการหนุ่มคิดหนักและไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น เขาจึงไม่อยากพาเธอกลับไปยังคฤหาสน์ จึงได้พาเธอมารักษาตัวที่นี่เป็นการชั่วคราวหวังซานเย่เฝ้าอยู่ข้างกายของเธอไม่ห่าง และเฝ้ารอคอยการตื่นของเธอด้วยใจจดจ่อ ฝ่ามือคู่ใหญ่จับมือเล็กของเธอเอาไว้แน่น แววตาบ่งบอกถึงความรักใคร่ห่วงใยเธออย่างท่วมท้น“เจินเจิน คุณนอนนานเกินไปแล้วนะ” เขาบ่นพึมพำก่อนจะแนบมือเล็กไปกับใบหน้าของตัวเองด้วยความหวงแหน“คุณคิดถึงฉันหรือคะ แค่ก แค่ก”ฉินเจินเจินรู้สึกตัวและได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ยขึ้นมาพอดี เธอจึงฝืนยิ้มและเก็บอาการเอาไว้ หวังจะแกล้งเขาเล็ก ๆ“นี่คุณตื่นนานแล้วหรือ แกล้งผมนี่นา”ใบหน้าคร้ามเข้มของเขาเต็มไปด้วยความดีใจ เมื่อเห็นว่าเธอฟื้นตื่นขึ้นมาเสียที หวังซาน
แสงอาทิตย์อันแสนอบอุ่นได้ลาลับไปเมื่อหมดเวลาของการทำหน้าที่ ท้องทิวาสีส้มอมแดงได้เปลี่ยนเป็นความมืดมิดไปทั่วทั้งผืนฟ้า กลุ่มดาวน้อยใหญ่นั้นทอประกายระยิบระยับประดับท้องฟ้าให้น่าชื่นชม จันทราทรงกลมลอยเด่นหราอยู่กลางท้องฟ้า ทอแสงประกายสีทองส่องสว่างสายลมที่พัดผ่านนั้นแผ่วเบาและนุ่มนวล พอให้ละอองน้ำพัดพาความเย็นมาสู่ผิวกาย ก่อนที่ต้นไม้น้อยใหญ่บริเวณน้ำตกจะส่งเสียงเสียดสีที่ไพเราะราวกับบรรเลงเครื่องดนตรี“เป็นของฉันนะคะ ซานเย่...”ถ้อยคำของเธอสะท้อนกึกก้องอยู่ภายในศีรษะของเขา โลกทั้งใบนั้นราวกับหยุดหมุน เป็นคำพูดที่ทำให้เขาแทบจะคลั่ง และพร้อมจะสยบให้แก่เธอตลอดไปตึกตัก ตึกตักเสียงของหัวใจเต้นอย่างรุนแรง แข่งขันกับเสียงของใบไม้ที่บิดปลิว ฉินเจินเจินนั่งคร่อมตัวลงบนตัวของเขา ก่อนจะประคองใบหน้าของผู้บัญชาการด้วยมือทั้งสองข้าง สบตากับเขาด้วยความลึกซึ้ง แล้วโน้มลงมาจูบอย่างอ่อนโยนในขณะที่เขาดึงเธอเข้ามาชิด มือข้างหนึ่งโอบเอวบาง ส่วนมืออีกข้างก็จับประคองใบหน้าได้รูปเอาไว้ริมฝีปากบางนุ่มหยุ่นทาบทับลงมาบนกลีบปากหยักของเขา จนเกิดความรู้สึกที่ร้อนผ่าวไปตามอณูรูขุมขน และรู้สึกซาบซ่าน เขาไม่อาจต้
“เจินเจิน นี่คุณกำลังท้าทายผมอยู่หรือเปล่า” เขาถามเธอออกไป“ค่ะ ฉันท้าทายคุณ ฉันอยากรู้เต็มแก่แล้วว่าสามีในวัยสี่สิบของฉันทำอะไรได้บ้าง” เธอเชยปลายคางของเขาให้แหงนมองสบตา“ผมจะมอบความเป็นผัวให้กับคุณ ผมจะทำให้คุณร้องขอชีวิต”หวังซานเย่ไม่ยอมแพ้ ในเมื่อเมียเด็กของเขาร่านสวาทถึงเพียงนี้เขาก็จำต้องแสดงฝีไม้ลายมือให้เต็มที่ ก่อนที่เขาจะอุ้มเธอนั่งคร่อมลงบนตัก ก่อนจะโอบกอดร่างของเธอ ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังเนียนนุ่ม ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากจุดสัมผัส ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม ราวกับโลกรอบตัวนั้นหยุดหมุน เหลือเพียงสองคนในห้วงเวลาอันแสนหวานฉินเจินเจินหลับตาพริ้มเพื่อรับรสจูบอันแสนร้อนแรง เขาขบเม้มดูดดึงกลีบปากของเธอจนบวมแดง แล้วดูดไซ้ซอกคออันขาวผ่องของเธอแล้วประทับรอยจนเธอครางออกมาอ่าฝ่ามืออุ่นบีบเค้นเนื้อนุ่มของเธออย่างแรง ในณะที่นิ้วหัวแม่มือก็เขี่ยเม็ดทับทิมสีหวานแล้วบีบขยี้ไปมา เขาผลักเธอให้เอนพิงเก้าอี้ตัวยาว ก่อนจะสวมครอบริมฝีปากลงไปบนเต้าอวบสองฝ่ามือบีบขยำส่งก้อนขาวอวบเข้าปากด้วยความกระหาย ลิ้นเรียวตวัดลงบนตุ่มไตจนเปียกชุ่ม ก่อนจะดูดดึงและขบกัดทรวงอกอิ่มจนเกิดรอยแดงอ่า ซี้ดเธอครางออกมาด
รุ่งอรุณยามเช้าที่แสงแดดสาดส่อง กับเสียงของน้ำตกที่ไหลจากที่สูง ฉินเจินเจินลืมตาขึ้นมาแต่ทว่ากลับต้องหลับตาแน่นเพื่อปรับสายตาให้รับกับแสงแดดที่เจิดจ้าอีกครั้งแพขนตาหนากระพริบถี่ กวาดมองทุกสิ่งที่กระจัดกระจายรอบกาย ก่อนจะอมยิ้มออกมาด้วยความเขินอาย ข้างกายของเธอมีร่างที่เปลือยเปล่าของเขา ทำให้เธออดที่จะคิดถึงเรื่องเมื่อคืนไม่ได้“ซานเย่นะซานเย่ ลีลาของคุณช่างร้อนแรงเสียจริง ๆ”เธอพึมพำ และมองหน้าเขาด้วยสายตาที่จับจ้อง ยามที่เขาหลับตาพริ้มนั้นช่างดูดีเสียเหลือเกินหมับ“คุณยังไม่อิ่มหรือครับ”เธอที่ไม่ทันได้ระวังตัว กลับเป็นฝ่ายถูกคนที่แอบหลับกระชากเข้าไปโอบกอด ปลายจมูกที่โด่งเป็นสันคมซุกไซ้ไปตามลำคอระหงของเธอด้วยความคลั่งไคล้“ฉันเจ็บระบมไปหมดแล้วค่ะ โดยเฉพาะตรงนั้น”เธอก้มมองเนินสวาทของตัวเอง มันทั้งเจ็บและรวดร้าวไปเสียหมด เพราะเขาทั้งดูด ทั้งเลีย ทั้งขยี้ ทั้งกระแทกกระทั้นอย่างหนักหน่วง“ก็ตรงนั้นของคุณมันหอม มันหวาน มันอร่อยถูกใจผมนี่ครับ”เพียงแค่ชั่วข้ามคืนเขาก็เปลี่ยนไปทุกอย่าง คนที่ไม่ค่อยเปิดเผยความรู้สึกอย่างเขา กลับพูดทุกอย่างออกมาอย่างไม่อาย“พักก่อนนะคะ แล้วฉันจะให้คุณกินอี
ท้องฟ้าในยามเช้าของวันใหม่นั้นยังคงสดใสเสมอ พระอาทิตย์ดวงโตโผล่พ้นขอบฟ้าสาดแสงอ่อนๆ ทำให้บรรยากาศของบ้านพักตากอากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น ม่านน้ำตกยังคงไหลเทลงมาจากที่สูงอย่างต่อเนื่องทำให้อากาศเย็นสบายและรู้สึกสดชื่น เธอและเขายังคงพักอยู่ที่นี่ต่อเนื่องหลายวัน มันทั้งสงบสุขและหอมหวานไปด้วยกลิ่นอายของความรัก“เจินเจิน คุณคิดเห็นอย่างไร หากผมจะพาคุณกลับไปที่คฤหาสน์ของผม” เขาสวมกอดเธอจากทางด้านหลัง ก่อนจะเอ่ยถามความคิดเห็นและความต้องการของเธอ“ซานเย่ ฉันรู้ว่าคุณกำลังกังวลเรื่องของฉันกับคุณแม่ ใช่หรือไม่”ร่างบางหันมาโอบกอดรอบเอวของเขาเอาไว้ สิ่งที่เขาคิดได้ผ่านออกมาทางสายตาทั้งหมดแล้ว และเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นห่วงเธอมากเพียงใด“เรื่องที่คุณแม่ผมทำกับคุณ มันร้ายแรงเหลือเกิน และผมกลัวว่าคุณแม่จะไม่ยอมรามือ” ฝ่ามือคู่ใหญ่จับมือของคนรักเอาไว้แน่น เขาต้องจัดการอะไรบางอย่าง เพื่อให้เธอได้อยู่อย่างสงบสุข“ซานเย่ เราหนีไปตลอดไม่ได้หรอกนะคะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ฉันขอเพียงให้คุณมาช่วยฉันได้ทันเวลาในทุกครั้งก็พอ” ฉินเจินเจินบอกกับเขาด้วยความเข้าอกเข้าใจ และยอมรับความจริง“ไม่พูดอย่างนี้นะครับ ผมจะไม่
คฤหาสน์หลังงามของผู้บัญชาการหวังซานเย่ตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างใหญ่ท่ามกลางภูมิทัศน์อันแสนงดงาม แต่ทว่าบรรยากาศในวันนี้กลับแตกต่างออกไปจากทุกที สายตาของฉินเจินเจินยังคงสะท้อนความวิตกกังวลกับหลากหลายความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในใจ ทั้งความคิดของตัวเธอและความทรงจำอันแสนเลวร้ายของเจ้าของร่างเดิม ทำให้เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องจัดการความรู้สึกในตอนนี้อย่างไรหลังจากเหตุการณ์ที่เธอต้องเผชิญหน้ากับมารดาและพ่อเลี้ยงของเธอที่มาดักรอเพื่อขูดรีดเงินจากเธอในวันนี้ ความรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดจากการถูกทอดทิ้งของฉินเจินเจินคนเดิมยังคงหลอกหลอนเธออยู่ในใจ แต่สำหรับความคิดของตัวเธอเองในตอนนี้นั้นโล่งราวกับยกภูเขาออกจากอก และได้แต่หวังว่าครอบครัวจอมปลอมครอบครัวนี้จะไม่กลับมาตามราวีชีวิตเธออีกต่อไป“ซานเย่...”ฉินเจินเจินเอ่ยเบา ๆ ในขณะที่มือเล็กของเธอยังคงถูกหวังซานเย่กุมไว้ เธอเป็นห่วงความรู้สึกของเขาอยู่ไม่น้อยที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้“ครับ” เขาขานรับเสียงเบา“ฉันไม่อยากให้เรื่องทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อคุณ…”หวังซานเย่หันมามองภรรยาเด็กของเขา แววตาคู่คมที่มองเธอมีความอ่อนโยนแต่กลับเต็มไปด้วยความหนักแน่น“ไม่ต้
บรรยากาศภายในห้องนอนของผู้บัญชาการหวังและภรรยาของเขา ถูกตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่นและมีแสงไฟสลัว ๆ เต็มไปด้วยความเงียบสงบตามคำสั่งของเขา เพื่อสร้างบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกสำหรับทำกิจกรรมกระชับรักหวังซานเย่กำลังนั่งข้างเตียง ฝ่ามือของเขาวางอยู่บนท่อนแขนของภรรยาที่กำลังนอนหลับตาพริ้มด้วยความหลงใหล ใบหน้าของเธอยังคงเปล่งประกายอ่อนหวานเหมือนทุกวัน แต่ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนเธอจะอ่อนแอลงไปบ้างหลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป หวังซานเย่ตั้งอกตั้งใจที่จะเร่งผลิตทายาทให้กับตระกูลหวังของเขาด้วยความทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ และดูเหมือนว่าความเหน็ดเหนื่อยของเขาและภรรยาจะบังเกิดผล เมื่อฉินเจินเจิน เมียเด็กของเขาเริ่มมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันด้วยความดีอกดีใจจนไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร โชคดีที่ป้าหวังให้คำแนะนำวิธีการดูแลเธอได้อย่างดีเยี่ยม และไม่ลืมที่จะรีบพาเธอไปพบกับคุณหมอที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการของเธอให้แน่ใจอีกครั้งเมื่อผลการตรวจออกมา ชายวัยสี่สิบที่ยังหนุ่มแน่น แข็งแรงและมั่นคงก็คงต้องอ่อนแรงลงไป หลังจากที่ได้ยินคุณหมอเอ่ยบอก"ภรรยาของคุณกำลังตั้งครรภ์ครับ อายุครรภ์ตอนนี้ก็รา
แสงแดดในยามเช้าของวันใหม่ยังคงสาดส่องและทอประกายแสงที่เจิดจ้า เล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เก่าแก่ภายห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ผู้บัญชาการหวังด้วยความสดใส แสงที่ส่องสะท้อนกับผนังสีขาวสะอาด นั้นดูอบอุ่นและเงียบสงบราวกับไร้ผู้คน แม้แต่เสียงฝีเท้าของคนในบ้านยังคงเงียบเชียบหวังซานเย่ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องทำงานของเขา ดวงตาอันแสนจะเคร่งขรึมจ้องมองไปยังเอกสารต่าง ๆ ที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวอักษรบนกระดาษเหล่านั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับการค้าขาย และการบริหารจัดการสิ่งของมีค่าของตระกูลหวังที่ยังคงต้องดำเนินต่อไปแม้จะไร้เงาของอดีตคุณนายหวัง และแม้ว่าหวังไห่เถิงจะออกจากบ้านไปแล้วก็ตาม แต่การบริหารงานของตระกูลยังคงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดจากเขาและภรรยาผู้บัญชาการหวังรู้สึกว่าชีวิตในคฤหาสน์นั้นเริ่มเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่หวังไห่เถิงและมารดาตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ด้วยภาระหน้าที่ภายในกองทัพ และภรรยาที่เพิ่งจะเข้ามาจัดการดูแลความเรียบร้อยของทุกอย่างภายในตระกูล ทำให้ทุกสิ่งยังไม่เข้าร่องเข้ารอย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมของเขายังคงจับจ้องไ
หวังไห่เถิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว เขาคว้าอาวุธปืนที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาหวังซานเย่ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นหวังซานเย่หันมองหวังไห่เถิงอย่างไม่สะทกสะท้านและไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย"คิดว่าฉันจะกลัวนายหรือ"เขาเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกหวาดระแวงเล็กน้อย แต่การที่ต้องเผชิญกับความโกรธของหวังไห่เถิง ทำให้เขาคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เสียมากกว่าหวังไห่เถิงก้าวไปข้างหน้า ภายในมือของเขาจับอาวุธปืนเอาไว้แน่น เขารู้สึกว่าการแก้แค้นอาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาจะรู้สึกมีอำนาจในการควบคุมชีวิตของตัวเองได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปก็ตามแกรก"หวังซานเย่...ทุกอย่างมันต้องจบที่นาย!"หวังไห่เถิงตะโกนลั่น ในขณะจ่อปากกระบอกปืนไปที่ขมับของหวังซานเย่ แต่ทว่ามือของเขากลับสั่นเพราะความโกรธ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความรู้สึกที่อยากจะหลุดพ้นจากทุกสิ่งที่ต้องเผชิญ"ซานเย่!" ฉินเจินเจินตกใจมาก เธอวิ่งเข้าไปหาเขาด้วยความกลัว แต่ทว่ากลับถูกห่าวอู๋คว้าตัวเอาไว้เสียก่อน เพราะกลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัยหวังซานเย่เหลือบมองปืนที่จ่อศีรษะ เขาไ
ท่ามกลางเสียงตะโกนและการโต้เถียงที่ดังสนั่นภายในสวนด้านหลังของตระกูลหวัง เกิดการต่อสู้ในระหว่างพี่น้องที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ง่าย ๆ หวังซานเย่บุตรชายคนโตของตระกูลหวัง จ่อปากกระบอกปืนเข้ากับศีรษะของหวังไห่เถิงอย่างไร้ความปรานี"ซานเย่...อย่าทำร้ายเขา!"เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้หวังซานเย่หยุดนิ่ง ความโกรธแค้นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา ขณะที่สายตายังจ้องมองไปที่ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่"คุณแม่" เสียงหวังซานเย่นั้นเรียบเฉยและไม่ได้ดูตกใจเท่าไรนักคุณนายหวัง มารดาที่เคยแสดงออกถึงความเมตตาและความห่วงใยของเขา แต่ในขณะนี้ดวงตาของเธอที่มักจะอ่อนโยน กลับแฝงด้วยความเด็ดขาดและบางครั้งก็เห็นสายตาที่ซ่อนความรู้สึก ในแบบที่เขาไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน"ซานเย่! อย่าทำแบบนี้!"คุณนายหวังเดินเข้ามาหาเขาและยกมือขึ้นจับแขนของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าหวังซานเย่กลับสะบัดมือของเธอออกแล้วจ้องมองไปที่หวังไห่เถิงด้วยความเจ็บปวด"นี่คือสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับ!" หวังซานเย่พูดด้วยเสียงแหบแห้ง ความโกรธปะทุขึ้นอีกครั้ง"ซานเย่...แต่เขาเป็นน้องชายของลูก" คุณนายหวังพูดเสียงเบาลง พร้อมกับหายใจเข้าลึก"คุณแน่ใจหรือครับ ว่าเขา
"หวังไห่เถิง....ถอยไป" เสียงนั้นหนักแน่นและทรงพลังดังขึ้น ผู้บัญชาการยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นการข่มขู่หวังซานเย่ เดินมาจากทางเดินที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร ด้านหลังของเขาคือที่ที่แสงจันทร์สาดส่อง จึงทำให้เขาดูเหมือนกับผู้ที่ออกมาจากเงามืด เขาส่งสายตามองไปยังฉินเจินเจินแล้วยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเธอปลอดภัยดี ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับหวังไห่เถิงอีกครั้ง"ซานเย่ในที่สุดคุณก็มาทันเวลา" ฉินเจินเจินพึมพำออกมาในใจ ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกแต่ทว่าคำพูดของหวังไห่เถิงก็ดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ย"รู้ตัวเร็วกว่าที่คิดนะ...พี่ชาย ฮ่า"หวังซานเย่ยืนอยู่ตรงกลางลานกว้างของสวนด้านหลังคฤหาสน์ ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่พยายามกดไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ร่างสูงใหญ่นั้นเปี่ยมไปด้วยอำนาจดูน่ากลัวกว่าที่เคยเป็น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เขาพยายามรักษาความสัมพันธ์ของครอบครัวเอาไว้ แต่ทว่าในตอนนี้น้องชายกลับทำในสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้อีกต่อไป"ไห่เถิง!" เสียงทุ้มต่ำของหวังซานเย่ดังก้องขึ้น"..." เจ้าของชื่อหาได้มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย"หวังไห่เถิง นายกล
เสียงของสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางความเงียบสงัดแต่ทว่าบรรยากาศของคฤหาสน์ผู้บัญชาการในตอนนี้กลับเปรียบเสมือนเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ดังขึ้นภายในเงามืด เงาทึมของพระจันทร์เสี้ยวทอแสงลงมากระทบบนพื้นดินด้วยความเยือกเย็น ความมืดมิดปกคลุมทุกอย่าง ราวกับว่าทุกสิ่งในคฤหาสน์นี้กำลังหลบซ่อนตัวเองจากความน่ากลัวภายในมุมหนึ่งที่มืดสนิท ฉินเจินเจินยืนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เมื่อเสียงฝีเท้าของ หวังไห่เถิง ดังกระหึ่มมาจากทางเดิน และนั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเป็นเท่าทวี เธอหันกลับไปมองบานประตูไม้ทึบที่เปิดอ้าออกไว้เล็กน้อย ใจหนึ่งก็อยากจะหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอก็รู้ดีว่าไม่อาจหนีออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน"เจินเจิน คุณอยู่ไหนกัน ผมหวังว่าคุณคงไม่อยากทำให้ผมโกรธหรอกกระมัง"เสียงของหวังไห่เถิงดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ดวงตาคู่สวยของเธอกลับมองเห็นว่าในมือของเขาถือดาบรูปทรงโบราณ ส่องสะท้อนแสงจันทร์ ทำให้เงานั้นช่างดูดุดันและน่าสะพรึงกลัว‘บ้าชิบ นี่มันคนวิปริตชัด ๆ ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเลยหรืออย่างไร’ เธอคิดในใจ ก่อนจะกัดฟันแน่น เธอรู้ดีว่าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ด้วย
แสงอาทิตย์ในยามอรุณรุ่งได้ลาลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความมืดมิดที่เงียบสงัด ราวกับไม่มีอะไรจะหยุดยั้งความชั่วร้ายที่กำลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งลั่วหยาง หวังซานเย่ เป็นผู้บัญชาการทหารที่ฉลาดเฉลียวและกล้าหาญ เขาได้รับคำสั่งให้ปราบปรามกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ก่อความเดือดร้อนในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองหลวง แต่ในระหว่างทางเขากลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติจนไม่อาจมองข้ามไปได้"ผู้บัญชาการครับ เหตุการณ์ในวันนี้มันดูแปลกไปนะครับ"ห่าวอู๋ ลูกน้องคนสนิทของหวังซานเย่ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบา ขณะกอบกุมพวงมาลัยของรถยุโรปทางการทหารหวังซานเย่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เขากำลังครุ่นคิดอยู่ภายในใจ และสิ่งที่คิดก็เริ่มจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อการร้ายในครั้งนี้ดูแปลกตามที่ห่าวอู๋บอกกล่าว และดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ได้มีจำนวนมากมายเหมือนในทุกครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งพวกมันยังดูเหมือนกับกำลังพยายามหนีเสียมากกว่าการตั้งใจต่อสู้"มันไม่น่าจะใช่แบบนี้" หวังซานเย่พึมพำเบา ๆ เมื่อสายตาคู่คมมองเห็นความผิดปกติในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางผ่านเขาสั่งให้ห่าวอู๋หยุดรถในทันทีที่มองเห็นว่าหมู่
หวังซานเย่รับหน้าที่เป็นคนขับรถในเช้าวันใหม่ เขาพาเธอกลับไปยังคฤหาสน์ของเขา บรรยากาศในวันนี้สดใสกว่าทุกวัน ความเขียวชะอุ่มของต้นไม้ทั้งสองฝั่งทำให้เธอทอดสายตามองด้วยความสบายใจ จนกระทั่งเริ่มมองเห็นคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนเนินสูง สามารถมองเห็นตัวเมืองอันกว้างไกลที่เธอเองก็ยังเดินสำรวจไม่ครบทุกมุม เป็นความหรูหราของสถาปัตยกรรมจีนโบราณผสมผสานกับกลิ่นอายยุคสาธารณรัฐสะท้อนความมั่งคั่งและทรงอำนาจของตระกูลหวัง ตระกูลที่มีบทบาทสำคัญทั้งในกองทัพและเศรษฐกิจระดับประเทศที่ฉินเจินเจินได้มองอย่างเต็มตาในวันนี้"เจินเจิน ผมยังไม่อยากกลับเลย อยากอยู่กับคุณสองต่อสองมากกว่า" เขาเอ่ยขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งมาจับมือเธอเอาไว้"ซานเย่ ตั้งใจขับรถหน่อยสิคะ ฉันยังไม่อยากนอนข้างทางนะคะ!" เธอบ่นอุบ เมื่อเห็นเขาขับรถมือเดียว จนรู้สึกไม่ปลอดภัย"คุณไม่อยากอยู่กับผมแค่สองคนอย่างนั้นหรือ" เขาไม่ฟังเธอปราม แต่ทว่าเร่งรัดให้เธอตอบคำถามของเขา"ที่คฤหาสน์ก็ไม่มีใครมาวุ่นวายกับคุณนี่คะ ซานเย่ คุณตั้งใจขับรถก่อนเถอะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะงอนคุณนะคะ" เธอกอดอกมุ่ยหน้าใส่เขาด้วยสายตาเอาจริง"ไม่งอนนะ ผมยอมแล้วก็ได้"ฟอดหวังซ
ปลายนิ้วที่เรียวสวยผลักร่างใหญ่โตของเขาให้นอนราบลงไปบนฝากระโปรงของรถได้ด้วยมือเดียว หวังซานเย่ร่างกายอ่อนระทวยไปกับลีลาอันแสนเร่าร้อนของเธอเสียแล้วฉินเจินเจินนั่งคร่อมลงบนท่อนกายอุ่นร้อนของเขาจนมิดลำ ส่งให้เขาหน้าเบ้ด้วยความคับแน่น ความเจ็บสะท้านแล่นไปทั่วลำใหญ่แต่ทว่ายังคงซ่านเสียวจนสมองขาวโพลนซี้ดไม่ได้มีเพียงเขาที่เจ็บปวด เธอเองก็เช่นกันเพราะขนาดที่ใหญ่โตของเขาได้เบียดเสียดเข้ามาภายในโพรงสวาทจนแทบจะปริแตกจากกัน แต่นั่นกลับเป็นความเจ็บปวดที่เธอยินดีสะโพกอิ่มโขลกไปข้างหน้าเพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนท่อนเอ็นเขื่องเข้าออกร่องสวาทที่ชุ่มฉ่ำเต็มไปด้วยความต้องการที่พุ่งพล่าน ไฟร่านกำลังครอบงำตัวของเธอฉินเจินเจินยกตัวขึ้นแล้วกระแทกตัวลงไปเพื่อให้แท่งหยกเข้าไปในร่องรักของเธออย่างแรง ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความลึกและความสะใจ มันทั้งร้อนแรงและวาบหวาม จนเขาครางออกมาด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า“อ่า เจินเจิน กระแทกอีก ผมเสียวจังเลยครับ”“อะ...อื้อ”ริมฝีปากบางสีแดงสดขบเม้มเข้าหากันด้วยความซ่านสยิว ก่อนที่เธอจะออกแรงขยับสะโพกอย่างเชี่ยวชาญ แล้วบดสะโพกลงไปอย่างหนักจนน้ำกามไหลออกมาชุ่มฉ่ำและเกิดเสียงดังแ