แสงอาทิตย์ในยามอรุณรุ่งได้ลาลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความมืดมิดที่เงียบสงัด ราวกับไม่มีอะไรจะหยุดยั้งความชั่วร้ายที่กำลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งลั่วหยาง หวังซานเย่ เป็นผู้บัญชาการทหารที่ฉลาดเฉลียวและกล้าหาญ เขาได้รับคำสั่งให้ปราบปรามกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ก่อความเดือดร้อนในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองหลวง แต่ในระหว่างทางเขากลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติจนไม่อาจมองข้ามไปได้
"ผู้บัญชาการครับ เหตุการณ์ในวันนี้มันดูแปลกไปนะครับ" ห่าวอู๋ ลูกน้องคนสนิทของหวังซานเย่ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบา ขณะกอบกุมพวงมาลัยของรถยุโรปทางการทหาร หวังซานเย่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เขากำลังครุ่นคิดอยู่ภายในใจ และสิ่งที่คิดก็เริ่มจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อการร้ายในครั้งนี้ดูแปลกตามที่ห่าวอู๋บอกกล่าว และดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ได้มีจำนวนมากมายเหมือนในทุกครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งพวกมันยังดูเหมือนกับกำลังพยายามหนีเสียมากกว่าการตั้งใจต่อสู้ "มันไม่น่าจะใช่แบบนี้" หวังซานเย่พึมพำเบา ๆ เมื่อสายตาคู่คมมองเห็นความผิดปกติในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางผ่าน เขาสั่งให้ห่าวอู๋หยุดรถในทันทีที่มองเห็นว่าหมู่บ้านเบื้องหน้าไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามปกติ และเงียบสงบมากจนเกินไป แม้แต่เสียงลมหรือเสียงนกร้องก็เงียบหาย หวังซานเย่จึงหันไปบอกกับห่าวอู๋ "บรรยากาศที่นี่แปลกพิกลนัก" "นั่นสิครับ แปลกแบบที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน ถ้าอย่างนั้นเรายิ่งควรจะระวังตัวให้ดี ๆ นะครับ ผู้บัญชาการ" ห่าวอู๋มองไปรอบ ๆ ก่อนจะพยักหน้าให้กับผู้เป็นนาย พวกเขาเดินเข้าไปในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการต่อสู้ แต่ทว่าความเงียบสงัดยังคงครอบงำพื้นที่แห่งนี้ จนเขาอดไม่ไหวที่จะเริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความตั้งใจของผู้ก่อการร้ายที่หลบหนีไป ไม่ว่าจะหันไปมองทางใดก็เห็นแต่รอยเลือดและของใช้กระจัดกระจายไปทั่ว ราวกับถูกจัดฉากเอาไว้เสียมากกว่า "ผู้บัญชาการครับ ดูเหมือนว่า..." ห่าวอู๋ปรายนิ้วมือไปทางด้านหนึ่ง เมื่อเห็นกลุ่มคนร้ายกำลังยืนอยู่ที่ปลายถนนในหมู่บ้าน คนร้ายมีแค่ห้าคน ท่าทางที่กำลังจับอาวุธเหล่านั้นดูไม่ค่อยจะมีเรี่ยวแรงเท่าไรยิ่งไปกว่านั้นท่าทางของพวกมันเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างมากกว่า "ระวังตัว!" หวังซานเย่ตะโกนออกมา พร้อมสั่งให้ห่าวอู๋และคนอื่น ๆ เตรียมอาวุธ เขากำลังจะรีบสั่งการ แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อจากนั้น กลับมีเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นมาจากหนึ่งในคนร้ายที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขา "หวังซานเย่... ผมมีอะไรจะบอกกับคุณ" หวังซานเย่ส่งสายตามุ่งตรงไปยังชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีท่าทางลึกลับ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด ราวกับรู้จักเขาเป็นอย่างดี "คุณคือใคร" เขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง "ผมเป็นคนที่คุณไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่นั่นมันไม่สำคัญ และผมเห็นแก่คุณพ่อของคุณ ผมจึงอยากจะบอกคุณว่า พวกเราคือคนที่ถูกจ้างมา เพื่อถ่วงเวลาคุณเอาไว้" ชายคนดังกล่าวยิ้มออกมาอีกครั้ง เขาไม่อาจทำร้ายบุตรชายของเจ้านายผู้มีพระคุณ จึงได้แต่บอกความจริงให้เขากระจ่าง คำพูดของชายตรงหน้าทำให้หวังซานเย่เกิดความสงสัยขึ้นมาในทันที ก่อนจะเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย "คุณหมายความว่าอย่างไร" "ก็หมายความว่า คุณกำลังถูกหลอก! ทั้งหมดที่ท่านเห็นตอนนี้ มันเป็นแค่แผนการถ่วงเวลา" ชายคนนั้นตอบอย่างยิ้มเยาะ ห่าวอู๋เงียบลงในทันที ดวงตาของเขากวาดมองไปที่ชายคนนั้นและทุกอย่างรอบตัว จึงได้พบความผิดปกติที่เกิดขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ "ถ่วงเวลา ถ่วงเวลาเพื่ออะไร" หวังซานเย่ถามเสียงเคร่งเครียด ชายคนนั้นไม่ตอบเขาในทันที แต่กลับยิ้มออกมาอย่างช้า ๆ ก่อนจะพูดอย่างเยาะเย้ย ทว่าน้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความหวังดีเอาไว้ "คุณคิดว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะกลุ่มผู้ก่อการร้ายอย่างนั้นหรือ ฮ่า พวกเขาแค่ถูกใช้เป็นเครื่องมือประกอบฉากเท่านั้น คุณกำลังตกหลุมพรางที่ถูกวางเอาไว้ เพื่อให้คุณหลงกลต่างหาก!" หวังซานเย่พยายามสงบจิตใจให้สติกลับมาแน่วแน่อีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในวังวนของกับดักอย่างที่ชายคนดังกล่าวเอ่ยออกมา และเมื่อชายคนนั้นเห็นสีหน้าของเขาที่เริ่มรู้ทัน เขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วพูดต่อไป "คุณคิดว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ ใครที่จ้างผมมาเพื่อถ่วงเวลาของคุณ" ความเย็นเริ่มแทรกซึมเข้ามาในกระดูกของเขาจนนิ่งไป เมื่อชายคนนั้นเฉลยทุกสิ่งออกมา "คนที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่างนี้ก็คือ หวังไห่เถิง น้องชายของคุณ!" คำพูดนั้นทำให้หัวใจของหวังซานเย่สะดุด หัวสมองของเขาหมุนคว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ "หวังไห่เถิง" เขาพึมพำ ก่อนจะเริ่มไตร่ตรองทุกอย่างให้ถี่ถ้วน "ใช่แล้ว...เป็นฝีมือของน้องชายคุณ เขาจ้างให้ผมมาถ่วงเวลาของคุณเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่คุณจะกลับไปถึงคฤหาสน์" ชายคนนั้นยิ้มให้เขาอีกครั้ง หวังซานเย่ได้แต่ยืนนิ่ง ดวงตาของเขามีประกายความแค้นขึ้นมาอย่างน่ากลัว แต่ก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง และต้องการคำอธิบายจากหวังไห่เถิง "หวังไห่เถิง เป็นเพราะฉันใจดีเกินไปใช่ไหม" หวังซานเย่พึมพำ และขบกรามแน่น "เพราะเขาต้องการบางสิ่งที่คุณมี สิ่งที่คุณรักและปกป้องจนสุดชีวิต... เขาต้องการสิ่งนั้นทั้งหมด" ชายคนนั้นเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้า เห็นทีตระกูลหวังคงจะล่มสลายก็ครั้งนี้ หวังซานเย่ได้รู้แล้วว่าภารกิจในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การปราบปรามผู้ก่อการร้าย ในสมองนั้นรู้สึกด้านชา สิ่งที่เขารักที่สุดภายในคฤหาสน์หลังนั้น ก็คือ ฉินเจินเจิน และดูเหมือนว่าเขาจะทำให้เธอต้องตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง เขาได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ หัวใจนั้นหนักอึ้ง จนรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณขอบตา "ผู้บัญชาการ เราจะทำอย่างไรกันดีครับ" ห่าวอู๋เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูเหมือนว่านายของเขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก หวังซานเย่ไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแต่ยืนนิ่งและกำลังหาหนทางแก้ไขสถานการณ์ "ผู้บัญชาการ ถ้าหากคุณยังไม่รีบกลับไปเสียตั้งแต่ตอนนี้...คุณนายที่คุณรักจะไม่ได้รับการปกป้อง!" ห่าวอู๋เห็นเจ้านายของตัวเองนิ่งอยู่นาน จึงได้แต่ตะโกนบอกให้เขาได้รับรู้ด้วยเสียงดัง หวังซานเย่รู้สึกถึงแรงกดดันในใจ สิ่งที่ห่าวอู๋เอ่ยออกมาเป็นการเรียกสติของเขาให้กลับคืนมา สายตาคู่คมที่เคยมั่นคงนั้นเริ่มสั่นไหว ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในหัวของเขาเต็มไปหมด และเขาต้องรีบกลับไปที่คฤหาสน์ให้เร็วที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป "ห่าวอู๋ รีบกลับไปที่คฤหาสน์ตอนนี้!" หวังซานเย่กัดฟันแน่น ก่อนจะตัดสินใจในทันที แล้วหันไปสั่งลูกน้องคนสนิท ห่าวอู๋รีบพยักหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะวนรถกลับไปตามเส้นทางเดิมด้วยความรวดเร็ว เสียงของเครื่องยนต์ดังขึ้นด้วยจังหวะเร่งรีบ ก่อนจะแล่นไปตามถนนดินที่เปียกชื้นด้วยความเร็วสูง ห่าวอู๋ตั้งใจขับรถด้วยความระมัดระวังก่อนจะกดฝ่าเท้าลงบนคันเร่งด้วยความร้อนใจ เพื่อพาผู้เป็นนายเดินทางกลับไปยังคฤหาสน์โดยเร็วที่สุด หวังซานเย่นั่งอยู่บนเบาะด้านหลังด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี กรอบหน้าคมคายเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อที่ผุดพราย และขยับตัวไปมาด้วยความกระวนกระวาย ใบหน้าของเขานั้นเคร่งเครียดและดวงตาที่แสดงออกถึงความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาเกือบจะไม่สามารถนั่งนิ่ง ๆ ต่อไปได้เลย ในขณะที่ความคิดต่าง ๆ วิ่งพล่านในหัวสมอง ความรู้สึกผิดโหมกระหน่ำในใจของเขาจนแทบจะหายใจไม่ออก ความผิดหวังที่หนักหน่วงอยู่ภายในใจ ทำให้หวังซานเย่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาเอาแต่มองออกไปยังถนนเบื้องหน้าด้วยความหม่นหมอง ราวกับว่าทุกวินาทีที่ผ่านไปคือการสูญเสียเวลาอันมีค่ายิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไรความปลอดภัยของเธอก็ยิ่งน้อยลงไปมากขึ้นเท่านั้น “เจินเจิน ผมผิดต่อคุณอีกแล้ว”เสียงของสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางความเงียบสงัดแต่ทว่าบรรยากาศของคฤหาสน์ผู้บัญชาการในตอนนี้กลับเปรียบเสมือนเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ดังขึ้นภายในเงามืด เงาทึมของพระจันทร์เสี้ยวทอแสงลงมากระทบบนพื้นดินด้วยความเยือกเย็น ความมืดมิดปกคลุมทุกอย่าง ราวกับว่าทุกสิ่งในคฤหาสน์นี้กำลังหลบซ่อนตัวเองจากความน่ากลัวภายในมุมหนึ่งที่มืดสนิท ฉินเจินเจินยืนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เมื่อเสียงฝีเท้าของ หวังไห่เถิง ดังกระหึ่มมาจากทางเดิน และนั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเป็นเท่าทวี เธอหันกลับไปมองบานประตูไม้ทึบที่เปิดอ้าออกไว้เล็กน้อย ใจหนึ่งก็อยากจะหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอก็รู้ดีว่าไม่อาจหนีออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน"เจินเจิน คุณอยู่ไหนกัน ผมหวังว่าคุณคงไม่อยากทำให้ผมโกรธหรอกกระมัง"เสียงของหวังไห่เถิงดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ดวงตาคู่สวยของเธอกลับมองเห็นว่าในมือของเขาถือดาบรูปทรงโบราณ ส่องสะท้อนแสงจันทร์ ทำให้เงานั้นช่างดูดุดันและน่าสะพรึงกลัว‘บ้าชิบ นี่มันคนวิปริตชัด ๆ ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเลยหรืออย่างไร’ เธอคิดในใจ ก่อนจะกัดฟันแน่น เธอรู้ดีว่าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ด้วย
"หวังไห่เถิง....ถอยไป" เสียงนั้นหนักแน่นและทรงพลังดังขึ้น ผู้บัญชาการยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นการข่มขู่หวังซานเย่ เดินมาจากทางเดินที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร ด้านหลังของเขาคือที่ที่แสงจันทร์สาดส่อง จึงทำให้เขาดูเหมือนกับผู้ที่ออกมาจากเงามืด เขาส่งสายตามองไปยังฉินเจินเจินแล้วยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเธอปลอดภัยดี ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับหวังไห่เถิงอีกครั้ง"ซานเย่ในที่สุดคุณก็มาทันเวลา" ฉินเจินเจินพึมพำออกมาในใจ ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกแต่ทว่าคำพูดของหวังไห่เถิงก็ดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ย"รู้ตัวเร็วกว่าที่คิดนะ...พี่ชาย ฮ่า"หวังซานเย่ยืนอยู่ตรงกลางลานกว้างของสวนด้านหลังคฤหาสน์ ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่พยายามกดไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ร่างสูงใหญ่นั้นเปี่ยมไปด้วยอำนาจดูน่ากลัวกว่าที่เคยเป็น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เขาพยายามรักษาความสัมพันธ์ของครอบครัวเอาไว้ แต่ทว่าในตอนนี้น้องชายกลับทำในสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้อีกต่อไป"ไห่เถิง!" เสียงทุ้มต่ำของหวังซานเย่ดังก้องขึ้น"..." เจ้าของชื่อหาได้มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย"หวังไห่เถิง นายกล
ท่ามกลางเสียงตะโกนและการโต้เถียงที่ดังสนั่นภายในสวนด้านหลังของตระกูลหวัง เกิดการต่อสู้ในระหว่างพี่น้องที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ง่าย ๆ หวังซานเย่บุตรชายคนโตของตระกูลหวัง จ่อปากกระบอกปืนเข้ากับศีรษะของหวังไห่เถิงอย่างไร้ความปรานี"ซานเย่...อย่าทำร้ายเขา!"เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้หวังซานเย่หยุดนิ่ง ความโกรธแค้นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา ขณะที่สายตายังจ้องมองไปที่ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่"คุณแม่" เสียงหวังซานเย่นั้นเรียบเฉยและไม่ได้ดูตกใจเท่าไรนักคุณนายหวัง มารดาที่เคยแสดงออกถึงความเมตตาและความห่วงใยของเขา แต่ในขณะนี้ดวงตาของเธอที่มักจะอ่อนโยน กลับแฝงด้วยความเด็ดขาดและบางครั้งก็เห็นสายตาที่ซ่อนความรู้สึก ในแบบที่เขาไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน"ซานเย่! อย่าทำแบบนี้!"คุณนายหวังเดินเข้ามาหาเขาและยกมือขึ้นจับแขนของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าหวังซานเย่กลับสะบัดมือของเธอออกแล้วจ้องมองไปที่หวังไห่เถิงด้วยความเจ็บปวด"นี่คือสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับ!" หวังซานเย่พูดด้วยเสียงแหบแห้ง ความโกรธปะทุขึ้นอีกครั้ง"ซานเย่...แต่เขาเป็นน้องชายของลูก" คุณนายหวังพูดเสียงเบาลง พร้อมกับหายใจเข้าลึก"คุณแน่ใจหรือครับ ว่าเขา
หวังไห่เถิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว เขาคว้าอาวุธปืนที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาหวังซานเย่ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นหวังซานเย่หันมองหวังไห่เถิงอย่างไม่สะทกสะท้านและไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย"คิดว่าฉันจะกลัวนายหรือ"เขาเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกหวาดระแวงเล็กน้อย แต่การที่ต้องเผชิญกับความโกรธของหวังไห่เถิง ทำให้เขาคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เสียมากกว่าหวังไห่เถิงก้าวไปข้างหน้า ภายในมือของเขาจับอาวุธปืนเอาไว้แน่น เขารู้สึกว่าการแก้แค้นอาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาจะรู้สึกมีอำนาจในการควบคุมชีวิตของตัวเองได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปก็ตามแกรก"หวังซานเย่...ทุกอย่างมันต้องจบที่นาย!"หวังไห่เถิงตะโกนลั่น ในขณะจ่อปากกระบอกปืนไปที่ขมับของหวังซานเย่ แต่ทว่ามือของเขากลับสั่นเพราะความโกรธ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความรู้สึกที่อยากจะหลุดพ้นจากทุกสิ่งที่ต้องเผชิญ"ซานเย่!" ฉินเจินเจินตกใจมาก เธอวิ่งเข้าไปหาเขาด้วยความกลัว แต่ทว่ากลับถูกห่าวอู๋คว้าตัวเอาไว้เสียก่อน เพราะกลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัยหวังซานเย่เหลือบมองปืนที่จ่อศีรษะ เขาไ
แสงแดดในยามเช้าของวันใหม่ยังคงสาดส่องและทอประกายแสงที่เจิดจ้า เล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เก่าแก่ภายห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ผู้บัญชาการหวังด้วยความสดใส แสงที่ส่องสะท้อนกับผนังสีขาวสะอาด นั้นดูอบอุ่นและเงียบสงบราวกับไร้ผู้คน แม้แต่เสียงฝีเท้าของคนในบ้านยังคงเงียบเชียบหวังซานเย่ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องทำงานของเขา ดวงตาอันแสนจะเคร่งขรึมจ้องมองไปยังเอกสารต่าง ๆ ที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวอักษรบนกระดาษเหล่านั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับการค้าขาย และการบริหารจัดการสิ่งของมีค่าของตระกูลหวังที่ยังคงต้องดำเนินต่อไปแม้จะไร้เงาของอดีตคุณนายหวัง และแม้ว่าหวังไห่เถิงจะออกจากบ้านไปแล้วก็ตาม แต่การบริหารงานของตระกูลยังคงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดจากเขาและภรรยาผู้บัญชาการหวังรู้สึกว่าชีวิตในคฤหาสน์นั้นเริ่มเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่หวังไห่เถิงและมารดาตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ด้วยภาระหน้าที่ภายในกองทัพ และภรรยาที่เพิ่งจะเข้ามาจัดการดูแลความเรียบร้อยของทุกอย่างภายในตระกูล ทำให้ทุกสิ่งยังไม่เข้าร่องเข้ารอย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมของเขายังคงจับจ้องไ
บรรยากาศภายในห้องนอนของผู้บัญชาการหวังและภรรยาของเขา ถูกตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่นและมีแสงไฟสลัว ๆ เต็มไปด้วยความเงียบสงบตามคำสั่งของเขา เพื่อสร้างบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกสำหรับทำกิจกรรมกระชับรักหวังซานเย่กำลังนั่งข้างเตียง ฝ่ามือของเขาวางอยู่บนท่อนแขนของภรรยาที่กำลังนอนหลับตาพริ้มด้วยความหลงใหล ใบหน้าของเธอยังคงเปล่งประกายอ่อนหวานเหมือนทุกวัน แต่ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนเธอจะอ่อนแอลงไปบ้างหลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป หวังซานเย่ตั้งอกตั้งใจที่จะเร่งผลิตทายาทให้กับตระกูลหวังของเขาด้วยความทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ และดูเหมือนว่าความเหน็ดเหนื่อยของเขาและภรรยาจะบังเกิดผล เมื่อฉินเจินเจิน เมียเด็กของเขาเริ่มมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันด้วยความดีอกดีใจจนไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร โชคดีที่ป้าหวังให้คำแนะนำวิธีการดูแลเธอได้อย่างดีเยี่ยม และไม่ลืมที่จะรีบพาเธอไปพบกับคุณหมอที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการของเธอให้แน่ใจอีกครั้งเมื่อผลการตรวจออกมา ชายวัยสี่สิบที่ยังหนุ่มแน่น แข็งแรงและมั่นคงก็คงต้องอ่อนแรงลงไป หลังจากที่ได้ยินคุณหมอเอ่ยบอก"ภรรยาของคุณกำลังตั้งครรภ์ครับ อายุครรภ์ตอนนี้ก็รา
“นี่คุณ รีบปลุกลูกสาวตัวดีของคุณเร็วเข้า หากนานกว่านี้ ผู้บัญชาการเปลี่ยนใจขึ้นมา พวกเราแย่แน่”“อาฉวน คุณไม่เห็นหรือว่าฉันปลุกเธอตั้งหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่ตื่น จะมาขี้เซาอะไรกันตอนนี้นังลูกไม่รักดี” คนที่โดนเร่งเร้าให้ออกแรงปลุกก็เริ่มจะมีน้ำเสียงที่หงุดหงิดเช่นเดียวกัน“โอกาสดี ๆ แบบนี้ไม่ได้หาง่าย ๆ นะคุณ รีบปลุกลูกสาวของคุณซะ ด้วยความหวังดี” บุรุษเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่รื่นหูเท่าไรนัก ซ้ำยังมีใบหน้าที่บิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่พอใจเสียงสนทนาที่ฟังดูคล้ายกับคนทะเลาะกันระหว่างชายหญิงที่ไม่คุ้นหู ผ่านเข้ามาในภวังค์ความคิด แม้จะยังคงหลับตาแต่ก็รับรู้ได้ถึงบทสนทนาที่ชัดเจนมาก พอให้รู้ว่าเสียงนั้นช่างน่ารำคาญและรบกวนการนอนมากเพียงใด ‘แต่เดี๋ยวนะ !’ฉินเจินเจิน ลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะกวาดมองไปรอบกาย จนเจอเข้ากับหนึ่งหญิงหนึ่งชายในวัยกลางคนที่กำลังส่งฝ่ามือเข้ามาปลุกด้วยท่าทางรีบร้อน“พวกคุณเป็นใครกัน เข้ามาในคอนโดของฉันได้อย่างไร” เธอเอ่ยถามออกไป พร้อมกับยันกายลุกขึ้นพิงหมอนอิงใบใหญ่ ก่อนจะกวาดสายตาไปโดยรอบอีกครั้ง เพื่อมองหาเด็กหนุ่มคนรักของตัวเอ
เมืองหนานซาง มณฑลเจียงซี...คอนโดหรูกลางเมืองใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของ ฉินเจินเจิน สาวใหญ่ในวัยสี่สิบปี เจ้าของอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจมากมาย ชีวิตในปัจจุบันนั้นไร้สามี หรือลูกสาว ลูกชาย ให้สืบสกุล อีกทั้งบิดาและมารดาต่างก็พากันจากโลกนี้ไปตั้งแต่ที่เธอยังไม่ร่ำรวยการใช้ชีวิตเพียงคนเดียวมานานแสนนานนั้นช่างเปลี่ยวเหงา บาร์โฮสต์อันแสนหรูหราจึงเป็นสถานที่ให้เธอได้บรรเทาความเหงา กับเงินในกระเป๋าที่ทำให้เธอซื้อความสุขมาครอบครองเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่หน้าตางดงาม เป็นเพียงหญิงสาวหน้าตาธรรมดาที่มีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่โชคชะตากลับนำพาเด็กหนุ่มรูปหล่อนามว่าเป่าซานซาน ในวัยเพียงยี่สิบปีมาอยู่ข้างกายให้จิตใจกระชุ่มกระชวยฉินเจินเจิน ได้เจอกับเป่าซานซานที่บาร์โฮสต์ เขาทั้งเอาอกเอาใจ และไม่รังเกียจเธอที่มีอายุมากกว่า ทำให้เธอหลงรักเขาทั้งใจ จนต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินครั้งใหญ่จ้างเขาให้เลิกทำงานเป็นโฮสต์ เพื่อมาอยู่กับเธอในทุกวันชีวิตที่เป็นดั่งความฝันได้เริ่มต้นขึ้น จากความชอบกลายเป็นความรักที่ยากจะถอนตัวถอนใจ ไม่ว่าเป่าซานซานจะต้องการอะไรเธอก็บันดาลให้กับเขาได้ทุกสิ่ง และเด็กหนุ่มคนนั้นก็ตอบสนองคว
บรรยากาศภายในห้องนอนของผู้บัญชาการหวังและภรรยาของเขา ถูกตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่นและมีแสงไฟสลัว ๆ เต็มไปด้วยความเงียบสงบตามคำสั่งของเขา เพื่อสร้างบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกสำหรับทำกิจกรรมกระชับรักหวังซานเย่กำลังนั่งข้างเตียง ฝ่ามือของเขาวางอยู่บนท่อนแขนของภรรยาที่กำลังนอนหลับตาพริ้มด้วยความหลงใหล ใบหน้าของเธอยังคงเปล่งประกายอ่อนหวานเหมือนทุกวัน แต่ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนเธอจะอ่อนแอลงไปบ้างหลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป หวังซานเย่ตั้งอกตั้งใจที่จะเร่งผลิตทายาทให้กับตระกูลหวังของเขาด้วยความทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ และดูเหมือนว่าความเหน็ดเหนื่อยของเขาและภรรยาจะบังเกิดผล เมื่อฉินเจินเจิน เมียเด็กของเขาเริ่มมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันด้วยความดีอกดีใจจนไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร โชคดีที่ป้าหวังให้คำแนะนำวิธีการดูแลเธอได้อย่างดีเยี่ยม และไม่ลืมที่จะรีบพาเธอไปพบกับคุณหมอที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการของเธอให้แน่ใจอีกครั้งเมื่อผลการตรวจออกมา ชายวัยสี่สิบที่ยังหนุ่มแน่น แข็งแรงและมั่นคงก็คงต้องอ่อนแรงลงไป หลังจากที่ได้ยินคุณหมอเอ่ยบอก"ภรรยาของคุณกำลังตั้งครรภ์ครับ อายุครรภ์ตอนนี้ก็รา
แสงแดดในยามเช้าของวันใหม่ยังคงสาดส่องและทอประกายแสงที่เจิดจ้า เล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เก่าแก่ภายห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ผู้บัญชาการหวังด้วยความสดใส แสงที่ส่องสะท้อนกับผนังสีขาวสะอาด นั้นดูอบอุ่นและเงียบสงบราวกับไร้ผู้คน แม้แต่เสียงฝีเท้าของคนในบ้านยังคงเงียบเชียบหวังซานเย่ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องทำงานของเขา ดวงตาอันแสนจะเคร่งขรึมจ้องมองไปยังเอกสารต่าง ๆ ที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวอักษรบนกระดาษเหล่านั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับการค้าขาย และการบริหารจัดการสิ่งของมีค่าของตระกูลหวังที่ยังคงต้องดำเนินต่อไปแม้จะไร้เงาของอดีตคุณนายหวัง และแม้ว่าหวังไห่เถิงจะออกจากบ้านไปแล้วก็ตาม แต่การบริหารงานของตระกูลยังคงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดจากเขาและภรรยาผู้บัญชาการหวังรู้สึกว่าชีวิตในคฤหาสน์นั้นเริ่มเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่หวังไห่เถิงและมารดาตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ด้วยภาระหน้าที่ภายในกองทัพ และภรรยาที่เพิ่งจะเข้ามาจัดการดูแลความเรียบร้อยของทุกอย่างภายในตระกูล ทำให้ทุกสิ่งยังไม่เข้าร่องเข้ารอย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมของเขายังคงจับจ้องไ
หวังไห่เถิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว เขาคว้าอาวุธปืนที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาหวังซานเย่ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นหวังซานเย่หันมองหวังไห่เถิงอย่างไม่สะทกสะท้านและไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย"คิดว่าฉันจะกลัวนายหรือ"เขาเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกหวาดระแวงเล็กน้อย แต่การที่ต้องเผชิญกับความโกรธของหวังไห่เถิง ทำให้เขาคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เสียมากกว่าหวังไห่เถิงก้าวไปข้างหน้า ภายในมือของเขาจับอาวุธปืนเอาไว้แน่น เขารู้สึกว่าการแก้แค้นอาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาจะรู้สึกมีอำนาจในการควบคุมชีวิตของตัวเองได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปก็ตามแกรก"หวังซานเย่...ทุกอย่างมันต้องจบที่นาย!"หวังไห่เถิงตะโกนลั่น ในขณะจ่อปากกระบอกปืนไปที่ขมับของหวังซานเย่ แต่ทว่ามือของเขากลับสั่นเพราะความโกรธ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความรู้สึกที่อยากจะหลุดพ้นจากทุกสิ่งที่ต้องเผชิญ"ซานเย่!" ฉินเจินเจินตกใจมาก เธอวิ่งเข้าไปหาเขาด้วยความกลัว แต่ทว่ากลับถูกห่าวอู๋คว้าตัวเอาไว้เสียก่อน เพราะกลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัยหวังซานเย่เหลือบมองปืนที่จ่อศีรษะ เขาไ
ท่ามกลางเสียงตะโกนและการโต้เถียงที่ดังสนั่นภายในสวนด้านหลังของตระกูลหวัง เกิดการต่อสู้ในระหว่างพี่น้องที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ง่าย ๆ หวังซานเย่บุตรชายคนโตของตระกูลหวัง จ่อปากกระบอกปืนเข้ากับศีรษะของหวังไห่เถิงอย่างไร้ความปรานี"ซานเย่...อย่าทำร้ายเขา!"เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้หวังซานเย่หยุดนิ่ง ความโกรธแค้นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา ขณะที่สายตายังจ้องมองไปที่ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่"คุณแม่" เสียงหวังซานเย่นั้นเรียบเฉยและไม่ได้ดูตกใจเท่าไรนักคุณนายหวัง มารดาที่เคยแสดงออกถึงความเมตตาและความห่วงใยของเขา แต่ในขณะนี้ดวงตาของเธอที่มักจะอ่อนโยน กลับแฝงด้วยความเด็ดขาดและบางครั้งก็เห็นสายตาที่ซ่อนความรู้สึก ในแบบที่เขาไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน"ซานเย่! อย่าทำแบบนี้!"คุณนายหวังเดินเข้ามาหาเขาและยกมือขึ้นจับแขนของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าหวังซานเย่กลับสะบัดมือของเธอออกแล้วจ้องมองไปที่หวังไห่เถิงด้วยความเจ็บปวด"นี่คือสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับ!" หวังซานเย่พูดด้วยเสียงแหบแห้ง ความโกรธปะทุขึ้นอีกครั้ง"ซานเย่...แต่เขาเป็นน้องชายของลูก" คุณนายหวังพูดเสียงเบาลง พร้อมกับหายใจเข้าลึก"คุณแน่ใจหรือครับ ว่าเขา
"หวังไห่เถิง....ถอยไป" เสียงนั้นหนักแน่นและทรงพลังดังขึ้น ผู้บัญชาการยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นการข่มขู่หวังซานเย่ เดินมาจากทางเดินที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร ด้านหลังของเขาคือที่ที่แสงจันทร์สาดส่อง จึงทำให้เขาดูเหมือนกับผู้ที่ออกมาจากเงามืด เขาส่งสายตามองไปยังฉินเจินเจินแล้วยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเธอปลอดภัยดี ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับหวังไห่เถิงอีกครั้ง"ซานเย่ในที่สุดคุณก็มาทันเวลา" ฉินเจินเจินพึมพำออกมาในใจ ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกแต่ทว่าคำพูดของหวังไห่เถิงก็ดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ย"รู้ตัวเร็วกว่าที่คิดนะ...พี่ชาย ฮ่า"หวังซานเย่ยืนอยู่ตรงกลางลานกว้างของสวนด้านหลังคฤหาสน์ ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่พยายามกดไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ร่างสูงใหญ่นั้นเปี่ยมไปด้วยอำนาจดูน่ากลัวกว่าที่เคยเป็น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เขาพยายามรักษาความสัมพันธ์ของครอบครัวเอาไว้ แต่ทว่าในตอนนี้น้องชายกลับทำในสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้อีกต่อไป"ไห่เถิง!" เสียงทุ้มต่ำของหวังซานเย่ดังก้องขึ้น"..." เจ้าของชื่อหาได้มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย"หวังไห่เถิง นายกล
เสียงของสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางความเงียบสงัดแต่ทว่าบรรยากาศของคฤหาสน์ผู้บัญชาการในตอนนี้กลับเปรียบเสมือนเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ดังขึ้นภายในเงามืด เงาทึมของพระจันทร์เสี้ยวทอแสงลงมากระทบบนพื้นดินด้วยความเยือกเย็น ความมืดมิดปกคลุมทุกอย่าง ราวกับว่าทุกสิ่งในคฤหาสน์นี้กำลังหลบซ่อนตัวเองจากความน่ากลัวภายในมุมหนึ่งที่มืดสนิท ฉินเจินเจินยืนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เมื่อเสียงฝีเท้าของ หวังไห่เถิง ดังกระหึ่มมาจากทางเดิน และนั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเป็นเท่าทวี เธอหันกลับไปมองบานประตูไม้ทึบที่เปิดอ้าออกไว้เล็กน้อย ใจหนึ่งก็อยากจะหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอก็รู้ดีว่าไม่อาจหนีออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน"เจินเจิน คุณอยู่ไหนกัน ผมหวังว่าคุณคงไม่อยากทำให้ผมโกรธหรอกกระมัง"เสียงของหวังไห่เถิงดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ดวงตาคู่สวยของเธอกลับมองเห็นว่าในมือของเขาถือดาบรูปทรงโบราณ ส่องสะท้อนแสงจันทร์ ทำให้เงานั้นช่างดูดุดันและน่าสะพรึงกลัว‘บ้าชิบ นี่มันคนวิปริตชัด ๆ ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเลยหรืออย่างไร’ เธอคิดในใจ ก่อนจะกัดฟันแน่น เธอรู้ดีว่าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ด้วย
แสงอาทิตย์ในยามอรุณรุ่งได้ลาลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความมืดมิดที่เงียบสงัด ราวกับไม่มีอะไรจะหยุดยั้งความชั่วร้ายที่กำลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งลั่วหยาง หวังซานเย่ เป็นผู้บัญชาการทหารที่ฉลาดเฉลียวและกล้าหาญ เขาได้รับคำสั่งให้ปราบปรามกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ก่อความเดือดร้อนในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองหลวง แต่ในระหว่างทางเขากลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติจนไม่อาจมองข้ามไปได้"ผู้บัญชาการครับ เหตุการณ์ในวันนี้มันดูแปลกไปนะครับ"ห่าวอู๋ ลูกน้องคนสนิทของหวังซานเย่ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบา ขณะกอบกุมพวงมาลัยของรถยุโรปทางการทหารหวังซานเย่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เขากำลังครุ่นคิดอยู่ภายในใจ และสิ่งที่คิดก็เริ่มจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อการร้ายในครั้งนี้ดูแปลกตามที่ห่าวอู๋บอกกล่าว และดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ได้มีจำนวนมากมายเหมือนในทุกครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งพวกมันยังดูเหมือนกับกำลังพยายามหนีเสียมากกว่าการตั้งใจต่อสู้"มันไม่น่าจะใช่แบบนี้" หวังซานเย่พึมพำเบา ๆ เมื่อสายตาคู่คมมองเห็นความผิดปกติในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางผ่านเขาสั่งให้ห่าวอู๋หยุดรถในทันทีที่มองเห็นว่าหมู่
หวังซานเย่รับหน้าที่เป็นคนขับรถในเช้าวันใหม่ เขาพาเธอกลับไปยังคฤหาสน์ของเขา บรรยากาศในวันนี้สดใสกว่าทุกวัน ความเขียวชะอุ่มของต้นไม้ทั้งสองฝั่งทำให้เธอทอดสายตามองด้วยความสบายใจ จนกระทั่งเริ่มมองเห็นคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนเนินสูง สามารถมองเห็นตัวเมืองอันกว้างไกลที่เธอเองก็ยังเดินสำรวจไม่ครบทุกมุม เป็นความหรูหราของสถาปัตยกรรมจีนโบราณผสมผสานกับกลิ่นอายยุคสาธารณรัฐสะท้อนความมั่งคั่งและทรงอำนาจของตระกูลหวัง ตระกูลที่มีบทบาทสำคัญทั้งในกองทัพและเศรษฐกิจระดับประเทศที่ฉินเจินเจินได้มองอย่างเต็มตาในวันนี้"เจินเจิน ผมยังไม่อยากกลับเลย อยากอยู่กับคุณสองต่อสองมากกว่า" เขาเอ่ยขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งมาจับมือเธอเอาไว้"ซานเย่ ตั้งใจขับรถหน่อยสิคะ ฉันยังไม่อยากนอนข้างทางนะคะ!" เธอบ่นอุบ เมื่อเห็นเขาขับรถมือเดียว จนรู้สึกไม่ปลอดภัย"คุณไม่อยากอยู่กับผมแค่สองคนอย่างนั้นหรือ" เขาไม่ฟังเธอปราม แต่ทว่าเร่งรัดให้เธอตอบคำถามของเขา"ที่คฤหาสน์ก็ไม่มีใครมาวุ่นวายกับคุณนี่คะ ซานเย่ คุณตั้งใจขับรถก่อนเถอะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะงอนคุณนะคะ" เธอกอดอกมุ่ยหน้าใส่เขาด้วยสายตาเอาจริง"ไม่งอนนะ ผมยอมแล้วก็ได้"ฟอดหวังซ
ปลายนิ้วที่เรียวสวยผลักร่างใหญ่โตของเขาให้นอนราบลงไปบนฝากระโปรงของรถได้ด้วยมือเดียว หวังซานเย่ร่างกายอ่อนระทวยไปกับลีลาอันแสนเร่าร้อนของเธอเสียแล้วฉินเจินเจินนั่งคร่อมลงบนท่อนกายอุ่นร้อนของเขาจนมิดลำ ส่งให้เขาหน้าเบ้ด้วยความคับแน่น ความเจ็บสะท้านแล่นไปทั่วลำใหญ่แต่ทว่ายังคงซ่านเสียวจนสมองขาวโพลนซี้ดไม่ได้มีเพียงเขาที่เจ็บปวด เธอเองก็เช่นกันเพราะขนาดที่ใหญ่โตของเขาได้เบียดเสียดเข้ามาภายในโพรงสวาทจนแทบจะปริแตกจากกัน แต่นั่นกลับเป็นความเจ็บปวดที่เธอยินดีสะโพกอิ่มโขลกไปข้างหน้าเพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนท่อนเอ็นเขื่องเข้าออกร่องสวาทที่ชุ่มฉ่ำเต็มไปด้วยความต้องการที่พุ่งพล่าน ไฟร่านกำลังครอบงำตัวของเธอฉินเจินเจินยกตัวขึ้นแล้วกระแทกตัวลงไปเพื่อให้แท่งหยกเข้าไปในร่องรักของเธออย่างแรง ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความลึกและความสะใจ มันทั้งร้อนแรงและวาบหวาม จนเขาครางออกมาด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า“อ่า เจินเจิน กระแทกอีก ผมเสียวจังเลยครับ”“อะ...อื้อ”ริมฝีปากบางสีแดงสดขบเม้มเข้าหากันด้วยความซ่านสยิว ก่อนที่เธอจะออกแรงขยับสะโพกอย่างเชี่ยวชาญ แล้วบดสะโพกลงไปอย่างหนักจนน้ำกามไหลออกมาชุ่มฉ่ำและเกิดเสียงดังแ